20 ตุลาคม 2547 22:17 น.
ทิวสน
โดย : ทิวสน ชลนรา
สายมากแล้ว...แต่ยังมีอีกหลายชีวิตที่จดจ่อรอรถประจำทางที่ป้ายชานเมืองแห่งนี้ สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังทิศทางที่พาหนะซึ่งนานๆ จะโผล่มาสักคัน และเวลานี้มีเพียงระยับแดดที่โลดเต้นเหนือผิวถนน กับลมร้อนที่พัดวูบมาปะทะกาย หญิงสาวหลายรายหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ผุดพราวขึ้นมา เกรงว่าจะเลอะเครื่องสำอาง
ป้ายรถประจำทางแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเช้า มักจะมีผู้โดยสารมารอขึ้นรถเพื่อเข้ากลางเมืองประกอบภารกิจด้วยต่างจุดประสงค์จำนวนมาก บ้างก็ไปเรียน บ้างไปทำงาน และสิ่งหนึ่งที่ผู้โดยสารเหล่านี้เหมือนกันคือ เป็นชนชั้นกลาง รายได้ไม่มากนัก และพักอาศัยในชุมชนหลังป้ายรถประจำทางนี้เอง
ที่พักผู้โดยสารสร้างอย่างง่ายๆ พื้นที่ไม่กว้างนัก มีที่นั่งที่ยังใช้การได้เพียงไม่กี่ตัว ทำให้ทุกเช้าเมื่อแดดจัดหลายคนจะยืนชิดเบียดกันดั่งคนสนิท ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบจะดูแลเรื่องที่พักผู้โดยสารแห่งนี้ เพราะเมื่อแรกมีก็ได้จากนักการเมืองท้องถิ่น ที่สร้างบริจาคเพื่อขอคะแนนเสียงและชื่อก็ยังเด่นที่หลังคาอ่านชัดเจนได้แต่ไกล
ห่างจากที่พักผู้โดยสารไม่ไกลนัก คือต้นมะยมลูกดกแต่บางใบ ที่โคนต้นมีภาพหนึ่งที่ทุกสายตาเมื่อทอดมองไปในทิศทางที่รอรถจะต้องพบกับรถเก๋งสปอร์ตสีแดงบาดตา มองปราดเดียวก็รู้ว่า ราคาค่างวดมิใช่น้อย ความสงสัยใคร่รู้ของทุกคนที่พบเห็นคือ เป็นรถของใครกันหนอ.... เพราะยังไม่เคยมีใครเคยพบเจ้าของรถในยามเช้า เมื่อใดที่เดินมารอรถประจำทาง ก็จะพบรถคันงามจอดนิ่งอยู่ใต้ต้นมะยมนี้เสมอ บ้างก็ว่าน่าจะเป็นรถของผู้มีอันจะกิน ที่มาเปิดบริษัทอยู่ปากซอยถัดไป บ้างก็ว่าเป็นรถของคนในหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ลึกถัดไปอีกซอยหนึ่ง แต่ที่แน่นอนคือความรู้สึกของทุกคนที่มอง เหมือนตอกย้ำในความแตกต่าง และรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในฐานะของตน คละปนอิจฉาเจ้าของรถคันนี้นัก
รถมาแล้ว เสียงหนึ่งดังขึ้น เหมือนบอกสัญญาณให้แทบทุกชีวิตขยับตัวเตรียมขึ้นรถ ทว่ามองจากระยะไกลก็รู้ว่าบนรถที่กำลังแล่นเข้าเทียบป้าย มีผู้โดยสารอยู่เต็มคัน แต่แทบไม่มีใครรอคันต่อไป เพราะอีกนานนัก กว่าคันต่อไปจะมา และนั่นหมายถึงการไปถึงที่หมายล่าช้า อันส่งผลต่อการเรียนและการทำงาน.... รถประจำทางวิ่งเทียบป้ายพร้อมฝุ่นดินที่หอบเข้ามา...
เพียงครู่รถคันนั้นก็พร้อมวิ่งจากป้ายไป ทิ้งผู้โดยสารเหลือไว้เพียงไม่กี่ราย ที่รอรถสายอื่น...และรถเก๋งสปอร์ตคันงามยังคงจอดนิ่งที่ใต้ต้นมะยมต้นนั้น...
* * * * *
สายวันนี้...ที่เดิม...ยังคงมีผู้โดยสารรอรถแน่นขนัดเช่นเดิม ต่างก็แต่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องเจ้าของรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันที่จอดนิ่งโคนต้นมะยมคันนั้น
เห็นเขาว่ากันว่า เป็นพวกเศรษฐีหน้าเลือดมาออกดอกให้กู้ตั้งร้อยละสี่สิบแหนะเธอ...แย่จริงๆ รวยแล้วยังมาเอาเปรียบคนจนๆ อย่างพวกเรา...คนอาไร้...ไม่รู้จักพอ
ใช่...รวยแล้วก็น่าจะมาเจือจาน ทำประโยชน์ช่วยเหลือคนจนอย่างพวกเราบ้างนะ จริงมั้ย ดูซิ...ไอ้เพิงโทรมๆ นี้น่ะ มันคุ้มแดดคุ้มฝนได้ซะที่ไหน
โอ้ย.ย.ย.ย...ฝันไปเถอะ...รวยแล้วไม่มีใครเขาจะมามองเห็นหัวคนจนอย่างพวกเราหรอก
เออ...ว่าแต่มีใครเคยเห็นเศรษฐีคนนี้มั่งมั้ย... ท่าจะตื่นเช้าน่าดูเลยนะ บางวันฉันว่าฉันตื่นเช้าแล้วนา...แต่มาทีไรก็เห็นรถจอดอยู่ก่อนแล้วทุกทีเลย
นั่นไง...นึกแล้วเชียว...รวยแล้วยังงกอีกนะ ฉันว่าที่ขยันก็เพราะงกนั่นแหละ
เฮ้อ...อย่าไปสนใจคนพวกนี้เลย เขากับเรามันคนละชั้น...นั่นรถมาแล้ว ไปกันเถอะ
* * * * *
สายวันนี้ ลมร้อนยังคงพัดวูบเข้ามาเป็นระยะ ระยับแดดที่โลดเต้นสะท้อนบนพื้นถนนดูท่าจะร้อนกว่าทุกวัน ผู้โดยสารยังคงยืนเบียดชิดใต้ชายคาที่พักเช่นเดิม เช้านี้ไม่ใคร่จะมีใครสนทนากันสักเท่าไร อากาศที่อบอ้าวทำเอาหลายรายหน้านิ่วคิ้วขมวด ยิ่งเวลาผ่านไป กับการรอคอยรถที่ทอดยาว ก็ทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจของใครต่อใครเป็นระยะ ครั้นหันมองรถเก๋งสปอร์ตคันนั้น ก็พาลหงุดหงิดขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ
ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่ไร้วี่แวว ก็แว่วเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากเด็กกลุ่มหนึ่งใกล้เข้ามา ครั้นบางคนหันไปมองก็พบว่าเป็นเด็กวัยประถมอายุราว 8-10 ขวบ กำลังวิ่งมาที่ต้นมะยมด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า กับภารกิจที่รออยู่ นั่นคือการปีนต้นเพื่อเก็บผล
เด็กเหล่านี้ คงเป็นลูกของคนในชุมชนแออัดหลังป้ายรถประจำทางชานเมืองแห่งนี้ และคงไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลให้ได้รับการศึกษา จะด้วยว่าฐานะ หรือสิ่งใดก็ตามที ทำให้แทนที่จะได้นั่งเรียนหนังสือ ทว่าต้องมาเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นเช่นนี้
ต้นมะยมที่หลายคนมองข้าม สูงเสียดยอดให้ลูกดกโตสุกเหลือง รอให้เด็กๆ คว้ารูดเก็บ ซึ่งแต่ละคนต่างปีนป่ายแคล่วคล่อง ไม่หวั่นกลัวความสูง ครั้นเอื้อมถึงก็คว้ารูดแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงจนตุงทั้งสองข้าง บ้างก็คว้าใส่ปากเป็นกำเคี้ยวกร้วมๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย จนน้ำฉ่ำหวาน-อมเปรี้ยวไหลเลอะมุมปาก
แต่แล้ว ทันใดนั้น เด็กชายคนหนึ่งได้เหยียบลงไปบนกิ่งแห้ง ที่เกินจะทานน้ำหนักไว้ได้ จึงหักเสียงดัง เป๊าะ! พร้อมกับร่างร่วงสู่พื้นจากความสูงราว 5 เมตร
เด็กชายคนนั้นหล่นลงมานอนคลุกฝุ่น ห่างจากรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันนั้นราว 2 เมตร ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึง ผลมะยมตกเกลื่อนพื้น พร้อมสีหน้าจุกเสียดตามด้วยเสียงร้องโอดโอย แล้วคว้าที่เท้า ซึ่งบัดนี้มีกิ่งมะยมแห้งปักคาอยู่...! เลือดสีแดงสดเริ่มไหลออกมานองพื้นแล้วซึมผสมฝุ่นดิน เสียงร้องทำเอาเพื่อนๆ รีบปีนลงมาหน้าตาตื่น แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่หันมองซ้ายขวาระร่ำระลัก น้าๆๆ...ช่วยเพื่อนผมทีครับ....ช่วยเพื่อนผมทีครับ แข่งกับเสียงร้องโอดโอยของเด็กคนนั้น
บัดนี้ทุกสายตาของผู้โดยสารที่อยู่ในเพิงพัก ซึ่งไม่ห่างจากเหตุการณ์นัก ต่างจับจ้องมองดูพร้อมออกความเห็น
โห..ดูสิ เลือดออกเยอะจัง ท่าจะหนัก คงเกือบจะทะลุเลยนะนั่น
เข้าไปช่วยเด็กหน่อยสิเธอ...น่าสงสารออก
อะไร...จะไปไหน...อย่าไปยุ่งเชียวนะ เดี๋ยวก็ต้องเป็นธุระค่าหยูกยาหรอก ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้
พ่อ!...อย่าไปยุ่งเชียวนะ...โน่น รถมาแล้ว รีบไปกันเถอะ
ไอ้หลานชาย...โทษทีนะ น้าต้องรีบไปธุระ ขอให้อย่าเป็นอะไรมากเลยนะ
รถมาแล้ว! รถมาแล้วไปกันเถอะ เร็ว...!
ขณะที่บางส่วนหนีหายขึ้นรถ และที่เหลือยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ทว่าไม่มีแม้สักคนที่จะเข้าไปช่วยเหลือ จะมีก็แต่บางรายที่เข้าไปมุงดูอยู่ห่างๆ
ทันใดนั้น...ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับเด็กเป็นอะไรมากรึเปล่า
ทุกสายตาหันขวับไปยังที่มาของเสียงพร้อมเปิดทางให้แต่โดยดี ชายหนุ่มวัยราวสามสิบเศษ รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายแลดูสะอาดภูมิฐาน เดินแหวกคนมุง ตรงไปยังเด็กชายมอมแมมที่นอนเกลือกกลิ้งคลุกฝุ่นคนนั้น
ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างร่างเด็กชาย ซึ่งบัดนี้เสียงร้องแผ่วไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มผสมคราบไคลเป็นรอยด่างดำ ครั้นช้อนร่างขึ้นอุ้ม เลือดที่ยังไหลจากฝ่าเท้าก็หยดลงเปื้อนกางเกงสีครีมของชายหนุ่มเลอะเป็นทางยาว
ใครก็ได้ ช่วยเอากุญแจนี่ไขประตูให้ผมทีครับ เขาหันบอกกลุ่มคนที่มุง
ชายคนหนึ่งรับกุญแจมาไขประตูรถให้ ชายหนุ่มนำเด็กขึ้นวางบนเบาะหลังหนังสีครีม...เลือดสีแดงเข้มยังคงไหล และเลอะเปื้อนบนเบาะนั้น
ครู่ต่อมา รถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันงามก็ถอย แล้ววิ่งปราดออกไปจากโคนต้นมะยม ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่เห็นเหตุการณ์ โดยไม่มีคำกล่าวใดๆ
* * * * *
สายวันนี้...ใต้ชายคาที่พักผู้โดยสารผู้คนยังคงแออัดเช่นเดิม แต่ลมโชยพัดมาไม่ร้อนเช่นทุกวัน ใบมะยมวูบไหวตามลม บางใบที่แห้งเหลืองก็ร่วงพลิ้วหล่นลงซบพื้นดิน บ้างก็หล่นลงหลังคารถสปอร์ตสีแดงคันงาม
ความขึงเครียดไม่ปรากฏบนใบหน้าผู้คนเช่นทุกวัน ทุกสายตายังคงจดจ่อกับทิศทางที่รอรถประจำทางสายประจำจะแล่นมา...ไม่มีอะไรแตกต่างจากทุกเช้าที่ผ่านมา
จะต่างก็เพียงความรู้สึกที่สื่อผ่านสายตาทุกคู่ ที่หันมองรถเก๋งสปอร์ตคันงาม
คันนั้น
* * * * * * * * * *
20 ตุลาคม 2547 21:45 น.
ทิวสน
ยังจำไว้เลย
โดย เจ้า..ชายน์ติ๊ง
สมหมาย (แต่เขาชอบให้เพื่อนๆ เรียกว่า แฟรงค์ แม้ว่าใบหน้าจะเอาดีไปทางลูกครึ่งไทย-กัมพูชาก็ตาม) ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ที่ต้องกลับมายืนอยู่ที่หน้าร้าน "น้ำย่อยรื่นเริง" แห่งนี้อีกครั้ง
มันเหมือนกับว่า เขากำลังอยู่ในภวังค์ ทั้งๆ ที่รู้ว่า หากเข้าไปในร้านนี้อีกเขาจะต้องพบกับความทรงจำอันแสนหวานที่จะทำให้ต้องเจ็บปวด เขาพยามหักห้ามใจจะเดินหนี ทั้งตบ ทั้งหยิก ทั้งข่วน ก็แล้ว แต่ไม่สำเร็จ ขาทั้งสองข้างก้าวเดินเข้าไปที่ประตู
"ดีจริงที่ร้านปิด" เขาคิดในใจ หลังจากพยามยามวิ่งเอาไหล่กระแทกให้ประตูเปิดอยู่ 5- 6 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ นึกขมขื่นใจ ทำไมนะชีวิตนี้ ผู้ชายหน้าตาดีอย่างเขาจึงทำอะไรไม่เคยสำเร็จ
"เชิญครับ" บริกรผลักประตูโผล่หน้าออกมาบอกว่า "ประตูนี้ พี่ต้องดึงครับ ไม่ใช่ผลัก" บริกรแนะนำเสียงเข้มจนเขาต้องหลบตาทำตัวลีบ เดินเลี่ยงเข้าไปในร้าน พลางนึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็มาที่ร้านนี้ประจำ แต่ทำไมจำไม่ได้ อืมม์ นั่นดิ....
เย็นย่ำวันนี้ คนค่อนข้างจะบางตา เขาสามารถเดินเลือกโต๊ะนั่งได้ตามสบาย และเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมถึงได้เลือกมานั่งโต๊ะเดิม มันเป็นโต๊ะสำหรับสองที่ และอยู่ในมุมเป็นส่วนตัวที่สุดของร้าน
โต๊ะตัวนี้เขาเคยพาเธอมานั่งด้วยเป็นประจำ จึงจดจำทุกสิ่งตรงนี้ได้ดีโคมไฟสีฟ้าทะลายโจร ห้อยย้อยลงมาส่องสลัวๆ โรแมนติกรูปติดผนังนกนางแอ่นป้อนอาหารลูกนกเพนกวินด้วยความเข้าใจผิด เก้าอี้ไม้สักทองแกะสลักรูปมะดันแช่อิ่ม หรือแม้แต่แจกันก็ยังคงเป็นอันเดิม ลายลิงอูรังอุตังยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋ม 2 ข้าง
"สั่งอะไรดีครับ" บริกรเดินเข้ามาถามพร้อมยื่นเมนูขนาด 3 คูณ 5 ฟุตให้ เขารับมาดู
ทุกสิ่งรอบตัวยังคงเหมือนเดิมหมด ทั้งสถานที่ สิ่งของ บริกร จะมีเปลี่ยนก็แต่ วัน เวลา และที่สำคัญ คือ วันนี้เขามาคนเดียวโดยไม่มี อรอรุณวลัยฤดี มาด้วย และความจริงต่อจากนี้ไป เขาก็คงไม่มีเธออยู่ด้วยอีกแล้ว!!! ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ...ที่เหลือไว้ตอนนี้...เป็นเพียงความทรงจำ กับวันเวลาเก่าๆ ที่เคยมีความสุขร่วมกัน กับอดีตรักที่แสนหวานปานจะกลืน
เขาและเธอสนิทกันมาเป็นเวลาแรมปี ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ใครๆ ก็มักพบเขาและเธอไปด้วยกันเสมอ เธอเป็นคนสวยที่สุดในสายตาของเขา แม้มีบางคนจะโต้แย้งและบอกว่าเธอเป็นสาวสวยแบบดีเลย์ ทำนองว่า...เดี๋ยวสวย..เดี๋ยวสวยก็ตาม แต่เขายังรักมั่นคง ภักดีต่อเธอเสมอมา
ครั้งแรกที่มาร้านนี้ด้วยกัน เขาและเธอ พบกันโดยบังเอิญ (คุณบังเอิญเพื่อนสมัยมัธยม แนะนำให้เขาได้รู้จักกับเธอ ตอนงานกาชาดที่สวนอัมพร) จากวันนั้น เขาและเธอก็เริ่มใช้เวลาเรียนรู้จักกันบ่อยครั้ง จนกระทั่ง วันหนึ่งเขาก็อั้น เอ๊ย! อดไม่ได้ที่จะสารภาพความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเธอ
"อรอรุณวลัยฤดีครับผมได้ค้นหาบางสิ่งมานาน หลังจากเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลมาหลายสมัย เปลี่ยนผู้ว่าฯกรุงเทพฯมาก็หลายคน วันนี้ผมมั่นใจแล้ว.... และอยากจะบอกคุณว่า..เอ่อ..ผม.อืมมมมม..อ่าอะนะ..อืมมมผม.ผมรักคุณครับ"
เขาเอ่ยออกมาจนได้ ทว่าอรอรุณวลัยฤดี กลับก้มหน้าหลบตา ไม่รับคำหรือโต้ตอบวาจาใดๆ แฟรงค์ใช้มือช้อนคางเธอแหงนเชิดขึ้น เพื่อสบตา ซึ่งบัดนี้มีน้ำใสๆ คลอหน่วยแต่เมื่อใดไม่รู้
"โถ..คนดี ปลื้มใจมากถึงกับร้องไห้เลยหรือนี่"
"ปะ..เปล่าค่ะ.คือว่า คุณ เหยียบเท้าอรค่ะ" เธอตอบเสียงเครือ
ชายหนุ่มรีบยกคอมแบทเบอร์ 9 ออกจากเท้าเธอ พร้อมยิ้มเจื่อนๆ เฉไฉ ชวนคุยเรื่องอื่นจิปาถะ..
ตลอดวันวานยังหวานอยู่ เขาคอยติดตามดูแลเธอไม่เคยทอดทิ้งให้ต้องเหงาเปล่าเปลี่ยวแม้สักครั้ง และสมหมาย (แฟรงค์) จำได้ว่า ไม่เคยเลยที่เขาและเธอจะผิดใจกัน นั่นเป็นเพราะเขาตามใจเธอเสมอ
"จะสั่งรึไม่สั่งครับพี่..จะเอายังไง..รอนานแล้ว" บริกรคนเดิมย้ำเสียงดัง พอที่ 12 คนในร้านจะได้ยิน และหันมามองเขาเป็นตาเดียว
"อ้อ..เอ่อ..คือ..เอ่อ อะนะ...ขอโทษที" สมหมายแก้ตัว "ไม่รู้ว่ายืนรออยู่อะดิ"
เขารีบเปิดเมนูดูรายการอาหาร แกงเขียวหวานไก่พ่อลูกอ่อนใส่สะตอเบอร์รี่! เขาจำได้ดี มันเป็นเมนูโปรดของ อรอรุณวลัยฤดี ทุกครั้งที่เขาและเธอมาที่นี่ เธอจะสั่งได้ทันที โดยไม่ต้องถามหาเมนู
"จะสั่งอะไรก็สั่งซะที..ไม่กินก็เชิญ! " เสียงบริกรตะคอกดังจนเขารู้สึกตัว
"เอ่อ.เอานี่ แกงเขียวหวานไก่พ่อลูกอ่อนใส่สะตอเบอร์รี่" เขาสั่งกับข้าวเพิ่มอีกสองอย่าง บริกรรินน้ำเปล่าให้ แล้วเดินบ่นพึมพำจากไปอย่างหัวเสีย
สมหมายไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้สำหรับเขา วันที่เขาต้องอยู่คนเดียว โดยไม่มีอรอรุณวลัยฤดี (เฮ้อ..! ชื่อเรียกยากจริงๆ) ว่าแล้วน้ำตาของลูกผู้ชายก็หลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันไหลเรื่อยผ่านแก้มป่องๆ 2 ข้าง แล้วเรื่อยลงมารวมอยู่ปลายคางพอให้รู้สึกคันนิดๆ จนรวมตัวเป็นเม็ดใหญ่ พอน้ำหนักได้ที่ ก็ทิ้งตัวหยดลงแก้วน้ำพอดีจ๋อม..! จ๋อม..! เม็ดแล้ว เม็ดเล่า
ทำไมเธอถึงได้ทำเช่นนี้กับเขา เธอไม่พอใจอะไรเขาหรือ... หรือเธอไม่ชอบที่เขามักทำอะไรซุ่มซ่าม ซึ่งมันก็มีอยู่บ้างพอน่ารัก แต่ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่โตจนถึงกับต้องทำร้ายจิตใจเขาอย่างนี้
สมหมาย ยกแก้วน้ำซึ่งมีน้ำตาอยู่เกือบครึ่งขึ้นดื่ม แล้วต้องรีบบ้วนทิ้ง เพราะรสชาติเค็มปร่าเกินกว่าจะกลืนลงไปได้
ครั้งสุดท้ายที่พบกับอรอรุณวลัยฤดี เมื่อ 3-4 วันก่อน เขาซื้อแกงเขียวหวานไก่พ่อลูก่อนใส่สะตอเบอร์รี่ไปฝากเธอที่บ้าน พบเธอกำลังสนทนา กับเพื่อนชาย-หญิง เกือบ 10 คน ที่มองเขาด้วยสายตาแปลก บางคนขบเคี้ยว กัดฟันกรอดๆ เขาจึงไม่รบกวนเวลาและขอตัวกลับบ้าน
วันนั้นเธอดูสดใสขึ้นเยอะ ยังอ่อนหวานและสุภาพเรียบร้อยเหมือนเดิม เธอคงมีความสุขมากสินะ ที่ได้เลิกกับเขา
สมหมายพยายามรวบรวมสมาธิ ใช้ความคิดค้นหาสาเหตุว่าทำไม? เธอจึงไม่ยอมที่จะคืนดีกับเขา หรืออาจจะเป็นครั้งนั้น
ครั้งสุดท้ายที่เขาและเธอมาทานอาหารด้วยกันที่ร้านนี้แต่ไม่น่าใช่เธอไม่ใช่คนหน้าบางขี้อายสักหน่อย กับแค่เขาทำชามแกงเขียวหวานไก่พ่อลูกอ่อนใส่สะตอเบอร์รี่หกคว่ำ เธอไม่น่าจะเอามาเป็นเรื่องใหญ่นี่นา หรือเธออาจจะเสียดาย เพราะทุกครั้งที่บริกรมาเก็บจานอาหารที่ทานเสร็จ เธอมักจะสั่งให้รินน้ำแกงทิ้งให้เหลือแต่สะตอเบอร์รี่ แล้วขอเกลือมาจิ้มเป็นผลไม้หลังอาหาร
ชายหนุ่มเหม่อมองเก้าอี้ว่างอีกตัวที่อยู่ตรงข้าม อยากให้อรอรุณวลัยฤดี มานั่งตรงหน้าเขาอีกครั้ง ใครหนอ ที่จะช่วยเขาได้ความผิดพลาดเล็กน้อยเพียงครั้ง มันลบล้างความดี ความจริงใจ ทั้งหมดที่เขาสร้างสมมันมานานหลายปีเชียวหรือ
ตอนนี้ เขาร้องไห้ออกมา ชนิดน้ำตาทะลักล้นทำนบ หยดลงบนผ้าปูโต๊ะแผ่เป็นวงกว้าง เส้นผ่าศูนย์กลางราว 9 นิ้ว
"จะสั่งอะไรเพิ่ม อีกมั้ยครับ เดี๋ยวครัวจะปิดแล้ว" บริกรมากระซิบที่ข้างหูขวาพอจั๊กกะจี้
สมหมายส่ายศีรษะเชิงปฏิเสธ 15 ครั้ง บริกรจึงเดินจากไป
วันเกิดเหตุที่ร้านนี้ เขาเป็นลูกผู้ชายพอ จึงช่วยจ่ายค่าอาหารทั้งหมดด้วยตัวเอง แล้วยังช่วยพยุงเธอออกมานอกร้านเพราะข้อเท้าเธอบวมปูด ตอนที่เขาเลื่อนโต๊ะล้มไปกระแทกเข้า ขณะที่ก้มลงไปเช็ดน้ำแกงที่พื้น
อืมมมใช่ร้องลั่นร้านเชียว ตอนนั้นน้ำแกงอาจจะยังร้อนอยู่ แต่เขาก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจซะทีไหน อุตส่าห์ยอมเสียสละผ้าเช็ดหน้าปีแอร์การ์แดง ที่เธอซื้อให้ ช่วยเช็ดน้ำแกงที่เลอะเท้าเธอให้จนสะอาด
แล้วใครกันเล่า ที่ขับรถไปส่งเธอถึงบ้าน แม้ว่าเธอจะเกรงใจ พยายามขอเรียกแท็กซี่กลับ ไม่อยากให้เขาลำบากต้องขับให้ เนื่องเพราะเขาขับรถไม่ค่อยเป็น แต่ก็ยังอุตส่าห์พยายามอย่างสุดความสามารถ ขับรถไปถึงบ้านเธอจนได้ เขาอาจจะเลี้ยวรถแรงไปหน่อยตอนเข้าบ้าน ทำให้รถไปกระแทกเข้ากับเสาประตูรั้ว ก็ไม่น่าจะเอามาเป็นเรื่องใหญ่ เธอน่าจะรู้ว่าอย่างไรเขาก็ยอมจ่ายค่ารั้วให้เธออยู่แล้ว แต่ค่าซ่อมรถควรจะออกคนละครึ่ง เพราะมันพังมากเฉพาะข้างที่เธอนั่ง มันยุบเขาไปตั้งครึ่งคัน
ใช่สินะ...เธอคงนึกไม่ถึง ว่าใครอุตส่าห์วิ่งลงไปโทรศัพท์ในบ้าน เรียกรถพยาบาลมาช่วยตอนที่เธอถูกอัดก๊อปปี้จนสลบ ก็เขาไม่เคยเลยที่จะขุดคุ้ยหรืออ้างเป็นพระคุณแม้สักนิด
ตอนนี้เขาร้องไห้จนไม่มีน้ำตาเหลือให้ไหลอีกแล้ว เขาให้เธอทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เธอสิ ไม่เคยที่จะนึกถึงมันเลย กับแค่เธอต้องมาซี่โครงหักแค่นิดหน่อย (หักไป 3 ซี่ ยังเหลืออีกตั้ง 21 ซี่) ม้ามฉีกเล็กน้อย เธอถึงกับทำร้ายจิตใจเขาให้แหลกลาญลงได้เพียงนี้
"ขอเช็คบิลด้วยครับพี่" บริกรคนเดิมตะโกนที่ข้างๆ หู สีหน้าเครียด "ร้านปิดแล้วครับพี่"
สมหมาย ตื่นจากภวังค์ หันมองรอบๆ ร้าน ไม่มีลูกค้าเหลืออยู่สักโต๊ะเดียว ยกนาฬิกาขึ้นดู4 ทุ่มแล้ว เขาจ่ายเงินแล้วลุกเดินออกมาจากร้านด้วยใจหดหู่
สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือ นั่งรถเมล์กลับบ้าน แล้วพยายามหักห้ามใจ ไม่ให้นึกถึง อรอรุณ-วลัยฤดี
แม้ว่าอีกใจหนึ่งนั้น อยากจะไปเยี่ยมอดีตแฟนสาวที่นอนป่วยเป็นอัมพาตครึ่งตัวอยู่ที่บ้านใจจะขาด
* * * * * * * * * * * *