16 ธันวาคม 2547 21:40 น.
ทิวสน
โดย : ทิวสน ชลนรา
นพพล แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ว่าเขาเคยทิ้งบ้านหลังงามที่ตั้งอยู่ตรงหน้า อันเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองไป และไม่ย้อนกลับมาดูแลอีกเลยเป็นเวลากว่า 4 ปี ทั้งที่เมื่อแรกได้มา เขารักมันมาก แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขาเด็ดเดี่ยวและกล้าตัดสินใจจากไปในเวลานั้น..
กว่าจะปัดฝุ่นกวาดหยากไย่พร้อมจัดแจงทุกอย่างภายในบ้านให้เข้าที่ดังเดิม ดวงตะวันสีส้มกลมโตก็เริ่มคล้อยต่ำจวนจะลับทิวสนหน้าบ้านไปแล้ว
ชายหนุ่มทอดกายกึ่งนั่งบนเก้าอี้หวายตัวโปรดอย่างโรยแรง ชามะนาวเย็นได้ไล่ผ่านความแห้งผากในลำคอ เรียกความสดชื่นคืนกลับมาอีกครั้ง
ลำแสงสีส้มเริ่มจางลงทุกขณะ เขาปล่อยอารมณ์ตามสบาย นอนมองทิวสนโอนเอนตามสายลมยามเย็นที่โชยพัดมาบางเบา คละกลิ่นหอมเย็นจากซุ้มดอกแก้วโชยมาตรึงจมูก ช่างเป็นสุขแท้ ที่ได้กลับมาสู่บรรยากาศเช่นนี้อีกครั้ง พลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีจดหมายตกค้างยังไม่ได้เปิดอ่านอยู่ 4-5 ฉบับ เขาไปนำมันมาเปิดออกอ่านทีละฉบับ ซึ่งล้วนแต่เป็นจดหมายจากเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยทั้งสิ้นเว้นแต่การ์ดอวยพรใบนั้น!
มันเป็นการ์ดอวยพรตกค้างมาตั้งแต่เทศกาลวาเลนไทน์เมื่อปีที่แล้ว การ์ดใบโตรูปดอกกุหลาบสีแดงสด
เขาค่อยๆ เปิดอ่านเนื้อความด้านในด้วยใคร่อยากรู้ว่าใครหนออุตส่าห์ส่งการ์ดอวยพรประเภทนี้มาให้ เพราะตั้งแต่เรื่องราวคราวนั้นเขาก็ไม่ใส่ใจกับเทศกาลนี้เท่าใดนัก
ครั้นอ่านข้อความ ใบหน้าถึงกับร้อนผ่าว มันเป็นความรู้สึกที่สับสนอย่างบอกไม่ถูกและไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับมันดี
* * * * *
อาจเป็นเพราะการ์ดใบโตรูปดอกกุหลาบสีแดงสดใบนั้นก็เป็นได้ ที่ทำให้เขากระสับกระส่ายว้าวุ่นใจจนนอนไม่หลับ มันเป็นการ์ดอวยพรวันวาเลนไทน์ ซึ่งนับเป็นใบเดียวจริงๆ ที่เขาได้รับในตลอดช่วงที่ผ่านมา และเขาคงไม่สนใจใส่ใจกับมันมากนัก หากผู้ที่ส่งมาให้ไม่ใช่ สุพร ..ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะอ่อนเดียงสา แต่ก็เธอมิใช่หรือที่ได้ฝากความเจ็บปวดอย่างสากรรจ์ประทับไว้ในใจของเขาเมื่อ4ปีที่แล้ว
* * * * *
แม้จะดับไฟที่หัวเตียงไปครู่ใหญ่แล้วและพยายามข่มตาจะให้หลับ แต่ทว่า บางสิ่งที่ยังฝังลึกในความคำนึงของชายหนุ่ม กลับรุกเร้าภายในให้ย้อนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์แต่หนหลังระหว่างเขาและเธอเมื่อครั้งยังหวานซึ้งโลดแล่นอยู่ในห้วงแห่งความรัก ยิ่งเห็นภาพกลับยิ่งทุกข์ทรมานใจ เหมือนสะกิดรอยแผลเก่าให้รวดร้าวยิ่งนัก เขาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อจะพอบรรเทาความหนักอึ้งในสมองให้คลายลงบ้างแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นแม้สักนิด เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดไฟ ไขกุญแจตู้เก็บสมุดไดอารี่โดยเลือกเล่มที่บันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ. 2000 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ .
วันนั้น เป็นวันที่เขาได้บันทึกความรู้สึกอันเนื่องมาจากการตัดสินใจครั้งสำคัญเอาไว้.ความเงียบงันของราตรีกาลทำให้เขาเริ่มต้นอ่านบันทึกได้อย่างมีสมาธิ
* * * * *
14 กุมภาพันธ์ 2000 / 23.00 น.
สุพร ยอดดวงใจที่ทำให้ผมเหมือนฝันในวันวาน
ในวันที่เราพบกันครั้งแรก ผมร้องเพลงคลอเสียงกีตาร์ที่ผับแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท ผมเล่นดนตรีที่นั่นทุกคืน คุณมาที่ผับแห่งนั้นพร้อมเพื่อน 4-5 คน คุณโดดเด่นที่สุดในกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน คุณไม่ใช่คนที่สวย.แต่คุณน่ารักน่ารักกว่าใครๆ ที่ผมเคยพบมา
คุณขอให้ผมร้อง เพลง UNCHANGE MELODY พร้อมส่งยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มน่ารักนั่น ทำเอาผมหวั่นไหวอยู่ไม่น้อยขณะที่ร้องเพลง ผมลอบแอบมองคุณอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งผมก็ได้พบกับรอยยิ้มแสนหวานกับดวงตาน่ารักคู่นั้น มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกแปลบปลาบขึ้นมาลึกๆ ในใจ
คุณถูกเพื่อนแซวเพราะจ้องมองผมอย่างลืมตัว ผมยอมรับว่าไม่เคยพบใครที่ไหน เขินอายได้น่ารักเท่าคุณเลย
คืนนั้น ผมไม่มีสมาธิในการเล่นดนตรีเท่าที่ควร กระทั่งคุณกลับไปพร้อมรอยยิ้มสุดท้าย ก่อนจะลับหายไปหลังม่านด้านหน้าของผับ
จากวันนั้น ผมไม่เคยพบคุณที่นั่นอีกเลย มันเป็นเหมือนความฝันที่ผ่านมาเพียงชั่วคืน แต่ผมก็รู้สึกประทับใจในความฝันของคืนนั้นและเก็บมารำลึกถึงอยู่เสมอ.
แล้ววันหนึ่งผมต้องตกใจและดีใจเป็นที่สุด ผมพบคุณอีกครั้งขณะกำลังซ้อมเทนนิสที่คอร์ต ของมหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมแข่งกีฬามหาวิทยาลัย คุณกับเพื่อนชายอีก 2-3 คน กำลังนั่งดูผมซ้อม
ที่เก้าอี้ข้างๆ สนาม ผมยิ้มให้คุณพร้อมกับการยิ้มรับของคุณ
ผมหยุดซ้อมออกมานั่งทักทายพูดคุย น่าแปลก..ทั้งที่ เป็นครั้งแรกที่เราได้พูดคุยกัน แต่เรากลับไม่รู้สึกเขินอาย คล้ายว่าสนิทสนมกันมานานปี และผมได้ทราบว่าคุณเป็นน้องใหม่คณะเดียวกับผมเมื่อไม่นานมานี้เอง
จากวันนั้น... มันคือจุดเริ่มต้นของความคุ้นเคยที่เรามีต่อกัน เราได้พูดคุย และนัดพบกันบ่อยครั้ง เวลาที่ผมอยู่ใกล้คุณ แววตาและรอยยิ้มแจ่มใสน่ารักนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสดใสและเป็นสุขเหลือเกิน คุณเป็นเสมือนผู้ขจัดความทุกข์ให้ผมอยู่เสมอ
และแล้วคืนนั้นที่ริมทะแลภายใต้เงาจันทร์ ผมได้สารภาพว่า ผมรักคุณ คุณก้มหน้านิ่งอย่างขวยอาย ปล่อยให้ผมกุมมือนุ่มของคุณไว้มั่น คืนนั้นคุณอิงซบไหล่ผมชมจันทร์ฟังเสียงคลื่นลม
จนเกือบจะค่อนคืน มันเป็นคืนที่ผมมีความสุขเป็นที่สุด
วันเวลาผ่านไป.ผ่านไป.จนผมเรียนจบ แล้วยึดอาชีพเล่นดนตรีในตอนกลางคืนอย่างจริงจัง ส่วนกลางวันผมเป็นอาจารย์สอนวิชาดนตรีสากลให้กับสถาบันแห่งหนึ่งเรายังคงรักกันเหมือนเดิม
กระทั่งช่วงที่คุณเรียนปี 4 ผมก็ได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับคุณ และเพื่อนชายคนหนึ่ง! ผมพยายามไม่เก็บมันมาใส่ใจ เพราะผมเชื่อมั่นในตัวคุณเสมอ แต่ระยะหลัง เรากลับห่างเหินกันไปโดยที่ผมไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นเพราะคุณกำลังตื่นเต้นกับการเป็นซีเนียร์อยู่กระมัง...ผมคิดเช่นนั้น
ทุกครั้งที่เจอกัน คุณไม่สดใสเหมือนก่อน คุณคุยน้อย โมโหง่าย ผมไม่คิดว่ามันเป็นความผิดของคุณหรอก คุณอาจเหนื่อยกับการเรียน และรับสอนพิเศษในตอนเย็นก็เป็นได้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมผมถึงได้มองคุณในแง่ดีเสมอ
ความรู้สึกที่มีต่อคุณ ก่อนนั้นเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง...
คุณเงียบหายไปนานจนผิดสังเกต ไม่โทร. มาหาผมเหมือนก่อน ผมพยายามโทร. นัดคุณทานข้าว แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงอยู่เสมอ ดูช่างหมางเมินและห่างเหินเหลือเกินความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ เราทะเลาะกันทางโทรศัพท์ในวันนั้น.!!
คุณโกรธผมมาก คุณตำหนิผมว่า ไร้เหตุผล...น่ารำคาญ... และคุณยังบอกผมอีกว่า คุณเบื่อผม!!
ควรค่าแล้วหรือกับความกระวนกระวายที่ผมอยากพบคุณ...? น้ำตาลูกผู้ชายแทบจะทำลายทำนบเอ่อไหล อวดอ้างความอ่อนแอ ทว่ามันได้ไหลย้อนกลับสู่ภายในให้รวดร้าวยิ่งนัก
ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะต้องสูญเสียคุณไปสักวัน.
และแล้ว เย็นวันหนึ่งคุณได้โทร.มาหาผม และบอกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะคุยกันให้รู้เรื่องซะที!
คุณสารภาพกับผมว่าคุณรักเพื่อนชายที่เรียนคณะเดียวกับคุณคนนั้นคุณบอกผมว่า ผมห่างเหินจากคุณ คุณขาดความอบอุ่นจากผม
นี่น่ะหรือ คือเหตุผล.?
คุณบอกว่า เขามีอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เคยมีให้คุณเหนือกว่าด้วยฐานะ อนาคตไกล มาดแมน และคุณยังบอกผมอีกว่า ผมเป็นผู้ชายที่อ่อนไหวจนเกินไป
ผมยังคงนั่งนิ่งมองคุณคุณไม่เห็นผมพูดอะไรจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่น ต่ำ ห้าวว่า คุณยังคงรักผมอยู่เสมอ แต่ความรักที่มีให้ผมนั้นมันเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ความรักแบบคู่รักที่เคยมีต่อกันแล้ว คุณขอให้ผมเป็นเพียงพี่ชายที่คุณยังรักและนับถือได้ไหม..?
ผมยังคงนั่งนิ่งเงียบเงียบจนคุณมองผมอย่างพรั่นพรึง และหวาดหวั่น คุณกระซิบผมอย่างร้อนรนว่า
คุณเข้าใจพรใช่มั้ย คุณเคยเข้าใจพรตลอดมา ขอให้คุณเป็นเพียงพี่ชายเถอะ...นะ
ผมฝืนยิ้มออกมาอย่างยากเย็น มันทั้งแห้งแล้งและห่อเหี่ยว พลางกล่าวว่า
ครับ...ผมเข้าใจ ขอให้คุณพบแต่สิ่งที่ดีต่อไปนี้ผมเป็นเพียงพี่ชายขอบคุณสำหรับความรู้สึกที่ดี ความปรารถนาดี และทุกสิ่งที่เคยมีให้ผม...ขอบคุณมากครับ...
คุณยิ้มออกมาอย่างพึงใจพร้อมกล่าวขอบคุณ มันเสมือนรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมได้รับจากคุณ..แล้วคุณก็ลุกเดินจากไปเงียบๆ พร้อมกับเวลาที่ผมรู้สึกเหมือนหัวใจมันหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงง่ายๆ อย่างนี้เองน่ะหรือ กับความรักที่ก่อร่างสร้างขึ้นมา มิใช่เพียงแค่วันหรือเดือน แต่มันใช้เวลาแรมปีที่ผมอุตส่าห์ทะนุถนอมมอบความเข้าใจที่ใครหลายคน แม้แต่เพื่อนรอบข้างไม่เคยมีให้คุณ....
แม้น้ำตามิเคยจะเอ่อไหล แต่หัวใจผมสิมันกำลังร่ำไห้ มันคล้ายกับผมได้ฝันไป หากมันเป็นเพียงความฝัน ผมคงไม่เสียใจถึงเพียงนี้กระมัง
ต่อไปนี้ผมจะไม่มีคุณอีกแล้ว คุณได้เดินออกไปจากชีวิตของผมแล้วทั้งบัดนี้และตลอดไป.
หลังจากวันนั้น คุณคงแปลกใจที่ไม่พบผมอีกเลย แม้แต่ที่บ้านหรือที่ทำงาน ผมได้จากมาแล้ว จากงานที่ผมรัก จากบ้านที่ผมหวงแหน และได้จากในทุกสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงคุณ
ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน นอกจากตัวผมและเพื่อนใหม่กลุ่มหนึ่งที่นี่แล้ว คงไม่มีใครรู้ขอให้คุณรู้แต่เพียงว่า ตอนนี้ผมได้พบแล้วกับความรักแท้ มันคือความรักที่ผมแสวงหามานาน และตอนนี้คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าที่ผมจะกล่าวว่า
ขอบคุณมินตรา...หญิงสาวผู้อ่อนหวาน ผู้เป็นเจ้าของหัวใจของผม และทำให้ผมได้
หูตาสว่างขึ้น มีทัศนะมุมมองที่ถูกต้องยิ่งขึ้น....เธอคือ หญิงสาวที่ทำให้ผมตระหนักว่า....เพศทางเลือกเช่นคุณ ไม่อาจทำให้ผมมีครอบครัวที่สมบูรณ์ได้
เพราะหากยังคงคบกัน ถึงขั้นผูกพันเป็นครอบครัว แม้เราจะขอเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก แต่ผมคงลำบากใจและตอบลูกไม่ได้ว่า...ทำไมลูกจึงไม่มีแม่... แต่มีพ่อถึง 2 คน!!!
* * * * * * * * * *
16 ธันวาคม 2547 21:20 น.
ทิวสน
โดย : ทิวสน ชลนรา
"พี่นันท์พ่อเสียแล้ว"
เสียงสั่นเครือจากปลายสาย สิ้นคำก็ปล่อยโฮออกมา ทำเอานันทกรถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว มันเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจ เขานิ่งอึ้งประหนึ่งว่าหัวใจจะหยุดเต้น กับข่าวร้ายที่ได้รับแจ้งจากน้องสาว
ปลายสายวางไปนานแล้ว แต่ชายหนุ่มยังยืนนิ่ง งุนงงกับเหตุการณ์ หลังจากไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านเป็นเวลานาน และที่จำเป็นต้องระเห็จมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เพราะความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างเขาและพ่อ
"แกมันลูกไม่รักดี!!!เป็นนักเขียนจะเอาอะไรกิน หา! .รายได้พอยาไส้ซะที่ไหนอีกหน่อยมีลูกมีเมียไม่อดตายกันทั้งบ้านเรอะ!" ผู้เป็นพ่อตวาดเมื่อรู้ถึงความดื้อดึงที่เขาจะเลือกเดินในสายอาชีพนักเขียน
"แต่ผมรักงานนี้นะครับพ่อ ผมคิดว่ามันมีประโยชน์ที่เราได้ปลูกฝังความคิด คุณธรรม จริยธรรมที่ดีให้กับคนที่อ่านหนังสือ สังคมจะได้พัฒนาไงครับพ่อ" ชายหนุ่มให้เหตุผล
"เชอะ.มาทำเป็นอุดมการณ์สูงส่ง ห่วงใยสังคม พ่อเอ่ยน้ำเสียงประชดประเทียด ฉันกลัวแต่แกน่ะจะเอาตัวไม่รอด ก่อนสังคมจะพัฒนาล่ะไม่ว่าฟังนะนันท์ ถ้าแกไม่เลิกคิดจะเป็นนักเขียนไส้แห้งล่ะก็ แกกับฉันก็ไม่ต้องมาเห็นหน้ากัน!!"
พ่อยื่นคำขาด มันเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทงใจชายหนุ่ม กับท่าทีไม่ยอมเข้าใจของผู้บังเกิดเกล้า แต่สายตาที่มองทอดไกลออกไปในภายหน้าทำให้ไม่อาจเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตได้
นับแต่วันนั้น พ่อก็เฉยชาไม่พูดจากับเขา ชายหนุ่มทนความอึดอัดอยู่ 4 เดือน จึงฝากน้องสาวและน้องชายดูแลพ่อ แล้วมุ่งหน้าเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นนักเขียนอิสระ ส่งงานเขียนตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับ ส่งเงินไปช่วยทางบ้านสม่ำเสมอ นานๆ ครั้งจะโทรศัพท์ไปพูดคุยกับน้องๆ แม้หลายครั้งจะขอคุยกับพ่อ แต่ก็ถูกท่านปฏิเสธเสมอ เป็นความเจ็บปวดหนึ่งที่ฝังลึกคอยบั่นทอนกำลังใจเขาเสมอมา
ทว่าชายหนุ่มได้รับการฟื้นใจเสมอ เมื่อนึกถึงแม่ที่จากไปหลายปีแล้ว แม่รักการอ่าน แม่อ่านหนังสือทุกประเภท และแม่ก็เป็นนักเขียน แต่พ่อไม่เคยสนับสนุนแม่ และกล่าวสรุปว่าสาเหตุที่แม่เป็นโรคเครียดและเส้นเลือดฝอยในสมองแตกจนเสียชีวิต ก็เพราะอาชีพนักเขียน กระนั้นงานเขียนของแม่ก็ยังคงทำรายได้จากการพิมพ์ซ้ำ และได้ค่าลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง กลาย เป็นทุนการศึกษาให้น้องๆ อย่างเพียงพอ เพราะลำพังเงินเดือนจากหน้าที่การงานเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยของพ่อกับการที่ต้องเลี้ยงดูลูก 3 คนให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย มีการศึกษาสูงๆ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่พ่อต้องเหนื่อยมากขึ้น แต่นี่เพราะรายได้เสริมจากงานเขียนของแม่โดยแท้ ครอบครัวจึงไม่ขัดสน แต่กระนั้นพ่อก็ยังคงมีอคติกับอาชีพนักเขียนไม่แปรเปลี่ยน จนนับ 7 ปี ที่นันทกรต้องออกจากบ้านมา และได้รับข่าวร้ายในวันนี้ เมื่อพ่อจากไปอย่างฉับพลัน!
ชายหนุ่มจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋า 2-3 ชุด รุดกลับบ้านที่หัวหิน ด้วยความรู้สึกหดหู่เสียใจ น้ำใสๆ คลอหน่วยอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่ยอมจะเอ่อไหล ทว่ามันไหลย้อนกลับลงไปท่วมใจ พยายามนึกว่า มันเป็นเพียงความฝันฝันร้ายที่จะหายไปเมื่อตื่น และพยายามขับไล่ความขมขื่นใจที่ฝังลึกเสมอมาว่า พ่อไม่เคยเข้าใจ พ่อไม่เคยรัก สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ อยากกลับไปถึงบ้านเร็วที่สุด เพื่อกล่าวความในใจทุกสิ่งต่อพ่อ และบอกว่าเขายังรักเคารพพ่อเสมอ แม้ว่าในความเป็นจริง ท่านไม่อาจได้ยิน
* * * * *
"นั่งสินันท์" หญิงวัยกลางคน ผายมือเชิญนันทกรนั่งตรงข้าม ขยับแว่นหนา ระบายยิ้มชื่นชมชายหนุ่ม ความเงียบในห้องบรรณาธิการบริหาร ทำเอาชายหนุ่มใจเต้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
"พี่เรียกผมมาพบ มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ" เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
"อืมม์พี่มีข่าวดีจะบอกให้นันท์ทราบน่ะก็หลังจากรวมเรื่องสั้น บ้านอุ่นรัก ของนันท์วางขายทั่วประเทศ ทางสายส่งแจ้งมาว่าที่พิมพ์เฟิร์สออเดอร์ไปหนึ่งหมื่นเล่ม ตอนนี้จะต้องเพิ่ม
สต๊อกแล้วล่ะถือว่าแรงมากเลยนะนันท์ กับเวลาสั้นๆ แค่ 2 เดือนเอง"
"เหรอครับ" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ผมต้องขอบคุณพี่มากครับ ที่กรุณาให้โอกาส แล้วก็น้องๆ ทีมประชาสัมพันธ์ด้วยครับ ที่ช่วยส่งข่าวตามสื่อต่างๆ อีกอย่างผมว่าการจัดงานเปิดตัวที่ ลงทุนมากขนาดนั้น ก็มีผลมากนะครับ"
"พี่ว่านั่นน่ะ แค่องค์ประกอบย่อย เพราะถ้าตัวเนื้องานไม่เป็นที่พอใจ คนอ่านไม่ชอบ ไม่บอกต่อ และไม่เข้าตานักวิจารณ์ ก็คงไม่มีใครเขาสนับสนุน ไม่มีใครเขาเชียร์หรอกที่พี่เรียกนันท์มาก็จะแจ้งให้ทราบในเรื่องนี้ แล้วเรื่องเช่าค่าลิขสิทธิ์จากการพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2 และครั้งต่อๆ ไป นี่ นันท์จะได้เพิ่มจาก 10% เป็น 15% จากยอดพิมพ์
"ขอบคุณพี่มากครับที่กรุณา" ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม หัวใจพองโตมีความสุขกว่าครั้งไหนๆ เมื่อมีสิ่งมาชี้ความสำเร็จบนเส้นทางนักเขียน จนส่งเขาขึ้นชั้นนักเขียนระดับแนวหน้าของประเทศ โดยได้ผลิตหนังสือที่ให้ปรัชญาในการดำเนินชีวิต เพื่อส่งเสริมจริยธรรมอันดีต่อสังคม
* * * * *
ไม่ถึงหนึ่งชั่งโมงต่อมา นันทกรก็นั่งอบู่บนรถประจำทางปรับอากาศมุ่งหน้าสู่ภูมิสำเนา แววตาหม่นเศร้าทอดผ่านออกไปนอกกระจกใส ทว่าหาได้สนใจกับทิวทัศน์ข้างทาง ความดีใจในวันก่อนถูกลบกลบด้วยข่าวร้ายในวันนี้ความคำนึงเก่าๆ ได้ฉายภาพชัดขึ้นในความคิด
นับแต่แม่จากไป ท่าทีของพ่อที่ขัดแย้ง ขัดขวางกับความมุ่งมั่นของเขา ที่เลือกเอาดีในอาชีพนักเขียนตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย ความขมขื่นฝังลึกถมทับในใจเขาตลอดมา บางขณะก็นึกน้อยใจ เพราะดูเหมือนว่าพ่อจะจงเกลียดจงชังเขามากกว่าน้องทั้งสอง ที่พ่อตามใจมิเคยข้องขัด บางครั้งนึกไกลไปว่า เขาอาจจะไม่ใช่ลูกของพ่อก็เป็นได้ แต่นั่นก็เพียงความคิด เพราะจิตสำนึกส่วนลึกของเขายังเคารพนบนอบต่อผู้เป็นพ่อเสมอ
การจากไปของพ่อ นำมาซึ่งความอาลัย ความรักความผูกพันได้ละลายความรู้สึกด้านมืดให้สว่างขึ้น นึกเสียดาย เสียใจที่ยังมิทันได้อยู่ใกล้ให้ท่านได้เห็น และรับรู้ความสำเร็จบนเส้นทางที่เขาเลือกว่า ลูกของพ่อได้เดินตามรอยของแม่ และลูกของพ่อทำได้!
ชายหนุ่มหลับผล็อยไป...มารู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงแอร์บัสเตือนให้ผู้โดยสารเตรียมตัวรถได้มาถึงปลายทางแล้ว
* * * * *
บ้านไม้สองชั้นซ่อนตัวท่ามกลางแมกไม้เขียวครึ้มร่มรื่น แม้อาณาบริเวณไม่ถึงกับกว้างใหญ่นัก แต่มันอบอวลไปด้วยความรักกับครอบครัวเล็กๆ ที่สร้างชีวิตของชายหนุ่มให้เติบใหญ่ เย็นวันนี้ภายในบ้านผู้คนพลุกพล่าน ด้วยว่าบรรดาญาติสนิท เมื่อทราบข่าวการจากไปของพ่อ ก็มาช่วยเป็นธุระในเรื่องต่างๆ ทันทีที่น้องสาวคนโตเห็นพี่ชายก้าวพ้นประตูเข้าบ้าน ก็โผเข้าหา กอดซบอกสะอื้นไห้ ชายหนุ่มกอดประคอง ไล้ผมแผ่วเบาเชิงปลอบใจ ขณะที่เขาเองก็ยากที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
หลังจากเก็บสัมภาระ และทักทายญาติๆ ถ้วนทั่ว นันทกรก็ชวนน้องสาวปลีกตัวมาพูดคุย ถามไถ่รายละเอียดถึงเหตุการณ์ที่พรากพ่อจากไป
"พ่อโดนรถชนที่ตลาดเมื่อเช้าตอนกำลังข้ามถนนใหญ่เจี๊ยบกับจิ๋วกำลังซื้อกับข้าวอยู่ฝั่งตลาดสด" น้องสาวเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
"แล้วพ่อข้ามถนนไปทำอะไรอีกฝั่งล่ะ" ผู้เป็นพี่ชายซัก
"ตอนแรก พ่อบอกแต่ว่า จะไปซื้ออะไรฝั่งโน้นหน่อย ให้เจี๊ยบกับจิ๋วซื้อของเสร็จแล้วรออยู่ฝั่งนี้ สักพักก็ได้ยินเสียงรถเบรกดังลั่น แล้วก็มีคนตะโกนว่า มีรถบัสชนคน
...พอเจี๊ยบกับจิ๋ววิ่งไปดู ถึงรู้ว่าเป็นพ่อ" หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามข่มเสียงสั่นเครือให้เป็นปกติ แต่ก้อนสะอื้นมันจุกอยู่ที่คอ
"คนที่ชนเขารีบช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล เขาบอกว่าตอนขับรถมาถึงหน้าตลาด เห็นพ่อกำลังเดินข้าม เขาก็กดแตรเตือน ตอนแรกพ่อดูเหมือนจะหยุด แต่อยู่ๆ ก็ล้มลงมาข้างหน้า เขาเบรกไม่ทันเลยชนพ่อหัวน็อคพื้น พ่อคงจะหน้ามืดเพราะความดันต่ำ...เลยโดยชน...
...พอไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่รีบพาเข้าห้องฉุกเฉิน ซัก 20 นาที ก็มีคนออกมาบอกว่า..พ่อเสียแล้ว ปั๊มหัวใจเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น เจี๊ยบเจี๊ยบเสียใจที่ไม่ได้ดูแลพ่อให้ดี ฮืออออ" หญิงสาวปล่อยโฮออกมาอย่างเต็มกลั้น ผู้เป็นพี่กอดกระชับน้องสาวไว้
"อย่าโทษตัวเองเลยนะเจี๊ยบ พี่ว่าคงถึงเวลาที่พ่อจะได้พักผ่อนน่ะ"
"พี่รู้มั้ยตลอดเวลาที่พี่ไม่อยู่ พ่อก็บ่นถึงพี่ เป็นห่วงเรื่องอยู่เรื่องกิน กลัวว่าพี่จะลำบาก เรื่องสั้นของพี่ลงที่ไหน ถ้าพ่อรู้หรือใครมาบอก พ่อจะซื้อแล้วเก็บไว้ในตู้อย่างดี บางทียังซื้อหนังสือไปแจกเพื่อนพ่อเลย"
ชายหนุ่มได้ฟังคำรู้สึกตื้นตัน ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ
"แล้วพี่รู้มั้ย... เมื่อเช้านี้ที่พ่อข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วโดนรถชน...พ่อไปทำไม" น้องสาวถามเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลพราก ชายหนุ่มนั่งจดจ่อรอฟังคำตอบ
"ตอนที่พาพ่อส่งโรงพยาบาล พ่อเพ้อเรียกหาเจี๊ยบ จิ๋ว และพี่ตลอดทาง สักพักพ่อก็หมดสติ แต่พ่อยังกอดหนังสือเล่มหนึ่งแนบอกไว้แน่น"
"เล่มนี้ไงพี่" จิ๋วน้องชายเอ่ย พร้อมยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้
มันคือหนังสือพ๊อคเก็ตบุ้คปกสีขาว ภาพปกสีน้ำรูปบ้านอันร่มรื่น...ทว่าเปรอะเลอะด้วยเลือดที่เริ่มจะแห้ง ชายหนุ่มพยายามเพ่งมองภาพบนปกหนังสือที่กำลังพร่าเลือน ด้วยว่าน้ำตาได้เอ่อท้นจนล้นสองตาโดยไม่รู้ตัว
เขาค่อยๆ อ่านข้อความบนปกหนังสือ ที่มันดังก้องในใจ เป็นเสียงที่มีความหมาย และไพเราะที่สุดกับความรู้สึกที่พ่อมีต่อเขา
รวมเรื่องสั้นสร้างสรรค์จากคมปากกานักเขียนคลื่นลูกใหม่แห่งยุค "บ้านอุ่นรัก" โดยนันทกร
ชายหนุ่มปล่อยโฮออกมาพร้อมกับน้อง ทั้งสามกอดกันร่ำไห้กับเย็นย่ำอันแสนเศร้าของครอบครัวที่ไร้เสาหลัก
บัดนี้นันทกรได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า พ่อมิเคยขาดแคลนความรัก มิเคยรังเกียจ ดูแคลนชิงชังเขาแม้แต่น้อย และแท้จริงเขายังคงเป็นลูกที่พ่อรักและภาคภูมิใจ แม้ในความไม่เข้าใจในบางขณะแต่พ่อก็ยังคงรักเขาเสมอมิเคยเปลี่ยนแปลง
* * * * * * * * * *
16 ธันวาคม 2547 21:14 น.
ทิวสน
เหตุเกิดก่อนวันคริสต์มาส
โดย ทิวสน ชลนรา
หากไม่เพราะมีนัดประชุมโครงการสาธารณประโยชน์ของมูลนิธิฯ ซึ่งผมเป็นอาสาสมัครและรับผิดชอบงานด้านประชาสัมพันธ์อยู่ ผมคงไม่อดทนนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดกว่า 3 ชั่วโมงจากดอนเมืองมาสีลมเป็นแน่ เพราะใครต่างก็รู้ว่าช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี ผู้คนมักออกมาจับจ่ายซื้อของในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ยิ่งในช่วงเย็นเช่นนี้ที่เคยติดอยู่แล้ว ก็ถึงขั้นเป็นอัมพาตสัญจรเลยทีเดียว
เรานัดประชุมกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในซอยคอนแวนต์ ถนนสีลม ครั้นดูเวลา ยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมง ผมเลยคิดว่าจะแวะที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ สักหน่อย อยากซื้อหนังสือสัก 2-3 เล่ม ไว้อ่านช่วงวันหยุดสิ้นปี
ครั้นขึ้นบันไดเลื่อนมาถึงชั้น 3 ก่อนจะเดินผ่านไปยังร้านหนังสือ เป็นแผนกของเด็กเล่น พลันหูผมได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วน่ารักชวนฟัง กวาดสายตาหาที่มาของเสียงก็พบหนูน้อย อายุราว 5-6 ขวบในชุดเสื้อยืดสีเหลือง กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ด้านหลังสะพายเป้สีฟ้า ในอ้อมแขนมีตุ๊กตาสุนัขขนปุกปุย มือน้อยๆ กำลังลูบไล้หัวสุนัขไร้ชีวิตนั้น พลางแหงนหน้าสนทนากับสตรีสูงวัยคนหนึ่ง จากอากัปกิริยาของทั้งสอง ทำให้เชื่อว่าไม่ได้มาด้วยกัน ผมขยับเข้าไปใกล้ ใคร่อยากรู้ว่าหนูน้อยกำลังพูดอะไร
นะครับ คุณป้า ผมอยากซื้อตุ๊กตาลูกหมาให้น้องพลอย ผมมีตังค์ไม่พอ คุณป้าช่วยออกที่เหลือให้ผมหน่อยนะครับ น้ำเสียงออดอ้อนกับแววตาใสๆ คู่นั้น หากเป็นผมได้สบตาก็คงจะใจอ่อนเป็นแน่
เอ่ออืมม์ หญิงคนนั้นอึกอัก หันซ้ายแลขวา แล้วพ่อของหนูไปไหนซะล่ะ ทำไมไม่ขอตังค์คุณพ่อล่ะคะ หล่อนถาม
คุณพ่อเฝ้าคุณแม่อยู่ที่โรงพยาบาลครับคุณแม่ไม่สบาย คุณแม่เจ็บ...คุณพ่อบอกว่าคุณแม่กำลังจะไปอยู่กับพระเจ้า คุณพ่อให้ตังค์ผมมาหน่อยเดียว รวมกับที่ผมมี ยังไม่พอเลยครับ หนูน้อยว่าพลางเอี้ยวตัวล้วงเงินในกระเป๋าเป้ให้หญิงคนนั้นดู แต่เธอยังแสดงท่าทีกระอักกระอ่วน
เหรอจ๊ะอืมม์ งั้น เอ่อหนูรอป้าอยู่ตรงนี้ก่อนละกันนะ เดี๋ยวป้าขอไปดูของตรงโน้นแป๊บนึง แล้วป้าจะกลับมาซื้อให้จ้ะ พูดจบก็ผละจากหนูน้อยไป โดยมิทันได้เห็นรอยยิ้มอย่างมีหวัง พร้อมดวงตาเป็นประกายคู่นั้น
ผมมองตามหญิงคนนั้น พบว่าเธอได้เลียบๆ เคียงๆ เดินจากส่วนของห้างฯ ออกประตูไปในส่วนของพลาซ่าแล้ว อีหรอบนี้คงยากที่จะย้อนกลับมา
หนูน้อยยัดเงินใส่กระเป๋าเป้ดังเดิม ยืนลูบหัวตุ๊กตา พึมพำคนเดียวพอได้ยิน ดีใจจังเลย คุณป้าใจดีจะช่วยซื้อให้...น้องพลอยจะได้น้องตุ๊กตาลูกหมาแล้ว...พี่จะฝากคุณแม่เอาไปให้น้องพลอย...พี่เอาไปให้น้องไม่ได้
ผมได้ยินประโยคนี้ ฟังดูแปลกๆ... เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กน้อยเริ่มกระสับกระส่าย ชะเง้อหา สีหน้าไม่สู้จะดี ผมเองก็รู้สึกกระวนกระวายแทน บางสิ่งเร้าภายในใจให้ผมเข้าไปสนทนากับหนูน้อยคนนี้
หวัดดีจ้ะ ตุ๊กตาน่ารักนะครับ ผมเปิดการสนทนาพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร หนูน้อยชะงักหันแหงนมอง
ครับ ยิ้มบางๆ พลางหันซ้ายขวา ผมอยากซื้อให้น้องพลอยน้องสาวผมครับ
แล้วน้องพลอยไม่มาด้วยเหรอครับ ผมถาม
หนูน้อยเหลือบตามองผมเล็กน้อย แล้วก้มมองตุ๊กตาก่อนตอบ
น้องพลอยมาไม่ได้หรอกครับ น้องพลอยไม่อยู่แล้ว วันก่อนคุณพ่อคุณแม่ พาน้องพลอยกับผมมาเดินที่นี่ น้องพลอยชอบน้องลูกหมา น้องพลอยอยากได้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสครับ
อ๋อหนูเลยอยากซื้อเป็นของขวัญให้น้อง
ครับ พยักหน้าพร้อมยิ้มโชว์ฟันหลอ แต่แล้วก็รีบหุบยิ้ม แต่ผมมีตังค์ไม่พอซื้อหรอกครับ เมื่อตะกี๊คุณป้าที่มาซื้อของ บอกจะช่วยออกตังค์ที่เหลือให้ผมด้วยล่ะ...แต่คุณป้าหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ครับ
หนูน้อยสีหน้าเปลี่ยนไป คิ้วย่นเพ่งมองตุ๊กตา
ราคาแพงมั้ยครับ ผมถามพลางลงไปนั่งยองๆ ตั้งใจคุยด้วย
พี่คนขายบอกว่า สามร้อยห้าสิบบาทครับ ผมเอาตังค์ให้พี่เขานับ เขาบอกว่า ตังค์ผมยังไม่พอ ยังขาดอยู่ร้อยกว่าบาทครับ
หนูอยากได้มากมั้ยครับ
ครับ พยักหน้ารับ ผมอยากได้ที่สุดเลยครับ จะได้ให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสน้องพลอย น้องพลอยไม่ซน ไม่ดื้อ น้องพลอยเป็นเด็กดีจริงๆ นะครับ น้ำเสียงยืนยันหนักแน่น
ถ้าน้องพลอยมาซื้อด้วย คงจะดีใจนะครับ ที่หนูเป็นพี่ชายที่น่ารัก รักน้องสาวมากขนาดนี้ ผมชื่นชม
น้องพลอยมาไม่ได้หรอกครับ น้องพลอยไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว...คุณพ่อบอกว่า คุณแม่ก็กำลังจะตามน้องพลอยไปอยู่กับพระเจ้าเหมือนกัน ผมเลยรีบมาซื้อตุ๊กตา จะได้ฝากคุณแม่ไปให้น้องพลอยทันวันคริสต์มาสครับ
ผมได้ฟังอย่างนั้นถึงกับสะอึก เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ...แอบล้วงเงินที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง แล้วขยับเข้าไปชิดหนูน้อย ลูบผม และแอบหย่อนเงินลงในกระเป๋าเป้ด้านหลังที่ซิปเปิดอยู่
ผมมองหน้าหนูน้อยด้วยความรู้สึกสงสาร ที่เด็กคนนี้ไม่ได้มองสิ่งที่เผชิญเป็นการสูญเสีย และยังมีความเชื่อมั่นโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ
หนูอธิษฐานกับพระเจ้า เผื่อน้องพลอยรึเปล่าครับ
ครับ ผมอธิษฐาน ตอนน้องพลอยอยู่ ผมกับน้องพลอย คุณพ่อคุณแม่ ก็อธิษฐานด้วยกันก่อนนอนครับ เมื่อคืนผมอธิษฐานคนเดียว ผมอธิษฐานขอให้ได้ตุ๊กตาครับ
หนูเชื่อมั้ยครับว่าจะได้
เชื่อครับ หนูน้อยตอบโดยไม่ลังเล
ลองเอาเงินให้พี่คนขายนับใหม่มั้ยครับ จริงๆ หนูอาจจะมีพอก็ได้นะ น้าว่าพระเจ้าต้องฟังคำอธิษฐานของหนูแน่เลย
หนูน้อยเชื่อฟัง ล้วงตังค์ในเป้แล้วเดินไปหาพนักงานขายให้ช่วยนับ ครู่หนึ่งก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมาหาผมที่ยืนรออยู่ห่างๆ...ดวงตาคู่นั้นเป็นประกาย พร้อมฉีกยิ้มกว้าง
คุณน้าครับ ผมมีตังค์พอจริงๆ ด้วยครับ!.....จริงๆ ผมอยากมีตังค์ซื้อดอกกุหลาบสีขาวให้น้องพลอยด้วยแหละแต่ผมเกรงใจพระเจ้าเลยไม่กล้าขอครับ
แต่เงินก็น่าจะมีเหลือพอจะซื้อดอกกุหลาบด้วยไม่ใช่เหรอครับ ผมถาม
ใช่ครับ พี่คนขายบอกว่า ผมมีตังค์ตั้งสี่ร้อยห้าสิบบาทแหนะครับ พระเจ้าใจดีจังเลยนะครับคุณน้า หนูน้อยพูดน้ำเสียงเริงโลด
ผมพยักหน้ารับพร้อมเอื้อมมือลูบผมอย่างเอ็นดู
งั้นน้าขอตัวไปธุระก่อนนะครับ ว่าพลางตบหัวเบาๆ
ครับผม หนูน้อยตอบพร้อมยกมือไหว้ สุขสันต์วันคริสต์มาสนะครับคุณน้า
รอยยิ้มสุดท้ายที่เปื้อนหน้าหนูน้อย เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขส่งผ่านมาถึงผมที่ได้ซึมซับรับเอาไว้ กับการที่ได้ส่งผ่านความรักและสนับสนุนในความรัก ความเชื่อของหนูน้อยคนนี้
เช้าวันถัดมา ซึ่งเป็นวันคริสต์มาสอีฟ (24 ธันวาคม) สายตาผมได้สะดุดกับข่าวในกรอบเล็กขึ้นหัวไว้ว่า
นักศึกษาเมาหนัก ขับฝ่าไฟแดงชนสองแม่ลูกดับ
ผมรีบพลิกอ่านต่อด้านใน ได้ความว่า เมื่อเย็นวาน ซึ่งคือวันที่ผมได้พบกับหนูน้อยคนนั้น หนุ่มนักศึกษาดื่มสุราจนมึนเมาขาดสติ ขับรถฝ่าไฟแดงบริเวณแยกสีลม ชนสองแม่ลูก ที่กำลังข้ามถนนตรงทางม้าลาย โดยลูกสาวเสียชีวิตทันที ส่วนแม่อาการสาหัส ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลจุฬาฯ และเสียชีวิตในเวลาเที่ยงคืนของวันเดียวกัน
จากข่าวนี้สะดุดใจผมอย่างยิ่ง และทำให้ทราบว่าผมได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับครอบครัวนี้เหมือนบังเอิญ
เพราะชื่อเด็กหญิงวัยสามขวบที่เสียชีวิตนั้นคือ เด็กหญิงพลอยสวย และในภาพข่าวนั้น ข้างๆ ร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นแม่คือ พ่อ และเด็กชายวัย 6 ขวบที่อุ้มตุ๊กตาสุนัขขนปุกปุยตัวนั้น!
* * * * * * * * * *
หมายเหตุ : พล็อตเรื่อง ดัดแปลงจากฟอร์เวิร์ดเมลข้อความบอกเล่าสั้นๆ เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา
20 ตุลาคม 2547 22:17 น.
ทิวสน
โดย : ทิวสน ชลนรา
สายมากแล้ว...แต่ยังมีอีกหลายชีวิตที่จดจ่อรอรถประจำทางที่ป้ายชานเมืองแห่งนี้ สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังทิศทางที่พาหนะซึ่งนานๆ จะโผล่มาสักคัน และเวลานี้มีเพียงระยับแดดที่โลดเต้นเหนือผิวถนน กับลมร้อนที่พัดวูบมาปะทะกาย หญิงสาวหลายรายหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ผุดพราวขึ้นมา เกรงว่าจะเลอะเครื่องสำอาง
ป้ายรถประจำทางแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเช้า มักจะมีผู้โดยสารมารอขึ้นรถเพื่อเข้ากลางเมืองประกอบภารกิจด้วยต่างจุดประสงค์จำนวนมาก บ้างก็ไปเรียน บ้างไปทำงาน และสิ่งหนึ่งที่ผู้โดยสารเหล่านี้เหมือนกันคือ เป็นชนชั้นกลาง รายได้ไม่มากนัก และพักอาศัยในชุมชนหลังป้ายรถประจำทางนี้เอง
ที่พักผู้โดยสารสร้างอย่างง่ายๆ พื้นที่ไม่กว้างนัก มีที่นั่งที่ยังใช้การได้เพียงไม่กี่ตัว ทำให้ทุกเช้าเมื่อแดดจัดหลายคนจะยืนชิดเบียดกันดั่งคนสนิท ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบจะดูแลเรื่องที่พักผู้โดยสารแห่งนี้ เพราะเมื่อแรกมีก็ได้จากนักการเมืองท้องถิ่น ที่สร้างบริจาคเพื่อขอคะแนนเสียงและชื่อก็ยังเด่นที่หลังคาอ่านชัดเจนได้แต่ไกล
ห่างจากที่พักผู้โดยสารไม่ไกลนัก คือต้นมะยมลูกดกแต่บางใบ ที่โคนต้นมีภาพหนึ่งที่ทุกสายตาเมื่อทอดมองไปในทิศทางที่รอรถจะต้องพบกับรถเก๋งสปอร์ตสีแดงบาดตา มองปราดเดียวก็รู้ว่า ราคาค่างวดมิใช่น้อย ความสงสัยใคร่รู้ของทุกคนที่พบเห็นคือ เป็นรถของใครกันหนอ.... เพราะยังไม่เคยมีใครเคยพบเจ้าของรถในยามเช้า เมื่อใดที่เดินมารอรถประจำทาง ก็จะพบรถคันงามจอดนิ่งอยู่ใต้ต้นมะยมนี้เสมอ บ้างก็ว่าน่าจะเป็นรถของผู้มีอันจะกิน ที่มาเปิดบริษัทอยู่ปากซอยถัดไป บ้างก็ว่าเป็นรถของคนในหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ลึกถัดไปอีกซอยหนึ่ง แต่ที่แน่นอนคือความรู้สึกของทุกคนที่มอง เหมือนตอกย้ำในความแตกต่าง และรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในฐานะของตน คละปนอิจฉาเจ้าของรถคันนี้นัก
รถมาแล้ว เสียงหนึ่งดังขึ้น เหมือนบอกสัญญาณให้แทบทุกชีวิตขยับตัวเตรียมขึ้นรถ ทว่ามองจากระยะไกลก็รู้ว่าบนรถที่กำลังแล่นเข้าเทียบป้าย มีผู้โดยสารอยู่เต็มคัน แต่แทบไม่มีใครรอคันต่อไป เพราะอีกนานนัก กว่าคันต่อไปจะมา และนั่นหมายถึงการไปถึงที่หมายล่าช้า อันส่งผลต่อการเรียนและการทำงาน.... รถประจำทางวิ่งเทียบป้ายพร้อมฝุ่นดินที่หอบเข้ามา...
เพียงครู่รถคันนั้นก็พร้อมวิ่งจากป้ายไป ทิ้งผู้โดยสารเหลือไว้เพียงไม่กี่ราย ที่รอรถสายอื่น...และรถเก๋งสปอร์ตคันงามยังคงจอดนิ่งที่ใต้ต้นมะยมต้นนั้น...
* * * * *
สายวันนี้...ที่เดิม...ยังคงมีผู้โดยสารรอรถแน่นขนัดเช่นเดิม ต่างก็แต่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องเจ้าของรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันที่จอดนิ่งโคนต้นมะยมคันนั้น
เห็นเขาว่ากันว่า เป็นพวกเศรษฐีหน้าเลือดมาออกดอกให้กู้ตั้งร้อยละสี่สิบแหนะเธอ...แย่จริงๆ รวยแล้วยังมาเอาเปรียบคนจนๆ อย่างพวกเรา...คนอาไร้...ไม่รู้จักพอ
ใช่...รวยแล้วก็น่าจะมาเจือจาน ทำประโยชน์ช่วยเหลือคนจนอย่างพวกเราบ้างนะ จริงมั้ย ดูซิ...ไอ้เพิงโทรมๆ นี้น่ะ มันคุ้มแดดคุ้มฝนได้ซะที่ไหน
โอ้ย.ย.ย.ย...ฝันไปเถอะ...รวยแล้วไม่มีใครเขาจะมามองเห็นหัวคนจนอย่างพวกเราหรอก
เออ...ว่าแต่มีใครเคยเห็นเศรษฐีคนนี้มั่งมั้ย... ท่าจะตื่นเช้าน่าดูเลยนะ บางวันฉันว่าฉันตื่นเช้าแล้วนา...แต่มาทีไรก็เห็นรถจอดอยู่ก่อนแล้วทุกทีเลย
นั่นไง...นึกแล้วเชียว...รวยแล้วยังงกอีกนะ ฉันว่าที่ขยันก็เพราะงกนั่นแหละ
เฮ้อ...อย่าไปสนใจคนพวกนี้เลย เขากับเรามันคนละชั้น...นั่นรถมาแล้ว ไปกันเถอะ
* * * * *
สายวันนี้ ลมร้อนยังคงพัดวูบเข้ามาเป็นระยะ ระยับแดดที่โลดเต้นสะท้อนบนพื้นถนนดูท่าจะร้อนกว่าทุกวัน ผู้โดยสารยังคงยืนเบียดชิดใต้ชายคาที่พักเช่นเดิม เช้านี้ไม่ใคร่จะมีใครสนทนากันสักเท่าไร อากาศที่อบอ้าวทำเอาหลายรายหน้านิ่วคิ้วขมวด ยิ่งเวลาผ่านไป กับการรอคอยรถที่ทอดยาว ก็ทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจของใครต่อใครเป็นระยะ ครั้นหันมองรถเก๋งสปอร์ตคันนั้น ก็พาลหงุดหงิดขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ
ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่ไร้วี่แวว ก็แว่วเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากเด็กกลุ่มหนึ่งใกล้เข้ามา ครั้นบางคนหันไปมองก็พบว่าเป็นเด็กวัยประถมอายุราว 8-10 ขวบ กำลังวิ่งมาที่ต้นมะยมด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า กับภารกิจที่รออยู่ นั่นคือการปีนต้นเพื่อเก็บผล
เด็กเหล่านี้ คงเป็นลูกของคนในชุมชนแออัดหลังป้ายรถประจำทางชานเมืองแห่งนี้ และคงไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลให้ได้รับการศึกษา จะด้วยว่าฐานะ หรือสิ่งใดก็ตามที ทำให้แทนที่จะได้นั่งเรียนหนังสือ ทว่าต้องมาเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นเช่นนี้
ต้นมะยมที่หลายคนมองข้าม สูงเสียดยอดให้ลูกดกโตสุกเหลือง รอให้เด็กๆ คว้ารูดเก็บ ซึ่งแต่ละคนต่างปีนป่ายแคล่วคล่อง ไม่หวั่นกลัวความสูง ครั้นเอื้อมถึงก็คว้ารูดแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงจนตุงทั้งสองข้าง บ้างก็คว้าใส่ปากเป็นกำเคี้ยวกร้วมๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย จนน้ำฉ่ำหวาน-อมเปรี้ยวไหลเลอะมุมปาก
แต่แล้ว ทันใดนั้น เด็กชายคนหนึ่งได้เหยียบลงไปบนกิ่งแห้ง ที่เกินจะทานน้ำหนักไว้ได้ จึงหักเสียงดัง เป๊าะ! พร้อมกับร่างร่วงสู่พื้นจากความสูงราว 5 เมตร
เด็กชายคนนั้นหล่นลงมานอนคลุกฝุ่น ห่างจากรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันนั้นราว 2 เมตร ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึง ผลมะยมตกเกลื่อนพื้น พร้อมสีหน้าจุกเสียดตามด้วยเสียงร้องโอดโอย แล้วคว้าที่เท้า ซึ่งบัดนี้มีกิ่งมะยมแห้งปักคาอยู่...! เลือดสีแดงสดเริ่มไหลออกมานองพื้นแล้วซึมผสมฝุ่นดิน เสียงร้องทำเอาเพื่อนๆ รีบปีนลงมาหน้าตาตื่น แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่หันมองซ้ายขวาระร่ำระลัก น้าๆๆ...ช่วยเพื่อนผมทีครับ....ช่วยเพื่อนผมทีครับ แข่งกับเสียงร้องโอดโอยของเด็กคนนั้น
บัดนี้ทุกสายตาของผู้โดยสารที่อยู่ในเพิงพัก ซึ่งไม่ห่างจากเหตุการณ์นัก ต่างจับจ้องมองดูพร้อมออกความเห็น
โห..ดูสิ เลือดออกเยอะจัง ท่าจะหนัก คงเกือบจะทะลุเลยนะนั่น
เข้าไปช่วยเด็กหน่อยสิเธอ...น่าสงสารออก
อะไร...จะไปไหน...อย่าไปยุ่งเชียวนะ เดี๋ยวก็ต้องเป็นธุระค่าหยูกยาหรอก ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้
พ่อ!...อย่าไปยุ่งเชียวนะ...โน่น รถมาแล้ว รีบไปกันเถอะ
ไอ้หลานชาย...โทษทีนะ น้าต้องรีบไปธุระ ขอให้อย่าเป็นอะไรมากเลยนะ
รถมาแล้ว! รถมาแล้วไปกันเถอะ เร็ว...!
ขณะที่บางส่วนหนีหายขึ้นรถ และที่เหลือยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ทว่าไม่มีแม้สักคนที่จะเข้าไปช่วยเหลือ จะมีก็แต่บางรายที่เข้าไปมุงดูอยู่ห่างๆ
ทันใดนั้น...ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับเด็กเป็นอะไรมากรึเปล่า
ทุกสายตาหันขวับไปยังที่มาของเสียงพร้อมเปิดทางให้แต่โดยดี ชายหนุ่มวัยราวสามสิบเศษ รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายแลดูสะอาดภูมิฐาน เดินแหวกคนมุง ตรงไปยังเด็กชายมอมแมมที่นอนเกลือกกลิ้งคลุกฝุ่นคนนั้น
ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างร่างเด็กชาย ซึ่งบัดนี้เสียงร้องแผ่วไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มผสมคราบไคลเป็นรอยด่างดำ ครั้นช้อนร่างขึ้นอุ้ม เลือดที่ยังไหลจากฝ่าเท้าก็หยดลงเปื้อนกางเกงสีครีมของชายหนุ่มเลอะเป็นทางยาว
ใครก็ได้ ช่วยเอากุญแจนี่ไขประตูให้ผมทีครับ เขาหันบอกกลุ่มคนที่มุง
ชายคนหนึ่งรับกุญแจมาไขประตูรถให้ ชายหนุ่มนำเด็กขึ้นวางบนเบาะหลังหนังสีครีม...เลือดสีแดงเข้มยังคงไหล และเลอะเปื้อนบนเบาะนั้น
ครู่ต่อมา รถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันงามก็ถอย แล้ววิ่งปราดออกไปจากโคนต้นมะยม ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่เห็นเหตุการณ์ โดยไม่มีคำกล่าวใดๆ
* * * * *
สายวันนี้...ใต้ชายคาที่พักผู้โดยสารผู้คนยังคงแออัดเช่นเดิม แต่ลมโชยพัดมาไม่ร้อนเช่นทุกวัน ใบมะยมวูบไหวตามลม บางใบที่แห้งเหลืองก็ร่วงพลิ้วหล่นลงซบพื้นดิน บ้างก็หล่นลงหลังคารถสปอร์ตสีแดงคันงาม
ความขึงเครียดไม่ปรากฏบนใบหน้าผู้คนเช่นทุกวัน ทุกสายตายังคงจดจ่อกับทิศทางที่รอรถประจำทางสายประจำจะแล่นมา...ไม่มีอะไรแตกต่างจากทุกเช้าที่ผ่านมา
จะต่างก็เพียงความรู้สึกที่สื่อผ่านสายตาทุกคู่ ที่หันมองรถเก๋งสปอร์ตคันงาม
คันนั้น
* * * * * * * * * *
20 ตุลาคม 2547 21:45 น.
ทิวสน
ยังจำไว้เลย
โดย เจ้า..ชายน์ติ๊ง
สมหมาย (แต่เขาชอบให้เพื่อนๆ เรียกว่า แฟรงค์ แม้ว่าใบหน้าจะเอาดีไปทางลูกครึ่งไทย-กัมพูชาก็ตาม) ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ที่ต้องกลับมายืนอยู่ที่หน้าร้าน "น้ำย่อยรื่นเริง" แห่งนี้อีกครั้ง
มันเหมือนกับว่า เขากำลังอยู่ในภวังค์ ทั้งๆ ที่รู้ว่า หากเข้าไปในร้านนี้อีกเขาจะต้องพบกับความทรงจำอันแสนหวานที่จะทำให้ต้องเจ็บปวด เขาพยามหักห้ามใจจะเดินหนี ทั้งตบ ทั้งหยิก ทั้งข่วน ก็แล้ว แต่ไม่สำเร็จ ขาทั้งสองข้างก้าวเดินเข้าไปที่ประตู
"ดีจริงที่ร้านปิด" เขาคิดในใจ หลังจากพยามยามวิ่งเอาไหล่กระแทกให้ประตูเปิดอยู่ 5- 6 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ นึกขมขื่นใจ ทำไมนะชีวิตนี้ ผู้ชายหน้าตาดีอย่างเขาจึงทำอะไรไม่เคยสำเร็จ
"เชิญครับ" บริกรผลักประตูโผล่หน้าออกมาบอกว่า "ประตูนี้ พี่ต้องดึงครับ ไม่ใช่ผลัก" บริกรแนะนำเสียงเข้มจนเขาต้องหลบตาทำตัวลีบ เดินเลี่ยงเข้าไปในร้าน พลางนึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็มาที่ร้านนี้ประจำ แต่ทำไมจำไม่ได้ อืมม์ นั่นดิ....
เย็นย่ำวันนี้ คนค่อนข้างจะบางตา เขาสามารถเดินเลือกโต๊ะนั่งได้ตามสบาย และเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมถึงได้เลือกมานั่งโต๊ะเดิม มันเป็นโต๊ะสำหรับสองที่ และอยู่ในมุมเป็นส่วนตัวที่สุดของร้าน
โต๊ะตัวนี้เขาเคยพาเธอมานั่งด้วยเป็นประจำ จึงจดจำทุกสิ่งตรงนี้ได้ดีโคมไฟสีฟ้าทะลายโจร ห้อยย้อยลงมาส่องสลัวๆ โรแมนติกรูปติดผนังนกนางแอ่นป้อนอาหารลูกนกเพนกวินด้วยความเข้าใจผิด เก้าอี้ไม้สักทองแกะสลักรูปมะดันแช่อิ่ม หรือแม้แต่แจกันก็ยังคงเป็นอันเดิม ลายลิงอูรังอุตังยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋ม 2 ข้าง
"สั่งอะไรดีครับ" บริกรเดินเข้ามาถามพร้อมยื่นเมนูขนาด 3 คูณ 5 ฟุตให้ เขารับมาดู
ทุกสิ่งรอบตัวยังคงเหมือนเดิมหมด ทั้งสถานที่ สิ่งของ บริกร จะมีเปลี่ยนก็แต่ วัน เวลา และที่สำคัญ คือ วันนี้เขามาคนเดียวโดยไม่มี อรอรุณวลัยฤดี มาด้วย และความจริงต่อจากนี้ไป เขาก็คงไม่มีเธออยู่ด้วยอีกแล้ว!!! ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ...ที่เหลือไว้ตอนนี้...เป็นเพียงความทรงจำ กับวันเวลาเก่าๆ ที่เคยมีความสุขร่วมกัน กับอดีตรักที่แสนหวานปานจะกลืน
เขาและเธอสนิทกันมาเป็นเวลาแรมปี ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ใครๆ ก็มักพบเขาและเธอไปด้วยกันเสมอ เธอเป็นคนสวยที่สุดในสายตาของเขา แม้มีบางคนจะโต้แย้งและบอกว่าเธอเป็นสาวสวยแบบดีเลย์ ทำนองว่า...เดี๋ยวสวย..เดี๋ยวสวยก็ตาม แต่เขายังรักมั่นคง ภักดีต่อเธอเสมอมา
ครั้งแรกที่มาร้านนี้ด้วยกัน เขาและเธอ พบกันโดยบังเอิญ (คุณบังเอิญเพื่อนสมัยมัธยม แนะนำให้เขาได้รู้จักกับเธอ ตอนงานกาชาดที่สวนอัมพร) จากวันนั้น เขาและเธอก็เริ่มใช้เวลาเรียนรู้จักกันบ่อยครั้ง จนกระทั่ง วันหนึ่งเขาก็อั้น เอ๊ย! อดไม่ได้ที่จะสารภาพความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเธอ
"อรอรุณวลัยฤดีครับผมได้ค้นหาบางสิ่งมานาน หลังจากเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลมาหลายสมัย เปลี่ยนผู้ว่าฯกรุงเทพฯมาก็หลายคน วันนี้ผมมั่นใจแล้ว.... และอยากจะบอกคุณว่า..เอ่อ..ผม.อืมมมมม..อ่าอะนะ..อืมมมผม.ผมรักคุณครับ"
เขาเอ่ยออกมาจนได้ ทว่าอรอรุณวลัยฤดี กลับก้มหน้าหลบตา ไม่รับคำหรือโต้ตอบวาจาใดๆ แฟรงค์ใช้มือช้อนคางเธอแหงนเชิดขึ้น เพื่อสบตา ซึ่งบัดนี้มีน้ำใสๆ คลอหน่วยแต่เมื่อใดไม่รู้
"โถ..คนดี ปลื้มใจมากถึงกับร้องไห้เลยหรือนี่"
"ปะ..เปล่าค่ะ.คือว่า คุณ เหยียบเท้าอรค่ะ" เธอตอบเสียงเครือ
ชายหนุ่มรีบยกคอมแบทเบอร์ 9 ออกจากเท้าเธอ พร้อมยิ้มเจื่อนๆ เฉไฉ ชวนคุยเรื่องอื่นจิปาถะ..
ตลอดวันวานยังหวานอยู่ เขาคอยติดตามดูแลเธอไม่เคยทอดทิ้งให้ต้องเหงาเปล่าเปลี่ยวแม้สักครั้ง และสมหมาย (แฟรงค์) จำได้ว่า ไม่เคยเลยที่เขาและเธอจะผิดใจกัน นั่นเป็นเพราะเขาตามใจเธอเสมอ
"จะสั่งรึไม่สั่งครับพี่..จะเอายังไง..รอนานแล้ว" บริกรคนเดิมย้ำเสียงดัง พอที่ 12 คนในร้านจะได้ยิน และหันมามองเขาเป็นตาเดียว
"อ้อ..เอ่อ..คือ..เอ่อ อะนะ...ขอโทษที" สมหมายแก้ตัว "ไม่รู้ว่ายืนรออยู่อะดิ"
เขารีบเปิดเมนูดูรายการอาหาร แกงเขียวหวานไก่พ่อลูกอ่อนใส่สะตอเบอร์รี่! เขาจำได้ดี มันเป็นเมนูโปรดของ อรอรุณวลัยฤดี ทุกครั้งที่เขาและเธอมาที่นี่ เธอจะสั่งได้ทันที โดยไม่ต้องถามหาเมนู
"จะสั่งอะไรก็สั่งซะที..ไม่กินก็เชิญ! " เสียงบริกรตะคอกดังจนเขารู้สึกตัว
"เอ่อ.เอานี่ แกงเขียวหวานไก่พ่อลูกอ่อนใส่สะตอเบอร์รี่" เขาสั่งกับข้าวเพิ่มอีกสองอย่าง บริกรรินน้ำเปล่าให้ แล้วเดินบ่นพึมพำจากไปอย่างหัวเสีย
สมหมายไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้สำหรับเขา วันที่เขาต้องอยู่คนเดียว โดยไม่มีอรอรุณวลัยฤดี (เฮ้อ..! ชื่อเรียกยากจริงๆ) ว่าแล้วน้ำตาของลูกผู้ชายก็หลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันไหลเรื่อยผ่านแก้มป่องๆ 2 ข้าง แล้วเรื่อยลงมารวมอยู่ปลายคางพอให้รู้สึกคันนิดๆ จนรวมตัวเป็นเม็ดใหญ่ พอน้ำหนักได้ที่ ก็ทิ้งตัวหยดลงแก้วน้ำพอดีจ๋อม..! จ๋อม..! เม็ดแล้ว เม็ดเล่า
ทำไมเธอถึงได้ทำเช่นนี้กับเขา เธอไม่พอใจอะไรเขาหรือ... หรือเธอไม่ชอบที่เขามักทำอะไรซุ่มซ่าม ซึ่งมันก็มีอยู่บ้างพอน่ารัก แต่ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่โตจนถึงกับต้องทำร้ายจิตใจเขาอย่างนี้
สมหมาย ยกแก้วน้ำซึ่งมีน้ำตาอยู่เกือบครึ่งขึ้นดื่ม แล้วต้องรีบบ้วนทิ้ง เพราะรสชาติเค็มปร่าเกินกว่าจะกลืนลงไปได้
ครั้งสุดท้ายที่พบกับอรอรุณวลัยฤดี เมื่อ 3-4 วันก่อน เขาซื้อแกงเขียวหวานไก่พ่อลูก่อนใส่สะตอเบอร์รี่ไปฝากเธอที่บ้าน พบเธอกำลังสนทนา กับเพื่อนชาย-หญิง เกือบ 10 คน ที่มองเขาด้วยสายตาแปลก บางคนขบเคี้ยว กัดฟันกรอดๆ เขาจึงไม่รบกวนเวลาและขอตัวกลับบ้าน
วันนั้นเธอดูสดใสขึ้นเยอะ ยังอ่อนหวานและสุภาพเรียบร้อยเหมือนเดิม เธอคงมีความสุขมากสินะ ที่ได้เลิกกับเขา
สมหมายพยายามรวบรวมสมาธิ ใช้ความคิดค้นหาสาเหตุว่าทำไม? เธอจึงไม่ยอมที่จะคืนดีกับเขา หรืออาจจะเป็นครั้งนั้น
ครั้งสุดท้ายที่เขาและเธอมาทานอาหารด้วยกันที่ร้านนี้แต่ไม่น่าใช่เธอไม่ใช่คนหน้าบางขี้อายสักหน่อย กับแค่เขาทำชามแกงเขียวหวานไก่พ่อลูกอ่อนใส่สะตอเบอร์รี่หกคว่ำ เธอไม่น่าจะเอามาเป็นเรื่องใหญ่นี่นา หรือเธออาจจะเสียดาย เพราะทุกครั้งที่บริกรมาเก็บจานอาหารที่ทานเสร็จ เธอมักจะสั่งให้รินน้ำแกงทิ้งให้เหลือแต่สะตอเบอร์รี่ แล้วขอเกลือมาจิ้มเป็นผลไม้หลังอาหาร
ชายหนุ่มเหม่อมองเก้าอี้ว่างอีกตัวที่อยู่ตรงข้าม อยากให้อรอรุณวลัยฤดี มานั่งตรงหน้าเขาอีกครั้ง ใครหนอ ที่จะช่วยเขาได้ความผิดพลาดเล็กน้อยเพียงครั้ง มันลบล้างความดี ความจริงใจ ทั้งหมดที่เขาสร้างสมมันมานานหลายปีเชียวหรือ
ตอนนี้ เขาร้องไห้ออกมา ชนิดน้ำตาทะลักล้นทำนบ หยดลงบนผ้าปูโต๊ะแผ่เป็นวงกว้าง เส้นผ่าศูนย์กลางราว 9 นิ้ว
"จะสั่งอะไรเพิ่ม อีกมั้ยครับ เดี๋ยวครัวจะปิดแล้ว" บริกรมากระซิบที่ข้างหูขวาพอจั๊กกะจี้
สมหมายส่ายศีรษะเชิงปฏิเสธ 15 ครั้ง บริกรจึงเดินจากไป
วันเกิดเหตุที่ร้านนี้ เขาเป็นลูกผู้ชายพอ จึงช่วยจ่ายค่าอาหารทั้งหมดด้วยตัวเอง แล้วยังช่วยพยุงเธอออกมานอกร้านเพราะข้อเท้าเธอบวมปูด ตอนที่เขาเลื่อนโต๊ะล้มไปกระแทกเข้า ขณะที่ก้มลงไปเช็ดน้ำแกงที่พื้น
อืมมมใช่ร้องลั่นร้านเชียว ตอนนั้นน้ำแกงอาจจะยังร้อนอยู่ แต่เขาก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจซะทีไหน อุตส่าห์ยอมเสียสละผ้าเช็ดหน้าปีแอร์การ์แดง ที่เธอซื้อให้ ช่วยเช็ดน้ำแกงที่เลอะเท้าเธอให้จนสะอาด
แล้วใครกันเล่า ที่ขับรถไปส่งเธอถึงบ้าน แม้ว่าเธอจะเกรงใจ พยายามขอเรียกแท็กซี่กลับ ไม่อยากให้เขาลำบากต้องขับให้ เนื่องเพราะเขาขับรถไม่ค่อยเป็น แต่ก็ยังอุตส่าห์พยายามอย่างสุดความสามารถ ขับรถไปถึงบ้านเธอจนได้ เขาอาจจะเลี้ยวรถแรงไปหน่อยตอนเข้าบ้าน ทำให้รถไปกระแทกเข้ากับเสาประตูรั้ว ก็ไม่น่าจะเอามาเป็นเรื่องใหญ่ เธอน่าจะรู้ว่าอย่างไรเขาก็ยอมจ่ายค่ารั้วให้เธออยู่แล้ว แต่ค่าซ่อมรถควรจะออกคนละครึ่ง เพราะมันพังมากเฉพาะข้างที่เธอนั่ง มันยุบเขาไปตั้งครึ่งคัน
ใช่สินะ...เธอคงนึกไม่ถึง ว่าใครอุตส่าห์วิ่งลงไปโทรศัพท์ในบ้าน เรียกรถพยาบาลมาช่วยตอนที่เธอถูกอัดก๊อปปี้จนสลบ ก็เขาไม่เคยเลยที่จะขุดคุ้ยหรืออ้างเป็นพระคุณแม้สักนิด
ตอนนี้เขาร้องไห้จนไม่มีน้ำตาเหลือให้ไหลอีกแล้ว เขาให้เธอทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เธอสิ ไม่เคยที่จะนึกถึงมันเลย กับแค่เธอต้องมาซี่โครงหักแค่นิดหน่อย (หักไป 3 ซี่ ยังเหลืออีกตั้ง 21 ซี่) ม้ามฉีกเล็กน้อย เธอถึงกับทำร้ายจิตใจเขาให้แหลกลาญลงได้เพียงนี้
"ขอเช็คบิลด้วยครับพี่" บริกรคนเดิมตะโกนที่ข้างๆ หู สีหน้าเครียด "ร้านปิดแล้วครับพี่"
สมหมาย ตื่นจากภวังค์ หันมองรอบๆ ร้าน ไม่มีลูกค้าเหลืออยู่สักโต๊ะเดียว ยกนาฬิกาขึ้นดู4 ทุ่มแล้ว เขาจ่ายเงินแล้วลุกเดินออกมาจากร้านด้วยใจหดหู่
สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือ นั่งรถเมล์กลับบ้าน แล้วพยายามหักห้ามใจ ไม่ให้นึกถึง อรอรุณ-วลัยฤดี
แม้ว่าอีกใจหนึ่งนั้น อยากจะไปเยี่ยมอดีตแฟนสาวที่นอนป่วยเป็นอัมพาตครึ่งตัวอยู่ที่บ้านใจจะขาด
* * * * * * * * * * * *