16 กรกฎาคม 2546 11:52 น.
ทิดโส
ตอนที่ 5 สงครามที่ไม่ต้องประกาศ
.ขอพักเรื่องการหาอยู่หากินซักเล็กน้อย กลัวว่าจะอิ่มกันเกินไปครับ ประเดี๋ยวน้ำหนักขึ้นมาก ไปสอบพยาบาลไม่ได้อีก 555 ในช่วงวัยของผมและเพื่อน ๆ ในก๊วนเดียวกัน เรามีของเล่นที่ประดิษฐ์ง่าย ๆ อุปกรณ์เสริมหาได้ในพื้นที่นั่นเอง
.เมื่อฝนมา ไผ่ป่า ไผ่บ้านก็เริ่มแทงหน่ออ่อน ช่วงนี้เราจะเข้าป่า (ก็แถว ๆ บ้านนั่นแหละครับ พูดให้ดูผจญภัยหน่อย ๆ) หาหน่อไม้กัน วันละเป็นหาบ ๆ หลังจากแกะเปลือกเรียบร้อยก็หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ล้างน้ำ ซาวเกลือ หมักทิ้งไว้ ช่วงเช้า-เย็น แม่จะใช้น้ำซาวข้าวเทลงไปในไหหน่อไม้ดอง แม่บอกว่าจะช่วยให้เปรี้ยวเร็วขึ้น
.ส่วนประกอบในการหาหน่อไม้ของทะโมนรุ่นผมก็คือ การหาเก็บลูกหว้ากินบ้าง มะเม่าบ้าง ซึ่งมีอยู่กลาดเกลื่อน อีกอย่างที่เป็นสิ่งจรุงใจของเด็ก ๆ ก็คือ การแบ่งพวกต่อสู้กัน ซึ่งปัญญาชนระดับ ป.1 โรงเรียนวัด เช่นพวกเรา ก็ต้องมีเครื่องทุ่นแรงประกอบในการต่อสู้ครับ หนึ่งในอาวุธที่ชินมือมากที่สุดและหาง่ายที่สุดก็คือบั้งโผะ..ครับ
.บั้งโผะ หรือ บั้งโพล้ะ ก็ทำไม่ยาก เริ่มจากหาลำไผ่ป่าไม่อ่อน-ไม่แก่ เกินไป เลือกปล้องยาว ๆ ตรง ๆ เข้าไว้ เพื่อผลของกระสุนที่จะทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ตัดมา 1 ปล้องไม่ให้ติดข้อไผ่ กะว่าความยาวประมาณ 1 ฟุตกำลังดี (ขอเรียกว่า ชิ้นที่ ๑) ขั้นต่อไปตัดปล้องอีกอันยาวประมาณ 5 นิ้วให้ติดข้อไว้ 1 ข้าง (ขอเรียกว่าชิ้นที่ ๒) เกือบเป็นอาวุธแล้วเหลือเข็มแทงชนวนซึ่งก็ทำไม่ยาก ผ่าไม้ไผ่อีก 1 ปล้อง (หาให้ยาวกว่า 1 ฟุต 5 นิ้ว) เหลาให้กลมสวย วัดให้ได้ขนาดพอดีกับรูของไม้ไผ่ชิ้นที่ ๒ (เข็มแทงชนวนนี้ขอเรียกเป็นชิ้นที่ ๓) นำชิ้นที่ ๓ ดันเข้ารูของชิ้นที่ ๒ ตอกให้แน่น เท่านี้เราก็ได้ด้ามพร้อมเข็มแทงชนวนแล้ว ครานี้วัดความยาวของชิ้นที่ ๓ ที่โผล่ออกมาจากชิ้นที่ ๒ ให้ได้ความยาวประมาณ 11 นิ้ว 4 หุน (ทำง่าย ๆ โดยการวัดด้านนอกของชิ้นที่ ๑ ให้ชิ้นที่ ๓ เกือบถึงปลายกระบอกซัก 1 เซนติเมตร กำลังดี เท่านี้ก็เรียบร้อย มีปืนไว้ต่อสู้แล้ว ขาดเพียงกระสุน
.กระสุนในหน้านี้ก็หาไม่ยาก มีผลไม้ป่าอยู่ประเภทหนึ่ง ลูกเล็กประมาณ ครึ่งเซ็น ดิบ ๆ สีเขียว พอสุกจะสีดำกินได้หวานดี เราเรียกว่า บักคันส้ม หรือ ลูกคอม จะมีลูกติดเป็นพวง ๆ ละ 10 กว่าลูก เก็บมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ต้องการ
.เริ่มต้น แบ่งกองกำลังให้มีจำนวนเท่า ๆ กัน เช็คยอดกระสุนที่แต่ละฝ่ายมี แล้วก็ตกลงกติกา ใครแพ้จะต้องเสียหน่อไม้ที่หามาได้ในวันนี้ให้กับผู้ชนะ ฝ่ายใดโดนจับได้ จะต้องโดนยึดเป็นตัวประกัน และต้องมาร่วมเป็นพวกเดียวกัน ไล่ถล่มกันต่อไป ทีมไหนเหลือแค่คนเดียว ถือว่าแพ้ . ตกลง
.หลังจากทีมตรงข้ามแยกย้ายไป เราเริ่มประชุม วางแผน ผมเป็นเสนาธิการตามเคย (อาจจะเนื่องมาจาก ด๊ำ ดำ ก็ได้ 5555) เราตกลงกันว่า จะไม่สนใจเรื่องไล่ยิงกันนัก แต่จะรวมตัวกัน บุกโจมตีเอาตัวประกัน น่าจะง่ายกว่า ทีมงานซึ่งมีอยู่ 3 คนรวมผม ตกลงตามนั้น
.เราบรรจุกระสุน บักคันส้ม เข้ารังเพลิง ใช้เข็มแทงชนวน ดันกระสุนเข้าไปที่ปากลำกล้อง รอการปลดปล่อยจากลูกต่อมา ยัดกระสุนอีกลูกตามเข้าไป ใช้เข็มแทงชนวน ดันกระสุนเข้าไปแค่ 1 ใน 4 ของลำกล้อง (เรียกว่าขึ้นลำ รอสับไก 5555) ทุกคนพร้อม !!! พร้อม! เอ้า ลุยยยยยยย
.เรารวมตัวกัน 3 คนมุ่งเข้าตีในจุดที่เรามองเห็นคู่ต่อสู้ผ่านเข้าไป อะฮ้าาาา เข้าทางละ คู่ต่อสู้วางกำลัง เป็นปีกนก หวังจะแยกกันตีโอบเรา ผมหมายตาไว้แล้ว เจ้าคนแรกคือเหยื่ออันโอชะ 5555 สะกิดเพื่อน เอาไอ้นี่ก่อน ..โพล้ะโพล้ะ โพล้ะ เสียงดังขึ้น 3 ครั้งแสดงว่าคู่ต่อสู้ยิงกระสุนมาครบคนแล้ว กำลังกรอกกระสุนนัดใหม่ เราโผเข้าไปพร้อมกัน ล้อมเจ้าคนแรกไว้กลาง-วง ปืนบั้งโผะ 3 กระบอก จ่ออยู่ที่หัวของตัวประกัน เจ้านั่นหน้าซีดเผือด โยนปืนบั้งโผะในมือทิ้งไป .. โพล้ะโพล้ะ .. ฮั่นแน่ ไอ้สองคนนั้นจะยิงมาช่วยเพื่อน สายไปแล้วไอ้หนู 5555 เพราะตอนนี้ทีมผมเป็นต่อแล้ว 4: 2 หมูมาก ต้องรีบเผด็จศึก
.เราแบ่งกำลังเป็น กองละ 2 คน ไม่พูดพล่ามทำเพลง ตามหาคู่ต่อสู้อย่างเดียว ไอ้ 2 คนนั่นก็ฉลาดเป็นกรด จับมือกันแน่น ไม่ยอมแยกกัน เราเข้าตีหลอกก็แล้ว รุมยิงก็แล้ว ยังเผด็จศึกไม่ได้ เอาใหม่ ไปกันทั้ง 4 คนนั่นแหละ ตีโอบอย่างเดียว ..โพล้ะ..โพล้ะโพล้ะ .. เสียงลั่นไปหมด แต่การต่อสู้ก็ยังไม่เห็นผล เอาไงดี จะค่ำอยู่แล้วนะ .
.5555 ฟ้าประทานก้อนสมองให้ไอ้ ด๊ำ ดำ คนนี้มามากผิดปกติ เราประชุมเครียดกันอีกครั้ง คราวนี้ ทั้ง 3 คนฟังผมอย่างเดียว.ทุกคนพยักหน้า ตกลงตามนั้น
.ฝ่ายผม ไอ้ 2 คนฟังทางนี้ ตอนนี้กูล้อมไว้หมดแล้ว พวกมึงแพ้แน่ 5555 ยอมซะไอ้หนู
.ฝ่าย 2 กูไม่ยอมโว้ย แน่จริงมึงบุกเข้ามาสิ
.ฝ่ายผม กูจะให้โอกาสมึง 2 คนใครก็ได้ หากใครยอมแพ้แต่โดยดี จะไม่โดนรุม แต่ใครเหลือคนสุดท้าย กูจะจับมัดแล้วรุมยิง เอามดแดงกัดด้วย
.ฝ่าย 2 อย่าฝันเลย ไอ้บ้า กูไม่ยอมโว้ยยยยย อีกคน เฮ่ย กูว่าน่าจะยอมนะ ถ้าเหลือคนเดียว เกิดมันจับให้มดแดงกัด กูกลัวว่ะ อีกคน
.ฝ่ายผม ว่าไง 5555 จะยอมดี ๆ มั้ย กูหารังมดแดงไว้แล้วนะ จะนับ 1 ถึง 3..หนึ่งงงงงงงง
.ฝ่ายผม สองงงงงงงง เฮ้ย เตรียมรังมดแดงมาอีก
.ยังไม่นับถึงสาม ทั้งคู่เดินชูมือขึ้นเหนือหัว ยอมศิโรราบแต่โดยดี หน่อไม้โดนยึดทั้งหมด รังมดแดงก็เป็นอันยกเลิกไป เย็นวันนั้น ทีมผมทั้งสามคน เดินเอ้อระเหย โดยมีไอ้ 3 เชลยทั้งแบกทั้งหามหน่อไม้มาส่งถึงบ้าน แต่แม่ก็จัดการแบ่งให้ทุกคนเอากลับบ้านเท่า ๆ กันทั้งหมด เฮ้อ!!!!! กระสุนยังไม่ได้หลุดจากลำกล้องซักนัดเลย ../////
8 กรกฎาคม 2546 16:10 น.
ทิดโส
ตอนที่ 4 ไอ้หน้าแหลม จอมมุด
.หากมีใครถาม อะไรเอ่ย ไอ้หน้าแหลม จอมมุด จงตอบไปได้เลยว่า ปลาหลด เพราะในตระกูลหน้าแหลม ที่เป็นจอมมุดโคลน ไม่มีใครเกินหน้าปลาหลด ได้อีกแล้ว
.หลังเกี่ยวข้าวเสร็จ ชาวนาจะเริ่มวิดปลากัน เพราะช่วงนี้น้ำเริ่มงวดแล้ว ที่สำคัญเป็นช่วงที่เรียกว่า ข้าวใหม่ ปลามัน ลมหนาวเริ่มพัดต้องผิวกายเอื่อย ๆ เราเตรียมอุปกรณ์ประกอบด้วย สวิง แหแบบมีเพรา มีด จอบ เสียม โอ่งน้ำ(ไว้ขังปลา) กระป๋องน้ำ ปี๊บ รวมทั้งข้องไว้ใส่ปลา บรรทุกใส่เกวียนเทียมวัว ออกไปนอกทุ่ง
.การวิดปลาก็คือ จ้วงน้ำออกให้หมด แล้วคอยเก็บปลาตอนน้ำแห้ง ปลาที่เก็บไว้ได้นานเช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ หากจับได้จะขังไว้ในโอ่งน้ำ ส่วนปลาเล็ก ๆ ที่ใจเสาะตายง่ายก็ขังรวมในข้องบ้าง ในกระชุบ้าง สุดแท้แต่อุปกรณ์ที่นำไปด้วย เมื่อเก็บปลาเสร็จ จะถึงคราวหาของดีกันแล้ว นั่นคือ โกยปลาหลด กรรมวิธีก็ไม่ยาก คือเริ่มโกยโคลนไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ต้องทำด้วยความไว เพราะปลาหลดเวลาอยู่ในโคลนจะเปรียวมาก จับก็ยาก เพราะตัวมันลื่น แต่เวลาได้แล้วจะคุ้ม เพราะแต่ละตัวประมาณนิ้วมือทั้งนั้น เอามาต้มส้ม ต้มยำ อร่อยมาก
.อีกวิธีหนึ่งเวลาหาปลาหลดคือ ใช้สระโอ ซึ่งก็เป็นเหล็กด้ามยาวประมาณ 1 ช่วงแขน ตีเป็นรูป สระโอ นั่นแหละ เอามาลากไปมาในโคลน เวลาติดปลาหลดจะติดช่วงหัว ดึงขึ้นมาไม่หวาดไหว
.เบ็ดพวง ก็เป็นอีกวิธีในการหาปลาหลด ผูกเบ็ดกับปลายไม้ประมาณ 10 กว่าตัว เกี่ยวไส้เดือน ทิ้งไว้ในน้ำ ประมาณ 5 นาที พอยกขึ้นมาจะขาวพราวไปหมด
.แต่เช้านี้ พ่อปลุกผมตั้งแต่ยังไม่เห็นแสงอาทิตย์ ฝนพรำ ๆ ในเช้าวันเสาร์มันช่างน่ารื่นรมย์เสียนี่กระไร อ๋าย ไม่อยากลุกอ่ะ คลุมโปงต่อ พ่อก็ไม่ว่าอะไร แต่สักครู่เสียงลูกแห กระทบกันดังกราว อ้าว! พ่อนัดไว้จะพาไปสอนทอดแหนี่นา เอ้า ลุกก็ลุก กลิ่นควันไฟที่เกิดจากการหุงต้มของแม่ โชยมากระทบจมูก ผมคว้าข้องได้ก็เดินตามพ่อออกมาทันที แม่ไม่ลืมยื่นงอบมาให้ไว้กันฝน เราเดินไปห้วยกันสองพ่อลูก จนตีนฟ้าเปิด เราก็มาถึงห้วยมะโหด พ่อไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ขึ้นแหได้ก็เหวี่ยงโครมลงไปเลย
.แหที่พ่อใช้ เรียกว่า แหก้นบุหรี่ เนื่องจากจะเป็นแหตาถี่มากเพียงก้นบุหรี่ลอดได้ เป็นอุปกรณ์จำเพาะในการหาปลาหลด ที่ตีนแหจะมีเพรา ซึ่งก็คือการรวบตีนแหขึ้นมามัดกับเนื้อแหไว้ สูงประมาณ 1 คืบ เมื่อดึงแหขึ้นมา ปลาจะไปกองรวมกันอยู่ที่เพราแห เช้านั้นพ่อสาวแหขึ้นมาแต่ละครั้ง ติดปลาหลดขึ้นมาขาวโพลน ผมจับปลาหลดโดยแอบมองพ่อ พ่อจะใช้ปลายเล็บนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ จิกที่ช่วงคอปลาหลด มันจะดิ้นไม่หลุด เราก็จับเข้าข้องสบาย แค่ 10 กว่าครั้งของการสาวแหขึ้นมา ปลาหลดก็ย้ายมานอนอยู่ในข้องเกินครึ่งแล้ว พ่อบอกว่า เวลาร้อน ๆ ปลาหลดจะมุดโคลน แต่พอฝนตกได้ที่ น้ำจะเย็นลง ปลาหลดจะออกมาจากโคน เพื่อหาที่วางไข่ ผมก็เห็นเช่นนั้น เพราะปลาหลดที่เราได้แต่ละตัว ท้องนูนไปด้วยไข่ทั้งนั้น
.พ่อไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้ พ่อสอนผมทอดแห อะฮ้า! ไม่ยาก ขั้นแรกสุดให้ใช้มือซ้ายจับที่ จอมแห ซึ่งก็คือจุดกึ่งกลางของแห จะทำเป็นม้วนเชือกแหไว้ ปุ่มแข็ง ๆ ได้จอมแล้วก็รวบเนื้อแหเข้ามาประมาณ 3 ทบ แหก็จะสั้นเหลือประมาณช่วงเอว หลังจากนั้น แบ่งแหออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเอาเนื้อแหพาดไว้กับข้อศอกซ้าย ส่วนที่สอง รวบตีนแหด้วยมือขวา ส่วนสุดท้ายถือไว้ด้วยมือซ้าย ตั้งท่าให้ดี เหวี่ยงจากซ้ายมาขวา โอ๊ะ โอ๋..แหแตกออกครับ แต่บานไม่สวยเหมือนที่พ่อเหวี่ยง มันขยุ้มยังไงพิกล แต่พ่อบอกว่า ดีแล้ว หัดอีกหน่อยก็ชำนาญ ผมสาวแหขึ้นมา ว้าว!!!! ปลาตัวแรกในชีวิตการทอดแห เป็นปลาหลด 3 ตัว พ่อหัวเราะบอกว่า สงสัย ไอ้พวกนี้มันตาบอด ฮ่าฮ่าฮ่า
.เราสนุกแบบเอาจริงกันจนตะวันโด่ง ทั้งหนาว ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ที่สำคัญปลาหลดตัวเขื่อง ๆ เกือบจะล้นข้องอยู่แล้ว เราสองพ่อลูกก็หาไม้ขนาดพอเหมาะ หามข้องปลากลับ!!!! พ่อแบกแหพร้อมกับยกไม้หามเดินนำ แวะเก็บผักแว่นยอดอวบ ๆ บ้าง ผักแต้วบ้าง เรามาถึงบ้านกับจนเกือบเพลแล้ว แม่บ่นเรื่องลูกจะหิวข้าว แต่พ่อก็หัวเราะ หึหึ เท่านั้น
.ผมเก็บยอดมะขามอ่อนและดอกมะขามให้แม่ วันนั้นแม่ต้มส้มปลาหลดใบมะขามอ่อนให้ซดกัน เครื่องเคราก็หาได้ในสวน ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกขี้หนู ใบกะเพรา แม่บุบหอมแดงใส่ด้วย บอกว่ากันไว้ เผื่อลูกเป็นหวัด หอมแดงช่วยได้ อีกทั้งยอดมะขามดอกมะขามก็เป็นยาไล่ไข้ดีนัก กลิ่นกะเพราที่โรยในหม้อต้มมันหอมกรุ่นยิ่งนัก ปลาหลดแต่ละตัว ไข่เต็มท้อง ส่วนที่เหลือแม่แช่น้ำปลาไว้ วันนั้นผมกินข้าว อิ่มจนจุกลุกไม่ขึ้น../////
2 กรกฎาคม 2546 12:00 น.
ทิดโส
ตอนที่ 3 เปิดแผ่นดิน กินหอย..
.พอฝนมา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนจะเปลี่ยนไป หญ้าที่มองแห้ง ๆ เริ่มระบัดใบ อาหารสดจำพวกปู ปลา กบ อึ่ง ก็มีให้กินได้ทุกวัน เพียงขยันออกส่องไฟ เป็นไม่มีอด ผักกระถินริมรั้วเริ่มแตกยอด ผักขา (ชะอม) ก็ยอดอวบงามเปล่งปลั่ง ตำลึงก็เลาะเลื้อยตามรั้วเยอะแยะ
.น้าข้าง ๆ บ้านมาชวนผมออกไปหาเก็บหอยโข่งในนา อุ๊บ๊ะ งานชอบแบบนี้ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว แกเตรียมไถ เตรียมคราด เตรียมควาย เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด ระยะทางพอประมาณ ก็ถึงนาของน้าแก..ไม่พูดพล่ามทำเพลง ผูกควายเข้ากับแอกไถได้ แกก็ลุยไถดะไปเรื่อย ก่อนหน้านั้นในวันพืชมงคล แกได้มาทำพิธีไว้เรียบร้อย พอฝนมาก็เริ่มไถนาได้ทันที เจ้าควายหนุ่มลากไถโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดินที่ได้รับน้ำฝนแล้วจะเริ่มซุย ไถง่ายไม่กินแรงควายมากนัก ผมก็สนุกกับการเดินตามรอยไถ ถือกระป๋องใบหนึ่ง ตามเก็บหอยโข่ง แต่ละตัวเท่ากำปั้น พอเริ่มหนักก็เอามาเทซะทีหนึ่ง แล้วก็ไปเก็บต่อ วนเวียนอยู่เช่นนั้นไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เรามาพักกินข้าวเช้ากันก็จนตะวันลอยโด่งแล้ว น้าปล่อยควายกินหญ้าอยู่แถวนั้น ก่อไฟขึ้นใต้เถียงนา (กระท่อมปลายนา) กลิ่นควันไฟลอยคลุ้งมันหอมอย่างประหลาด พอไฟติดได้ที่ก็เอาหอยตัวใหญ่ ๆ เผาไฟ เสียงฉี่ ฉี่ ฉี่ ดังไม่ขาดระยะ เผาพอประมาณว่า ฝาปิดปากหอยหลุด น้าก็จะแกะเอาตัวหอยออกมา คัดเอาเฉพาะเนื้อ เฮ้อ! ทั้งเหนื่อยทั้งหิว รสชาดอาหารมันจึงได้เอร็ดอร่อยแบบสุดประมาณ เราหยิบหอย จิ้มปลาร้าสับ แกล้มด้วยใบแต้ว ออกรสเปรี้ยว ๆ ฝาด ๆ กำลังดี ตามด้วยข้าวสวยคำใหญ่.ผมไม่เคยนึกฝันถึงอาหารฮ่องเต้ชนิดใดเลย สาบาน
.ก่อนค่ำ เราจูงควายกลับบ้าน หลังเจ้าทุยแอ่นไปด้วยกระสอบหอยโข่ง น้าแวะเก็บผักแต้ว ผักอีลอก ได้หอบใหญ่ วันนี้แหละผมจะได้กินแกงผักอีลอกให้อร่อยปากไปเลย 555
.แม่นำหอยที่ได้ มาปิ้งไฟ แกะเอาเฉพาะเนื้อหอย บอกจะยำให้กิน พี่ชายคนรองรับหน้าที่ปอกมะพร้าว พร้อมขูดด้วยกระต่ายขูดมะพร้าว แม่คั่วมะพร้าวจนเหลืองหอม ผมรับหน้าที่เผาพริก หอม กระเทียม แกะเปลือกแล้วโขลกให้เข้ากัน ไม่ต้องละเอียดมากนัก แม่นำมาคลุกกับเนื้อหอยที่หั่นแล้ว สับมะม่วงเปรี้ยวใส่ ปรุงรสน้ำปลา มะนาว ชิมให้เผ็ด เปรี้ยว เค็ม กำลังดี ก่อนที่จะโรยมะพร้าวคั่ว คลุกพอเบามือ เด็ดสะระแหน่มาโรยหน้า (เห็นมั้ยครับ อาหารที่แม่ผมทำ ไม่มีผักชีโรยหน้านะเอ้า) แม่บอกว่า หอยโข่ง หากจะยำให้อร่อยอย่าเอาไปลวก มันจะไม่หอม สู้ปิ้งไฟไม่ได้ จริงครับ วันนั้นยำหอยหอมมาก ๆ เลย
.ค่ำแล้ว พ่อกลับมาจากโรงเรียนพร้อมปลาสด ๆ อีก 1 พวง แม่เลือกปลาดุกอุยทำต้มยำใบมะขามอ่อน เราตั้งวงกันเมื่อฟ้ามืดสนิท แต่ที่บ้านเรากลับสว่างโพลงด้วยแสงเจ้าพายุ อีกครู่ น้าข้าง ๆ บ้านก็ขึ้นมาสมทบด้วย
ผมนั่งกินข้าวไปฟังพ่อเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ไป ทั้งอร่อย ทั้งง่วง คงเพลียแหละครับ โห!!! เดินตามรอยไถทั้งวัน หากไม่เคยจริง ๆ นะ ไข้ขึ้นเชียวแหละ
.ก่อนหลับคืนนั้น พอเล่าเรื่องทอดแห และปลาหลดให้ฟัง พร้อมรับปากว่า หากเสาร์-อาทิตย์ฝนตก จะพาไปหาปลาหลด จะสอนให้ทอดแหด้วย ว้าวววววว /////
23 มิถุนายน 2546 10:59 น.
ทิดโส
ตอนที่ 2 ..ฝนแรก
............ฟ้ามืดมาตอนประมาณบ่าย 3 แล้วฝนแรกของปีก็พรูพลั่งลงมาราวฟ้ารั่ว พี่ชายคนที่ 3 นำเอาตะเกียงแก๊สมาทำความสะอาด ขัดโป๊ะทองเหลือง ซึ่งกรรมวิธีก็ไม่มีอะไรมาก เอามะขามเปียกและขี้เถ้าคลุกผสมกัน นำมาขัด พักเดียวโป๊ะทองเหลืองก็จะเป็นมันวาว ทำให้เวลาส่องไฟจะเห็นได้ไกลขึ้นใช่แล้ว คืนนี้เราจะไปหาอาหารในท้องทุ่งกัน
.............พ่อกลับมาถึงบ้านแล้ว หลังจากกินข้าวกินปลาเสร็จ 3 คนพ่อลูก ถือตะเกียงแก๊สออกจากบ้าน ซึ่งเจ้าตะเกียงแก๊สกรรมวิธีในการใช้ก็ไม่ยาก เตรียมถ่านแก๊ส ลักษณะคล้ายหินตามทางรถไฟก้อนสีเทาอมฟ้าหม่น จัดให้อยู่ในกระป๋องล่าง ส่วนกระป๋องบนจะใส่น้ำไว้ เวลาจะใช้งานก็เปิดวาวล์น้ำให้หยดลงบนก้อนแก๊ส ทำปฏิกริยาออสโมซีส 5555 ทำให้มีแก๊สจุดไฟติด ต้องการสว่างมากน้อยได้โดยการเร่งหยดน้ำ
..............พ่อกับพี่ชายถือฉมวกคนละอัน ส่วนผมยังเล็ก มีหน้าที่สะพายข้องเปล่า 2 ใบ แม่ไม่ลืมเอางอบมาสวมหัวให้ กันฝนหน่อยลูก เดี๋ยวเป็นหวัด..
..............เราเดินกันมาพอได้ครึ่งเหนื่อย (ใช้พลังงานไปประมาณ 0.73 กิโลแคลเลอรี่ 555) ก็มาถึงจุดหมาย หนองน้ำขุ่น เสียงกบเขียดร้องระงม พ่อเดินไปตามเสียง โดยลูกหาบทั้งสองเดินตาม ไม่นานเกิน 3 ลมหายใจ กบตัวแรกก็ย้ายบ้านมาอยู่ในข้องเล็กเรียบร้อย อะฮ้า!! ตัวใหญ่ซะด้วย ไข่คงเต็มละ ฮิฮิพอได้ตัวแรกพ่อก็หยุด ไม่ส่องไฟอีกแล้ว แต่กลับปลดข้องจากไหล่ของผมออก นำไปวางไว้ข้างคูนาที่มีน้ำท่วมหลังเท้า พ่อบอกว่าเราโชคดี กบตัวที่เราได้เป็นตัวผู้ (เพราะพ่อจะดูที่คางของกบ จะมีปื้นสีดำอยู่แสดงว่าเป็นตัวผู้) เราไม่ต้องหาให้เมื่อย เดี๋ยวพ่อเสกคาถาเอง ว่าไปนั่นแน่ะพ่อเรา 555 ..
................หลังจากวางข้องกบไว้แล้ว พ่อก็พาเดินขึ้นเนินไปอีกหน่อย จะมีทางน้ำไหลลงมาสู่หนอง เจ้าประคุณเอ๊ย!! ปลาหมอไทย แถกเหงือกกันอยู่เต็มไปหมด พ่อเล่าว่า ปลาพวกนี้มันได้กลิ่นน้ำใหม่ มันจะไปหาที่วางไข่น่ะ ก็สนุกผมสิครับ จับปลาหมอใส่ข้องใบใหญ่ซะเพลินไปเลย ตอนแรกก็เอาหมด แต่หลังจากมากเข้าก็เริ่มไม่เอาตัวเล็กแล้ว หาตัวใหญ่ ๆ ท้องนูน ๆ เลย รับรองไข่ทุกตัว ปลาหมอหรือปลาเข็ง นี่นะครับ ย่างพอน้ำตก สับละเอียดเอาก้างออกก่อนนะ ตำข่าอ่อนใส่ ปรุงเครื่องลาบ เหยาะน้ำปลาร้าสุกเข้าไป สับมะม่วงเปรี้ยวเข้าไป โอ้โห!! ผมว่าเป็นปลาที่ลาบอร่อยมาก มันกำลังดีเลย
.................ได้ปลาหมอมาเต็มข้อง จนผมสะพายไม่ไหว พ่อก็รับหน้าที่นั้นไปโดยดุษณี ช่วยไม่ได้ ก็ผมน้องเล็กนี่ 555 เราเดินกลับมาที่ข้องกบอีกครั้ง โอ้โห!!!!! กบตัวเมีย ตัวอวบอ้วน ไข่เต็มท้องทั้งนั้นเลย มาลอยคออยู่ข้าง ๆ ข้องเต็มไปหมด ได้จับกันสนุกเลยละครับ พ่ออธิบายให้ฟังว่า กบตัวผู้ที่เราใส่ข้องไว้ตอนแรก มันจะส่งเสียงร้องออกมา ทำให้ตัวเมียที่ได้ยินจะเข้ามาผสมพันธุ์ ดังนั้น เมื่อเราได้กบตัวผู้แล้ว เราก็ไม่ต้องเมื่อยเดินหาตัวอื่นเลย เอาตัวนี้แหละ เป็นตัวเรียกพรรคพวกมันเข้ามา เออ ง่ายดีแฮะเก่งนะพ่อเรา 5555
.................คืนนั้น เรากลับถึงบ้านยังไม่สองยามเลย เพราะไม่มีอะไรจะใส่ได้แล้วทั้งกบและปลา เต็มมาทั้ง 2 ข้อง แม่จัดแจงเทปลาใส่โอ่งเล็กขังไว้ ส่วนกบก่อนจับออกมาจากข้อง ต้องหักขาก่อน (อึ๋ย) ไม่งั้นกระโดดหนีหมด ทั้งสนุกทั้งตื่นเต้น ผมลืมหนาวไปเลย ล้างแข้งล้างขาเสร็จ คลุมโปงหลับสบาย..
.................ฟ้าเริ่มสว่าง มองเห็นลายมือราง ๆ แล้ว ผมตื่นขึ้นมา ถือตะกร้ากับพี่ชายไปด้วยกัน เข้าสวนเก็บมะม่วง เพราะเมื่อคืนลมแรง คงพัดมะม่วงหล่นลงมาโขอยู่ มะม่วงแก้ว อกร่อง และพิมเสน หล่นเกลื่อนเต็มไปหมด เราเลือกเก็บเฉพาะลูกที่ไม่แตก เพราะลูกที่หล่นตอนแรก ๆ จะแตกหมด เนื่องจากดินยังแข็ง แต่ช่วงหลัง ๆ ที่ฝนตกลงมาแล้วดินจะนุ่ม ลูกที่หล่นทีหลังเลยยังไม่แตก
.................เช้านั้น แม่ทำอ่อมกบ แกงปลาหมอหน่อไม้ดอง เราอิ่มกันจนแทบไม่อยากไปโรงเรียนเลย////
18 มิถุนายน 2546 16:02 น.
ทิดโส
ตอนที่ 1.ก่อกำเนิด เกิดกาย..
..........แม่คลอดผมออกมาเดือนตุลาคม ซึ่งอยู่ในช่วง "เย็นลมหนาว ลมพัดข้าวเอนไหว" พี่ชายอีก 3 คนกำลังรอลุ้นด้วยหัวใจจดจ่อ..อยากได้น้องสาว.อุแว้ อุแว้ อุแว้..555 ชายอีกแล้วครับผม
..........พ่อผมนั่งเหงา ด้วยความผิดหวัง..มั้ง ที่พ่อตั้งใจอยากมีลูกสาวไว้เชยชมสักคน เพราะทะโมนที่เกิดมาก่อนหน้าก็ลูกชายสุดสวาทกันทั้งนั้น เอาเป็นว่า 4 คน ชายล้วน ๆ แต่ไอ้เจ้าคนที่ออกมาดูโลกคนใหม่นี่ ทำไมมันถึงได้ดำจังเลย ด๊ำดำ ประมาณนั้นแหละ คิดดูสิว่า มีอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ผมไม่สบาย ไม่สามารถให้นมลูกได้ เอาไปฝากกับเพื่อนแม่ซึ่งคลอดลูกในช่วงไล่เรี่ยกัน เพื่อให้ช่วยป้อนนมแทนให้ด้วย แกยังไม่เต็มใจจะให้ผมกินนมของแกเลย แหมมันช่างดำน่าเกลียดอะไรปานนั้น.บักมืดเอ๊ย 555
..........ผมเติบโตขึ้นมาด้วยความฟูมฟักของครอบครัวใหญ่ มียาย พ่อ แม่ น้าสาวอีกหลายคน รวมทั้งพี่ชายอีก 3 พระหน่อ สำหรับเด็กช่างพูด นาน ๆ เข้า ไอ้เจ้าความด๊ำดำก็ไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป พ่อผมบอกว่า ตอนเกิดใหม่ กลัวผมพูดช้า แกเลยเอากบมาตีปากผม แล้ววันนั้นพ่อไปหากบได้มาหลายตัว ก็เลยจับทุกตัวมาตีพร้อม ๆ กันซะเลย นี่คงเป็นอานิสงฆ์อีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผมพอจะพูดคุยได้แบบน้ำไหลไฟสว่าง 555
..........ยายผมเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งมีอยู่ร้านเดียวนั่นแหละ ขายสารพัดชนิด เท่าที่จะหามาขายได้ เจ้าประคุณเอ๊ย! กว่าจะเอาของมาขายนี่นะ นั่งรถสองแถวบุโรทั่งจากตลาด เข้ามาประมาณ 4 กม. แล้วต้องหาบของเดินตัดทุ่งนาอีกประมาณ 2 กม. กว่า ๆ เพราะที่บ้านผมไม่มีถนนหรอกครับ เมื่อปีนั้นยังเป็นดงช้างป่าเสืออยู่เลย น้ำแข็งเราไม่เคยรู้จัก เพราะหากหาบเข้ามาก็คงละลายหมดพอดี
..........พ่อผมมีควายอยู่ 10 กว่าตัว ไว้ให้ชาวบ้านเช่าทำนา พอได้ค่าเช่าเป็นข้าวไว้หุงกิน ที่บ้านผมไม่มีที่นาครับ พ่อก็เป็นครูประชาบาลจน ๆ เงินเดือน 480 บาทถ้วน. สมัยนั้นยังขี่ม้าไปสอนหนังสืออยู่เลยนะครับ พี่ชายไปเรียนหนังสือชั้นประถม ผมก็ติดไปด้วย ได้หัดเรียนเขียนอ่านตั้งแต่ยังเล็กนั่นแหละครับ พ่อซื้อกระดานชนวนให้ 1 แผ่น แหมมันดูโก้เก๋ไม่หยอกเชียวนะ เวลาเขียนผิด ครูก็จะให้เอาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ลบออก แต่ทะโมนตัวด๊ำดำ ไม่ทำหรอกครับ เชยอย่างผมต้องถ่มน้ำลายปริ๊ด เอามือถู ๆ แฮะ แฮะ เรียบร้อย
..........บ้านเราเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ใต้ถุนสูง มีนอกชานกว้าง เวลากินข้าวเย็นเราก็จะมารวมกันเป็นวงใหญ่ กินไปพูดคุยกันไป ส่วนมากก็ผมนี่แหละครับ ตัวพูดมากประจำวง แต่ไม่มีใครว่าครับ เพราะตอนนั้นถือว่า เป็นลูกหล้า (ลูกคนเล็ก) เวลาแกงปลาที่มีไข่ หรือพุงปลา ก็เสร็จผมละครับ แม่จะเก็บไว้ให้ เวลาพี่ ๆ จะกินมั่งแม่ก็จะบอกว่า เอาให้น้องเถอะลูก น้องยังเล็ก
..........แสงสว่างภายในบ้านโดยมากก็จะเป็นตะเกียงน้ำมันก๊าด แต่เวลาเราอยู่พร้อมหน้า พ่อจะจุดตะเกียงเจ้าพายุ สว่างไสวมาก ในสมัยนั้นนะ กรรมวิธีการจุดก็ไม่ยาก มันจะมีท่อสูบลมเล็ก ๆ เราก็อัดลมเข้าไปให้เต็ม แล้วภายในโป๊ะจะมีถ้วยเล็ก ๆ ไว้ใส่แอลกอฮอล์ เพื่อจุดเป็นไฟล่อ พอลมเต็มเราก็จะจุดไฟล่อ แล้วปล่อยลมให้ดันน้ำมันมาเบา ๆ จนสว่างโร่ไปทั่วผมยังจำได้ดี เราใช้ไส้ตะเกียงเจ้าพายุโคลท์แมน เค้ามีมอตโต้เด็ด ๆ ที่ผมยังจำไม่ลืมคือ ."ไส้ตะเกียงเจ้าพายุโคลท์แมน ส่องแสงแทนสุริยาในราตรี". โอ้โห!! สุดยอดการใช้ภาษาไทยเลยนะเนี่ย จำได้สนิทเลยชอบมาก
..........หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เราก็จะนั่งฟังนิยายทางวิทยุกัน ซึ่งช่วงนั้นมีคณะละครที่ฮิต ๆ ก็ กันตนา, นีลิกานนท์ (ขออภัยหากสะกดผิด), เกษทิพย์.ซึ่งเป็นคลื่น เอ เอ็ม ผมชอบมากอยู่เรื่องหนึ่งแบบฝังใจเลยนะ ฟังไปก็อินตามไปด้วย น้ำตาไหลเวลาเศร้า สงสารนางเอกน่ะ เรื่อง"จันทน์กะพ้อร่วง" โอ้โห!! ชอบมาก โดยเฉพาะเพลงประกอบละครนะ ชื่อเดียวกับเรื่อง ขับร้องโดยอาจารย์มัณฑนา โมรากุลพอได้เวลาก็ ดอกจันทน์กะพ้อร่วงพรู เจ้าไม่ใช่ร่วงสู่ แผ่นดินแห่งไหนโดยง่าย ลมพา เอากลีบกระจาย ร่วงปลิวพราวพลิ้วพราย ไม่มีที่หมายใด ยังประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้/////