22 สิงหาคม 2545 21:02 น.
ทรายหวาน
ชอบถามกันจัง. . . . ว่ารักคืออะไร. . .
คุณตกหลุมรักเข้าแล้วจริงๆ น่ะหรือ ?
คือ รัก หรือ หลง ความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้ มักมาพร้อมกัน
ใกล้เคียงกันจนแทบแยกไม่ออก
จนวันที่คุณมีสติพอที่จะแยกแยะว่า "รัก" หรือ "หลง" เขา หรือ เธอ
คนนั้นเข้าให้แล้ว
คุณจะพบว่า มันช่างมีความหมายแตกต่างกัน มากมายเหลือเกิน
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ากำลังตกหลุมรัก หรือ เพียงแค่หลง กันแน่
คิมเบอร์ลี่ ซอนเดอร์ส จากเลดี้ไฟร์ แมกกาซีน บอกว่า
"Love is something different. Something more."
ไม่ใช่ แค่มีนัดรับประทานอาหารกันบ่อยๆ รู้สึกดีๆ ให้กันเท่านั้น
แน่ล่ะคุณรู้สึกมีความสุข อยากจะพบ อยากเห็นหน้าเขาบ่อยๆ
แต่นั่นยังไม่มากพอที่จะบอกว่า คือ ความรัก
รักคือ...การที่คุณไม่สามารถจะหยุดคิดถึงเขา/เธอ
ได้โดยไม่สามารถหาสาเหตุได้ รู้แต่ว่ารู้สึกดีที่จะเป็นเช่นนั้น
รักคือ...รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นอย่างอัตโนมัติ
ยามที่คุณได้รับโทรศัพท์จากเขา/เธอ
หรือตอนที่คุณพบ อี-เมล์ ที่ส่งมาจากเขา/เธอ ในตอนเช้าเวลาที่
เช็คเมล์
รักคือ...การที่คุณอยากจะรู้จัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา/เธอ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาแต่หนหลัง
ตัวตน รวมทั้งความฝัน และทุกถ้อยคำที่เขา/พูด คุณจะตั้งอกตั้งใจฟัง
เพราะคุณแคร์ทุกอย่างแม้แต่ความคิดของเขา/เธอ
รักคือ...คุณยอมทำสิ่งดีๆ ทุกอย่างเพื่อให้เขา/เธอมีความสุข
เพราะนั่นหมายถึงคุณจะมีความสุขไปด้วย
รักคือ...คุณไม่แคร์สิ่งใดทั้งสิ้น
ไม่ใช่เพราะคุณยอมที่จะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
หากคุณไม่แคร์สิ่งใดทั้งสิ้น หากคุณได้ทำทุกอย่างให้คนที่คุณรักพอใจ
รักคือ...ความรู้สึกเมื่อคุณอยู่ใกล้เขา/เธอ ล้วนรู้สึกอบอุ่น
มั่นคง
คุณสามารถแบ่งปันความฝัน
ความกลัว รวมทั้งเปิดเผยความลับได้อย่างไม่เคอะเขิน
รักคือ ...คนที่คุณรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
เป็นคนแรกที่คุณโทรหาไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย
เป็นคนเดียวที่คุณขอคำแนะนำ
ทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกรวมกันในคนๆ เดียวที่คุณบอกว่า "ใช่"
คนที่ทำให้หัวใจคุณเต้นแรงทุกครั้ง
ในยามที่เอ่ยปากบอกว่า "รัก"
21 สิงหาคม 2545 20:04 น.
ทรายหวาน
ฉันอาจเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่ง ที่มีแสงเพียงน้อยนิด
อาจจะไม่จำเป็นเลยในบางช่วงบางขณะ
ที่พระจันทร์ทอแสงนวลกระจ่าง
เธออาจจะทิ้งฉันไว้ข้างทางก้อเป็นได้
หากเธอคิดว่าฉันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
ฉันจึงเปรียบตะเกียง เป็นดั่ง ตัวฉัน...
ส่วนเธอน่ะ เป็น นักเดินทางคนนึง...
ส่วนเค้าคนนั้น เป็น พระจันทร์....
นักเดินทางคนหนึ่งกับตะเกียงดวงเก่า
ตะเกียงที่ให้แสงสว่างในค่ำคืนที่มืดมิด
ตะเกียงที่ให้ความอบอุ่นได้
เมื่อนักเดินทางผู้นั้นต้องการ
ในค่ำคืนที่สายลมหนาวได้ผ่านพัดมาอีกครา
การเดินทางของนักเดินทางผู้นั้นก้อมี
ตะเกียงเป็นเพื่อนคู่ชีพ
แสงเพียงน้อยนิดที่พอจะส่องทางได้เป็นระยะๆ
ทำให้นักเดินทางผู้นั้นเริ่มไม่พอใจในสิ่งที่ เค้ามีอยู่
เมื่อเค้ามีเพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วมทางก็ได้กล่าวว่า
"จะใช้ตะเกียงดวงเก่านี้ไปทำไม
ในเมื่อแสงจากพระจันทร์ออกจะสว่างถึงเพียงนี้"
นักเดินทางผู้นั้นคิดได้จึงทิ้งตะเกียงผู้น่าสงสารไว้ข้างทาง
หลงเชื่อคำกล่าวของเพื่อนร่วมทาง
ซึ่งเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาแล้วก้อผ่านไป
ค่ำคืนนั้น เป็นคำคืนที่ยาวนานสำหรับฉัน...
...ตะเกียงผู้ถูกทอดทิ้งไว้ข้างทาง
ก้อเค้าไม่สนใจแม้แต่น้อย
กลับกัน เธอนักเดินทางที่กำลังหลงระเริง
กับแสงจากพระจันทร์
ที่ส่องแสงนวลกระจ่าง มันสวยงาม มันชวนฝัน
นักเดินทางผู้นั้นจึงเดินทางไปเรื่อยๆ เพียงลำพัง
แค่สัมภาระ ไร้ตะเกียงดวงเก่า!
เมื่อความมืดมิดแห่งค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป
แสงจันทร์ที่เคยกระจ่างยามค่ำคืนก้อเลือนหาย
ดวงตะวันได้โผล่ขึ้นมารับอรุณบอกกับทุกคนที่อยู่ใต้ผืนฟ้าว่านี่คือ
เช้าวันใหม่ ..............
สายลมหนาว ผ่านพัดมาเยือนอีกครา
ผ่านพัด เป็นลมหนาวที่เย็นยะเยือก
ตะเกียงดวงเก่าที่ถูกทอดทิ้ง
บัดนี้
นักเดินทางอีกคนได้ผ่านมาพบจึงเก็บไว้เป็นสมบัติตน
ตะเกียงจึงกลับกลายเป็น ของมีค่าอีกครั้ง
มันได้ทำหน้าที่เช่นเดิม คือ ให้แสงสว่างและ
ความอบอุ่นไปพร้อมๆ กัน
เมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้วลำแสงสุดท้ายของวันเป็นสีส้มเป็นแสงสว่างสุดท้ายของวันนี้
ค่ำคืนได้ย่างกรายเข้ามา สายลมหนาวก้อเริ่มพัดแรงขึ้นๆ
ดวงจันทร์ที่เคยทอแสงกระจ่างกลับถูกหมอกเมฆบดบังจนสิ้น!
ราวกับจะกลั่นแกล้งนักเดินทาง
คนเก่าที่เคยเป็นเจ้าของตะเกียง
เค้าผู้นั้นไม่มีแม้แต่แสงไฟที่จะใช้ส่องทางและเช่นกัน
เค้าไม่มีแม้กระทั่งความอบอุ่น
นักเดินทางหนาวสั่นจะเดินต่อก็กลัว หลงทาง
เค้าจึงย้อนกลับไปเอาตะเกียงดวงเก่าที่ได้ทิ้งไว้เมื่อคืนก่อน
... ลมหนาวได้ผ่านพัดมา ราวกับจะทรมานนักเดินทางผู้นั้น
จนกระทั่งมาถึงจุดที่เขา ได้ทิ้งตะเกียงไว้
บัดนี้ตะเกียงดวงเก่าได้ สาปสูญไปแล้ว
เค้านึกเสียดายจับใจ
แม้จะเรียกร้องเพียงใดก้อมิได้กลับคืน
จึงทำได้แต่เพียงนอนหนาว
รอให้เมฆหมอกที่บดบังดวงจันทร์นั้นได้ผ่านเลยไป
เวลาได้ผ่าน........
เมฆหมอกได้เลือนหายไปแล้ว
แสงจันทร์ได้กลับมาสดใสอีกครา
ทำให้นักเดินทาง ผู้เหน็บหนาวอุ่นใจขึ้น
แต่ดวงจันทร์ก้ออยู่ไกลเกินไป.......
ไกลเกินที่จะทำให้นักเดินทางผู้เหน็บหนาวได้รับความอบอุ่น
เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า
"เรามักจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราครอบครองนั้นดีเพียงไรมีคุณค่ากับเราเพียงใด
เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว"
เพราะฉะนั้นฉันจึงอยากให้ผู้ที่ใฝ่สูงทั้งหลายจงหันกลับมามองคนใกล้ตัว
การชะเง้อมันเมื่อยกว่าการก้ม จริงไหม?
21 สิงหาคม 2545 19:59 น.
ทรายหวาน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 10 ปีมีค่าขนาดไหน
ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าขนาดไหน
ถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน
ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 9 เดือนมีค่าขนาดไหน
ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าขนาดไหน
ถามมารดาที่คลอดบุตรยังไม่ครบกำหนด
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 อาทิตย์มีค่าขนาดไหน
ถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน
ถามคนรักที่รอพบกัน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 นาฑีมีค่าขนาดไหน
ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือบิน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาฑีมีค่าขนาดไหน
ถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยวหนึ่งของวินาฑีมีค่าขนาดไหน
ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ชนะเหรียญเงิน
ถ้าท่านอยากรู้ว่ามิตรภาพมีค่าขนาดไหน
เสียเพื่อนสักคนหนึ่ง
เวลาไม่เคยรอใคร
เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก
จงใช้เวลาของท่านทุกขณะอย่างดีที่สุด
ท่านจะรู้คุณค่าของเวลาเมื่อท่านแบ่งปันกับคนที่พิเศษสุดในชีวิตของท่าน
21 สิงหาคม 2545 19:56 น.
ทรายหวาน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ............
ดอกไม้และใบ้ไม้ยังไม่ได้รวมอยู่บนต้นเดียวกันอย่างเช่นทุกวันนี้
มันต่างก็แยกกันอยู่ ..........
อีกทั้งเหล่าใบไม้ก็ไม่ได้มีแต่สีเขียวหากแต่มีหลากหลายสีสัน งดงามนัก
แต่ดอกไม้กลับมีเพียงสีขาวเท่านั้น.........
ใบไม้รวมอยู่กับ หมู่ใบไม้ด้วยกัน มีแต่ความร่าเริง มีนิสัยรักสนุก
ต่างจากดอกไม้ที่อยู่อย่างเงียบเหงา เดียวดาย
แม้จะอยู่รวมกันคุยกันกับหมู่ดอกไม้ด้วยกันแต่ดอกไม้แต่ละดอกต่างมีความคิดและวาดฝันเป็นของตัวเอง เธอเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่าง ที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
...........บ่อยครั้งที่เธอมองไปที่ใบไม้
แล้วนึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของสีสันสวยงามนั้นบ้าง
แต่ดอกไม้ดอกเล็กและเสียงเบาเกินกว่าที่จะเรียกใบไม้ให้หันมา กระทั่งวันหนึ่ง...ใบไม้เกิดรู้สึกเบื่อสีสันของตัวเองขึ้นมา อย่างไม่มีเหตุผล
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นดอกไม้น้อย สีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งเข้า ใบไม้ไม่รู้จักสีขาวมาก่อน เขา ไม่รู้ว่าสีขาวเป็นอย่างไร
เพราะใบไม้ต่างก็มีสีสันกันทุกใบ........ ใบไม้เกิดหลงใหลในความอ่อนหวานละมุนละไม ของดอกไม้น้อยในทันที
แต่ในความอ่อนหวานนั้นดูเหมือนจะมี ความเหงาแฝงอยู่ด้วย ........ ใบไม้จึงเข้าไปถามดอกไม้ว่า
"ดอกไม้ เธอช่างมีสีขาวสวยเหลือเกิน แต่ทำไมเธอจึงดู เงียบเหงาอย่างนี้เล่า"
ดอกไม้น้อยแหงนมองใบไม้กิ่งใหญ่ แข็งแรงก่อนจะตอบกลับไปว่า "สีขาวซีดอย่างนี้หรือสวย ฉันอยากจะมีสีสันอย่างเธอบ้างจัง มันคงจะทำให้ฉันมีชีวิต ชีวาขึ้นมาก"
ใบไม้ได้ฟังแค่นั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็น หน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยเหลือ ดูแล และปกป้อง ดอกไม้ น้อยดอกนี้ เขาจึงบอกเธอไปว่า
"มาซิดอกไม้ ฉันช่วยเธอ ได้นะ ถ้าเพียงเธอมาอยู่กับฉันฉันจะทำให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้นเอง"
ดอกไม้น้อยไม่รอช้ารีบตอบตกลงในทันที เมื่อดอกไม้ไปอยู่กับใบไม้แล้ว
ใบไม้ก็ให้การดูแลเธอ อย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อเธอ ถ่ายทอดออกมา เป็นสีสันสวยงามให้กับดอกไม้ แล้ววันหนึ่งเมื่อดอกไม้น้อย มองลงไปในลำธาร
เธอก็เห็นเงาตัวเองเปลี่ยนเป็นดอกไม้ สีสวยที่มีชีวิตชีวา
แต่เมื่อหันไปมองที่ใบไม้ เขากลับกลาย เป็นสีเขียวที่ดูอบอุ่นนัก ดอกไม้น้อยถามใบไม้ว่า "ใบไม้ นี่ฉันแย่งสีสันในชีวิตเธอมารึเปล่านะ"
ใบไม้ยิ้มแล้วตอบ กลับไปว่า "ไม่หรอก ทุกวันนี้เธอคือสีสันในชีวิตฉัน ฉันไม่ต้องการสีสันอะไรอีกแล้ว ฉันมีเพียงความสบายใจที่ได้ เธอมีความสุข"
จากนั้นมา ดอกไม้กับใบไม้ก็อยู่ร่วมกันเป็น ต้นไม้ที่อบอุ่น บนรากของความรัก ที่หยั่งลึกลงไปในผืน ดินของหัวใจ ด้วยเหตุนี้ ใบไม้จึงมีสีเขียว
สีเขียวที่มองแล้วให้ความรู้สึก สบายตา
เพราะเมื่อเรามองดูสีเขียวเมื่อไรเราจะรับรู้ได้ถึง ความสบายใจของใบไม้ที่เห็นดอกไม้น้อยของเขามีความ สุข ส่วนดอกไม้ขาวที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ อ่อนหวาน ละมุนละไมนั้น ดอกไม้คงไม่อยากให้ความรู้สึกเหล่านี้หาย ไป จึงยังคงมีดอกไม้สีขาวให้เราเห็นมาจนทุกวันนี้ด้วยเช่น กัน...
21 สิงหาคม 2545 19:54 น.
ทรายหวาน
ใครที่ผูกนาฬิกาบ่อยๆ จนติด
คงจะรู้สึกได้ในวันที่นาฬิกาหายไปจากข้อมือ
ฉันเองก็เป็นคนที่ผูกนาฬิกามาตลอด
หากวันไหนลืมจะรู้สึกว่าบางอย่างมันหายไป มันว่างๆ
และขัดเขินทุกครั้งที่ยกข้อมือที่ว่างเปล่าขึ้นมาดู
เมื่อราวสองปีก่อนที่นาฬิกาเรือนโปรดของฉันพัง
ด้วยความไม่มีสติเอาข้อมือไปทุบผนังห้องน้ำเล่นๆ
โชคร้ายที่มือไม่เป็นอะไร นาฬิกาต่างหากที่พินาศ
- กระจกร้าว
ฉันถอดมันออกวางไว้ไม่ยอมเอาไปซ่อม
ด้วยว่ารู้สึกถึงภาพเก่าและวันเวลาที่เก็บอยู่ในนั้น
ฉันคิดโง่ๆ ว่าภาพเหล่านั้นจะตายไปพร้อมนาฬิกา
ฉันเลิกผูกนาฬิกา
และพบว่าตัวเองมีอาการยกข้อมือเก้อ-เก้ออยู่เป็นเวลานานพอดู
ความเคยชินเกิดขึ้น
เมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นประจำในระยะเวลานานพอควร
และยังคงความเคยชินอยู่
เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งนั้นหายไปในระยะแรกๆ
จนเวลาผ่านไปนาน
ฉันจึงเริ่มชินกับการแอบมองเข็มนาฬิกาบนข้อมือคนอื่น
เวลาผ่านไป พร้อมกับบาดแผลที่เริ่มเลือนหาย
ฉันตัดสินใจซ่อมนาฬิกา
นาฬิกาเรือนโปรดเรือนนั้นก็กลับมาอยู่บนข้อมือฉันได้เกือบอาทิตย์กว่าแล้ว
เมื่อมันกลับมาวันแรกๆ ฉันรู้สึกไม่คุ้น
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่คุ้น
ฉันยังแอบมองนาฬิกาบนข้อมือคนอื่นอยู่เหมือนเดิม
ฉันรู้สึกเขินแกมขำทุกครั้งที่แอบมองข้อมือคนอื่น
ทั้งๆ ที่มีนาฬิกาอยู่บนข้อมือของตัวเอง
ฉันนึกถึงใครบางคนที่มักจะปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้มเสมอๆ
ในบางช่วงที่เขาหายหน้าหายเสียงไป
ฉันรู้สึกขาดๆ แต่ก็เพียงชั่วเวลาสั้นๆ
ในบางครั้งฉันพอใจที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ
ในวันที่ไม่แข็งแรง
แต่ในบางครั้งฉันกลับรู้สึกพอใจ
กับการได้เดินคนเดียว-เดี่ยว-เดี่ยวในวันว่าง
หรือเป็นความผูกพัน หรือเป็นเพียงความเคยชิน
--หัวใจฉันยังตอบคำถามได้ไม่กระจ่างชัดนัก
คนเราจะรู้ค่าก็ต่อเมื่อเราสูญเสียสิ่งนั้นไป
--ฉันมักได้ยินใครๆพูด
แต่ฉันกลับคิดว่าหากฉันยังมองไม่เห็น
ฉันน่าจะยอมเสียไปดีกว่าเพื่อให้ซึ้งถึงคุณค่านั้น
ฉันไม่อยากเอาเปรียบเขา
หากจะรั้งเขาไว้ด้วยความคุ้นเคยที่ไม่ใช่ความผูกพัน
ฉันไม่อยากโกหกตัวเอง
หากจะรั้งเขาไว้ด้วยความไม่แน่ชัด
ฉันมีคำถามที่ยังขบไม่แตกกับคำว่า
ผูกพัน หรือว่าจะเป็นแค่คุ้นเคย
บางทีมันอาจจะเป็นการดี
หากฉันจะอยู่ห่างๆหรือตัดขาด
เพื่อให้รู้จักหัวใจของตัวเองมากขึ้น
กับใครบางคนที่ขาดหายไปจากชีวิตอาจเป็นเหมือนนาฬิกาที่ขาดสายอาจรู้สึกแปลบๆและมองหากับการหายไปในช่วงแรก แต่ไม่นาน.คงจะชิน