6 เมษายน 2552 19:35 น.
ทรายกะทะเล
ในทุกๆ วันที่ 6 เมษายน ของทุกปีนั้นถือเป็นสำคัญอีกวันหนึ่งของไทย นั่นคือ วันจักรี ซึ่งเป็นวันที่เราจะร่วมกันระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รวมถึงมหาจักรีบรมราชวงศ์ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำประวัติและความสำคัญของวันนี้มาฝากกันค่ะ
ประวัติการตั้งชื่อวันจักรี นั้นเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 6 เมษายน ปี พ.ศ. 2325 นั้นเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และยังทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทยอีกด้วย และยังเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปของพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 พระองค์ ซึ่งก็คือรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 4 เพื่อประดิษฐานไว้ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมาและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงข้าราชการและประชาชน ได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง
โดยได้มีการโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และได้มีการย้ายที่อีกหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นพระพี่นั่งพุทไธสวรรย์ปราสาทหรือพระที่นั่งศิวาลัยปราสาท ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้ย้ายพระบรมรูปของทั้ง 4 พระองค์ มาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5
ซึ่งการซ่อมแซม ก่อสร้าง และประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาล มาแล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จึงได้มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูป ในวันที่ 6 เมษายน ในปีนั้น และได้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า "วันจักรี"
และทั้งหมดก็คือความเป็นมาของวันจักรี ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่วันหยุดราชการธรรมดาๆ แต่เป็นวันที่ประชาชนทุกคนควรระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์
6 เมษายน 2552 19:31 น.
ทรายกะทะเล
พระนามเดิม สิน (จากพระราชสาส์นที่ทรงมีไปถึงพระเจ้ากรุงจีนใน พ.ศ. 2324 ทรงลงพระนามว่า แต้เจียว) ทรงเป็นบุตรชายของขุนพัฒน์ตำแหน่งนายอากร ชื่อหยง มารดาชื่อนกเอี้ยง ประสูติเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2277 ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ บ้านของขุนพัฒน์(หยง) อยู่หน้าบ้านของเจ้าพระยาจักรี ขุนพัฒน์นำบุตรชายไปไว้ในความอุปการะของเจ้าพระยาจักรี ซึ่งเจ้าพระยาจักรีได้นำเเด็กชายสินไปฝากให้รับการศึกาาอบรมอยู่ในสำนักพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส จนอายุได้ 13 ปี มีความรู้อ่าน เขียน หนังสือไทยเป็นอย่างดี เจ้าพระยาจักรีจึงนำเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในระหว่างนี้นายสินได้ศึกษาวิชาหนังสือเพิ่มเติม จนสามารถอ่านเขียนพูดภาษาต่างๆ ได้หลายภาษานอกจากภาษาไทย เช่น จีน ญวน บาลี และนายสินสนใจ ศึกษากฎหมาย เป็นพิเศษ ได้ศึกษาอยู่จนถึงระยะอุปสมบท
ก็กราบถถวายบังคมลาไปอุปสมบทที่วัดโกษาวาส ซึ่งเป็นระยะเดียวกับนายทองด้วง (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) อุปสมบทอยู่ที่วัดมหาทลาย ครั้นเมื่อลาสิกขา ออกมาแล้ว ทั้งนายสินและนายทองด้วงเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กต่อไปในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ต่อมาในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์(พ.ศ.2301-2310) นายสินซึ่งมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีได้รับการแต่งตั้งเป็นหลวงยกกระบัตร อันเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาทางกฎหมายไปประจำอยู่ที่เมืองตากทำหน้าที่นั้นอยู่จนพระยาตากถึงแก่อสัญกรรม หลวงยกกระบัตร(สิน) จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองตากต่อมา(คนนิยมเรียกกันว่า พระยาตากสิน จนแม้กระทั่งทรงเป็นกษัตริย์แล้ว ก็ยังเรียกว่า พระเจ้าตาก หรือพระเจ้าตากสิน หรือขุนหลวงตาก) ครั้นเมื่อพม่าล้อมกรุงฯ ในปี พ.ศ.2308 พระยาตาก(สิน) ก็ถูกเรียกตัวเข้ามาช่วยป้องกัน(ซึ่งขณะนั้นเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็น พระยาวชิรปราการ ตำแหน่งเจ้าเมืองกำแพงเพชร) ท้อใจว่า ถ้าอยู่สู้กับพม่าในกรุงศรีอยุธยาคงต้องเสียชีวิต เพราะข้าศึกเข้ามาฆ่า หรือไม่ก็เพราะต้องพระราชอาญาเป็นแน่แท้ จึงตัดสินใจพาทหารคู่ใจราว 1,000 คนโจมตีพม่าไปตั้งตัวที่เมืองจันทบุรี
ครั้งต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในเดือนเมษายน พ.ศ. 2310 แล้ว พระยาตากรวบรวมกำลังคนได้เพียงพอแล้วก็นำทัพเรือ จากจันทบุรีเข้าขับไล่พม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาได้ทั้งหมด หลังจากที่เสียกรุงไปเพียง 7 เดือนเท่านั้น หลังจากนั่งช้างตรวจสภาพความเสียหายของบ้านเมืองแล้ว พระยาตากก็เห็นว่าไม่สมควรจะใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางของไทยในสมัยนั้นและได้เล็งเห็นว่า กรุงธนบุรีเหมาะที่จะใช้เป็นเมืองหลวงต่อไป การสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงและพิธีพระบรมราชาภิเษก กระทำขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2310 ทรงตั้งนามเมืองหลวงว่า กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ส่วนพระองค์เองนั้นมีพระนามปรากฏหลายพระนาม เช่น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวบรมหน่อพุทธางกูรบ้าง สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 บ้าง ขุนหลวงตากบ้าง พระเจ้ากรุงธนบุรีบ้าง ขณะที่ทรงครองราชย์นั้น พระชนม์ได้ 34 พรรษา พระองค์ครองกรุงธนบุรีอยู่จน พ.ศ. 2325 จึงสวรรคตเมื่อ 6 เมษายน 2325 อันเป็นปีเดียวกันกับที่พระพุทธยอดฟ้าขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
6 เมษายน 2552 19:19 น.
ทรายกะทะเล
ค่าหัวใครบอกหนาว่าจับได้ให้หนึ่งล้าน
แม้นกี่ล้าน ก็ไปจับเขาไม่ได้
เก่งจริงต้องมีเอกสาร รอบโลกไป
อย่าไปว้ำช้ำเติมเขาด้วยเลย
กับอกีว่า ตัวเองอยากเกาะติดเป็นรัฐบาล
สร้างอ้างข่าวว่าเพิ่งสามเดือนยังไม่ได้ผลเฉย
ส่วนรัฐบาลเก่า ยังอยู่ ไม่กี่เดือนเตือนนะเอย
หน้าตาเฉยหน้าด้าน ปิดข่าว หลายอย่างพลัน
เก่งจริงก็อย่าไปปรึกษานายากเก่าแก่ก่อน
ที่แท้ตอนเอาตำแน่งถือว่ามีเลือดเป็นเจ้านั้น
แต่กับคนธรรมดาที่รวยมาได้นั้นอิจฉาพลัน
เอากาวตาช้างมาติด.....คงไม่ไป
ทำไมสิ่งที่สำคัญไม่ทำก่อน
เรื่องทหารตายไป เป็นเป็นผักปลาไฉน
ทำไมต้องมาแก้ตัวตื่นตูมชูตัวใคร
โอ้...ชาติไทย ขอให้พระสยามธรรมมาธิราชย์ ....ปกป้องกัน
3 เมษายน 2552 00:12 น.
ทรายกะทะเล
อุ้มท้องพวกเธอมาตั้งเก้าเดือน
รักษาไม่เอื้อนเอ่ยใจมีแต่จะรักษา
พวกเธอทำฉันยังกะไม่มีชีวิตจิตใจเลย
เหนื่อยนอนก็ไม่ได้เหมือนตายทั้งเป็น
เคยดีใจที่เคยเกิดพวกเธอมา
อยากรักษาต่อไปแต่ไม่ไหว
พวกเธอทำให้ฉันระกำใจ
สอนทุกอย่างพูดก้แล้วไม่เชื่อฟัง
ไม่เชื่อฟังไม่ว่า ...คงสังวรณ์
นึกว่าอาวรณืถึงแม่บ้างให้ใจฝัง
ทำเป็นเหมือนไม่มีฉันอยู่ในโลกนี้จัง
ไม่ไหวพลังจากใจน้อยลงทุกที
พ่อของเธอนึกว่าเหรอจะเล่นเกมส์
อยากจะเค็มชนะคนอย่างฉันทำไมนี่
เมื่อใจเธอไม่มีแนอยู่ตรงนี้
อยากให้การที่ฉันดีต่อพวกเธอ...พอกันที
ร้องไห้...เมื่อไรจะต้องถึงตอนจบ
ฉันพยายามพบสิ่งที่ดีดีให้เข้าไปในผ้าขาวนี้
แต่พ่อเธอนี้ดาวดหลดข้อมูลแม่เธอว่าไม่ดี
ขอชาตินี้จบวันนี้ไม่มีอีกแล้วเอย
จากวงจร..เคยอยากจะเลี้ยงลูกให้ได้ดี
มันไม่มีสิทธิแล้วไม่แคล้วเฉย
ฉันขอเดินจากลาอย่างเฉยเมย
ไม่อยากเล่นเกมสืปัญญาอ่อน...อีกต่อไป....
ฉันเป็นคนไม่มีสามีและลูก..........
เสียใจที่สุด
31 มีนาคม 2552 22:18 น.
ทรายกะทะเล
I would like to have freedom and imagine, art, science
If I can choose, I will choose my parents.....