30 กรกฎาคม 2553 23:00 น.
ทรายกองดิน
@@....ทุกครั้ง....
ที่เขาคิดถึงเธอ......
เขามักจะหยิบจดหมายฉบับนี้ของเธอขึ้นมาอ่านเสมอ.....
เธอเขียนถึงเขา......
ก่อนที่เธอจะจากลาเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ.....
เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึก.....
และจดจำทุกตัวอักษรในจดหมายฉบับนี้.....ได้อย่างไม่มีวันลืมเลือน
เธอเขียนถึงเขาว่า.....
ถ้าวันหนึ่ง...ฉันและเธอจำต้องจากกันไป...
หวังว่า....เรื่องราวของฉันและเธอ......
มันจะไม่ลบเลือนหายไปจากความทรงจำของเธอนะ.....
ฉันเองก็เช่นเดียวกัน.....
จะมีเธออยู่ในความทรงจำดีๆ ของฉันตลอดไป....
รักเธอเสมอ.....
จาก....ปลายฟ้า
หลังจากวันที่เขาได้รับจดหมายฉบับนี้แล้ว....
วันถัดมา....เขาก็ได้รู้ข่าวจากเพื่อนๆ
ว่า....เธอได้ดับชีวิตตัวเธอเองแล้ว
ด้วยสาเหตุบางประการ....ที่เธอไม่เคยบอกใครเลย....แม้แต่เขา
@@ เป็นเวลาที่ผ่านมาหลายปีแล้ว.....ที่เธอได้จากไป.....
และเขาคิดว่าสมควรแล้วที่เขาจะลืมเธอ.....
เพื่อเริ่มต้นความรักกับหญิงคนใหม่ที่เขาจะแต่งงานด้วย....
เขาค่อยๆ พับจดหมายฉบับนั้นแล้วนำเข้าไปแทรกในหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นหนังสือ........
17 กรกฎาคม 2553 13:41 น.
ทรายกองดิน
@@ ความคิดถึง....
เปรียบเหมือนพลังอย่างหนึ่ง....
ที่คนๆ หนึ่งส่งออกมา....
ถึงแม้ว่า...
อีกคนหนึ่งนั้น.....
จะอยู่ไกลแสนไกล....
แต่เชื่อแน่ว่า....
คนๆ นั้นจะรับรู้ได้....
และสัมผัสได้กับความคิดถึงนั้น....
++ ฝากความคิดถึงนี้ไปถึงเธอคนนั้นด้วย ++
14 กรกฎาคม 2553 16:06 น.
ทรายกองดิน
....ตะวันใกล้จะพลบค่ำลง....
@@ เขากำลังยืนเดียวดายอยู่ที่ริมทะเล....
สายตาของเขา...มองทอดยาวไปยังขอบทะเลที่ไกลลิบ ลิบ....
เขาปล่อยใจให้โปร่งสบาย ลืมเรื่องวุ่นๆ ลงไว้ชั่วขณะ....
นี่...ช่างเป็นเวลาแห่งความสุขของเขาเสียนี่กระไร...
ลมทะเลพัดเย็นมาอย่างต่อเนื่อง คลื่นซัดสาดหาดทรายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย...
แต่ก่อนที่แสงตะวันสุดท้ายจะหมดไป...
ดูเหมือนว่า...เขาอยากจะหยุดช่วงเวลานี้เอาไว้....
เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศ อันแสนสุขนี้ตลอดไป...
เขาค่อยๆ หลับตาลง และสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนปล่อยมันออกมาอีกครั้ง....
พลันทันใดนั้น....เขาก็ได้ยินเสียงเรียก....ที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้สะดุ้งจากภวังค์....
“อ้ายแรง อ้ายแรง อ้ายห่านี่ มึงทำอะไรของมึงอยู่วะ รีบ รีบมาช่วยกันสิโว้ย เก็ดจง เก็ดจาง ทำความสะอาดให้เรียบโร้ย ลูกค้ามากานเต็มร้านแล้ว มึงไม่เห็นเหรองาย เรว เรว เรี๋ยวกูก็ไม่จ่ายค่าแรงให้ซะนี่” เป็นเสียงเรียกจากอาเฮียนายจ้างและเจ้าของร้านอาหารทะเลดัง ย่านริมทะเลแห่งนี้ ตะโกนเรียกเขา...…
เขาแอบถอนหายใจอย่างเสียดาย ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปยังร้านเพื่อทำหน้าที่ของเขาต่อไป....
@@ ผมยังนั่งจิบเบียร์เย็นๆ ฟังเพลงเบาๆ เมอมองกลับไปยังท้องทะเลกว้างยามพลบค่ำ แลเห็นแสงไฟระยิบระยับจากเรือหาปลาที่เริ่มออกทะเล....
9 กรกฎาคม 2553 15:28 น.
ทรายกองดิน
ฉันเป็นครูอยู่ในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในย่านที่มีความเจริญแล้วพอสมควร ความเจริญที่ฉันว่านั้นฉันวัดเองโดยดูจากหมู่บ้านจัดสรรที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของบรรดาโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ฉันมาโรงเรียนแต่เช้าเนื่องจากเป็นเวรของฉันที่จะต้องมาดูแลความเรียบร้อยของเด็กนักเรียนในตอนเช้าก่อนเข้าเรียน ฉันยืนดูเด็กๆ ที่ผู้ปกครองพามาส่งที่หน้าประตูโรงเรียน เด็กๆ ส่วนใหญ่ยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือไหว้ฉัน พร้อมกล่าวคำว่า “สวัสดี ครับ/ค่ะ คุณครู” เด็กบางคนก็ร้องไห้ พ่อ แม่ก็ต้องปลอบกันแล้วปลอบกันอีก กว่าแกจะหยุดร้อง และยอมเดินเข้าโรงเรียนแต่โดยดี
เมื่อใกล้เวลาเข้าเรียน ฉันเดินเตร่ไปใต้ถุนอาคารเรียน ตรงไปที่บริเวณสวนเด็กเล่น เพราะฉันชอบบริเวณนี้มันเงียบสงบและเป็นธรรมชาติที่ฉันสัมผัสได้ วันนั้นฉันพบว่ามีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งเธอกำลังวิ่งไล่จับผีเสื้อแสนสวยตัวหนึ่งในสวนเด็กเล่น มี นกกระจอกอีก 2-3 ตัว บินไล่จิกตี และส่งเสียงดังร้องแข่งกัน เด็กน้อยหยุดจ้องมองดูนกกระจอก 2-3 ตัวนั้น ฉันเดินเข้าไปหาเด็กหญิงคนนั้นพร้อมทั้งถามว่า
“ทำไมยังไม่เข้าห้องเรียนอีกละค่ะ”
เด็กหญิงนิ่งเงียบสักครู่แล้วตอบกลับมาว่า “หนูกำลังจะไปแล้วค่ะ”
ฉันถามต่อว่า “แล้วหนูกำลังจ้องมองอะไรอยู่ละค่ะ”
เด็กนักเรียนหญิงคนนั้นหันมามองฉันด้วยแววตาแจ่มใส พร้อมกับตอบว่า “มองนกกระจอกอยู่ค่ะ มันบินไล่กันอยู่ แล้วมันก็ส่งเสียงแข่งกันด้วยค่ะ หนูชอบความเป็นธรรมชาติแบบนี้ค่ะคุณครู”
ฉันมองลงไปที่รองเท้าของเด็กน้อย แล้วร้องขึ้นว่า “รองเท้าหนูเปื้อนดินหมดแล้ว เช็ดให้เรียบร้อยก่อนขึ้นห้องเรียนนะค่ะ” เด็กน้อยคนนั้นรีบเช็ดรองเท้าของเธอทันที แล้วยกมือไหว้ฉันก่อนจะวิ่งขึ้นห้องเรียนไป
2-3 วันหลังจากนั้น ฉันก็ยังเห็นเด็กนักเรียนหญิงคนเดิมยังวิ่งเล่นอยู่บริเวณสวนเด็กเล่นแถวนั้นตามประสาของแก ถ้าเย็นวันไหนที่ผู้ปกครองยังไม่มารับแกก็จะนั่งเล่นอยู่แถวนั้นไม่ไปไหน ฉันเคยนั่งคุยกับเด็กหญิงคนนี้ จึงรู้ว่าเธอชื่อน้องปรางทิพย์ แต่แกให้เรียกว่า น้องปราง ฉันถามแกว่าทำไมชอบมาอยู่แถวนี้ แกก็ตอบว่า “หนูชอบเล่น ชอบเดินบริเวณที่เป็นดิน มีต้นไม้ มีผีเสื้อ มีนก หนูชอบอยู่กับธรรมชาติ” แกบอกต่อไปอีกว่าบ้านที่แกอยู่เป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งเดินไปที่ไหนก็มีแต่ปูนซิเมนต์ ต้นไม้ไม่ค่อยมี นก ผีเสื้ออะไรก็ไม่มีให้เห็น ฉันนึกในใจว่าเด็กสมัยนี้ก็อย่างนี้แหล่ะ ช่างน่าสงสาร ไม่เหมือนสมัยฉันเป็นเด็กมีที่ให้วิ่งเล่นเยอะแยะ ไล่จับนก จับแมลง จับปลา อะไรสารพัด ในท้องทุ่งนา แสนมีความสุข
และหลังจากนั้นไม่นานฉันได้ข่าวว่าทางผู้บริหารของโรงเรียนมีโครงการจะก่อสร้างอาคารใหม่ที่จะใช้เป็นห้องเรียนคอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนาเด็กนักเรียนให้เรียนรู้ และรู้จักใช้ประโยชน์จากเครื่องคอมพิวเตอร์กันตั้งแต่เล็กๆ เพื่อให้เด็กนักเรียนได้รู้จักการค้นคว้าหาความรู้ได้เองทางอินเตอร์เน็ท ส่วนวัตถุประสงค์ประการต่อมาของทางโรงเรียนคือเพื่อพัฒนาความเจริญให้แก่โรงเรียนให้เป็นโรงเรียนที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยบริเวณที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารหลังใหม่นี้ คือ บริเวณสวนเด็กเล่น
การก่อสร้างอาคารใหม่ดำเนินไปและจำเป็นต้องตัดต้นไม้ต่างๆ ในบริเวณนั้นทิ้ง ซึ่งมีทั้ง ต้นหูกวาง ต้นตีนเป็ด ต้นสน รวมถึงไม้ดอกต่างๆ บริเวณนั้น เช่น ต้นดอกเข็ม ต้นดอกชบา ต้นชวนชม มีการกั้นพื้นที่ไว้เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อเด็กเล็กๆ ที่จะเดินเข้ามา
เช้าวันหนึ่ง ฉันได้พบเด็กนักเรียนหญิงคนเดิมอีก คนที่ชื่อ น้องปราง เธอยืนเหม่อลอยอย่างเศร้าสร้อย ฉันเข้าไปหาเธอแล้วถามเธอว่า “เป็นอะไรไปหรือเปล่าวันนี้” เธอตอบกลับมาว่า
“หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณครู แต่หนูเสียดายต้นไม้ เสียดายผีเสื้อสวยๆ เสียดายนกกระจอกค่ะ” แล้วเธอก็ถามฉันกลับว่า “ทำไมเค้าต้องตัดต้นไม้ แล้วสร้างตึกด้วยล่ะค่ะ อย่างนี้นกกระจอกก็ไม่มีที่อยู่สิค่ะคุณครู” ฉันนิ่งไม่ตอบ เธอถามฉันต่อไปว่า “เค้าจะสร้างอะไรเหรอค่ะคุณครู”
ฉันเงียบ เธอจึงถามย้ำอีกว่า “เค้าจะสร้างอะไรหรือค่ะคุณครู” ฉันนั่งย่อตัวลงและหันไปที่เด็กน้อยคนนั้นและตอบว่า “เค้าจะสร้างห้องคอมพิวเตอร์ให้พวกหนูเรียนกันไงล่ะคะ หนูชอบเล่นคอมพิวเตอร์หรือเปล่า”
เด็กน้อยนิ่งเงียบไม่ตอบ สักครู่แกก็ถามกลับมาอีกว่า “คุณครูว่านกกระจอกกับห้องคอมพิวเตอร์อะไรมันสำคัญกว่ากันเหรอค่ะ”ฉันนิ่งงันไม่คิดว่าเด็กน้อยจะมาถามฉันอย่างนี้
สักครู่ฉันได้ยินเสียงสัญญาณบอกให้นักเรียนทุกคนเข้าแถวเพื่อเคารพธงชาติและเข้าห้องเรียน ฉันหันไปชวนเด็กน้อยเข้าชั้นเรียน โดยปล่อยให้คำถามที่แกถามไว้นั้นลอยผ่านไปกับสายลม เผื่อว่าจะมีใครได้ยินและให้คำตอบแทนฉันได้บ้าง
2 กรกฎาคม 2553 14:46 น.
ทรายกองดิน
ในสมัยที่เป็นเด็กนั้น นอกจากหนังสือตำราที่ใช้ในการเรียน การอ่านเพื่อสอบแล้ว ก็ยังมีหนังสืออ่านนอกเวลาที่คุณครูให้อ่านและสั่งให้ทำรายงานย่อความส่งคุณครูด้วย โดยเท่าที่พอจำได้นั้น มีหนังสือที่ใช้อ่านนอกเวลาอยู่ประมาณ 3 เล่ม คือ แมงมุมเพื่อนรัก , น้ำพุ และแวววัน
เค้าโครงเรื่องของทุกเล่มก็พอจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ แต่สำหรับเล่มที่จดจำได้มาก และประทับใจเป็นพิเศษนั้น เห็นจะเป็นเรื่องแวววัน เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะเป็นหนังสือที่มีความหนามากที่สุดที่เด็กอย่างผมคิดในตอนนั้น ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาอ่านอยู่นานหลายวัน รวมทั้งทำย่อความไปด้วย กว่าจะเสร็จ ก็เล่นเอาบ่นกับตัวเองอยู่หลายรอบว่าทำไมคุณครูช่างใจร้ายเหลือเกินให้นักเรียนอ่านหนังสือหนาขนาดนี้ แล้วเรื่องแวววันนั้นก็ไม่ใช่นวนิยายที่อ่านแล้วสนุกอะไรสักเท่าไร
ผ่านมานานหลายสิบปีแล้ว บังเอิญได้ไปเดินเที่ยวตลาดนัด ได้พบร้านขายหนังสือเก่าร้านหนึ่ง พร้อมๆ กับเห็นหนังสือเล่มเก่าๆ เล่มหนึ่งเหมือนคุ้นหน้าคุ้นตากัน เหมือนเคยรู้จักกัน ถูกวางขายอยู่ข้างถนน ราคาเดิมในหนังสือ 35 บาท ถามคนขายว่าจะขายเท่าไร คนขายบอกว่า 30 บาท ควักเงินซื้อเลยโดยไม่ต่อราคาอะไร เพราะรู้ซึ้งถึงคุณค่าของวรรณกรรมเรื่องนี้ดีว่ามีคุณค่าเกินกว่าราคาที่ต้องจ่าย และเมื่อได้กลับมาอ่านทบทวนอีกครั้งก็รู้สึกว่าอ่านเข้าใจและซาบซึ้งยิ่งกว่าตอนสมัยเรียน นั่นอาจเป็นเพราะความคิดและประสบการณ์ที่มากขึ้น อย่างเช่นที่พ่อของแวววันบอกว่าจะอยู่อย่างน้ำ หรืออยู่อย่างหิน หรือในตอนสุดท้ายที่แวววันบอกกับพันธุ์ สุรีย์ว่า ตะวันขึ้นแล้ว ดอกไม้บานแล้ว สายน้ำไม่ทวนกลับมาทางเก่าอีกแล้ว หน้าผายังอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีสิ่งใดทำลายมันได้นอกจากกาลเวลานับล้านปี ซึ่งตอนนั้นอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ
สรุปว่าก็อ่านแวววันจบลงไปอีกรอบ ด้วยความเข้าใจและซาบซึ้งในวรรณกรรม อีกอย่างหนึ่งคือ อ่านคราวนี้ไม่ต้องทำรายงานย่อความส่งคุณครูด้วย หลังจากนั้นพลิกไปอ่านดูรายละเอียดของนวนิยายเรื่องนี้จากผู้เขียนหลังเล่มเขียนไว้ว่า "...เรื่อง แวววัน นี้ เขียนเมื่อปี พ.ศ. 2514 ก่อนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เราท่านทราบกันดี เหตุการณ์ ฉาก ท้องเรื่องเป็นสภาพชีวิตก่อนหน้า 2514 ไปอีกกว่า 10 ปี คือในราวปี 2500-2508 ผู้เขียนได้พยายามจำลองภาพชีวิตชาวสวนพลูธนบุรี ในยุคนั้นไว้อย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะจำได้ แม้จะยังไม่สมใจ เพราะการผูกเรื่องเป็นนวนิยายนั้นมีขอบเขตจำกันในการบรรยายอยู่ หากบรรยายสภาพชีวิตมากเกินไปก็จะกลายเป็นสารคดีไปเลย กระนั้นก็ยังหวังว่า ผู้อ่านจะพอนึกภาพชีวิตของชาวสวนชานเมืองกรุงเทพฯ ออกว่าเป็นเช่นไร เพราะปัจจุบันภาพเช่นนี้ก็จะหาดูได้ยากเสียแล้ว นอกจากจะบุกบั่นเดินทางเข้าไปในสวนลึกจริงๆ ซึ่งเป็นการลำบากอยู่หากไม่รู้แหล่งเช่นผู้เขียนซึ่งเคยอาศัยอยู่ และเติบโตในถิ่นนั้นมา และมีความประสงค์จะสะท้อนภาพชีวิตที่ตนเคยพบเคยเห็นไว้ในผลงานของตน.... หลายสิ่งหลายอย่างใน แวววัน เริ่มล้าสมัย อัตราเงิน ความคิดของนักศึกษา ฯลฯ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านอ่านก็ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่ากำลังอ่านเรื่องอดีตเมื่อ 15 ปีมาแล้ว และแวววันเป็นนวนิยายที่ผู้เขียนมิได้ตั้งใจจะผูกเรื่องให้อ่านสนุก จึงไม่ค่อยมีอะไรชวนให้ตื่นเต้นนัก..."
พออ่านจบ คำนวณได้ว่าหนังสือแวววันเล่มนี้มีอายุมาประมาณ 39 ปีแล้วเริ่มตั้งปีที่เขียน ซึ่งก็นับว่าเหมือนได้กลับมาพบเจอเพื่อนเก่าสมัยวัยเด็กกันอีกครั้ง เลยอดใจไม่ได้ที่จะเขียนระบายความรู้สึกออกมาให้อ่านกัน