9 เมษายน 2550 13:51 น.
ถนปายี
ครอบครัวที่มีลูกชายคนเดียวในปัจจุบันอยากมีลูกหลานไว้สืบสกุลฉันใด ในสมัยพุทธกาลก็ไม่วายคิดทำนองเดียวกัน
อย่างครอบครัวของกุฎุมพีผู้หนึ่ง พอสิ้นพ่อ ลูกชายก็หมายที่จะทำงานลูกดูแม่ผู้เป็นที่รักไปตลอดชีวิต หากแม่กลับไม่คิดอย่างนั้น นางอยากให้ลูกชายได้แต่งงานกับหญิงสักคน จะมานิ่งดูดาย ลูกชายก็ไม่มีวี่แววว่าจะหาลูกสะใภ้เข้าบ้านเสียที จนผู้เป็นแม่อดรนทนไม่ได้
"แม่ว่าจะไปขอผู้หญิงสักคนมาให้แต่งงานกับเจ้า"
"อย่าเลยแม่ ผมตั้งใจจะอยู่เลี้ยงแม่นี่แหละไปจนตลอดชีวิต"
"ไม่ได้ล่ะ แม่เห็นเจ้าเอาแต่ทำงานทั้งนอกบ้าน ในบ้าน เพื่อแม่อย่างนี้ อย่านึกนะว่าแม่จะสบายใจ"
แม้ลูกชายจะคอยห้ามปรามบ่อย ๆ ว่า อย่าเลยแม่ อย่าเลยแม่ ผู้เป็นแม่ก็ไม่ฟังเสียง ยังคงดำรงความตั้งใจเดิมไว้ จนวันหนึ่ง เมื่อห้ามไม่ได้อีกต่อไป ขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังจะออกจากบ้านไป ลูกชายก็ถามว่า
"แม่ แม่กำลังจะไปขอลูกสาวบ้านไหนมาน่ะ"
"ก็บ้านท่าน.." มารดากล่าวอ้างถึงตระกูล ๆ หนึ่งในย่านนั้น
"เอ่อ แม่" ลูกชายอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวสืบไปว่า "ถ้าอย่างที่แม่ว่า ผมว่าอย่าเลย ถ้าแม่อยากให้ผมแต่งงานจริง ๆ ละก็ แม่ไปขอลูกสาวบ้าน..ดีกว่า" ลูกชายบอกเขิน ๆ
(ก็ไหนว่า ไม่คิด แล้วไหงบอกถูก-ผู้เขียน)
ฝ่ายมารดาได้ยินดังนั้นก็สุดแสนจะดีใจ แล่นไปขอลูกสาวบ้านที่ลูกชายแอบบอกทันที
ทั้งคู่ได้แต่งงานอยู่กินกันด้วยความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย เหตุการณ์ก็น่าจะปกติ ปัญหาเรื่องแม่ผัว-ลูกสะใภ้ ก็ไม่มี เพราะแม่เป็นคนไปขอให้เอง ด้วยความอยากมีสะใภ้ แต่เหตุการณ์กลับไม่ง่ายอย่างนั้น สาเหตุก็มาจาก
.อยู่กินกันมาสักระยะหนึ่ง ถึงได้ทราบความจริงว่า หญิงสะใภ้ผู้นี้ เป็นหมัน ในธรรมบทไม่ได้ระบุชื่อหญิงสะใภ้นี้ไว้เลยเมื่อกล่าวถึง แต่เพื่อไม่ให้เกิดการสับสนว่าใครเป็นใคร จะขอสมมุติชื่อขึ้นก็แล้วกัน ว่า ลูกสะใภ้บ้านนี้ ชื่อ กัญญา
ความร้อนใจบังเกิดขึ้นกับคุณแม่ผัวอีกครั้ง คราวก่อน ลูกชายไม่แต่งงานก็เดือดร้อน คราวนี้ ลูกสะใภ้เป็นหมันก็วุ่นวายอีก สมเป็นคุณแม่ผัวเสียจริง ๆ
"นี่ลูก ธรรมดาของตระกูลที่ไม่มีคนสืบเชื้อสายน่ะ จะถึงกาลอวสานนะลูกนะ" นางปรารภกับลูกชาย ก่อนเกิดไอเดียใหม่ "แม่ว่า เดี๋ยวแม่ไปหาผู้หญิงคนใหม่ให้ลูกดีกว่า"
ไอเดียบรรเจิดมาก เอ่ยปากบอกลูกชายด้วยความภาคภูมิใจในปัญญาของตนว่า คิดได้ไง !
"อย่าเลยแม่" เหมือนเคย ลูกชายไม่เห็นด้วย และกล่าวคำคัดค้าน
ฝ่ายแม่เมื่อคิดแล้วก็ไม่หยุดอยู่เพียงนั้น ยังเฝ้าพร่ำพรรณนาถึงความจำเป็นที่จะต้องหาภรรยาที่สองให้ลูกชาย ลูกชายก็คัดค้านทุกที แต่ในเรื่องไม่ได้บอกว่า เสียงอ่อยลงหรือเปล่า
แต่คนที่วิตกกังวลมากขึ้นทุกทีนี่สิ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก กัญญา ที่กำลังจะถูกยกฐานะขึ้นเป็น ภรรยาหลวง ในเร็ว ๆ นี้
ด้วยปัญญาประดามี นางครุ่นคิดคำนึงถึงความเป็นไป แล้วสรุปได้ว่าโดยปกติ คนเป็นลูก ในที่สุด ก็คงทานคำพ่อแม่ไม่อยู่ ..แล้วคิดเลยเถิดต่อไปว่า.ถ้าเกิดหญิงที่แม่หามาให้ใหม่นี้มีลูกเล่า ตัวหล่อนจะไม่วายต้องตกเป็นทาสรับใช้ในบ้านไป ใครจะมาเห็นค่าของหญิงหมันอย่างหล่อน
"อย่ากระนั้นเลย เราตัดไฟเสียแต่ต้นลมท่าจะดีกว่า" ครุ่นคิดเสร็จสรรพ "เรานี่แหละจะไปหาภรรยาน้อยให้เขาเอง เราหามาเองย่อมจะปกครองกันได้ง่ายกว่าปล่อยให้แม่หรือเขาไปหามา"
ตัดสินใจแล้ว นางกัญญาก็สืบเสาะหาดูทั่วตำบลว่าลูกสาวบ้านไหนหนอ เหมาะที่จะมาเป็นเมียน้อยของนาง ก็ไปเจออยู่บ้านหนึ่ง ดูท่าทีแล้วเหมาะสมเหลือเกิน (ไม่รู้ว่าดูตรงไหนว่า ผู้หญิงคนนั้น น่าจะเป็นเมียน้อยได้ดี น่าจะประมาณว่าเป็นคนหัวอ่อน ปกครองง่ายหรือเปล่าในธรรมบทท่านก็ไม่ได้ระบุไว้)
เมื่อนางกัญญาไปสู่ขอลูกสาวบ้านนั้นมาเป็นเมียน้อยให้สามี ก็คงเป็นธรรมดาที่บ้านไหนก็คงไม่มีใครอยากให้ลูกสาวเป็นเมียน้อยใครหรอก งานนี้ นางกัญญาก็เลยต้องใช้ทั้งลูกล่อลูกขน วิงวอนร้องขอความเห็นใจ
"จริง ๆ ดิฉันก็เป็นลูกผู้หญิง ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นว่าตัวเองเป็นหญิงหมัน ก็คงไม่อยากให้สามีมีเมียน้อยหรอก แต่นี่มันเป็นความจำเป็นของตระกูลของสามีจริง ๆ ท่านเองก็ทราบดีว่า ตระกูลไหนไม่มีบุตร ตระกูลนั้นย่อมสาปสูญไปจากโลกนี้ ดิฉันไม่อยากเป็นต้นเหตุนั้น เลยต้องทำร้ายหัวใจตัวเอง ยินยอมให้สามีมีภรรยาอีกคนนี่แหละ เห็นใจดิฉันเถอะค่ะ และท่านลองคิดดูสิ ถึงลูกสาวท่านจะเป็นภรรยาที่สองก็ตาม แต่หากลูกสาวท่านมีบุตรสืบตระกูลให้สามีแล้ว ทรัพย์สมบัติของตระกูลก็ย่อมจะตกแก่หลานซึ่งหมายถึงลูกสาวของลูกท่านด้วย ท่านคิดดูเถอะ ลูกสาวท่านมีแต่หนทางจะสบายในภายภาคเบื้องหน้า เพียงท่านตัดสินใจยกนางให้อยู่ในความดูแลของดิฉัน ดิฉันรับรองว่าจะดูแลนางให้ดีที่สุด"
ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ผู้เป็นบิดามารดาก็ตัดสินใจ
"มารศรี มารศรี ลูกมา มาไหว้พี่เขา ฝากเนื้อฝากตัวกับพี่เขาเสีย เจ้าจะได้ไปอยู่สุขสบายแล้ว"
มารศรี (นี่ก็ชื่อสมมุติเหมือนกัน) ออกมาไหว้นางกัญญาอย่างว่าง่าย แล้วเดินทางสู่ฐานะภรรยาที่สอง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้เลยว่า เหตุร้ายกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชีวิต !
โปรดติดตามตอนต่อไป
5 เมษายน 2550 17:52 น.
ถนปายี
คุณคงเคยไปทานสุกี้ mk กันใช่ไหมครับ? อาหารยอดฮิตของคนเมือง ที่เหมาะสำหรับการไปพบปะสังสรรค์ นัดเพื่อนฝูง หรือชักชวนญาติพี่น้อง ไปร่วมทานกันเยอะ ๆ หลาย ๆ คน
ที่แน่ ๆ ผมไม่เคยเห็นใครไปนั่งทานสุกี้ mk คนเดียวเลยครับ (ถ้าไปทานคนเดียวคงเหงาน่าดูเลยมั๊ง)
เมื่อวันก่อนผมนัดเพื่อนผมสองคน คือ ทิตย์ กับ ช้างไปกินสุกี้ mk มื้อเย็นกัน ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ โดยผมกับทิตย์ไปพร้อมกัน ส่วนช้างกำลังตามมาสมทบ
ผมเอง เฮ้ย .. ช้างเจอกันที่ร้าน mk เลยเน้อ ขะไจ เวยๆ เน้อหิวแล้ว ผมบอกช้างทางโทรศัพท์มือถือ ให้มันรีบ ๆ มาเร็ว ๆ ก่อนที่ผมจะแวะกดเงินที่เครื่อง ATM แถว ๆ นั้น
อ้ายทิตย์ เดี๋ยวคิงกดเงินเสร็จแล้ว โตยไปที่ร้าน mk เลยเน่อ ฮาฟ่างไปจองโต๊ะไว้ก่อน เดี๋ยวบ่มีโต๊ะนั่ง
ผมเอง เออน่า ... เดี๋ยวฮาโตยไป๋ ผมบอกทิตย์ในขณะที่ยืนรอคิวเพื่อรอกดเงิน
หลังจากที่ผมกดเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบเดินตรงไปยังชั้นล่างเพื่อ ตรงไปยังร้านสุกี้ทันที เมื่อถึงร้าน mk ผมเจอกับทิตย์กำลังยืนคุยกับพนักงานอยู่หน้าร้านพอดี
ผมเอง เฮ้ยได้โต๊ะหรือยังว่ะ?
อ้ายทิตย์ ได้แล้ว โต๊ะเบอร์ 23 ฮาสั่งอาหารไว้แล้ว 4 อย่าง คิงโตยน้องเค้าไปนั่งที่โต๊ะก่อนนะ บะเด๋วฮาไปล้างมือที่ห้องน้ำก่อน
ผมเดินตามพนักงานไปยังโต๊ะ ในร้านขณะนี้เป็นช่วงเวลาเย็นๆค่ำๆพอดี มีคนเข้าไปนั่งทานสุกี้กันเต็มเกือบจะทุกโต๊ะ เมื่อไปถึงโต๊ะเบอร์ 23 พนักงานรีบจัดโต๊ะแล้วยื่นเมนูอาหารมาให้ผม
สั่งอะไรกินดีว่ะ ผมเริ่มคิดในใจ สั่งมาบางอย่างก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวรอพวกมันมาสั่งเพิ่มดีกว่า
ผมเอง น้องเอาลูกชิ้นเอ็มเค ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นปิงปอง แล้วก็ลูกชิ้นกุ้ง ... เอาแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวรอเพื่อนอ้ายมาสั่งเพิ่มนะจ๊ะ
พนักงาน เจ้า ... รับเพิ่มแหม 4 อย่างนะเจ้า พนักงานรีบกดลงไปในเครื่องปาล์มอย่างรวดเร็วก่อนเดินไปรับออร์เดอร์ที่โต๊ะอื่น
ผมเริ่มมองไปมองมาภายในร้าน ก็เห็นช้างกำลังเดินมาถึงโต๊ะพอดี
อ้ายช้าง เออ ... มาเมินละกา สูมาเต๊อะรถติดขนาด แล้วอ้ายทิตย์เลาะ?
ผมเอง ทิตย์มันไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวมา ฮาสั่งอาหารไปแล้ว 4 อย่าง คิงสั่งเพิ่มเลยเน้อ เดี๋ยวฮาขอตัวไปจ่ายค่ามือถือที่ช๊อปชั้นบนก่อน บะเด๋วฮามาจะได้กินได้พอดี .... น้อง ๆ สั่งอาหารเพิ่มแหมหน่อยครับ
ผมตะโกนเรียกพนักงานเพื่อให้ช้างสั่งอาหารเพิ่ม ส่วนตัวผมรีบดินออกจากร้านเพื่อไปจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือที่ชั้นบน โดยรีบไปรีบมา ไม่ถึง 10 นาที ผมก็จ่ายค่ามือถือเสร็จ เมื่อกลับมาถึงที่โต๊ะ ผมเห็นช้าง กับทิตย์ กำลังนั่งมองหม้อสุกี้กันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
ผมเอง สุกรึยัง... หิวแล้วกินได้แล้วล้า ผมเอ่ยปากถามพวกมันทั้ง 2 คน ก่อนที่จะนั่งลงประจำที พร้อมกับมองไปที่หม้อสุกี้
ภาพที่ผมเห็นในหม้อสุกี้ขณะนั้น ทำให้ผมต้องอึ้งไปชั่วขณะ ภาพที่เห็นเป็นภาพของหม้อน้ำแกง ที่มีลูกชิ้นเต็มหม้อ ลูกชิ้นทั้งหมดกำลังลอยวิ่งสลับกันไปสลับกันมา ตามแรงเดือดของน้ำแกง ... ปุ๊ด ปุ๊ด ... โดยมีผักบุ้งลอยแซมอยู่เล็กน้อย ผมประมาณการด้วยสายตาคร่าว ๆ ในหม้อน่าจะมีลูกชิ้นไม่ต่ำกว่า 60 ลูก
ความเป็นจริงก็คือ ตอนที่ผมแวะกดเงิน ทิตย์มันมาจองโต๊ะ แล้วมันก็สั่งอาหารเลย 4 อย่าง แต่มันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะสั่งอะไรดี มันเลยสั่งแต่ลูกชิ้นทั้ง 4 อย่าง
ส่วนผมเมื่อมานั่งที่โต๊ะอาหารแล้วก็ไม่รู้ว่าทิตย์มันสั่งอะไรไปบางแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดีผมก็เลยสั่งลูกชิ้นไป 4 อย่าง
ส่วนช้างมันตามมาทีหลัง ผมขอตัวไปจ่ายค่ามือถือ โดยให้มันสั่งอาหารเพิ่ม ช้างมันก็ไม่รู้ว่าผมกับทิตย์สั่งอะไรไปแล้วบาง มันก็เลยสั่งลูกชิ้นเพิ่มอีก 4 อย่าง .. แต่ก็ยังดีนะที่ทิตย์มันสั่งผักบุ้งเพิ่มมา 1 อย่าง
ผมเอง ฮานิบ่าเฮ้ย!!! ... ยังกะมากิ๋นเกาเหลา ผมพูดขึ้นหลังจากหายอึ้งไปชั่วขณะ
อ้ายช้าง หมู่คิงโครตฝีมือเลย สั่งลูกชิ้น 12 อย่างบ่ซ้ำกันเลย เด็กเสิร์ฟเปิ้นก่าบอกว่า ถ้าสั่งซ้ำกัน เครื่องมันจะร้องเตือน แล้วน้องเค้าจะบอกว่าสั่งแล้วนะ
อ้ายทิตย์ กิ๋นๆ ไปเต๊อะ ... บ่าท่าปากนัก บ่าเด๋วก็อืดหมดหรอก
พวกผมนั่งทานสุกี้ mk มื้อนั้น อย่างไม่ประทับใจเลย แล้วคงเข็ดสุกี้ไปอีกนาน ...
คราวหน้าไปหาอาหารญี่ปุ่นกินดีกว่า ....
อิอิ
5 เมษายน 2550 14:11 น.
ถนปายี
ว่ากันว่า
"ไม่มีเสียงใดจะตรึงใจบุรุษ ได้เท่ากับเสียงของสตรี และไม่มีเสียงใดจะตรึงใจสตรี ได้เท่ากับเสียงของบุรุษ"
หากยกสำนวนโบราณก็จะอ่านยากขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง แต่ใจความเหมือนกัน ก็คือ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้สักอย่าง อันจะยึดจิตของบุรุษตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง นะภิกษุทั้งหลาย"
*************
เสียงของหญิงนี่แหละก่อเหตุมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล เพียงเพราะหลงในเสียงขับร้องของหญิงคนหนึ่งซึ่งได้ยินจากในป่า ทำให้สามเณรรูปหนึ่ง ซึ่งไม่ได้บวชด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ถูกจับให้บวชเพื่อประโยชน์แก่การทำหน้าที่เดินทางไปรับ พระจักขุบาลเถระ ซึ่งตาบอด ออกจากป่า มาสู่เมือง
เมื่อได้ยินเสียงขับร้องของหญิงชาวบ้าน ผู้ออกมาเก็บฟืนในป่า ก็หลงเสน่ห์ในน้ำเสียง จนอดไม่ได้ที่จะละทิ้งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา วางไม้เท้าที่ใช้จูงพระเถระ ทิ้งท่านไว้เพียงลำพัง แล้วเดินตามเสียงหญิงนั้นไป
ขณะที่สามเณรเดินทางไปหาหญิงนั้น ระยะเวลาที่เขาหายไป ไม่มีบรรยายว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่ใช่นิยายโรมานซ์ ฉากจึงตัดกลับมาสู่ห้วงคิดของพระเถระว่า ท่านเกิดทราบว่า ป่านนี้ สามเณรผู้นำทางของท่าน คงจะทำผิดศีลเสียแล้ว (พระเถระรูปนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว) ความรู้สึกรังเกียจเกิดขึ้น
ฉากต่อมา สามเณรนั้นกลับมาหาพระเถระหลังจากทำผิดศีลเรียบร้อยแล้ว พระเถระได้กล่าวปฏิเสธที่จะเดินทางต่อไปกับสามเณรผู้ประพฤติผิดศีล ไม่ฟังคำทัดทานของสามเณรที่อ้างว่า ท่านตาบอด จะเดินทางต่อไปได้อย่างไร ไม่ฟังข้ออ้างว่า ตัวเองบวชเพราะจำเป็น ไม่ได้ศรัทธา
แม้สามเณรจะลงทุนลาสิกขาแล้ว พระเถระก็ยังไม่สิ้นรังเกียจที่จะเดินทางด้วย ท่านใช้คำว่า บรรพชิต ละเมิดศีล หรือคฤหัสถ์ ละเมิดศีล ก็ชื่อว่า ชั่ว เหมือนกัน
คฤหัสถ์หนุ่มที่เพิ่งลาสิกขาจากสามเณรหมาด ๆ เพราะเผลอไป "หลงเสียงนาง" เข้า จึงหนีไปในป่า เหตุการณ์ต่อไป ไม่ได้กล่าวถึงเขาอีก
เรื่อง "หลงเสียงนาง" จึงเป็นฉากเล็ก ๆ ในธรรมบทเรื่อง "พระจักขุบาลเถระ" ด้วยประการฉะนี้
************************