20 พฤษภาคม 2547 17:28 น.
ต๊อง
ก่อนนั้นฉันคงคาดหวังอะไรๆ เกินความเป็นจริง ฉันเคยคิดอยากมีครอบครัวที่เปี่ยมสุขมีลูกเล็กๆ สัก 2 คน ไว้เป็นโซ่ทองคล้องใจเราสอง แต่เพียงฉันสลัดชุดเจ้าสาวสีขาวได้ไม่นาน ฉันก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันหวังนั้น มันกลายเป็นของยากสำหรับฉันเสียแล้ว แต่ฉันก็อดทน ทนเพราะทุกอย่างฉันเลือกมันเอง ฉันไม่เคยกล้าบอกความจริงใคร เพียงเพราะฉันอาย ทุกคนเลยเหมารวมว่า ฉันเป็นคนผิด ฉันเรื่องมาก ฉันไม่กล้าจะเล่าให้คนฟังถึงพฤติกรรมของเขา เพราะฉันอาย เมื่อทุกสิ่งรวมๆ เกาะแน่นนานๆ เข้า ใจที่เคยคิดให้อภัยทุกเวลากลับชินชา ชินชาที่จะอยู่กับลูกได้ โดยไม่ต้องมีใครอีก ฉันเคยให้โอกาสเขาหลายครั้ง หลายครั้งจริงๆ แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้สนใจสักเท่าไร ก็เมื่อเขาไม่สนใจทำไมฉันต้องให้เขาอีกเล่า มาวันนี้ฉันรู้ว่าเขาเสียใจ แต่เขาไม่มีประโยชน์กับฉันแล้ว ฉันพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้ว่า ไม่มีเขาฉันก็อยู่ได้ และอยู่ได้อย่างมีเกียรติด้วยตัวของฉันเอง ฉันภูมิใจตัวฉันเอง หลายๆ อย่างเขาอาจมีส่วนเสริมฉันได้บ้าง แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าในเมื่อฉันทำวันนี้ของฉันด้วยตัวของฉันเองได้ โดยฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งเขาเลย ฉันไม่ใช่คนไร้น้ำใจ เมื่อต้องมาอยู่ร่วมชายคากับคนไม่มีน้ำใจ มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน บ่อยครั้งที่ที่ฉันนั่งทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ฉันจึงอยากบอกทุกคนว่า ฉันไม่ผิด เธอพลาดเอง
4 พฤษภาคม 2547 11:49 น.
ต๊อง
ทัศ เป็นน้องสาวคนเล็กของครอบครัว ด้วยวัยเพียง 7 ขวบ จึงไม่มีหน้าที่การงานใดๆ ในบ้านให้ต้องรับผิดชอบ เรามีเพื่อนบ้านใกล้เคียงอยู่คนหนึ่ง ยายเป็นคนปากร้าย อาศัยกับญาติโดยยายให้การอุปการะ ยายมาจากเมืองจีน สามีตาย ยายครองโสดมาตั้งแต่สาวจนแก่ ด้วยความที่ตัวเองไม่มีลูกจึงรักครอบครัวญาติที่อาศัยด้วยกันมาก ยายมีเงินเก็บบ้างตามประสาคนจีนที่รู้จักประหยัด ยามยายยังมีเงินและสุขภาพแข็งแรงมีเงินพอที่จะจุนเจือญาติๆ ได้ ยายจะเสียงดัง และมีบางครั้งที่จะใช้นิสัยเผด็จการ จวบจนวันหนึ่งวันที่ยายไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ วันนั้นยายหมดเงินหมดอำนาจ ญาติๆ ที่เคยอาศัยยายอยู่ ต่างหนีไปอยู่ที่อื่น ทิ้งยายให้อยู่โดดเดี่ยวลำพังคนเดียว ยายเป็นอัมพาต ครอบครัวเราอยู่ใกล้ยาย ความจริงถ้าจะนับไปแล้ว นัยว่า ยายเป็นญาติห่างๆ ของเราเหมือนกัน และถึงแม้ว่า เราเองก็ยากจน และยายพอมีสตางค์ แต่เราก็ไม่เคยไปขอหรือหยิบยืมจากยาย เมื่อยายถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ทัศเด็กน้อยอายุ 7 ขวบคนนี้ จึงมีภาระหน้าที่ ที่แม่มอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแล ยาย ตื่นเช้า ทัศ จะวิ่งไปบ้านยาย ถามยายว่า จะทานอะไร แล้ววิ่งไปตลาดซื้อหาอาหารเช้าให้ยาย เรียบร้อยแล้วจึงจะกลับบ้านอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน ช่วงเที่ยง รร พักทานข้าว ทัศจะแวะบ้านยายก่อน ดูแลเรียบร้อยตามประสาเด็กวัยขณะนั้น แล้วถึงจะกลับไปทานข้าวกลางวันที่บ้าน ตกเย็นหลังรรเลิก แทนที่ทัศจะได้ไปเล่นซุกซนเหมือนเด็กคนอื่นๆ เขากลับมีหน้าที่ ต้องไปดูแลคนแก่คนหนึ่ง ซึ่งเขาคิดว่าไม่มีอะไรผูกพันกับเขาเลย แต่ด้วยมนุษยธรรมที่แม่พูดกรอกหูว่า สงสารยายนะ แกไม่มีใคร เด็กน้อยทัศ จึงไม่เคยเบื่อกับชีวิตประจำวันที่ต้องไปเทกระโถนปัสสาวะและหลายครั้งที่ไปเจออารมณ์เกรี้ยวกราดไม่ได้ดังใจ จากยายคนนี้ ทัศเล่าว่า โกรธเหมือนกันนะ ที่แกอาละวาดใส่ แต่ที่ทำทั้งหมด เพราะแม่บอกให้ทำ และเพราะสงสาร เพราะทัศยังเด็กและยายตัวใหญ่ ช่วงกลางวันแม่และเพื่อนบ้านอีกคน จึงรับหน้าที่ไปอาบน้ำให้ยาย แม่บอกว่า ต้อง 2 คน ไม่งั้นไม่สามารถพยุงยายได้ ทัศทำอยู่เป็นปีกว่ายายจะสิ้นบุญไป ก่อนยายป่วยหนัก ยายบอกแม่ว่า เป็นหนี้บุญคุณทัศ โชดดีที่มีเด็กคนนี้คอยมารับใช้ ช่วยฝากของชิ้นเล็กๆ นี้ให้เขาด้วย มันคือแหวนทองวงเล็กๆ ที่ทัศได้มาเป็นที่ระลึกจากการรับใช้ดูแลคนป่วยคนหนึ่ง ซึ่งบางครั้งนอกจากป่วยกายแล้วแกยังป่วยทางจิตด้วย แต่เด็กน้อยคนนี้ ก็ไม่เคยบ่นและไม่เคยรังเกียจที่จะทำให้ ทัศน้องสาวคนเล็กของฉันเอง
4 พฤษภาคม 2547 11:44 น.
ต๊อง
ทัศ เป็นน้องสาวคนเล็กของครอบครัว ด้วยวัยเพียง 7 ขวบ จึงไม่มีหน้าที่การงานใดๆ ในบ้านให้ต้องรับผิดชอบ เรามีเพื่อนบ้านใกล้เคียงอยู่คนหนึ่ง ยายเป็นคนปากร้าย อาศัยกับญาติโดยยายให้การอุปการะ ยายมาจากเมืองจีน สามีตาย ยายครองโสดมาตั้งแต่สาวจนแก่ ด้วยความที่ตัวเองไม่มีลูกจึงรักครอบครัวญาติที่อาศัยด้วยกันมาก ยายมีเงินเก็บบ้างตามประสาคนจีนที่รู้จักประหยัด ยามยายยังมีเงินและสุขภาพแข็งแรงมีเงินพอที่จะจุนเจือญาติๆ ได้ ยายจะเสียงดัง และมีบางครั้งที่จะใช้นิสัยเผด็จการ จวบจนวันหนึ่งวันที่ยายไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ วันนั้นยายหมดเงินหมดอำนาจ ญาติๆ ที่เคยอาศัยยายอยู่ ต่างหนีไปอยู่ที่อื่น ทิ้งยายให้อยู่โดดเดี่ยวลำพังคนเดียว ยายเป็นอัมพาต ครอบครัวเราอยู่ใกล้ยาย ความจริงถ้าจะนับไปแล้ว นัยว่า ยายเป็นญาติห่างๆ ของเราเหมือนกัน และถึงแม้ว่า เราเองก็ยากจน และยายพอมีสตางค์ แต่เราก็ไม่เคยไปขอหรือหยิบยืมจากยาย เมื่อยายถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ทัศเด็กน้อยอายุ 7 ขวบคนนี้ จึงมีภาระหน้าที่ ที่แม่มอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแล ยาย ตื่นเช้า ทัศ จะวิ่งไปบ้านยาย ถามยายว่า จะทานอะไร แล้ววิ่งไปตลาดซื้อหาอาหารเช้าให้ยาย เรียบร้อยแล้วจึงจะกลับบ้านอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน ช่วงเที่ยง รร พักทานข้าว ทัศจะแวะบ้านยายก่อน ดูแลเรียบร้อยตามประสาเด็กวัยขณะนั้น แล้วถึงจะกลับไปทานย้าวกลางวันที่บ้าน ตกเย็นหลังรรเลิก แทนที่ทัศจะได้ไปเล่นซุกซนเหมือนเด็กคนอื่นๆ เขากลับมีหน้าที่ ต้องไปดูแลคนแก่คนหนึ่ง ซึ่งเขาคิดว่าไม่มีอะไรผูกพันกับเขาเลย แต่ด้วยมนุษยธรรมที่แม่พูดกรอกหูว่า สงสารยายนะ แกไม่มีใคร เด็กน้อยทัศ จึงไม่เคยเบื่อกับชีวิตประจำวันที่ต้องไปเทกระโถนขี้เยี่ยว และหลายครั้งที่ไปเจออารมณ์เกรี้ยวกราดไม่ได้ดังใจ จากยายคนนี้ ทัศเล่าว่า โกรธเหมือนกันนะ ที่แกอาละวาดใส่ แต่ที่ทำทั้งหมด เพราะแม่บอกให้ทำ และเพราะสงสาร เพราะทัศยังเด็กและยายตัวใหญ่ ช่วงกลางวันแม่และเพื่อนบ้านอีกคน จึงรับหน้าที่ไปอาบน้ำให้ยาย แม่บอกว่า ต้อง 2 คน ไม่งั้นไม่สามารถพยุงยายได้ ทัศทำอยู่เป็นปีกว่ายายจะสิ้นบุญไป ก่อนยายป่วยหนัก ยายบอกแม่ว่า เป็นหนี้บุญคุณทัศ โชดดีที่มีเด็กคนนี้คอยมารับใช้ ช่วยฝากของชิ้นเล็กๆ นี้ให้เขาด้วย มันคือแหวนทองวงเล็กๆ ที่ทัศได้มาเป็นที่ระลึกจากการรับใช้ดูแลคนป่วยคนหนึ่ง ซึ่งบางครั้งนอกจากป่วยกายแล้วแกยังป่วยทางจิตด้วย แต่เด็กน้อยคนนี้ ก็ไม่เคยบ่นและไม่เคยรังเกียจที่จะทำให้ ทัศน้องสาวคนเล็กของฉันเอง