6 ธันวาคม 2547 22:46 น.
ต๊อง
อากาศดีเหลือเกิน วันพ่อที่ผ่านมา 5 ธค 47 ท้องฟ้าสดใสมาแต่เช้า อากาศเย็นสบาย ลมเอื่อยๆ เป็นวันอันเป็นมงคล สำหรับชีวิตคนไทยทั้งชาติ
นภาเหม่อมองท้องฟ้าแม้จะสายมากแล้ว แต่แดดก็ไม่จัด ลมพัดเย็นๆ วันนี้นภาเหงาค่ะ มันเหงาแบบเศร้าๆ ก็ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง นภายังมีความสุขกับข้อความบนโทรศัพท์มือถือ ที่คนที่นภาคิดว่าเป็นคนรักส่งมาให้อยู่ ผ่านมาเพียงไม่กี่นาทีความรู้สึกกับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง นภากำลังคิดว่า ที่ผ่านมา เธอทำถูกแล้วหรือ เธอไม่ใช่คนตัวเปล่า แล้วไปรักคนที่เขามีเจ้าของด้วย มันสมควรและถูกต้องแล้วหรือ เธอเคยหลอกตัวเองว่า รักมีหลายมิติ เธอถลำลึก คงด้วยบุญบารมีในหลวงประทานให้พสกนิกรของพระองค์ท่าน ทำให้นภาได้คิดและสำนึกว่า ก็แล้วสาเหตุที่ครอบครัวตัวเองประสพมา มิใช่เพราะพ่อบ้านเขาทำตัวเหลวไหลหรือ ครอบครัวของเธอถึงได้แตกสาแหรกขาดอย่างทุกวันนี้ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เธอจะยอมให้ครอบครัวของคนอันเป็นที่รักของเธอ ต้องมาเจอชตากรรมอย่างที่เธอเคยเจอหรือ ถ้าเธอยังฝืนทำต่อไป เธอก็ไม่ต่างกับคนไร้สติทั่วๆ ไปเท่าไรหรอก เสียแรงที่ผ่านมา เธอใฝ่ดีมาตลอด ปณิธานที่เธอมีไว้เตือนใจตัวเอง ว่า ไม่คบชู้ ไม่เป็นเมียน้อยใคร เธอจำได้ไม่มีลืม วันนี้นภาตัดสินใจแล้วค่ะ ถ้าการคิดอย่างมีสติในครั้งนี้ จะช่วยทำให้ครอบครัวๆ หนึ่งมีความสุข เธอยินดีค่ะ เธอบอกตัวเองทั้งน้ำตาว่า เธอภูมิใจในสิ่งที่เธอกำลังทำ ยอมเจ็บปวดเพื่อคนที่รักมีความสุข คืนนั้นผ่านไปด้วยน้ำตาชุ่มหมอน โอ้อนิจจา นภาผู้อาภัพรัก
13 ตุลาคม 2547 20:29 น.
ต๊อง
หลังจากเธอต้องเข้าไปพัวพันกับบุคคลคู่หนึ่งแล้ว สุดท้ายโชคชตาพาเธอให้ต้องแต่งงานกับเขา แรกๆ ของชีวิตคู่ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่กลัว แต่แต่มาเมื่อเธอมีลูกทุกอย่างดูจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะลูกคือชีวิตของเธอ เธอยอมลด ละ ทุกสิ่ง เพื่อลูก อยากจะบอกว่า เหมือนเป็นลูกของเธอแต่เพียงผู้เดียว เธอตื่นเต้นที่เพิ่งมีลูกเป็นครั้งแรก ลูกคนแรกของเธอ แต่เป็นลูกคนที่ 5 ของคนเป็นพ่อ ความตื่นเต้นย่อมแตกต่างกัน ในระหว่างนั้นอารามดีใจที่ได้เป็นแม่คน เธอลืมสังเกตคนข้างกาย ลืมสังเกตว่า ทำไมเขากลับดึกขึ้น ทำไมสังคมเขามากขึ้น และอีกหลายๆ อย่างที่มากขึ้น จากที่เคยไปใหนด้วยกัน กลายเป็นว่า เขาต้องไปคนเดียว งานที่เธอเคยไปเป็นประจำ ทำไมเธอไม่ต้องไปแล้ว ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นงานประจำปี ที่เธอเคยมีส่วนร่วมทุกปี ปีนั้นเพื่อนที่ทำงานกับเขา ขอสปอนเซ่อร์มาที่เธอ ด้วยเธอเคยให้ทุกปีไม่ว่าจะเป็นปลาสดๆ กุ้งสดๆ หรือจะเป็นอาหารชนิดใดก็ตาม เธอไม่เคยปฏิเสธที่จะให้ มาปีนั้นก็เช่นกัน เมื่อเขาขอมา เธอก็ให้ และอดที่จะตามไปดูไม่ได้ว่า อาหารที่เธอจัดไปเป็นอย่างไงบ้าง ไม่ว่า เขาจะบอกอย่างไรว่า เธอไม่ต้องไปดูฉันดูให้เอง เธอก็ดื้อที่จะไป เพราะทุกคนล้วนแต่เป็นคนคุ้นเคยของเธอทั้งนั้น จะแปลกอะไรถ้าเธอจะไปร่วมสังสรรด้วยเมื่อไปถึงงาน ทุกอย่างเรียบร้อยตามจุดประสงค์ของงาน อาหารเพียบล้วนแล้วแต่จะส่งกลี่นหอมอันเย้ายวนใจ เธออดที่จะพาลูกเข้าไปทานด้วยไม่ได้ โอ้เอ้ไปโอเอ้มา ชักดึก เขามาบอกเธอว่า กลับบ้านเถอะ พาลู
กไปนอนได้แล้ว เธอก็เห็นด้วยว่า สมควรจะกลับแล้ว แต่เจ้าลูกชายเธอสิ เขากำลังสนุก มีเวทีให้เต้น มีนักร้องมาร้องเพลงให้ฟัง มีการสอยดาว แจกรางวัล มีเพื่อนเล่น วัยเดียวกันให้ซุกซน มีหรือเด็กจะยอมกลับ แต่สุดท้ายเธอและลูกก็กลับก่อนคนอื่นๆ เขา เธอจูงลูกออกจากประตู ทันได้เห็นผู้หญิงกลุ่มนึง อ้าวนั่นมันเพื่อนน้องสาวฉันเองนี่ พวกเขามากันทำไมงานจะเลิกแล้วนะ และทำไมเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับงานตรงใหน เธอให้สงสัย แต่ไม่ทันได้ถาม ผู้หญิงกลุ่มนั้นทักเธอว่า จะกลับแล้วหรือพี่ นี่พี่.......ให้พวกหนูมาเต้นรำกัน อ้อ นี่เองที่เขาพยายามให้เธอรีบกลับ คืนนั้นเธอต้องข่มใจอดทนอย่างมากที่จะไม่อาละวาดต่อหน้าคนมากๆ ต่อตอนไปนะค๊ะ
1 มิถุนายน 2547 11:05 น.
ต๊อง
หลวงพ่อชื่น เป็นพระสุปฏิปันโนองค์หนึ่งที่ฉันเคารพบูชามาก ท่านเป็นพระที่ไม่สนใจลาภยศ มีชีวิตที่สมถะ ฉันมื้อเดียว ท่านมีเมตตาต่อฉันมาก ตอนนั้นแม้ท่านจะมีอายุมากแล้วก็ตาม หน้าตาท่านสดชื่นแจ่มใส ยิ้มอยู่ตลอดเวลา เวลาลูกศิษย์ไปหา ท่านจะถามด้วยความเป็นห่วงว่า มาจากไหน ทานข้าวกันหรือยัง หากยัง ท่านจะให้แม่ครัวหาข้าวปลาอาหารให้ทาน วัดของท่านร่มรื่น ตั้งอยู่ในทำเลที่สวยงาม สงบมาก ยามฉันทุกข์หรือไม่สบายใจ ฉันมักไปหาท่านที่วัดเสมอ ไปแล้วจิตใจจะรู้สึกสงบ พอรู้สึกว่าดีขึ้น ฉันจึงจะขับรถกลับบ้าน วันหนึ่ง วันนั้นฉันรู้สึกแปลกใจมาก ให้รุ่มร้อนอยากซื้อจีวรไปถวายท่าน จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ฉันทำงานแค่ครึ่ง วัน พอเลิกงาน ชวนใครไปเป็นเพื่อน แต่ละคนที่ชวน ก็ล้วนแต่ติดภารกิจทั้งนั้น บางคนบอกไปพรุ่งนี้สิ จะไปเป็นเพื่อน ฉันอยากไปวันนี้ เมื่อชวนผู้ใหญ่ไม่ได้ ฉันจึงพาลูกและหลาน อายุน้อยๆ 5-6 ขวบ 3 คน ฉันแวะซื้อจีวร 2 ชุด ตามที่ตั้งใจไว้ เอาไปถวายท่าน หลังจากถวายเสร็จฉันรู้สึกง่วงนอนมาก อยากหลับสักงีบ แต่เด็กๆ ที่ฉันพาไปด้วย เขาอยากกลับไปว่ายน้ำ ฉันจำต้องพาเด็กกลับทั้งๆ ที่ง่วงมาก ระหว่างขับรถกลับ ฉันง่วงมาก หันไปดูเด็กๆ หลับกันหมด
โครม ! ฉันตกใจตื่นตอนนั้นฉันบังคับรถไม่อยู่แล้ว รู้แต่ว่าเกิดอุบัติเหตุแล้ว ฉันชนคน รถลื่นไถลจากถนนลงไปบนไหล่ทาง และตกลงไปในคูน้ำ อารามตกใจว่าฉันชนคนพอรถจอดสนิท ฉันเปิดประตูออกมา รีบปีนขึ้นไหล่ทางด้วยเท้าเปล่า เมื่อขึ้นมาบนถนนฉันไม่เห็นคนที่ถูกฉันชน เห็นแต่มอเตอร์ไซค์ล้มอยู่ข้างทาง 1 คัน ฉันหันซ้ายมองขวา ตกใจมาก ก็ตะกี้ฉันชนคนนี่ แล้วเขาไปไหนแล้วหนอ แป๊บเดียว มีคนมายืนอยู่ข้างๆ ฉัน เขาพูดว่า พี่ขับรถชนผม ฉันหันไปมองเขาเต็มตา เขาเป็นชายหนุ่มอายุไม่เกิน 40 ฉันถามเขาว่าเจ็บที่ไหนบ้าง เขาบอกว่า ผมไม่เป็นอะไร ฉันงง ก็ฉันเห็นนี่ว่าฉันขับรถชนเขาและรถฉันยังเหยียบข้ามร่างเขาและรถเขา แล้วเขามายืนอยู่ข้างฉันในสภาพไม่เป็นอะไรเลยได้ไง สักพัก ไทยมุงเริ่มมา มีลุงคนหนึ่งถามว่ามีใครอยู่ในรถอีกไหม ฉันเพิ่งนึกได้ว่า ฉันทิ้งเด็กในรถ 3 คน จึงเดินไปที่รถ และพาเด็กออกจากรถมา รถฉันพังยับเยิน แต่ไม่มีใครเป็นอะไรสักคน คนที่มาเห็นสภาพรถต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนขับฝีมือดี หรือไม่ก็มีของดี จริงๆ แล้วฉันคล้องเหรียญแค่อันเดียว แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ฉันคิดว่า ที่เรารอดปลอดภัยทุกคนคงเป็นเพราะบารมีหลวงพ่อชื่นคุ้มครอง และคนที่ฉันชน
เขาก็ไม่เอาเรื่องฉันด้วย เพราะพอตำรวจมาที่เกิดเหตุฉันบอกตำรวจว่า ฉันผิด ฉันหลับในแล้วชนเขาเอง คนถูกชนเขาบอกว่า เขารักน้ำใจฉัน ที่ฉันพร่ำขอโทษเขาและพูดว่า พี่ผิด ในขณะที่ไทยมุงถามฉันหลายคนว่า มอเตอร์ไซค์ตัดหน้ารถหรือ ฉันบอกว่า คงไม่ใช่ ฉันหลับในมารู้สึกตัวคือได้ยินเสียงดัง และรู้ว่าชนเขาแล้ว ฉันคิดว่าถ้าวันนั้นฉันไม่ไปทำบุญ และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่อื่น ป่านนี้ถ้าไม่ตายฉันอาจพิการแล้วก็ได้ จึงอยากเล่ามาให้ทุกๆ คนได้รับฟังค่ะ หลวงพ่อเป็นพระป่า ขณะนี้ท่านสิ้นบุญแล้วค่ะ เหลือไว้แต่ความดีที่ท่านทิ้งไว้บนโลกนี้ไว้มีโอกาส ฉันจะนำเรื่องราวของท่านมานำเสนออีกค่ะ
20 พฤษภาคม 2547 17:28 น.
ต๊อง
ก่อนนั้นฉันคงคาดหวังอะไรๆ เกินความเป็นจริง ฉันเคยคิดอยากมีครอบครัวที่เปี่ยมสุขมีลูกเล็กๆ สัก 2 คน ไว้เป็นโซ่ทองคล้องใจเราสอง แต่เพียงฉันสลัดชุดเจ้าสาวสีขาวได้ไม่นาน ฉันก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันหวังนั้น มันกลายเป็นของยากสำหรับฉันเสียแล้ว แต่ฉันก็อดทน ทนเพราะทุกอย่างฉันเลือกมันเอง ฉันไม่เคยกล้าบอกความจริงใคร เพียงเพราะฉันอาย ทุกคนเลยเหมารวมว่า ฉันเป็นคนผิด ฉันเรื่องมาก ฉันไม่กล้าจะเล่าให้คนฟังถึงพฤติกรรมของเขา เพราะฉันอาย เมื่อทุกสิ่งรวมๆ เกาะแน่นนานๆ เข้า ใจที่เคยคิดให้อภัยทุกเวลากลับชินชา ชินชาที่จะอยู่กับลูกได้ โดยไม่ต้องมีใครอีก ฉันเคยให้โอกาสเขาหลายครั้ง หลายครั้งจริงๆ แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้สนใจสักเท่าไร ก็เมื่อเขาไม่สนใจทำไมฉันต้องให้เขาอีกเล่า มาวันนี้ฉันรู้ว่าเขาเสียใจ แต่เขาไม่มีประโยชน์กับฉันแล้ว ฉันพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้ว่า ไม่มีเขาฉันก็อยู่ได้ และอยู่ได้อย่างมีเกียรติด้วยตัวของฉันเอง ฉันภูมิใจตัวฉันเอง หลายๆ อย่างเขาอาจมีส่วนเสริมฉันได้บ้าง แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าในเมื่อฉันทำวันนี้ของฉันด้วยตัวของฉันเองได้ โดยฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งเขาเลย ฉันไม่ใช่คนไร้น้ำใจ เมื่อต้องมาอยู่ร่วมชายคากับคนไม่มีน้ำใจ มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน บ่อยครั้งที่ที่ฉันนั่งทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ฉันจึงอยากบอกทุกคนว่า ฉันไม่ผิด เธอพลาดเอง
4 พฤษภาคม 2547 11:49 น.
ต๊อง
ทัศ เป็นน้องสาวคนเล็กของครอบครัว ด้วยวัยเพียง 7 ขวบ จึงไม่มีหน้าที่การงานใดๆ ในบ้านให้ต้องรับผิดชอบ เรามีเพื่อนบ้านใกล้เคียงอยู่คนหนึ่ง ยายเป็นคนปากร้าย อาศัยกับญาติโดยยายให้การอุปการะ ยายมาจากเมืองจีน สามีตาย ยายครองโสดมาตั้งแต่สาวจนแก่ ด้วยความที่ตัวเองไม่มีลูกจึงรักครอบครัวญาติที่อาศัยด้วยกันมาก ยายมีเงินเก็บบ้างตามประสาคนจีนที่รู้จักประหยัด ยามยายยังมีเงินและสุขภาพแข็งแรงมีเงินพอที่จะจุนเจือญาติๆ ได้ ยายจะเสียงดัง และมีบางครั้งที่จะใช้นิสัยเผด็จการ จวบจนวันหนึ่งวันที่ยายไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ วันนั้นยายหมดเงินหมดอำนาจ ญาติๆ ที่เคยอาศัยยายอยู่ ต่างหนีไปอยู่ที่อื่น ทิ้งยายให้อยู่โดดเดี่ยวลำพังคนเดียว ยายเป็นอัมพาต ครอบครัวเราอยู่ใกล้ยาย ความจริงถ้าจะนับไปแล้ว นัยว่า ยายเป็นญาติห่างๆ ของเราเหมือนกัน และถึงแม้ว่า เราเองก็ยากจน และยายพอมีสตางค์ แต่เราก็ไม่เคยไปขอหรือหยิบยืมจากยาย เมื่อยายถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ทัศเด็กน้อยอายุ 7 ขวบคนนี้ จึงมีภาระหน้าที่ ที่แม่มอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแล ยาย ตื่นเช้า ทัศ จะวิ่งไปบ้านยาย ถามยายว่า จะทานอะไร แล้ววิ่งไปตลาดซื้อหาอาหารเช้าให้ยาย เรียบร้อยแล้วจึงจะกลับบ้านอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน ช่วงเที่ยง รร พักทานข้าว ทัศจะแวะบ้านยายก่อน ดูแลเรียบร้อยตามประสาเด็กวัยขณะนั้น แล้วถึงจะกลับไปทานข้าวกลางวันที่บ้าน ตกเย็นหลังรรเลิก แทนที่ทัศจะได้ไปเล่นซุกซนเหมือนเด็กคนอื่นๆ เขากลับมีหน้าที่ ต้องไปดูแลคนแก่คนหนึ่ง ซึ่งเขาคิดว่าไม่มีอะไรผูกพันกับเขาเลย แต่ด้วยมนุษยธรรมที่แม่พูดกรอกหูว่า สงสารยายนะ แกไม่มีใคร เด็กน้อยทัศ จึงไม่เคยเบื่อกับชีวิตประจำวันที่ต้องไปเทกระโถนปัสสาวะและหลายครั้งที่ไปเจออารมณ์เกรี้ยวกราดไม่ได้ดังใจ จากยายคนนี้ ทัศเล่าว่า โกรธเหมือนกันนะ ที่แกอาละวาดใส่ แต่ที่ทำทั้งหมด เพราะแม่บอกให้ทำ และเพราะสงสาร เพราะทัศยังเด็กและยายตัวใหญ่ ช่วงกลางวันแม่และเพื่อนบ้านอีกคน จึงรับหน้าที่ไปอาบน้ำให้ยาย แม่บอกว่า ต้อง 2 คน ไม่งั้นไม่สามารถพยุงยายได้ ทัศทำอยู่เป็นปีกว่ายายจะสิ้นบุญไป ก่อนยายป่วยหนัก ยายบอกแม่ว่า เป็นหนี้บุญคุณทัศ โชดดีที่มีเด็กคนนี้คอยมารับใช้ ช่วยฝากของชิ้นเล็กๆ นี้ให้เขาด้วย มันคือแหวนทองวงเล็กๆ ที่ทัศได้มาเป็นที่ระลึกจากการรับใช้ดูแลคนป่วยคนหนึ่ง ซึ่งบางครั้งนอกจากป่วยกายแล้วแกยังป่วยทางจิตด้วย แต่เด็กน้อยคนนี้ ก็ไม่เคยบ่นและไม่เคยรังเกียจที่จะทำให้ ทัศน้องสาวคนเล็กของฉันเอง