3 กุมภาพันธ์ 2546 15:45 น.
ต้นไม้
ณ พระราชวังอันงามสง่า สว่างไสวไปด้วยสรรพ์แสงสีจากเหล่าดวงไฟไปทั่วบริเวณ กลิ่นกรุ่นจากมวลบุปผชาติที่นำมาประดับประดาในงานเฉลิมฉลอง ไออุ่นแห่งความรักความชื่นชมยินดีที่ล่องลอยอบอวลนำความอบอุ่นมาสู่ทุกดวงใจในท้องพระโรง และทั่วทั้งอาณาจักร เสียงดนตรีและเสียงไชโยโห่ร้องอันดังก้องกังวานประสานกันได้อย่างกลมกลืน ดังบทเพลงจากเหล่าทูตสวรรค์บนฟากฟ้าไกล
"ขอให้เจ้าชายและพระชายาซินเดอเรลลาผู้เลอโฉม จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน" แน่ล่ะ วันนี้เป็นวันที่เจ้าชายผู้ใฝ่หาความรักได้สมหวังกับ ซินเดอเรลลา สาวชาวบ้านกับมหัศจรรย์แห่งรองเท้าแก้วอันสุกใส เสียงระฆังแห่งการวิวาห์ และบรรยากาศงานเฉลิมฉลองมงคลสมรสกำลังดำเนินไปอย่างอบอุ่น ท่ามกลางพสกนิกรที่ทรงเชื้อเชิญให้เข้าร่วมถวายพระพรและดื่มกินเฉลิมฉลองให้กับพระองค์และพระชายา "ซินเดอเรลลา"
ทว่าในมุมหนึ่งของอาณาจักร กลับดูมืดสนิท บรรยากาศรอบด้านมีเพียงกระแสลมแรงที่พัดพาเอาดอกไม้ และใบไม้อันแห้งเหี่ยวล่องลอยขึ้นไปยังอากาศข้างบน เสียงของกระแสลมที่ฟังดูโหยหวน และอื้ออึงนั้นช่างประสานกันได้เหมาะเจาะกับเสียงของหญิงสามคน แม่ลูก ที่กำลังอ้อนวอนขออำนาจแห่งความชั่วร้ายได้ช่วยดับความแค้นและเพลิงแห่งความอิจฉาให้แก่นางทั้งสามด้วย
"พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ข้านี่แหละจะทำให้ความต้องการของพวกเจ้าเป็นความจริง อิ อิ อิ อิ" เสียงของหญิงแก่ จมูกยาว ๆ สวมหมวกทรงสูง ในชุดคลุมสีดำทะมึนไม่ต่างไปจากความมืดรอบด้าน และแล้วนางก็จากไปพร้อมกับทิ้งก้านของไม้กวาดอันเป็นยานพาหนะที่พร้อมรับใช้และพานางล่องล่อยไปได้ทุกที่ไว้ให้ดูต่างหน้า
"ไม่ต้องกลัวลูกรักทั้งสองของแม่ แม่จะไม่ยอมให้นังซินเดอเรลลามันมามีความสุขไปกว่าลูกรักทั้งสองของแม่เด็ดขาด ยัยแม่มดผู้โง่เขลาและลุ่มหลงความงามของตัวเองจะเป็นคนจัดการมันแทนพวกเรา" แล้วเสียงของหญิงทั้งสามคนก็หัวเราะขึ้นพร้อม ๆ กัน ท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปิดออกทำให้พอจะมองเห็นแสงแวววับไปด้วยความอาฆาตอันสาดสะท้อนต้องแสงจันทร์ของพวกนางได้เป็นอย่างดี
เจ็ดวันต่อมา ภายหลังงานเฉลิมฉลองพิธีมงคลสมรสของเจ้าชายและพระชายา ก็ได้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วอาณาจักร ภาวะความอดอยาก โจรขโมยที่ชุกชุมเที่ยวลักขโมย ปล้นอาหารและของมีค่ามากมาย สภาพการณ์อันเลวร้ายเหล่านี้ได้เปลี่ยนเสียงไชโยโห่ร้องของชาวเมืองให้กลับกลายเป็นเสียงร่ำไห้ขมขื่นอาดูรอย่างที่สุด ซ้ำร้ายข่าวจากทหารแนวหน้ายังส่งมาบอกอีกว่า มีข้าศึกกำลังยกทัพมาประชิดชายแดน ยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าประชาชนของอาณาจักรเป็นอย่างยิ่ง ในพระราชวังเองก็เช่นกัน พระราชาและพระราชินีถึงกับทรงพระประชวรระทมทุกข์ทั้งสองพระองค์ จนไม่โปรดที่จะเสวยพระกระยาหารใดๆทั้งสิ้น ทำให้พระวรกายของทั้งสองพระองค์ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะพระราชาซึ่งรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของสงครามเป็นอย่างดี เนื่องจากทรงผ่านศึกสงครามมามาก พระองค์ทรงดำริเพียงลำพังพระองค์ว่าหากทรงมีพระชนม์ไม่มากเพียงนี้ พระขรรค์ของพระองค์ย่อมต้องได้รับการปัดฝุ่น และเช็ดถูคราบสนิมที่จับเกาะปลายดาบ เพื่อฟาดฟันเหล่าอริราชศัตรูอีกเป็นแน่ แต่ทว่าครั้งนี้เล่า?
ในที่สุด จึงทรงตัดสินพระทัยให้เจ้าชายผู้เพิ่งเข้ารับการอภิเษกสมรสกับพระชายาซินเดอเรลลา เข้ารับพระขรรค์และธงรบอันถือเป็นภาระสูงสุดสำหรับฐานะแห่งการเป็นผู้ปกครอง ขณะที่แวดล้อมไปด้วยหยาดน้ำตาของพระมารดา และโดยเฉพาะซินเดอเรลลาผู้เพิ่งมีความสุขได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้น ก่อนที่เจ้าชายจะทรงนำทัพออกรบนั้น ทรงร่ำลากับพระบิดาและพระมารดาด้วยพระพักตร์ที่ผ่องใสห้าวหาญเด็ดเดี่ยว แต่ทว่าเมื่อทรงเสด็จผ่านมาถึงพระชายาของพระองค์ น้ำพระเนตรก็เอ่อท้นไหลหล่นลงสู่ร่องแก้มอันกลับหม่นหมองนั้นทันที
ในที่สุดด้วยทรงคำนึงถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ จึงทรงพระราชดำเนินจากพระนางไปพร้อมกับ "รองเท้าแก้วข้างหนึ่ง" ของพระชายาที่ทรงขอนำติดพระองค์ไปด้วย โดยทรงตรัสอำลาเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระชายาว่า "พี่จะขอนำเอารองเท้าแก้วของน้องนี้ไปด้วย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รองเท้าแก้วนี้จะทำให้พี่พบกับน้องได้อีกครั้งหนึ่ง เหมือนดังในงานเลี้ยงคืนวันนั้น พี่จะกลับมาให้เร็วที่สุด เพื่อรองเท้าแก้วคู่นี้จะอยู่คู่กันนิรันดร์"
หนึ่งเดือนผ่านไป เจ้าชายก็ยังคงไม่เสด็จกลับมาจากการศึก ส่วนในอาณาจักรเองก็ยังคงปั่นป่วน และความปั่นป่วนก็ยิ่งทวีขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับเข็มนาฬิกาที่บ่งบอกถึงกาลเวลาอันไม่มีวันหยุดนิ่งหรือร่นถอยหลังไปเลย และแล้วก็กลับเกิดเหตุการณ์ปั่นป่วนขึ้น เมื่อมีหญิงชราหลังค่อม ใส่เสื้อคลุมสีดำ ๆ ด่าง ๆ สวมหมวกทรงสูงสีเดียวกับเสื้อคลุม เส้นผมที่เล็ดลอดออกมาจากปลายหมวกนั้น มีสีขาวเป็นมันระยับ นางถือไม้เท้าเก่า ๆ อันหนึ่งกับย่ามใบเล็ก ๆ เที่ยวตะโกนสาปแช่งพระชายาซินเดอเรลลา และทำนายถึงหายนะของอาณาจักรไปทั่วตามละแวกบ้านเรือน และแหล่งชุมนุมชน โดยเฉพาะในโบสถ์วิหารที่กำลังประกอบพิธี
เมื่อพระราชาและพระราชินีทรงทราบเรื่อง จึงให้ทหารไปจับตัวนางมายังท้องพระโรง เพื่อไต่สวนและลงโทษในความอุกอาจของนาง เมื่อเหล่าทหารได้จับกุมนางมาอยู่เฉพาะพระพักตร์แล้ว จึงทรงไต่สวนนางด้วยพระพักตร์ที่โกรธกริ้ว ระคนกับสีหน้าอันหม่นหมองเพราะปัญหาที่เร้ารุมอยู่ในพระราชหฤทัยพระองค์
ช่างน่าแปลกแท้ ๆ หญิงแก่ชราแทนที่จะกลัวจนตัวสั่นเพราะความผิดของตน กลับอยู่ในอาการสงบนิ่ง ลอบชายตามองดูพระองค์ พระราชินี และพระชายาซินเดอเรลลาอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุดนางจึงหยิบเอาลูกกลม ๆ ใส ๆ ออกมาจากย่ามใบเก่าพอ ๆ กับอายุของนาง ตั้งวางไว้ที่โต๊ะตัวเล็กหน้าพระราชบัลลังก์ และทูลพระราชาว่านางคือหมอดูลึกลับผู้ล่วงรู้เหตุการณ์ทุกอย่างในปฐพี และในขณะนี้หายนะกำลังจะมาสู่เมืองนี้อย่างแน่นอน และกองทัพจากศัตรูจะเข้ายึดเมืองนี้ไว้ได้ เพราะขณะนี้กองทัพของเจ้าชายได้แตกพ่ายและตัวเจ้าชายเองก็สิ้นพระชนม์ในสงครามเสียแล้ว
ระหว่างที่นางพูดนั้น ช่างประหลาดแท้ที่ลูกแก้วใสนั้นกลับกลายเป็นภาพต่าง ๆ ในสนามเพื่อให้พระราชาและทุกคนในท้องพระโรงได้ทอดพระเนตร เป็นภาพของเจ้าชายที่ทรงถูกหอกปักที่พระราชหฤทัย นอนสิ้นพระชนม์อยู่ใกล้ลำธารสายเล็ก ๆ ที่กลายเป็นสีเลือดแดงฉาน และภาพของศัตรูข้าศึกที่กำลังยกทัพประชิดเมืองเข้ามาเรื่อย ๆ ด้วยเสียงไชโยโห่ร้องก้องดังสัตว์ป่าที่หิวกระหายเลือดและความตาย
เมื่อทั้งสามพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงถึงกับตะลึงงัน พระราชินีถึงกับทรงล้มฟุบแน่นิ่งไปทันที ฝ่ายพระราชาก็ทรงนิ่งเงียบ พระวรกายสั่นสะท้านไปทั่ว ทรงรำพึงรำพันอยู่ในพระโอษฐ์ว่าไม่จริง ไม่มีทางเป็นไปได้ และหันพระพักตร์มาทางหญิงแก่ตวาดว่า "นังหญิงเฒ่า เจ้ากำลังโกหกข้า ข้าจะให้เหล่าทหารนำเจ้าออกไปประหารเดี๋ยวนี้" ทว่าหญิงแก่นั้นกลับไม่สะทกสะท้าน และทูลตอบให้ทรงคิดให้รอบคอบโดยกล่าวว่า "หม่อมฉัน มีวิธีแก้ปัญหาทุกอย่างได้ หากทรงกระทำตามหม่อมฉัน แต่หาไม่แล้วหม่อมฉัน ทั้งพระองค์ และทุก ๆ คนที่นี่จะต้องตาย อิ อิ อิ อิ"
เมื่อพระราชาได้ยินดังนั้น จึงทรงนิ่งเงียบ พระขนงค์ขมวดขึ้นจนดูยุ่งเหยิง เส้นพระโลหิตเส้นใหญ่ ๆ ค่อยโผล่เป็นเส้นขึ้นบนพระพักตร์ และเป็นทางยาวขึ้นไปถึงพระเกศ ในที่สุดจึงทรงยอมตามที่หญิงแก่เสนอ ซึ่งสิ่งที่หญิงแก่เสนอก็คือ "พระองค์ต้องประหารพระชายาซินเดอเรลลาให้ตายภายในวันพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงวัน เพราะนางเป็นตัวกาลกิณี กินบ้านกินเมือง หากเชื่อหม่อมฉัน พระองค์จะทรงรักษาเมืองนี้เอาไว้ได้ และความผาสุขจะกลับมาอีกในไม่ช้า"
เมื่อได้ฟังดังนั้น พระราชาจึงทรงหันพระพักตร์ไปยังพระชายาซินเดอเรลลา ซึ่งร่ำไห้ด้วยสำนึกถึงความอับโชคของตน นางสบพระพักตร์ของพระราชาด้วยความสำนึกผิด และกราบทูลพระราชาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันจึงขอถวายชีวิตอันน้อยนิดนี้ แทนคำขอขมาต่อพระองค์ พระมารดา และประชากรทั้งปวง และแก่เจ้าชายพระสวามีผู้ล่วงลับด้วย และจักขอถูกสาปเป็นผีป่ารักษาอาณาจักรของพระองค์ตลอดไป
เที่ยงวันรุ่งขึ้น พระชายาซินเดอเรลลาจึงถูกนำตัวไปยังแดนประหารที่จัดขึ้นอย่างง่าย ๆ ทรงถูกถอดมงกุฏ และเสื้อคลุมอันงามสง่าออก เมื่อเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณเที่ยงตรง พระชายาก็คุกเข่าลง ก้มพระพักตร์เพื่อให้เพชฆาตได้ทำตามหน้าที่ของตน
สามวันหลังการประหารชีวิตพระชายาซินเดอเรลลา ก็ปรากฏเสียงกลอง เสียงแตร เสียงเขาสัตว์ดังมาแต่ไกล พื้นแผ่นดินต่างกระหึ่มด้วยเสียงฝีเท้าม้า และพลทหารเดินเท้า จนแม้ฝุ่นธุลีก็ยังคงลุกขึ้นสะบัดตนล่องลอยขึ้นมาเต้นรำกับสายลม ที่โชยพัดมาร่วมกับขบวนแห่ด้วย ใช่แล้วนี่คือขบวนแห่แห่งชัยชนะของเจ้าชายต่ออริราชศัตรู ความชื่นชมยินดีจากกองทัพอันมีชัยชนะ โดยหารู้ไม่ว่าพระชายายอดรักของพระองค์ไม่มีโอกาสวิ่งเข้ามาต้อนรับถวายพระพรอีกแล้ว คงทิ้งไว้แต่รองเท้าที่อ้างว้างเดียวดายเพียงข้างเดียว....ของพระองค์.....
เมื่อความจริงปรากฏขึ้นแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแผนการของแม่มด ซึ่งจำแลงเป็นหญิงแก่มาหลอกให้พระราชา พระราชินี และชาวเมืองเข้าใจผิด จนถึงกับประหารชีวิตพระชายาซินเดอเรลลาแล้ว ยิ่งเพิ่มความโศกเศร้าและความทุกข์ระทมให้แก่ทุก ๆ คน ยิ่งขึ้นไปอีก ที่มีส่วนในการประหารชีวิตพระชายาของเจ้าชาย
ฝ่ายเจ้าชายก็ทรงเป็นทุกข์ยิ่งกว่าครั้งใด ๆ มา ทรงนั่งเฝ้าลูบคลำรองเท้าแก้ว และพร่ำเพ้อรำพันถึงพระชายาซินเดอเรลลาไม่หยุดหย่อน จนพระวรกายซูบผอม พระพักตร์หม่นหมอง เอาแต่เก็บพระองค์ในห้องบรรทม ไม่กระทำการใด ๆ หรือเสวยพระกระยาหารใด ๆ เลย
ในที่สุดเทศกาลคริสต์มาสก็ใกล้เข้ามาแล้ว ลมหนาวเริ่มโชยพัดมาพร้อมกับพัดพาเอาความเหน็บหนาวและมวลหิมะสีขาวสดลงมาจากฟากฟ้า จับเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ที่ไร้ใบ อันเหมือนกับความเจ็บปวด และทุกข์ระทม และหยาดน้ำตาที่จับเกาะอยู่ในหัวใจและร่างกายอันปราศจากไออุ่นแห่งความรักของเจ้าชาย
..... เจ้าชายผู้น่าสงสาร.....
ในที่สุดคืนวันคริสต์มาสก็มาถึง คืนแห่งความสุขและความหวังสำหรับทุก ๆ ชีวิต ในคืนนี้เป็นคืนที่ทุกสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ อาจจะกลับเป็นสิ่งที่ เป็นไปได้เสมอ เจ้าชายก็เช่นกันทรงนำเอารองเท้าแก้วข้างนั้น เข้าไว้ที่ใต้ต้นสน และอธิษฐานด้วยความหวังอย่างแรงกล้า ด้วยพระพักตร์ที่นองไปด้วยน้ำพระเนตรหน้าเตาผิงที่ให้ไออุ่นในยามหนาวเหน็บเช่นนี้ ดังจะขอให้ความหวังของพระองค์กลับกลายเป็นความจริง ให้ "ชีวิตของพระชายากลับคืนมาอันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้" กลับมา "เป็นสิ่งที่เป็นไปได้" เพื่อแผดเผาคราบน้ำตาและเพิ่มไออุ่น... เป็นไออุ่นแห่งความรัก..... ความรักที่อยู่ไกลแสนไกล.........
ทันใดนั้น นางฟ้าองค์เดียวกันกับที่ปรากฏกายแก่ซินเดอเรลลา เพื่อช่วยให้นางได้มีโอกาสเข้าพระราชวังร่วมงานเลี้ยงของเจ้าชายก็ปรากฏกายมาหาเจ้าชาย ชุดสีขาวบริสุทธิ์ รอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน และคฑาวิเศษที่ประดับด้วยมุกและเพชรพลอยหลากสี นางถือรองเท้าแก้วอีกข้างหนึ่งมาด้วยเพื่อมอบให้กับเจ้าชายพลางกล่าวว่า "เจ้าชายผู้น่าสงสาร คืนนี้เป็นคืนแห่งความหวัง และเป็นคืนที่ทุกสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จะเป็นไปได้เสมอ จงจำไว้ก่อนเที่ยงคืนวันนี้เจ้าชายจงเดินทางไปยังโบสถ์เพื่อร่วมงานวันคริสต์มาส จงนำรองเท้าแก้วไปด้วย ซินเดอเรลลาจะรอสวมรองเท้าของเธออยู่ที่นั่น จงจำไว้ว่าเจ้าชายมีเวลาเพียงแค่เที่ยงคืนของคืนนี้เท่านั้น จงหาพระชายาของพระองค์ให้พบก่อนแม่มดร้าย และพวกแม่เลี้ยงมิฉะนั้นนางจะไม่มีวันได้พบกับพระองค์อีกต่อไป และอาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันพ้นจากคำสาป แห่งความหายนะของแม่มดร้ายอีกตลอดกาล"
และแล้วเจ้าชายแห่งความหวังก็รีบเร่งไปยังโรงม้า และควบออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมิได้ทรงฉลองพระองค์อย่างงดงามแต่ประการใด มีเพียงเสื้อคลุมหนังสัตว์ผืนเดียวเท่านั้นและรองเท้าแก้ว ท่ามกลางหนทางที่หนาวเหน็บและมืดมิด มิได้เป็นอุปสรรคให้ทรงหวาดกลัวสิ่งใด ๆ เพราะความหวาดกลัวที่สุดในขณะนี้ของพระองค์ คือ หวาดกลัวว่าจะไม่ได้มีโอกาสพบกับซินเดอเรลลาอีกต่อไป หากพ้น 1 ชั่วโมงนี้ไป......หายนะจะเข้าครอบงำหัวใจของพระองค์และความสุขของอาณาจักรตลอดไป..
ขณะที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปได้ ระหว่างทางห่างจากโบสถ์ประมาณ 100 เมตร ซึ่งเสียงระฆังและเสียงขับขานสรรเสริญพระกุมารเจ้ากำลังบรรเลงอย่างไพเราะอยู่นั้น ทรงพบเงาตะคุ่ม ๆ ของใครคนหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกันกับพระองค์ และแล้วเมื่อทรงควบม้ามาใกล้ ๆ ก็พบว่าเงานั้นได้ล้มลงเสียแล้ว แม้จะพยายามประคองกายลุกขึ้น แต่ทว่าความหนาวเหน็บจากหิมะที่โอบล้อมรอบตัวเขานั้น ก็ทำให้เขาไม่สามารถจะก้าวต่อไปอีกได้ เขานั้นสั่นเทาเพราะความเหน็บหนาว เสื้อคลุมที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง ทำให้เจ้าชายทรงรีบควบเข้าไปใกล้ และก้มลงช่วยเหลือเขาทันที
โอ หญิงชราผู้น่าสงสาร! ทรงรีบถอดเสื้อคลุมของพระองค์คลุมตัวนาง ทรงประคองนางให้ลุกขึ้น จากนั้นทรงรีบเสด็จขึ้นม้าเพื่อจะรีบขี่ไปให้ทันเวลาที่เหลืออีกไม่มากนักแล้ว ทว่าสายพระเนตรของพระองค์ทรงมาสะดุดอยู่ที่เท้าอันเปลือยเปล่าของนาง ทำให้ทรงรู้สึกสงสารนางอย่างจับใจ บนพื้นหิมะอันเย็นยะเยือกนี้ แม้กระทั่งรองเท้าหนังก็ยังแทบจะยืนทรงตัวอยู่ไม่ได้แล้ว ครั้นจะให้รองเท้าของพระองค์ก็ช่างใหญ่เสียเหลือเกิน ย่อมเข้ากันไม่ได้กับเท้าของนางเป็นแน่ พระองค์จึงทรงยืนไตร่ตรองบางสิ่งบางอย่างถึงรองเท้าแก้ว แต่ทว่าหากคืนอันเหลือเวลาอีกน้อยนิดนี้ไม่ทรงสามารถเสด็จเข้าไปร่วมงานยังโบสถ์ และนำรองเท้าแก้วคู่นี้ไปสวมเท้าซินเดอเรลลาได้แล้ว ก็คงไม่มีวันที่พระองค์จะทรงได้พบกับพระชายายอดรักของพระองค์อีกแล้ว แต่ทว่าหากต้องทิ้งให้หญิงชราผู้นี้ต้องยืนเปล่าเปลี่ยวท่ามกลางความหนาวเหน็บ และสัมผัสกับพื้นที่แสนเย็นยะเยือกอย่างนี้แล้ว ก็ทรงละอายพระทัยมากเพราะทรงเป็นถึงหน่อเนื้อกษัตริย์ ย่อมต้องรับใช้ประชากรของพระองค์อย่างสุดความสามารถ
ในที่สุดหลังจากที่ทรงคำนึงไตร่ตรองดีแล้ว ทรงตัดพระทัยหยิบรองเท้าแก้วขึ้นมาและสวมให้นางผู้นั้นปรากฏว่าใส่เข้ากันได้พอดีทีเดียว แล้วทรงรีบอุ้มนางขึ้นประทับบนหลังม้า และพาไปยังโบสถ์อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถได้เมื่อเข้ามายังโบสถ์แล้ว สายตาแห่งความประหลาดใจระคนตื่นเต้นทุกคู่นั้นล้วนจับจ้องไปยังพระองค์ อาการที่แน่นิ่งเหมือนกับได้พบกับสิ่งที่ประหลาดที่สุด ทำให้เจ้าชายทรงรู้สึกแปลกประหลาดใจด้วย จึงทรงรีบเสด็จลงจากหลังม้า และทันใดนั้นเอง ขณะที่ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปอุ้มหญิงชราผู้นั้น พระองค์ก็ทรงตะลึงงัน พระทัยเต้นแรงดังจะหลุดออกมาจากพระอุระ น้ำพระเนตรเอ่อท้น ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ทำไมตลอดเส้นทางที่ผ่านมากับหญิงชราผู้นี้จึงไม่รู้สึกได้ถึงไออุ่นของพระชายาเล่า?
ใช่แล้ว แท้จริงแล้ว หญิงชราผู้อาภัพโชคและยากเข็ญผู้นั้นกลับกลายเป็นสตรีแสนสวย ใบหน้าแจ่มใสละมุน ผิวพรรณอ่อนนุ่ม เส้นผมสยายยาวหอมฟุ้ง อาภรณ์แพรพรรณที่สวมใส่ช่างสวยงามยิ่งนักใต้เสื้อคลุมหนังสัตว์ของเจ้าชาย สตรีผู้นี้แหละเป็นสตรีที่พระองค์ปรารถนามาตลอด เป็นสตรีที่ทรงรักที่สุดอย่างหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้ เป็นสตรีผู้เลอโฉมและวิเศษที่สุดในอาณาจักร "ซินเดอเรลลา"
และแล้วบทเพลงแห่งการเฉลิมฉลองคืนขององค์พระผู้ไถ่ ผู้บันดาลให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้เสมอสำหรับพระองค์ ก็ก้องกังวานขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุขของทุกคน ที่มาร่วมชุมนุมกันรับเสด็จพระผู้ไถ่ องค์แห่งความรักและเสียสละ องค์แห่งความหวังและความจริง
คืนวันคริสตมาส คือ คืนแห่งความรัก ที่ต้องพร้อมจะหยิบยื่นให้แก่กันและกัน คืนแห่งความเสียสละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน คืนแห่งความหวังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างจริงใจ และที่สุดจะเป็นคืนแห่งความจริงที่เป็นไปได้เสมอ ดังเช่น ความรักเสียสละ ของเจ้าชายที่บันดาลให้ความหวังอันไม่มีทางเป็นไปได้กลับกลาย "เป็นความจริงและเป็นไปได้"
โดย นพรัตน์
3 กุมภาพันธ์ 2546 15:12 น.
ต้นไม้
ไม่มีใครในชีวิตผิดเพราะรัก "ความรัก" ไม่เคยทำให้ใครกลายเป็นผู้ถูกหรือผิด
ไม่มีความอกหักเศร้าโศกศัลย์ "ความรัก" ไม่เคยทำให้ใครต้องพบกับความทุกข์ระทม
ไม่มีดอกกุหลาบแดงแต่งแจกัน "ความรัก" ไม่เคยทำให้ใครต้องสาละวนกับแจกันและดอกไม้
ไม่มีวันที่เฝ้ารอขอเอาคืน "ความรัก" ไม่เคยทำให้ใครมีความหวังกับ "ความรักของตนเอง"
นี่แหละคือ "ความรัก" ที่ผมค้นพบในวันวาเลนไทน์ วันที่ "ความรัก" ในความคิดและความฝันกลับกลายเป็น "ความลัก" ในคำพูดและการกระทำ จะมีความหมายอะไร หากสองมือของผมเต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีแดง ส่งกลิ่นหอมละมุน "กรุ่นกลิ่นรัก" แต่แจกันแทบเท้า ณ เชิงกางเขนนั้นยังว่างเปล่าอยู่ ไม่มีสีสันสวยงาม และกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ ไม่มีใครสักคน... ดอกกุหลาบที่ผมเฝ้ารอ จะยังเป็นนิยามของความรักให้ผมมั่นใจ ภูมิใจ และยืนยืดอกอย่างผึ่งผายได้อยู่อีกหรือ?
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ นอกจากจะเป็น "วันแห่งความรัก" แล้ว สำหรับผม วันวันนี้ยังคงมีความสำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เป็น "วันคล้ายวันเกิดของผม" ด้วย ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงวัน "วาเลนไทน์" ครั้งใด หัวใจของผมจึงดูเหมือนจะหมดเรี่ยวหมดแรง ห่อเหี่ยว กระวนกระวาย อันเกิดมาจากความหวังและการเฝ้ารอ........ เพียงรอยยิ้มจากมุมปาก เพียงคำพูดว่า "แฮปปี้เบิร์ทเดย์" และเพียงกุหลาบดอกเดียวจากใครสักคน มันช่างดูมีคุณค่ามหาศาลยิ่งนักสำหรับผม
สมัยที่ผมยังคงเป็นเด็กบ้านนอกที่วัน ๆ เอาแต่วิ่งเล่นสนุกสนาน วันวาเลนไทน์,วันเกิด,วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก็ดูจะมีความสำคัญ เหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมานั่นแหละ ขอเพียงมีอาหารกิน มีเพื่อนวิ่งเล่น มีที่นอนที่อยู่ แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับปัจจัยวัยเด็ก... วัยที่ความรักยังไม่ได้ถูกแทนค่าด้วยดอกกุหลาบสีแดง... และ "ความลัก"...
ผมจำได้ดีว่า ผมเริ่มสัมผัสกับความอบอุ่นของวันเกิดเป็นครั้งแรก เมื่อปีที่ผมอายุครบ 12 ขวบ คืนนั้น ผมมีโอกาสเป่าเค้กให้กับตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต แม้มันจะเป็นเค้กก้อนเล็กๆ แข็งๆ ที่ไม่มีชื่อของผมปรากฏอยู่บนหน้าของเค้ก ไม่มีร่องรอยการตกแต่ง ไม่มีลวดลายสวยงาม แต่มันเป็นของขวัญชิ้นแรกของผม ของขวัญชิ้นแรกสำหรับวันเกิด ที่แม่และยายพยายามเสาะหามาฉลองให้กับผม เพื่อเป็นสัญลักษณ์ เป็นเครื่องหมายของวันเกิด และเป็นตัวแทนความรักของแม่ และยายที่มีต่อผม ดังนั้น เค้กก้อนนั้น ของขวัญวันเกิดชิ้นนั้น และค่ำคืนวันเกิดปีนั้นจึงมีความหมายพิเศษที่สุดในชีวิตผม
ค่ำคืนของรอยยิ้ม และแววตาแห่งความยินดี ราตรีของความเอื้ออาทรและความห่วงใย จากดวงใจของความรัก หากค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนของความรักแล้ว ของขวัญชิ้นไหนล่ะจะพิเศษสุดยิ่งกว่า "ความรัก"
การฉลองวันเกิดของผมจึงเริ่มต้นขึ้นในทุก ๆ ปีต่อมาด้วยความสุขจากความรักของครอบครัว จนเมื่อผมย้ายเข้ามาช่วยแม่ทำงานในกรุงเทพฯ มาเล่าเรียนในเมืองกรุง เมืองที่ทำให้ผมเข้าใจความหมายของความรักเทียม และความลักแท้ มนุษย์จะพร่ำเพ้อ โหยหาความรักไปทำไม หากสมองและสองมือยังไขว่คว้าหาความสุขให้กับตนเอง หากสองเท้ายังพยายามก้าวแย่งแข่งขันกับคนอื่นอยู่ ความต้องการที่จะเป็น...ผู้รับ... ทำให้ความรักเป็นเพียงนิยามในความคิด และหล่อหลอมชีวิตด้วยความลักในการกระทำ...ต่างหาก..
โรงเรียนม.ปลายที่ผมเข้าเรียน เป็นโรงเรียนที่มีทั้งเพื่อนชายและหญิง พวกเรากำลังอยู่ในช่วงของวัยรุ่น วัยที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเริ่มเปลี่ยน และวัยที่ความรักในหัวใจเริ่มแปลงไปบ้าง ผมเองก็เช่นกัน แม้ความรักจากครอบครัวจะทูนเทิดประเสริฐสูงสุด และมีคุณค่าที่สุด แต่ความรักจากเพื่อน และ "คนรัก" ก็ทำให้เรามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เป็นความอบอุ่นและเพิ่มความมั่นใจให้พร้อมสู้กับอุปสรรคต่างๆ ของชีวิตต่อไป
"โบ" เป็นเพื่อนหญิงที่ผมแอบประทับใจตั้งแต่เห็นครั้งแรก เส้นผมที่ยาวประบ่า ใบหน้าโค้งมน เนื้อหนังที่ขาวเนียน และดวงตาที่เป็นประกายรับกับรอยยิ้มที่สดใส คำพูดที่อ่อนหวานน่าฟัง ความมุ่งมั่นในการเรียน และทุก ๆ อย่างที่โบทำนั้น คือความสุขยามได้เห็น และความชื่นฉ่ำยามคิดถึง
เมื่อความรักปะทุขึ้นเป็นเชื้อไฟเผาไหม้อยู่ในจิตใจ น้ำทิพย์ใด ๆ เล่า จะดับได้ รอยยิ้ม และมิตรไมตรี จากคนรักน่ะหรือ? มีแต่ยิ่งจะเป็นดั่งน้ำมันช่วยเพิ่มแรงพลังเพลิงรักให้ร้อนแรงเพิ่มขึ้นต่างหาก ยิ่งเราสมหวังในขั้นแรก ความต้องการขั้นต่อไปก็ยิ่งมีมากขึ้น ผมจึงเข้าใจว่าอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดของความรัก อยู่ที่ตัวคนรักของเราต่างหาก ก็ไม่ใช่เพราะเธอหรอกหรือที่เป็นไฟจุดประกายรักขึ้นในใจเรา? แล้วจะให้เธอดับหรือ? ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่ได้กำลังแข่งขันกับเพื่อนคนอื่นๆ อยู่ หากแต่กำลังแข่งขันกับจิตใจอันเข้มแข็งของโบเอง และแล้วดอกกุหลาบสีแดงวันวาเลนไทน์ กับเรื่องราวของ "ความลัก" ของผมจึงเริ่มขึ้น
อีกเพียงเดือนเดียวจะถึงวันวาเลนไทน์ วันที่ดอกกุหลาบสีแดงจะบานสะพรั่ง และชูช่อให้หนุ่มสาวได้นำไปมอบให้กับคนรักเพื่อเป็นสื่อแทนความรักในหัวใจ ที่มีให้กันและกันในห้องเรียน พวกเราก็มีการแข่งขันกันว่า หากใครได้รับดอกกุหลาบสีแดงมากที่สุดในวันนั้น แสดงว่าคน ๆ นั้นเป็นคนที่เพื่อนๆ รักมากที่สุด และคนคนนั้นจะกลายเป็นคนสำคัญของห้องไปเลยทีเดียว ทุกคนจึงพยายามแข่งขันกันทำดีต่อกันและกัน พยายามทำดีต่อเพื่อนข้างห้อง รุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อที่ว่าเมื่อวันวาเลนไทน์มาถึง เราแต่ละคนจะได้รับดอกกุหลาบจากบุคคลรอบข้างอันเป็นการแสดงถึง "มนุษย์แห่งความรัก"
ผมเองก็พยายามเต็มที่ ทั้งให้เพื่อนลอกการบ้าน ช่วยเพื่อนทำเวร ช่วยกิจกรรมรุ่นพี่ ซื้อขนมให้รุ่นน้องกิน ถึงแม้จะรู้สึกหงุดหงิด เหนื่อย และหลายครั้งต้องพยายามปั้นหน้าที่หงิกงอให้ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่เอาเถอะเพื่อดอกกุหลาบ เพื่อชัยชนะในความรัก..จุดหมายที่ฝันใฝ่ในวันวาเลนไทน์.
โดยเฉพาะกับโบ ดอกกุหลาบของโบเป็นความหวังสูงสุดของผม ผมจึงทุ่มเททั้งร่างกายและจิตใจที่จะเป็นผู้ให้ "ความรัก" กับโบให้มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้ เพียงเพื่อดอกกุหลาบ...นิยามแห่งความรักในวันวาเลนไทน์....ที่สำคัญวันวาเลนไทน์ยังเป็นวันครบรอบวันเกิดของผมด้วย ความหวังของผมจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดอกไม้ในวันวาเลนไทน์ และคำอวยพรโอกาสวันเกิด....
ในที่สุดวันวาเลนไทน์ก็มาถึง วันที่ความรักถูกส่งมอบให้กันและกันด้วยดอกกุหลาบสีแดง วันที่ผมและทุกคนจะเก็บเกี่ยวผลจากความรักที่ลงทุนลงแรงไปทั้งแรงกายและแรงใจ วาเลนไทน์ปีนั้นผมควรจะภูมิใจไม่ใช่หรือกับคำอวยพรโอกาสวันเกิดพร้อมด้วยดอกกุหลาบสีแดงสด ที่ผมได้รับเต็มสองมือ อันทำให้ผมกลายเป็นผู้ชนะเกมส์แห่งความรักกับดอกกุหลาบ เป็น "มนุษย์แห่งความรัก" และเป็นผู้ชนะหัวใจของโบด้วย โดยมีดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่เป็นประจักษ์พยาน
ผมควรจะดีใจมิใช่หรือ กับชัยชนะในความรัก? ไม่หรอก ผมต่างหากที่เป็นผู้แพ้ ผมแพ้คนที่ไม่ได้รับดอกกุหลาบแม้แต่ดอกเดียวในวันวาเลนไทน์ ผมแพ้คนที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่เดียวดายคนนั้น...
เย็นวันนั้น ระหว่างทางก่อนจะถึงบ้าน ผมจะต้องเดินผ่านกางเขนใหญ่ ซึ่งทุกๆ วันจะมีดอกกุหลาบ พวงมาลัย ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่ววางไว้ที่แจกันแทบเชิงกางเขน มีคนมากมายมาคุกเข่ากราบไหว้ พูดคุยสนทนากับชายที่อยู่บนกางเขน ด้วยน้ำตาที่อาบแก้มอยู่บนใบหน้าที่หม่นหมอง ผมเองนึกอิจฉาอยากจะได้รับดอกไม้มาก ๆ อย่างนี้บ้าง อยากให้มีคนมาคุกเข่ากราบไหว้อย่างนี้บ้าง
แต่ทำไมวันนี้ วันวาเลนไทน์แท้ ๆ กลับดูเงียบเหงา วังเวง ไม่มีดอกกุหลาบ พวงมาลัย หรือใครๆ มาคุกเข่า มากราบไหว้ หรือพูดคุยกับชายบนกางเขนนั้น เหมือนทุกวัน แจกันนั้นว่างเปล่า ชายบนกางเขนดูเงียบเหงา เขาคงไม่เคยมีความรักนั่นเอง เขาคงไม่เคยให้ความรักกับใครๆ และคงไม่เคยทำอะไรที่ดี ๆ เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าเขารักเลยสักครั้ง? วันนี้ วันแห่งความรักแท้ๆ จึงไม่มีใครสนใจเขา ไม่มีใครให้ดอกกุหลาบเขา ไม่มีใครมาอวยพร มาพูดคุยกับเขา.......ไม่เหมือนผมที่หอบดอกกุหลาบสีแดงสดอยู่เต็มสองมือ
ที่สุด ผมเดินเข้าไปหาชายคนนั้น ชายบนกางเขนผู้อาภัพรัก ผมเข้าไปมองดูเขาใกล้ๆ ผมเห็นใบหน้าของเขาดูเจ็บปวด สายตาที่แหงนมองฟ้าอย่างตัดพ้อ หนามแหลมคมที่สานอยู่โดยรอบศีรษะ ตะปูตัวใหญ่ที่ตอกทะลุข้อมือทั้งสองและที่เท้าของเขา บาดแผลบริเวณสีข้างที่ถูกแทง ร่างกายที่เปลือยเปล่า บนท่อนไม้ที่สากกร้าน และเกรอะกรังไปด้วยเลือด เขาเป็นใครหรือจึงถูกทรมานเช่นนี้?
เพราะอะไรหรือเขาจึงดูอัปยศเช่นนี้ ?
ผมค่อย ๆ วางกุหลาบสีแดงสดหอบใหญ่นั้นลงในแจกันที่ว่างเปล่า คุกเข่าและแหงนหน้ามองดูชายคนนั้น "พระเยซูเจ้า ผมควรจะดีใจหรือกับดอกกุหลาบเหล่านี้ ดอกกุหลาบที่เป็นนิยามของความรักที่ผมอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกาย ใส่แรงใจ ให้ความหวังกับมันเสียมากมาย จะมีความหมายอะไรหากสองมือของผมเต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีแดงส่งกลิ่นหอมละมุน "กรุ่นกลิ่นรัก" แต่แจกันแทบเท้า ณ เชิงกางเขนนั้นยังว่างเปล่าอยู่ ไม่มีสีสันสวยงามและกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ไม่มีใครสักคน...
ผมจะพูดได้อย่างไรว่าสิ่งที่ผมมีในตอนนี้คือความรัก ผมจะพูดได้อย่างไรว่าผมคือมนุษย์แห่งความรัก ในเมื่อองค์ความรักแท้จริง ผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลับไม่มีดอกกุหลาบแม้แต่ดอกเดียวมาวางแทบเท้า ณ เชิงกางเขน ไม่มีใครแม้สักคนเดียวมาร่วมยินดีกับพระองค์.....ในวันวาเลนไทน์....วันแห่งความรัก.......
ผมเดินกลับบ้านตัวเปล่าด้วยความผิดหวังกับวันวาเลนไทน์ "วันแห่งความรัก" ในความคิด และเป็น "วันแห่งความลัก" ในการกระทำ ผมไม่ใช่ขโมยหรอกหรือที่เที่ยวทำให้ใครต่อใครเชื่อใจว่าผมรัก และปรารถนาดีต่อพวกเขา และรอโอกาสที่จะฉกชิงความรัก ที่พวกเขาหวงแหนมาเป็นของตน
ผมไม่ใช่โจรหรอกหรือ ที่เที่ยวทำให้ใครต่อใครเชื่อใจว่า ผมพร้อมที่จะเป็นผู้ให้กับพวกเขาด้วยความเต็มใจ และรอเวลาที่จะเอากลับคืนมา จนเติมเต็มในสิ่งที่ผมให้พวกเขาไป
แท้จริงแล้วกุหลาบในวันวาเลนไทน์จึงเป็นเพียง "ความลัก" เท่านั้นเอง ตราบใดที่ผมยังคงหยิบยื่นให้กับเพื่อนๆ ให้กับโบ หรือใครต่อใคร โดยหวังว่าวันหนึ่งผมจะได้กลับคืนมาดังเดิม ชายบนกางเขนคนนั้นต่างหากที่มีความรักแท้ เพราะเขา "ให้ชีวิตของตน" ซึ่งไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่จะนำมันกลับคืนมาให้เขาได้....นั่นแหละคือ "ความรัก"..ในวันวาเลนไทน์ที่ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง........
นพรัตน์
ผู้แต่ง