27 เมษายน 2550 03:50 น.
ตามรอยตะวัน
สามี - คุณชอบดอกกุหลาบมั๊ย... สามีอันเป็นที่รักเดินเข้ามาถาม
ขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานต่อหน้าคอมพิวเตอร์แบบ
ไม่ได้สนใจต่อคำถามมากนัก
ฉัน - กุหลาบหรือก็ทั่วๆไปนะ ฉันตอบ แต่ดอกไม้ที่ชอบมากที่
สุดในชีวิตคือดอกกล้วยไม้ จำไม่ได้หรือของชำร่วย แต่งงาน
ฉันยังใช้ดอกกล้วยไม้เลย ถามทำไมหรือ
สามี ไม่หรอกถามดูเฉยๆ
ฉัน ว้าว.. แล้วถามทำไม สามีก็เดินออกนอกห้องไปยุ่งกับเครื่อง
คอมพิวเตอร์อีกเครื่องไม่รู้ทำอะไร
บ่ายวันถัดมา
กริ๊งๆๆๆๆ เสียงกริ่งดังหน้าห้อง ขณะที่ฉันกำลังยุ่งกับการโทรศัพท์อยู่อีกห้อง ไม่ทราบว่าใครมา พร้อมกันนั้น คุณสามีก็ถือกระเช้าดอกกล้วยไม้สีเหลืองตกแต่งสวยงามเดินเข้ามาให้ฉันด้วยความเซอร์ไพร์ ทำให้ฉันถึงบางอ้อที่คุณสามีถามคุณเธอสั่งซื้อผ่านอินเตอร์เนท ฉันดีใจขอบคุณสามี พร้อมกับเปิดการ์ดเล็กๆ ที่แนบมา
My wife is number one in the world I am a very lucky man
เกิดมาทั้งชีวิตก็มีคุณนี่แหละซื้อดอกไม้ให้ฉัน ขอบคุณคะ ฉันรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจมากนับจากวันทีแต่งงานกับคุณ
22 เมษายน 2550 06:21 น.
ตามรอยตะวัน
เช้าวันเสาร์ ในวันหนึ่ง จะมีนักศึกษาภาคบ่ายของแต่ละคณะมาเรียนกัน ข้าพเจ้าเป็นนักศึกษาภาคเช้าวันเสาร์ไม่ต้องเรียนแต่วันนั้นต้องทำรายงานให้เสร็จแต่ไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ ก็เลยต้องเสนอตัวไปช่วยงานยังแผนกช่างอีกแผนกหนึ่ง เสร็จธุระเรียบร้อยมีเวลาพอที่ได้ใช้เครื่องที่แผนกนั้นทำงาน แต่นั่งสุดห้อง กำลังแต่ก้มมองหาตัวอักษรที่คีบอร์ด เพราะใช้งานยังไม่ค่อยเป็น"มีอะไรให้ผมช่วยมั๊ยครับ" เสียงหนึ่งดังอยู่ใกล้ๆ เงยหน้ามองขึ้น ชายร่างผอมสูง เสื้อยืดสีขาวเก่าๆ คอเสื้อขาดๆ พร้อมในมือถือไม้กรวดและถังขยะ...ใจคิด
"ไอ้นี่ภารโรงแน่เลยจะมาช่วยอะไรได้ "อ๋อ.. มีปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นิดหน่อยใช้ยังไม่ค่อยเก่งนะ "งั้นผมช่วย ชายคนนั้นนั่งทำงานให้อย่างมืออาชีพพร้อมกับแก้ไขรูปแบบรายงานให้ทั้งหมด "คุณเรียนอยู่แผนกนี้หรือ" ข้าพเจ้าถามด้วยมารยาท เขายิ้มแล้วตอบ "ใช่ ข้าพเจ้าคิด แต่เขาดูเหมือนภารโรง ดูจากการแต่งตัวและอุปกรณ์ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร "ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ "ขอบคุณมากคะ ข้าพเจ้าตอบ เขาไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มแล้วก็เดินออกนอกห้องไป
อีกไม่นานเขาก็เดินเข้ามาพร้อมขนม ลูกอม มากมายมาแจกเพื่อนๆ ในห้อง มาถึงข้าพเจ้าคนสุดท้าย เขาก็ยื่นลูกอมฮาทบิทสื่อรักรูปหัวใจซองสีเขียวมาให้ ลองแกะดูซิข้างในทายว่าอะไรข้าพเจ้าแกะดูแล้วก็ยิ้มเล็กน้อย"ทายว่าอะไรชายร่างผอม
สูงถามต่อ ข้าพเจ้าจึงยื่นเปลือกลูกอมนั้นคืนให้ แล้วเขาก็อ่าน "เหงามานานจะมีคนมาให้ปิ๊ง แล้วเขาก็ยิ้มและส่งคืนให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหยิบลูกอมเข้าปากด้วยความเขิน แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความหมายในซอง
สองสามเดือนต่อมาที่หอพักนักศึกษาของข้าพเจ้าจะจัดงานเลี้ยงส่งก่อนจบ "ใครรู้จักแผนกช่างบ้างจะให้ติดต่อเครื่องเสียงมาลง ประธานหอพักตะโกนขึ้น ข้าพเจ้ารีบรับอาสา.... ติดต่อชายร่างผอมสูง
เมื่อวันงานมาถึง ชายร่างผอมสูงและพรรคพวกก็หอบหิ้วเครื่องเสียงมาติดตั้งพร้อมกับเดินเข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วพูดว่า "แบมือมาซิ ชายร่างผอมสูงบอก ข้าพเจ้าแบมือตามที่บอก ชายร่างผอมก็กำมือของเขาพร้อมกับวางของบางสิ่งลงบนมือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นแล้วตกใจ "เอ๊ะ.. นี่เปลือกลูกอมฮาดบิท เราทิ้งไปตั้งนานแล้วนะ ครับหลังเลิกเรียนวันนั้นผมขึ้นไปทำความสะอาดเห็นมันหล่นอยู่จึงเก็บมันไว้ ผมฝากคุณเก็บไว้ด้วย หัวใจของข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้น หัวใจเต้นตุ๊บๆๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครบางคนใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเราขนาดนี้ ทั้งที่ตอนนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรเลย... ข้าพเจ้านำเปลือกลูกอมฮาทบิทไปอัดเคลือบพลาสติกอย่างดี แล้วส่งคืนให้ชายร่างผอมสูงกลับไป หลังจากนั้นทุกคนก็เรียนจบและต่างก็แยกย้ายกันไป... ขณะนี้ไม่ทราบว่าเจ้าเปลือกลูกอมนั้นล่องลอยอยู่ที่ไหน "เมื่อมีจุดเริ่มต้น ก็ต้องมีจุดของการจากลา
21 เมษายน 2550 04:30 น.
ตามรอยตะวัน
ข้าพเจ้ามีโอกาสไปฝึกงานให้กับรัฐวิสหกิจหนึ่งสมัยเรียนอาชีวะฯ สมัยนั้นทราบข่าวว่าใครได้เข้าทำงานที่แห่งนี้รายได้ดี โบนัสเยอะ ก็เป็นความใฝ่ฝันของลูกชาวนาชาวไร่รากหญ้าคนหนึ่ง จึงเข้าไปฝึกงานอยู่ 2 เดือน เพื่อจะได้เรียนรู้ระบบงาน ข้าพเจ้ามีหน้าที่โทรศัพท์ทวงหนี้ลูกค้าที่ยังค้างฯ ไม่มาจ่าย... แล้วมีโอกาสได้คุยปรึกษากับพี่เลี้ยงฝึกงาน พี่ท่านนี้ใจดีก็นำใบสมัครแนะนำให้เขียนจดหมายสมัครไปยังสำนักงานใหญ่... แต่ก็ตบท้ายๆ อีกว่า ที่นี่เขาเอาแต่ญาติพี่น้องลูกหลานเข้านะ... มันก็เป็นความจริงก็เห็นพนักงาน พ่อทำงานแผนกหนึ่ง แม่อีกแผนก ลูกอีกแผนก เป็นครอบครัว... กันเลย หลังจากเรียนจบปริญญาตรีแล้วก็เขียนจดหมายสมัครส่งเข้าไปยังสำนักงานใหญ่แถวๆแจ้งวัฒนะ
ต่อมาไม่นานข้าพเจ้าก็ได้รับจดหมายเชิญให้ไปสอบครั้งแรก และประกาศผลออกมาติดข้อเขียน เชิญสัมภาษณ์ คำถามที่ถูกถามคือ "คุณมีญาติพี่น้องที่นี่หรือไม่" คำตอบคือ "ไม่มี หลังจากประกาศผลสัมภาษณ์ไม่มีชื่อ-นามสกุล บ้านนอกๆ ของข้าพเจ้าติดบอร์ดไว้เลย มีแต่นามสกุลเพราะๆ ดังๆ ลูกท่านหลานเธอทั้งหลายติดอยู่
ครั้งที่ 2 ไม่ละความพยายามเขียนจดหมายเข้าไปอีกครั้ง เก่งจังเลยติดข้อเขียนอีกแล้ว สอบสัมภาษณ์คำถามเหมือนเดิม หลายๆ คนเริ่มบอก ."เฮ้ย.. ต้องหาเส้นเข้านะ รู้จักใครหรือเปล่า เด็กบ้านนอกอย่างข้าพเจ้าจะไปรู้จักใคร มีแต่หนึ่งสมอง 2 มือ ประกาศผลออกมาไม่มีชื่อ-นามสกุล บ้านนอกๆ ของข้าพเจ้าติดบอร์ดไว้อีกเช่นเคย
ครั้งที่ 3ไม่ละความพยายามเขียนจดหมายเข้าไปอีกครั้ง เก่งอีกแล้วติดข้อเขียนเหมือนเดิม พลาด 2 ครั้งแล้วทำงัยดี แต่คิดว่าคงได้แน่นอนเพราะสอบติดข้อเขียนมาแล้ว 2 ครั้ง เพราะด้วยความหวัง ครอบครัว จึงอยากเข้าทำงานที่นี่มาก ลูกชาวนาชาวไร่ไม่รู้จะพึ่งใคร คนที่พึ่งได้คือ สส. เพื่อขอคำปรึกษา แม่พาข้าพเจ้าไปปรึกษา สส. ท่านหนึ่งเป็นนายตำรวจยศพลโท จำได้ว่าวันที่เขาไปหาเสียง เขาแทบจะก้มกราบ(ตีน) แม่ของข้าพเจ้า แต่วันที่เราไปหาเขาที่บ้าน เขาปล่อยหมาออกมาเห่า แล้วมีลูกน้องมาเปิดประตูให้ บ้านตกแต่งด้วยไม้ราคาแพง คุยกันที่หน้าบ้านแม้แต่น้ำก็ไม่มีให้ดื่ม เขาคุยกับแม่ของข้าพเจ้าแล้วบอกว่าให้เข้าไปคุยกับคุณนาย แล้วพวกเราบ้านนอกก็ได้คำตอบ 200,000 บาทๆ จะเอาเข้าให้ได้ เปรียบเหมือนซื้อที่นาให้กับครอบครัวอีกแปลง คงเอาเข้ากระเป๋าพวกเขาแหละนะข้าพเจ้าคิด พวกเราก็ต้องเดินกลับสีหน้าตกออกมา จะไปหาที่ไหนสองแสน หาเงินส่งลูกเรียนกว่าจะจบปริญญาก็แทบแย่แล้วสำหรับชาวนาชาวไร่ ก็ได้แต่รอคอยด้วยความหวังพระเจ้าจะเข้าข้าง ผลปรากฎประกาศรายชื่อออกมาไม่มีชื่อ-นามสกุล บ้านนอกๆ อีกเช่นเคย คงหมดหวัง หมดนาคตแล้วเรา ข้าพเจ้ากับแม่เดินออกสำนักงานด้วยความเศร้าใจ.... (การเข้าทำงานราชการ หรือ รัฐวิหกิจ มันคือความหวังของคนรากหญ้าทั้งหลายที่จะได้เห็นลูกหลานของเขาทำงาน มีสวัสดิการให้กับพ่อแม่ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าคนระดับรากหญ้าทั้งหลายทำไมจึงต้องถูกกีดกันปิดกั้นโอกาส โดนถูกหลอก - ความคิดเห็น)
ข้าพเจ้าท้อแท้หมดกำลังใจ ทำไมโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลย เราไม่รวยไม่มีเงิน นามสกุลไม่เพราะ ลูกชาวนาชาวไร่ อยากจะมีงานที่ดีๆ ทำ แต่ก็ถูกปิดโอกาสด้วยระบบเจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย และทุกๆ ครั้งไป อยากได้งานมีเงินเดือน ยังต้องหาเงินก้อนไปซื้องานเขามาทำอีกหรือ (นี่หรือประเทศไทย)
ในที่สุดข้าพเจ้าหันเข้าทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งได้ประมาณ 2 เดือน ได้รับจดหมายจากองค์การที่ว่า ขอเรียนเชิญไปรายงานตัวเพื่อปัจจุเข้าทำงานยังหน่วยงานจังหวัดของท่าน ตัดสินใจไปตามจดหมายเชิญ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ให้เอกสารมากรอก ไปตรวจสุขภาพ เปิดบัญชีธนาคาร เพื่อรับเงินเดือน ข้าพเจ้าถามเขาว่าก็ตกสัมภาษณ์ทำไมเรียกตัวมา แต่ก็ได้รับคำตอบ `คุณติดสำรองอันดับหนึ่ง ตอนสัมภาษณ์ ข้าพเจ้าถามแต่ตอนประกาศไม่มีชื่อสำรองติดไว้ เจ้าหน้าที่เงียบแล้วบอกปัดไปว่า จะรู้เฉพาะภายในเท่านั้น.. ข้าพเจ้านำหลักฐานที่เจ้าหน้าให้มาเก็บเอาไว้กับตัวเองคิดหนักจะเอาอย่างไรดี เพราะงานที่ได้ก็ดีเงินเดือนก็สูงกว่า 2-3 เท่า บริษัทก็มั่นคง มีสองสิ่งที่ให้ข้าพเจ้าต้องเลือก และก็ไม่ไปรายงานตัวสุดท้ายได้รับโทรศัพท์ให้ไปรายงานตัวอีกครั้ง... จึงตัดสินใจแน่วแน่นำเอกสารไปคืนแล้วบอกว่าให้เรียกคนอื่นมาทำแทนเราเถอะขอสละสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ทุกคนได้ยินข้าพเจ้าพูดเช่นนั้น ก็เข้ามานั่งล้อมวงน้องคิดดีๆ ตัดสินใจอีกครั้ง ไม่มีโอกาสอย่างนี้นะ ใครๆ เขาก็อยากได้กัน บางคนต้องเสียเงินเข้า นี่ไม่ต้องเสียอะไรเลย ข้าพเจ้าวางกระดาษต่อหน้าเจ้าหน้าที่ นี่คือคำตอบที่ได้ยินจากเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ตอนที่หนูอยากได้ทำไมไม่มีใครมาพูดแบบนี้บ้าง ข้าพเจ้าพูดด้วยความน้อยใจ แล้วก็เดินลงจากสำนักงาน
จะเห็นได้ว่าคนเราต่อให้เก่ง มีความสามารถแค่ไหน แต่ขาดโอกาส(คือสิ่งที่บุคคลอื่นหยิบยื่นให้) ความเก่งความสามารถก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่าชีวิตนี้ต้องมี _"ดวง" ด คือ เด็กใคร / ว คือ วิ่งใคร / ง คือ เงินถึงมั๊ย มันก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่และอะไรละคือความยุติธรรม ปัจจุบันข้าพเจ้าออกจากบริษัทเอกชนมาเป็นเจ้าของกิจการ เป็นนายตัวเอง มีความเป็นอิสระ รายได้ดี ไม่ต้องตื่นแต่เช้า เข้าทำงาน เซ็นชื่อตอกบัตร... จงเชื่อมั่นว่าโอกาสไม่ได้มีเพียงครั้งเดียว ยังมีโอกาสที่ดีๆ อีกมายที่รอคอยเข้ามาในชีวิตและนำพาเราประสบความสำเร็จ และมันอาจดีกว่าในสิ่งที่เราต้องการในครั้งแรกก็ได้... ฉนั้นสิ่งที่เราเลือกแล้วคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเรา.แต่ครั้งหนึ่งมันคือบทเรียน คงไม่ใช่เพียงแต่ข้าพเจ้าอีกหลายคนก็คงเจอเช่นกัน และอยากเห็นประเทศชาติเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จงเป็นผู้ให้และให้โอกาสกับคนที่เขาไม่มีโอกาสเถอะ....