21 ธันวาคม 2552 14:10 น.
ตั ว เ ล็ ก
"อย่าแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น"
มองให้เป็นว่าแสงสรวงหรือรวงฟ้า
ท่ามสายลมอนันต์กาลเพิ่งผ่านมา
จงเดินฝ่าตามพ่อด้วยล้อเกวียน
เด็กหนอเด็ก เจ้าตัวเล็ก เจ้าเด็กน้อย
เจ้าจงคอยมือคุมกุมบังเหียน
แม้ทิ้งร่างกลางขอนก่อนจุดเทียน
จงยิ้มรับปรับเวียนความเปลี่ยนแปลง
พ่อจะสร้างหุ่นไล่กามาให้เจ้า
เป็นรูปเงากลางทุ่งทุกคุ้งแห่ง
ใส่เสื้อยืดไม้กลัดทะมัดทะแมง
ครั้นลมแรงจะเกี่ยวก้อนด้วยฟอนฟาง
หากพรุ่งนี้เจ้าตามหาม้าก้านกล้วย
พ่อจะยืนอยู่ช่วยจนฟ้าสาง
จะต่อหู เติมตา แต่งท่าทาง
ให้ขยับ กรับอย่างมโหรี
แม้ค่ำดื่นคืนหนาวจนร้าวเหน็บ
เจ้าบาดเจ็บใจสั่นกระชั้นถี่
ตรงบันไดแสนขั้นหกพันปี
พ่อจะปลูกมวลมาลีไว้รายทาง
บิณทบาตหน้าแล้งด้วยแรงฝัน
ไตรจีวรผืนนั้นคือวันต่าง
เพียงทัพพีคนจรบนก้อนฟาง
ก็เติมเต็มทิศทางระหว่างใจ
พ่อถือหุ่นไล่กามาให้เจ้า
มอบผืนผ้าซีดเก่าให้เจ้าใส่
มอบรองเท้าสานจีบจากกลีบใบ
ด้วยดวงใจด้วยชีวา..............ชั่วตาปี.
..............................................................
12 ธันวาคม 2552 19:31 น.
ตั ว เ ล็ ก
ฉันเห็นคำตอบในกรอบไม้
ว่ารอยใจยังเรื่อเรืองอยู่เบื้องหน้า
ผ่านยิ้มอุ่นละมุนหวานผ่านแววตา
ก็รู้ว่ารักเอย...มิเคยไกล
เปิดลิ้นชักทรงจำแห่งค่ำวาน
ยังตระการมิหยุดฝันแม้วันไหน
กี่เรียงร้อยเรื่องราวผะผ่าวใจ
ก็ทับถมภายในทั้งใคร่ครวญ
คานไม้ไผ่ทำมือไม่รื้อถอน
เคยผูกซ้อนโยงระยางที่กลางสวน
สองมือไกวไหวเห่ยังเปลญวน
อนุสรณ์ครบถ้วน ล้วนอย่างเคย
กำไลเท้า กำไลมือ คือของขวัญ
เมื่อวัยวันเอื้อนคอยแห่งถ้อยเอ่ย
ขอข้าวแกง ช้างม้า จันทราเอย
ลมรำเพยยังซึ้งอยู่มิรู้จาง
เคยนั่งนิ่งพิงตักแม่ถักผม
เคยหกล้มเลือดนองเข่าสองข้าง
เคยสดใสลิงโลดโดดหนังยาง
เคยแก้ต่างตีโจทย์หนีโทษตัว
เมื่อรถไฟแล่นผ่านชานชาลา
เหมือนภาพฉายเคลื่อนช้ากว่าในหัว
บานกระจกหม่นพร่าในตามัว
ก็ปรากฏรอยรั่วของตัวเอง
กี่บรรทัดหนาวร้อนซ่อนน้ำตา
กลั่นวาจา ติดหล่มการข่มเหง
ส่งจดหมายอย่างดื้อรั้นและหวั่นเกรง
หวังได้ยินเสียงเพลงตอบกลับมา
เมื่อเป็นโลกใบนี้ที่แม่กอด
ใจก็ปลอด ปล่อยวางอย่างช้าๆ
จงยอมรับการตักเตือนเหมือนเคยมา
ก่อนข้ามฝ่านทีสีทันดร
...........................................................
"...ขอนไม้ ไร้หางเสือ
เธอเสกสร้างเรือสำเร็จไหม
มีโอกาสใส่ใบหรือเปล่า
หลายคราวเธอย้ายถิ่น ผืนน้ำสู่แผ่นดิน
แสนหนักลากไป ใครช่วยแบ่งเบา"
เทพศิริ สุขโสภา
...........เมื่อเป็นโลกใบนี้ที่แม่กอด..........
10 ธันวาคม 2552 15:56 น.
ตั ว เ ล็ ก
ไปเที่ยวสวนผลไม้ที่ไร่ฝุ่น
มีขนุน น้อยหน่า พุทราหวาน
สะพายเป้มือกระชับแล้วจับอาน
เห็นรวงร้านท้ายซอยมาคอยรอ
เค้าตั้งแผงแต่เช้าตรู่เธอรู้ไหม
นกขะแมร์บังใบอยู่ไหนหนอ
กระต่ายตื่นหน้ายู่ยังชูคอ
เสือลายหงอแลตลอดนั่นปลอดภัย
จึงลงเดินขึ้นดอยอย่างอ้อยอิ่ง
ฝักต้อยติ่งฝากเพาะชำฉันกำไว้
เก็บก้อนหินไปละเมอเสมอใจ
เป็นต้นกล้าพันธุ์ใหม่ในอาณัติ
ให้มีค่าเป็นต้นหวังกำลังใจ
พร้อมลำไยไร้แก่นแน่นขนัด
ชั่งกิโลสักสอง ไม่ต้องมัด
วานเธอจัดเรียงไว้แล้วใส่ถุง
ซื้อลำไยจากเรียวคุ้งแล้วมุ่งหน้า
ผ่านเทือกสวนไร่นาและผักบุ้ง
ค่อยเลี้ยวขวาไปบ้านของพรานตุง
ผู้มีทุ่งตำลึงและบึงบัว
เห็นใบบอนตรงนั้นสั่นไหวๆ
น่าจะใช่ฉันทึกทักพยักหัว
หวังบ้านนี้คงมีขายนะสายบัว
จึงยืนเกาะข้างรั้วอยู่ไกลๆ
เสียงตำหมากของยายเริ่มฉายชัด
ฉันเดินลัดเข้าไปดูอยู่ใกล้ๆ
แกงสายบัวในหม้อเหมือนรอใคร
แค่กลิ่นไอก็อวลซึ้งคิดถึงยาย
.......................................................
5 ธันวาคม 2552 19:41 น.
ตั ว เ ล็ ก
มิรู้ทิศ มิรู้ทาง การย่างก้าว
จะถอนเท้า ถอยทัพ ไปทางไหน
โลกใบน้อย ลอยคอ รอบางใคร
โลกภายนอก เป็นอย่างไร ไม่อยากรู้
หวาดระแวง เมล็ดพันธุ์ การปั้นปลูก
เที่ยวลองผิด ลองถูก เป็นลูกคู่
กลางระลอกหมอกควันนั้นสั่นฟู
โลกภายใน หดหู่ อยู่ลำพัง
หวังสัมผัสรอยยิ้มสักนิ่มน้อย
ประดับรอยกระจกใสใกล้ผนัง
ไม่รับรู้ความเห็นการเด่นดัง
ด้วยเชิงชัยชิงชังแต่ครั้งใด
ขอฟังเสียงหญ้าไกวมาไหวเห่
ขอยิ้มรับลมทะเลอยู่ใกล้ๆ
ขอสัมผัสแสงดาวที่พราวใจ
ขออุ่นไออบอวลล้วนไมตรี
คิดถึงภาพ คิดถึงเสียงแห่งเดียงสา
คิดถึงพ่อ คิดถึงบ่าสารถี
คิดถึงมือ คิดถึงเหงื่อนั้นเหลือดี
ในนาทีโลกเหงาพ่อเข้าใจ