3 พฤศจิกายน 2547 16:30 น.
ตะวัน
(1) ใต้หน้ากาก
เพียงเรียงร้อยถ้อยคำฝันอันสุกงอม
มาเติมต่อหล่อหลอมพร้อมความฝัน
ถอดทั้งใจไปเฝ้ารอวันต่อวัน
ถึงวันนี้จากวันนั้น ฉันคือกวี
ใช่ไหมที่รัก
เท่าที่ฉันรู้จักก็เท่านี้
มีสายลม มีท้องฟ้า มีราตรี
มีเดือนดาวที่แสนดีก็พอแล้ว
อาจเม็ดทรายหรือสายฝนปะปนบ้าง
อาจเอื้อนเพลงความเคว้งคว้างอย่างผ่าวแผ่ว
ให้สมบูรณ์ฉันทลักษณ์ตามหลักแนว
ก็พรั่งพร้อมเพียงพอแล้วจะเป็นกวี
(2) ถอดหน้ากาก
กูเบื่อ
อย่ายัดเยียดให้กูเชื่อเรื่องเหล่านี้
ฉันทลักษณ์ กูทะลักมานานปี
กูไร้สิทธิ์เป็นกวีหรืออย่างไร
กูไม่มีถ้อยคำฝันอันไหวหวาน
ไม่สอดคล้องความต้องการคนส่วนใหญ่
ใช่แหละกูหยาบคายบ้างจากข้างใน
แต่ใช่กูไม่ฝันใฝ่ไปเป็นกวี
กูนั่งเทียนเขียนความตามอยากเขียน
กูบั่นบากพากเพียรเปลี่ยนวิถี
กูไม่อยากจมปลักในหลักนี้
นี่แหละคือกวีในแบบกู
กวีกูไม่รู้เรื่องเมืองความฝัน
กูรู้แต่ ฝันกูนั้น ยังฝันอยู่
กวีกูอาจมีบ้าง ข้างๆคูๆ
เปิดประตูให้กูบ้างจะเป็นไร
ให้เสรีที่จริงแท้แก่กูบ้าง
เผื่อทางแยกจะแตกต่างกับทางใหญ่
ปล่อยกล้าไม้ได้ผลิช่อก่อดอกใบ
กูอยากเป็นคลื่นลูกใหม่ในวงการ
กูเบื่อแล้วบทกวีที่ฉาบฉวย
เก็บเรื่องเก่ามาเล่าด้วยอย่างหน้าด้าน
แค่เส้นหมี่สำเร็จรูปที่พร้อมทาน
เพียงปรุงปรับแล้วขับขาน ก็เป็นกวี
(3) มองหน้ากาก
หน้ากากที่รัก
เถิดเรามาหยุดพักเพียงเท่านี้
ให้ความเงียบมาเรียบเรียงเสียงดนตรี
ในลำนำ บทกวี ที่ดื้อรั้น
อย่าเสาะหาความหมายอะไรเลย
มันก็แค่ความคุ้นเคยถูกขีดคั่น
จะเป็นกวี? เป็นทำไมเพื่อใครกัน
ก็ว่างเปล่า ก็เท่านั้น - ฉันไม่ใช่กวี