11 เมษายน 2545 05:31 น.
ตะวัน
ร้องเพลงสิ! เพื่อนนักรบ ทุกศพที่รัก
ค่ำคืนนี้เราจะพักทุกหนักเหนื่อย
มาร่ายรำตามลมไหวที่ไหลเรื่อย
และเปล่าเปลือยทายท้าฟ้าดาราจันทร์
้เราจะทิ้งสมรภูมิที่ชุ่มเลือด
ทิ้งไฟเดือดแห่งสงครามความดื้อรั้น
ทิ้งความเชื่อทิ้งศรัทธาสารพัน
สลัดคบพลบตะวันสู่จันทรา
แน่ะ!แว่วจันทร์ บรรเลงบทเพลงแล้ว
หมู่ดาวแพรวแววไหวไปทั้งฟ้า
บทเพลงจันทร์ที่กลั่นกรองจากท้องนภา
จะสวดส่งดวงวิญญาณ์ที่ล้าละลาย
เมื่อหมู่ดาววาดเสียงเรียงลำนำ
จะไม่มีความเหลื่อมล้ำมาทำร้าย
เมื่อจันทร์ไกวเปล กล่อมเห่ทะเลทราย
ทุกความหมายจะหายไปพร้อมสายเพลง
ร้องเพลงสิ! เพื่อนรักเหล่านักรบ
สานเสียงศพกลบช่องว่างที่คว้างเคว้ง
เผื่อสันติจะผลิก้าน ผ่านจันทร์บรรเลง
เผื่อเสียงเพลงจะเร่งเร้าเหง้าความรัก
เมื่อดอกฝันผลิบานประสานเสียง
เรียบและเรียงผ่านขอบฟ้าอาณาจักร
เราจะร้องพร้อมทุกเสียงที่ทายทัก
ก่อนการพักชั่วนิรันดร์จะมาเยือน
เราจะร้อง..เพื่อพวกเขาเหล่าเพื่อนมนุษย์
กลบถ้อยคำชำรุดที่เชือดเฉือน
กลบความเชื่อ ความคิด ที่บิดเบือน
หลอมวิวัฒน์ที่หลั่นเลื่อนเป็นเนื้อเดียว
ให้เสียงเพลงโหยหวนผ่านมวลสาร
ผ่านห้วงกาลธารศึกที่ลึกเชี่ยว
ผสานลม ผสานทราย ทุกสายเกลียว
ผสานฝันบางเสี้ยวเป็นถ้อยคำ
ร้องเพลงสิ! เพื่อนรัก..เถิดเพื่อนรัก
จากต่างรบมาร่วมพักสักคืนค่ำ
จะไม่มีวีรเวร (หรือวีรกรรม)
เหลือแต่เพียงลำนำเปื้อนน้ำตา
นี่เรารบกันไปเพื่อใครหรือ?
ใครสุมไฟโหมกระพือให้เราฆ่า
ใครยัดเยียดศัสตรา ในศรัทธา
เขาจะสั่งให้รบราถึงเมื่อไร
เถิดเพื่อนรัก..หน้าที่เราใกล้จบแล้ว
นิทรารมณ์เริ่มพรมแผ่วเข้ามาใกล้
แสงนิรันดร์เริ่มพรมพรำมารำไร
เถิดเพื่อนรัก มาโหยไห้ ให้บริบูรณ์
25 มีนาคม 2545 23:31 น.
ตะวัน
เรียงเกล็ดเม็ดทรายจากสายน้ำ
หลอมหล่อก่อความตามรู้สึก
เพาะปลูกถูกผิด จิตสำนึก
ใส่ผลึกแก้วบางระหว่างฝัน
เม็ดทรายรายเรียงสายเสียงทราย
เป็นละอองความหมายผ่านสายกั้น
เป็นฉากจากวันไปสู่วัน
เป็นกรอบขอบฝันที่ฉันมี
หลอดแก้วสีฟ้า นาฬิกาทราย
ฉันเพียงเรียงรายสายวิถี
บ่มเพาะเจาะความตามวิธี
จนถึงจุดนี้ที่ต้องการ
มองตะวันผ่านวันไปอีกวัน
วันนี้ความฝันมันเริ่มด้าน
ในโลกเสรีที่เบ่งบาน
ความฝันอันตรธานผ่านเสรี
ในช่องร่องผาป่าคอนกรีต
มารยาจารีตได้ฉีดสี
ทับฉากรากเหง้าเป็นเถ้าธุลี
ผัดเปลี่ยนเวียนสีดรรชนีวัด
ลอยลมล่องไล้ในเสรี
หลิ่วตาตามวิถีที่ปฏิบัติ
เรื่อยเปื่อย..เรื่อย..เรื่อย..เลื้อยเลาะลัด
ไปตามวิวัฒน์ที่พัฒนา
ดื้อรั้นดิ้นรนจนสะใจ
เบื่อแล้ว..แสงไฟในป่าช้า
จากมุมเหม็นอับขอกลับมา
สู่ฝันกลั่นค่าปัญญาชน
กลับมาหลอมใจไปกับฝัน
ตามเส้นแวง แสะตะวันที่หลั่นหล่น
ตามนิยาม ความฝันบรรพชน
ตามทรายสายชลวนเวลา
เปิดช่องกล่องครอบหากรอบแก้ว
เพื่อใช้เป็นแนวตามประสา
เม็ดทรายไหลเลื่อนเหมือนเลือนตา
มันหายกลายค่าแค่อากาศ
เหมือนฉันต่อฝันฉันไม่ติด
ในราวก้าวทิศที่ผิดพลาด
เวลาของฉันช่วงมันขาด
ความเดิมที่วาดขาดเส้นใย
จบแล้ว..วันนี้ไม่มีฝัน
ไม่มีปัจุบันให้เริ่มใหม่
นาฬิกาทรายมันหายไป
เวลา..ที่สร้างไว้..หายไปแล้ว
24 มีนาคม 2545 17:16 น.
ตะวัน
ดึกแล้ว..
เจ้าดวงแก้วเจ้าอยู่ไหนในฟ้ากว้าง
ใต้แสงเด่นเส้นโครงโยงระยาง
เจ้าพรายพร่างระหว่างดาวเหล่านั้นไหม
ท้องทะเลแห่งเวหาพร่าระยิบ
ฟ้ากระพริบวิบวาวด้วยดาวไสว
ลูกของพ่อคงทอแสงแรงละไม
กลั่นแสงไฟไร้เดียงสามาสู่ดิน
ที่กลางหาวหนาวไหมหนอพ่อใคร่รู้
หลากฤดูแปลกไปไหมเมื่อไกลถิ่น
พ่อยังห่วงหวั่นดวงใจเจ้าไม่ชิน
หากจันทราแสงสิ้น - สิ้นอุ่นไอ
ณ วิมาณธารเมฆอันเอกอุตม์
ที่ซึ่งมวลหมู่มนุษย์สุดคว้าไขว่
ที่ที่ดินหินกรวดอวดแสงไฟ
ใครเล่าใครจะห่มเจ้า..เจ้าแก้วตา
เมื่อดวงดาวใหญ่น้อยคล้อยเข้าที่
ไกวและกวัดรัศมีรังสีจ้า
คงประชันกันประดับทับนภา
ใครจะมารับขวัญเจ้า..เจ้าลูกรัก
หากละอองของปุยเมฆเสกสายฝน
เป็นธารชลบนโลกาอาณาจักร
ตัวของพ่อพอมีไม้ให้พำนัก
แต่เจ้าสิ..เจ้าจะพักจะพิงใคร
-----------------------------------------------------
เอาเป็นว่า..หลับตาเถิดลูกรัก
ปล่อยความฝันไปรู้จักกับบ้านใหม่
ใครจะอวดแสงพร่าง - ช่างเขาปะไร
เพียงคืนค่ำผ่านไปใจจะคุ้น
และไม่ต้องกลัวหนาวนะลูกรัก
อีกสักพักพ่อจะไปให้ไออุ่น
พ่อจะทิ้งโลกเหลื่อมล้ำที่วายวุ่น
สู่อ้อมแขนเสนละมุน..รอพ่อนะ
12 กุมภาพันธ์ 2545 23:45 น.
ตะวัน
เป็นเรื่องเล่า..
มีชายขี้เมานอนเฝ้าถนน
ท่าทางตระหนกพูดวกวน
ตื่นหลับสับสนเหมือนคนบ้า
ก่อนหน้านี้..
แกหนีจากแดนอนาถา
ทิ้งควายทิ้งไร่ขายที่นา
มาตายดาบหน้าในเมืองหลวง
หมดทางทำกินในถิ่นเก่า
หยาดฝนที่เฝ้ามันทิ้งช่วง
ข้าวขวัญไม่งอกเป็นดอกรวง
ชีวิตติดบ่วงความกลวงว่าง
จูงมือเมียรักสู่หลักฝัน
ผจญภัยเมืองสวรรค์อันแสนกว้าง
ซื้อสดรถเข็นเป็นหนทาง
เร่ขายไก่ย่างข้างถนน
สองแรงแข็งขันผลักดันชีพ
ในเมืองเร่งรีบกระเสือกกระสน
ในเมืองเล่นแง่เห็นแก่ตน
ในเมืองที่คนโตบนรถ
ผ่านเดือนเป็นปีที่เมืองใหญ่
บางอย่างเคลื่อนไหวไปตามกฎ
ก่อเกิดพันธะมาประชด
ธรรมชาติกำหนดกฎเอาไว้
เมียแกตั้งท้องได้สองเดือน
เป็นสาส์นมาเตือนความเคลื่อนไหว
ให้รีบทำหามายาใส้
ที่เหลือเก็บไว้ให้ลูกรัก
สองคนสองใจสามชีวิต
กับทางในทิศที่ขลุกขลัก
ความเหนื่อยสองเท่าเข้ามาทัก
รอวันลูกรักปรากฎตน
แต่วันหนึ่ง..
มีภาพมาตรึงคนครึ่งถนน
สุดสยองสุดเศร้าเคล้าระคน
รถเก๋งพุ่งชน คน - รถเข็น
มีภาพผู้ชายร้องไห้ร่ำ
ฝีปากสีคล้ำพร่ำไห้ไม่เว้น
กอดร่างหญิงท้วมเลือดท่วมกระเซ็น
ผู้คนพบเห็นต่างเวทนา
ทีวีทุกช่องพร้อมท่องข่าว
เกิดเหตุเรื่อราวสาวสิบห้า
ขับรถแหกโค้งตรงเข้ามา
พุ่งถลาชนคนบนทางเท้า
เกิดเป็นข่าวเศร้า แปด - เก้า วัน
บริษัทประกันเคลียร์เรื่องเศร้า
จ่ายค่าทำศพเพื่อกลบข่าว
ที่เหลืออยากเอาเชิญฟ้องร้อง
ชายผู้รอดตายจากท้ายรถ
แววตาสลดสะกดจ้อง
ภาพฝันมันพาน้ำตานอง
ผมจะไปฟ้องให้ได้อะไร
เป็นเรื่องเล่า..
มีชายขี้เมาเฝ้าร่ำไห้
ปากพร่ำใจเพ้อละเมอนิยาย
ปุจฉาทิ้งไว้ให้คนสลด
(หนึ่งคนสองชีวิตคิดห้าหมื่น
ปล่อยเด็กวานซืนฝืนขับรถ
หรือค่าสังคมแค่ลมตด
อนาคตสะกดไว้ให้คนรวย)???
7 กุมภาพันธ์ 2545 12:00 น.
ตะวัน
กาลครั้งหนึ่ง..
หัวใจซึ่งซึ้งกับหนึ่งฝัน
พร้อมวัยในวันอันดื้อรั้น
มันแหกเส้นกั้นสู่เวิ้งฟ้า
ด้วยเชื่อว่าฝันมันไร้ขอบ
จึงฝ่าผิดชอบสู่แสงกล้า
แสงตะวันอันสว่างที่พร่างตา
คือแสงศรัทธาทายท้าชีวิต
กาลครั้งนั้น..
ในโลกแห่งฝันมันแสนวิจิตร
ความฝันผันผลิอิทธิฤทธิ์
ไร้กรอบยึดติดไร้ทิศทาง
นกน้อยโผฉีกกางปีกบิน
เทจินต์วิญญาณผ่านฟ้ากว้าง
เวิ้งฟ้าไร้เส้นคือเส้นทาง
กล้ากร้าวก้าวย่างอย่างแกร่งกล้า
โรงละคอน แห่งฝันมันบรรเจิด
อุดมการณ์ ก่อเกิดแสงเจิดจ้า
เป็นเด็กดื้อ ซื่อสัตย์ในศรัทธา
ทายท้า ค่านิยมที่บ่มเพาะ
แต่กาลครั้งนี้..
ฉันเป็นเด็กดีที่ใจเสาะ
ตัวฉันวันเก่าคงฝันหัวเราะ
ยิ้มเยาะตัวฉันในวันนี้