4 เมษายน 2550 14:54 น.
ตะวัน
ก่อนหน้านี้..
ตอนที่หัวใจไร้เหตุผล
ความคิดผิดกรอบมันชอบรน
ดื้อรั้นดั้นด้นบนขาเดียว
ตอบถามตามใจไปเรื่อยๆ
ทฤษฎีเรื่อยเปื่อยเลื้อยเลาะลี้ยว
ย่ำเท้าก้าวกร่างหางเป็นเกลียว
อยู่กับเรื่องเดียวที่ใส่ใจ
ต่อมา..
เวลา - อายุ ทะลุไหล
รอยหยักชักฝ่อจะก่อไฟ
ร่องรอยน้อยใหญ่หาไม่พบ
จิ้งจกวกเปลี่ยนเวียนสีหาง
สืบเท้าก้าวย่างอย่างสงบ
แต่คนวนเคลื่อนเหมือนไปรบ
เปลี่ยนลายหลายตลบไม่กลบเสียง
ูเฮ้ยไอ้น้อง! ไม่ต้องข้องใจนัก
ธรรมเนียมเทียมหลักเขาปักเยี่ยง
ไอ้ที่เอ็งยืนเหยียบ เขาเรียบเรียง
เอ็งจะเลี่ยงมันไปทำไมวะ
โลกเปลี่ยนเวียนไปไร้ผิดชอบ
ระบบครบขอบรอบกองขยะ
สู่รุ่นทุนนิยมถมอารยะ
สุดแต่สภาวะจะเกื้อให้
มือไหนใครยาวก็สาวแข่ง
สุดแต่ใครแก่งใครแย่งไหว
ไม่มีถูกผิดให้ติดใจ
สยาม - เมืองน้ำใจไม่มีแล้ว
ตอนนี้..
ฉันเป็นเด็กดีอยู่ที่แถว
แต่มันเป็นแถวที่ไร้แนว
ดื้อรั้นมันแล้วก็เท่านั้น
28 กุมภาพันธ์ 2548 20:50 น.
ตะวัน
ในวันแดดใส..
ปล่อยความอ่อนไหวไปไล้เมฆขาว
และลอบชำเลืองวันอันแสนยืดยาว
สิ่งที่เห็นเป็นความว่างเปล่า..ของการเดินทาง
ฟ้าสวย..เธอว่าไหม
แต่ฉันอดคิดไม่ได้ทำไมถึงกลวงว่าง
เห็นเพียงละอองฝันอันเบาบาง
ที่ไม่เคยก่อร่าง..ในฟ้ากว้าง..ได้สักที
บางเวลา..ฉันอยากเลิกค้นหาฝัน
แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรให้มัน...ดีกว่านี้
รู้ไหม..โลกใบนั้น..ฉันอยู่กับมันมาหลายปี
แล้วอยู่ดีๆ..ฉันก็หนีมันขึ้นมา
ฉันหาเรื่อง..โทษอะไรไปตามเรื่อง
เรื่องของเรื่อง...คือฉันใช้เวลาเปลืองในการค้นหา
ฉันจึงเดินทางลัด..สะบัดปีกสู่ฟ้า
สุดท้ายกลายเป็นว่า..ผืนดิน แผ่นฟ้า..ไม่ต่างกัน
- - - - - - - - - - - - - -
โปรดกอดฉันไว้ให้นานเท่านาน
ไอรักที่แสนหวานจะร้องเพลงกล่อมความฝัน
ณ ระเบียงความรัก..ความฝันจะพักอย่างนิรันดร์
ความดึงดันดื้อรั้นจะขอหยุดมันไว้ตรงนี้
1 กุมภาพันธ์ 2548 13:54 น.
ตะวัน
(1) มุมมอง...
วันดีคืนดี...
ปีกความฝันที่ฉันมีอยากตีโบก
อยากทะยานผ่านลูกไฟไปสุดโลก
สุดแนวโตรกถนนฟ้าพระอาทิตย์
มันเบื่อแล้วโลกเก่าที่เศร้าสร้อย
เหนื่อยต้องคอยสำออยและดัดจริต
หน่ายต้องอยู่อย่างอ่อนไหวไร้หัวคิด
ติดแต่ตรอกซอกอิฐที่ปิดตาย
อยากออกจากกากกะลาดูฟ้าบ้าง
อยากย่ำเท้าเข้าสู่ทางที่ห่างหาย
ใช่แหละโลก มีเสี้ยวซีกอีกมากมาย
รอมือตีนไปปีนป่ายตะกายพบ
ใช่แหละโลกกะโหลกกะลา มันน่าเบื่อ
ส่องแสงเพียงไฟมอดเชื้อจากหัวศพ
และเยียบชืดอึดอัดอย่างบัดซบ
รอเพียงการฝังกลบของเม็ดดิน
แล้วดูสิ! โลกท้องฟ้าช่างน่ารัก
มีเพื่อนใหม่ให้ทายทักไม่หมดสิ้น
เมฆกลม-กลม ลมโชย-โชย นกโบยบิน
ประสานเสียงให้ได้ยินอย่างสุขซึ้ง
(2) ห้อง...
...........
(3) เส้นรอบวง...
โอพระเจ้า...
ฉันยังมีความเหน็บหนาวจากก้นบึ้ง
ฉันเกรงว่าโลกเบื้องหน้าที่ตราตรึง
เป็นกะลาอีกใบหนึ่งเท่านั้นเอง
(4) รอยต่อ...
!?!?!
3 พฤศจิกายน 2547 16:30 น.
ตะวัน
(1) ใต้หน้ากาก
เพียงเรียงร้อยถ้อยคำฝันอันสุกงอม
มาเติมต่อหล่อหลอมพร้อมความฝัน
ถอดทั้งใจไปเฝ้ารอวันต่อวัน
ถึงวันนี้จากวันนั้น ฉันคือกวี
ใช่ไหมที่รัก
เท่าที่ฉันรู้จักก็เท่านี้
มีสายลม มีท้องฟ้า มีราตรี
มีเดือนดาวที่แสนดีก็พอแล้ว
อาจเม็ดทรายหรือสายฝนปะปนบ้าง
อาจเอื้อนเพลงความเคว้งคว้างอย่างผ่าวแผ่ว
ให้สมบูรณ์ฉันทลักษณ์ตามหลักแนว
ก็พรั่งพร้อมเพียงพอแล้วจะเป็นกวี
(2) ถอดหน้ากาก
กูเบื่อ
อย่ายัดเยียดให้กูเชื่อเรื่องเหล่านี้
ฉันทลักษณ์ กูทะลักมานานปี
กูไร้สิทธิ์เป็นกวีหรืออย่างไร
กูไม่มีถ้อยคำฝันอันไหวหวาน
ไม่สอดคล้องความต้องการคนส่วนใหญ่
ใช่แหละกูหยาบคายบ้างจากข้างใน
แต่ใช่กูไม่ฝันใฝ่ไปเป็นกวี
กูนั่งเทียนเขียนความตามอยากเขียน
กูบั่นบากพากเพียรเปลี่ยนวิถี
กูไม่อยากจมปลักในหลักนี้
นี่แหละคือกวีในแบบกู
กวีกูไม่รู้เรื่องเมืองความฝัน
กูรู้แต่ ฝันกูนั้น ยังฝันอยู่
กวีกูอาจมีบ้าง ข้างๆคูๆ
เปิดประตูให้กูบ้างจะเป็นไร
ให้เสรีที่จริงแท้แก่กูบ้าง
เผื่อทางแยกจะแตกต่างกับทางใหญ่
ปล่อยกล้าไม้ได้ผลิช่อก่อดอกใบ
กูอยากเป็นคลื่นลูกใหม่ในวงการ
กูเบื่อแล้วบทกวีที่ฉาบฉวย
เก็บเรื่องเก่ามาเล่าด้วยอย่างหน้าด้าน
แค่เส้นหมี่สำเร็จรูปที่พร้อมทาน
เพียงปรุงปรับแล้วขับขาน ก็เป็นกวี
(3) มองหน้ากาก
หน้ากากที่รัก
เถิดเรามาหยุดพักเพียงเท่านี้
ให้ความเงียบมาเรียบเรียงเสียงดนตรี
ในลำนำ บทกวี ที่ดื้อรั้น
อย่าเสาะหาความหมายอะไรเลย
มันก็แค่ความคุ้นเคยถูกขีดคั่น
จะเป็นกวี? เป็นทำไมเพื่อใครกัน
ก็ว่างเปล่า ก็เท่านั้น - ฉันไม่ใช่กวี
30 ตุลาคม 2547 21:12 น.
ตะวัน
ลอยล่องลอยล่องไล้ ลมแผ่ว
สายแดดสาดแสดงแนว สนิทฟ้า
ก้อนเมฆโอบกอดแถว ทิวหมอก
ฉันปล่อยใจล้าล้า ล่องฟ้าลอยลม
ฟ้าจ๋าฟ้าช่างกว้าง ไกลนัก
ฉันอยากล่องลอยพัก ผ่านฟ้า
ฉันอยากปลดกรงกัก กับดัก กักขัง
ไปกับลมแผ่วช้า เฉื่อยเร้นเส้นแนว
ฝุ่น..ฉันเป็นฝุ่นกระจ้อย กระจัดกระจาย
ปลิว..ล่องลอยเรียงราย รอบรุ้ง
ในสาย..แห่งลมชาย โชยพัด
ลม..แผ่วแนวฟ้าฟุ้ง ฝุ่นน้อยอิสระ
ลอยล่องลอยล่องไล้ ลมแผ่ว
ปลดแอกใจจากแนว เหนื่อยล้า
ปล่อยแล้วปล่อยไปแล้ว ลอยล่อง ลมไล้
ไกลสุดไกลสุดฟ้า ฝั่งเวิ้งโลกฝัน