20 กรกฎาคม 2549 09:53 น.

ธงทิว (ตอนที่ ๒)

ตราชู

เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานกังวานขึ้น ผมวางมือจากเอกสารทั้งหมด เอื้อมมือไปยังหูโทรศัพท์ ยกขึ้น ก่อนกรอกถ้อยคำลงไป
		สวัสดีครับ ที่นี่ธนาคารวสุธำรง ยังไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ ทางปลายสายก็ละล่ำละลักกระหืดกระหอบมาฟังแทบไม่เป็นภาษา
		คุณธง คุณธงใช่ไหมคะ นี่ประยงพูดคะ ประยงเอง
		ประยง ผมขานชื่อเด็กรับใช้ในบ้านด้วยเสียงอันดัง สังหรวูบขึ้นในใจอย่างประหลาด เกิดอะไรขึ้นหรือ 		
คุณจง คุณจงหกล้มในห้องน้ำ ตอนนี้ ถวิลขับรถพาส่งโรงพญาบาลแล้วคะ ฝ่ายนั้นรายงานแทบลิ้นพันกัน
		จงจิตราหกล้ม ผมตะโกนลั่นออกไปด้วยความตระหนกถึงขีดสุด แล้ว แล้วอยู่โรงพญาบาลไหน ประยงระบุชื่อสถานรักษาของเอกชนแห่งหนึ่งให้ทราบ ผมรีบลางาน ขับรถตะบึงโลดลิ่วปลิวปรื๋อปานพายุ เหยียบคันเร่งชนิดไม่กลัวว่าจะปะทะโครมเข้ากับรถคันอื่นแม้แต่น้อย หัวใจเต้นระรัวอยู่เพียงสองคำเท่านั้น ลูก และ เมีย
		ถวิลเป็นคนวิ่งตื๋อออกมารับ เมื่อพาหนะประจำตัวของผมห้อมาถึงจุดหมาย เขาพาผมจ้ำพรวดๆขึ้นบันได ตรงไปพบหมอซึ่งดูแลอาการภรรยาผมในทันที
		ผมธงชัย สามีคนไข้ครับ ตอนนี้ คุณจงเป็นอย่างไรบ้างครับ
		อาการในส่วนอื่นๆทางร่างกายจากการตรวจของหมอ ไม่พบว่าผิดปกติแต่อย่างไรครับ ฟกช้ำตามธรรมดาเท่านั้น ยกเว้นแต่ส่วนของครรภ์
		ลูก ผมหลุดปากโพล่งอย่างใจหาย ลูกผมเป็นอะไรหรือครับ
		ครรภ์ของเธอได้รับความกระทบกระเทือน เราวินิจฉัยกันแล้ว ตัดสินใจผ่าตัดครับ เพื่อให้ปลอดภัยทั้งแม่และเด็ก
 		ผ่าตัด ผมทวนคำ สมองหมุนคว้างไปหมด สับสนอลหม่านจนคิดอะไรไม่ออก อันตรายมากไหมครับ
		ผมรับรองว่าไม่มีอันตรายอะไรทั้งสิ้น โปรดอย่าวิตกเลยครับ เพียงแต่ ลูกของคุณจะต้องคลอดก่อนกำหนดสองเดือน ซึ่งก็โดยเหตุผลที่ผมชี้แจงไว้แล้วนั่นแหละครับ คือ คำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน
		สรุปก็คือ เจ้าธงทิว เลือดเนื้อและวิญญาณของเรา ลืมตาดูโลกเมื่อมีอายุ ๗ เดือน วันที่เขาเกิด ผมจำได้ดีว่า เป็นวันอาทิตย์ ญาติพี่น้องทั้งฝ่ายผมและฝ่ายของจงจิตรา อยู่กันพร้อมหน้า เพื่อคอยยลโฉมหลานคนใหม่ ทันทีที่หมอบอกว่า สามารถเข้าไปหาแม่ของเด็กได้แล้ว ทุกคนก็กรูกันเข้าไปโดยไม่รั้งรอ				
19 กรกฎาคม 2549 13:48 น.

ธงทิว (ตอนที่ ๑)

ตราชู

ธงทิว (ตอนที่ ๑)
	สวัสดีครับ ทุกท่านที่เปิดหนังสือเล่มนี้ออกอ่าน ผมถือว่า บ้านธนานิยม ของเรา ได้เปิดประตูต้อนรับท่านแล้ว เชิญทุกท่านเดินชมทัศณียภาพรอบบ้าน รวมทั้งเข้ามาสนธนากันได้ตามปรารถนาครับ 
	ถ้าจะถามผมว่า บ้านหลังนี้ มีสิ่งใดสำคัญที่สุด ผมคงต้องตอบท่านว่า สิ่งสำคัญของบ้านเรา คือ เรามีความบกพร่องที่ทำให้เกิดความเติบเต็ม ครับ พูดอย่างนี้ ท่านอาจยังกังขา ผมขอบอกท่านตรงนี้เสียเลยว่า สิ่งซึ่งผมกล่าวถึงคือ ธงทิว ลูกชายตาบอดของผมเอง
	ท่านใดเคยอ่านหนังสือนวนิยายเรื่อง โลกอนธการ คงรู้จักเขาแล้วนะครับ หลายท่านปรารถนาจะทราบประวัติของเขา มีเสียงเรียกร้องจนกระทั่งทางสำนักพิมพ์ต้องขอร้องให้ทิวเขียนประวัติของตนออกมาสักเล่ม เจ้าทิวมาขอร้องผมเมื่ออาทิตย์ก่อนว่า
	พ่อครับ ทิวจะเขียนเรื่องของทิวให้สำนักพิมพ์เขา พ่อช่วยเขียนคำนำให้ทิวได้ไหมครับ
	ทำไมละลูก ผมฉงน ลูกออกจะเก่งเขียนคำนำให้ตัวเองก็ได้นี่ หรือจะให้สำนักพิมพ์เขาเขียนก็ได้เหมือนกัน
	ทิวอยากให้พ่อเขียนเพื่อเป็นสิริมงคลแก่หนังสือครับ เพราะพ่อ คือบุคคลสำคัญที่ทำให้ทิวมีวันนี้
	ผมนิ่งอึ้งไปทันที เมื่อฟังคำพูดของลูก ความขมขื่น ความสำนึกผิด วูบเข้าปะทะหัวใจอย่างรุนแรงผมตอบเจ้าทิวไปว่า จะเขียนคำนำให้เขา ทั้งนี้ เพื่อประสงค์จะระบายทุกสิ่งทุกอย่างให้ทุกท่านรู้ สำหรับเป็นอุทาหรณ์แก่ท่านที่มีลูกหลานพิการ โปรดให้ความรัก ความเมตตาแก่เขาตั้งแต่ต้นเถิดครับ อย่าถือเป็นเรื่องน่าละอายอันใดเลย
	ประมาณสามสิบปีก่อนโน้น หากเอ่ยชื่อ ธงชัย ธนานิยม หลายท่านคงร้องอ๋อ และคงเห็นภาพนักธุรกิจหนุ่ม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง ขับรถยนต์คันงามไปทำงานทุกวัน บรรดาผู้ที่ผ่านไปผ่านมาแลเห็นบ้านของเขา จะต้องออกอุทานชื่นชมในความใหญ่โตมโหฬารของมัน ทั้งนึกอิจฉาผู้เป็นเจ้าของอยู่ในใจ ธงชัย ธนานิยมก็คือผมนั่นเอง ผม ผู้ทำงานอยู่ในธนาคาร ตำแหน่งก็มิใช่ย่อย ฉะนั้น จึงไม่แปลก ที่จะต้องภาคภูมิในเกียรติของตนยวดยิ่ง 
		เรา ถูกแล้วครับ เรา หมายถึงผม กับภรรยาสาวสวย นักสังคมสงเคราะห์ นามว่า จงจิตรา สร้างสวรรค์ขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง แหละ น้ำเงิน ชีวิตสมรสเป็นไปด้วยความราบรื่น เนื่องจาก ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายยอมให้ผมเสียมาก ขณะตัวหัวหน้าครอบครัวเองเจ้าอารมณ์ชะมัด เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย หงุดหงิดขึ้นมาก็ดื่มเหล้า เอะอะโวยวายวุ่นไปหมด ก็อาศัยยอดหญิงคนนี้แหละครับ ลูบหน้าลูบหลัง กล่อมให้ไปนอนหลับสนิทบนฟูกได้สำเร็จ สิ่งหนึ่งซึ่งเราไม่เคยขัดแย้งกันเลย นั่นก็คือเรื่องลูก เราสองคนเห็นตรงกันว่า ลูกคือแก้วมณีของชีวิต ผมเพ้อเจ้อเลยเถิดไปถึงขนาดที่ว่า ลูกคนแรก จะหญิงหรือชายก็ตาม ผมจะให้เขาเป็นนายธนาคารใหญ่ให้ได้ เมื่อเขาเติบโตขึ้น
	คุณละก็ จงจิตรามักหัวเราะเย้าผมบ่อยๆ คิดอะไรไม่เคยพ้นเรื่องเงินเลยนะคะ
	อ้าว ก็นามสกุลของเราแปลว่า นิยมในการเงินมิใช่หรือ ผมหัวเราะระรื่นตอบ นามสกุลอย่างนี้ มันต้องเป็นเศรษฐีทุกคนซิ่
 	แล้วถ้าตั้งชื่อลูก จะให้ชื่ออะไรคะ ขันเงิน พานเงิน ถุงเงิน หรือเปล่าละ เธอสัพยอกกึ่งประชด
	ไม่ซิ่คุณ ผมยืดอกขึ้นพลางผายยิ้มกว้าง พ่อชื่อธงชัย ลูกให้ชื่อธงทิว ดีไหม เขาจะได้โบกนำเงินทองมาให้เรา
	เธอไม่ขัดข้อง เราก็เลยได้ข้อยุติ ผมรอ รอ รอ รอว่าเมื่อไร ธงทิวตัวน้อยๆจะมาถือกำเนิด จนกระทั่งในที่สุด เปลวไฟแห่งความหวังของผมก็ถูกกระพือให้โชติช่วงขึ้น เมื่อจงจิตราตั้งครรภ์
	ทันทีที่ผลการตรวจของหมอยืนยันแน่ชัด ผมเที่ยวอวดใครต่อใครทั่วไปหมด กับเพื่อนๆ จะได้ยินไอ้ธงพล่ามประจำแทบทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
	กูกำลังจะมีลูกโว้ย อนาคตเศรษฐีใหญ่เชียวนะมึง
	น้อยๆหน่อย ไอ้ธง เจ้าเกลอขัดคอ มึงรู้ได้ไงวะ ว่าลูกมึงโตขึ้นจะรวย ไม่แน่นา ทุกอย่างอาจไม่เป็นอย่างที่มึงคิดก็ได้
	ไม่มีทาง ผมลงเสียงหนักในลำคอแบบเน้นชัดถ้อยชัดคำ รากฐานดี มั่นคง จะก่อตึกเติมย่อมโอ่อ่าอยู่แล้ว
	ผมเฝ้าประคบประหงมภรรยายอดรักด้วยความเอาใจใส่ ให้ความสำคัญกับเธอยิ่งกว่าการดูแลตัวเองเสียอีก ทว่า วันหนึ่ง อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นจนได้ แหละนี่ คือสัญญาณบอกเหตุซึ่งจะตามมาในวันหน้า วัน ซึ่งผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า มันจะมาถึงในชีวิต				
15 มิถุนายน 2549 10:20 น.

ผมโง่ไหมครับ

ตราชู

ผมโง่ไหมครับ?
	หากผมบอกทุกท่านว่า มีคนเอาเงินหมื่นมายื่นให้แล้ว ตัวผมปฏิเสธ คงถูกด่าช้านานยิ่งกว่าฟังมหาชาติร่ายยาวกระมัง แต่... โปรดรับฟังผมสักนิดก่อนนะครับ บางที ในความเกรี้ยวกราดของท่าน (ที่เห็นผมมันซื่อบื้อ) จะผ่อนคลายลงบ้าง
	นักเขียน เป็นอาชีพในฝันของใครๆหลายคน รวมถึงผมด้วย สู้อดตาหลับขับตานอน นั่งจิ้มคอม สร้างเรื่องสั้น นวนิยายเก็บไว้หลายเรื่อง แล้วส่งไปให้สำนักพิมพ์เขาตรวจ คอย ค้อย คอย วันแล้ว วันเล่า รอว่าเมื่อไหร่ เจ้ามือถือเครื่องน้อยจะส่งสัญญาณให้ผมรับ จากนั้น ก็จะมีเสียงจากสำนักพิมพ์แห่งใดแห่งหนึ่ง กรอกหูผมเต็มๆว่า
	เราจะนำเรื่องสั้นของคุณ ลงตีพิมพ์ในหนังสือเล่มถัดไปนะครับ นั่นก็คือนิมิตหมายอันดี บอกผมว่า  ผมกำลังจะได้เติบโตในเส้นทางที่ฝันใฝ่ แต่แล้ว อนิจจา....... โอดดดดดดดดดดด ไม่รู้จะต้องใช้เพลงโศกสักกี่เพลงมาบรรเลง จึงจะสาสมกับความซมเซาสิ้นหวังของผม เพราะผลงานเหล่านั้น ละลายกลายเป็นอากาศธาตุพร้อมๆกับการระเหยหายของสายลม (ว่าไปโน่น) นั่นทีเดียว แต่แล้ว จู่ๆ อย่างไม่นึกไม่ฝัน ผมก็ (เกือบ) ได้เงินหมื่นมาครอบครอง
	สำหรับใครที่ชื่นชอบเรื่องดารา (แบบว่าอยากรู้เรื่องชาวบ้านเขาน่ะ)มีหนังสือพิมพ์มาส่งก็เลือกอ่านข่าวบันเทิงก่อนอื่นใดทั้งสิ้น คงรู้จักชื่อ พิงค์กี้ เป็นอย่างดีนะครับ นางเอกละครหลังข่าว (ประเภทแย่งภรรยาแย่งสามี หรือผู้หญิงแย่งผู้ชาย ไม่งั้น ก็นางเอกรวย พระเอกจน หรือ พระเอกจน นางเอกรวย นั่นแหละ) ซึ่งกำลังมาแรงแซงโค้งดาวดวงใหม่ด้วยกันอยู่ในเวลานี้ ด้วยรูปร่างหน้าตาสะสวยบาดใจหนุ่มๆ ประกอบกับบทบาทในละครซึ่งเธอแสดงได้ถึงอารมณ์คนดู ทำให้พลุพิงค์กี้พุ่งทะยานสู่ฟ้า ฟู่ฟ่าได้ในเวลาไม่นานนัก บอกตรงๆเลยครับ ผมไม่เคยติดตามผลงานทางจอแก้วของเธอเลย แต่เหตุที่รู้จักมักจี่กับเธอเข้า เนื่องจาก บ้านเราอยู่ติดกันนั่นเอง
	อย่าเพิ่งเข้าใจว่าผมกำลังโอ่โอ้อวดนะครับ ผมเพียงแค่จะบอกเพื่อเท้าความว่า พิงค์กี้กับผมเห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย เด็กหญิงพวงชมพู เธอมีชื่อจริงว่าอย่างนั้น แต่ทำไม พอดังเข้า ชื่อเล่นที่แม่นิยมเรียก หนูพู จึงเปลี่ยนเป็นภาษาฝรั่งไปได้ กระแดะ เอ้ย ไม่ใช่ ใช้คำว่าเห่อจะดูดีกว่ากระมัง ส่วนผมน่ะ ชื่อจริงคือ นายศรีศักดิ์ นามสกุล สุภาพชน (แต่ทำตัวไม่สมนามสกุลเอาเสียเลย) เราเจอกันบ่อย พูดกันบ่อย ตามประสาคนบ้านใกล้ แต่หลังๆมา พวงชมพูไม่ค่อยจะพูดกับผมเท่าไร ขนาดทักยังเชิดใส่ อย่างว่า เขาดังแล้วนี่ ฐานะก็ดีด้วย ผมทั้งไร้ชื่อเสียง ทั้งจนข้นแค้น ก็น่าอยู่หรอก ที่ดาราเขาเมิน
	แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง ตอนแดดร่มลมสงัด (ร้อนชิบเป้งเลยครับ) ขณะที่ผมเดินกินลม (จะกินทำไมวะเนี่ย ก็ลมไม่พัด) อยู่นั้น พวงชมพูในเครื่องแต่งกายสวยพริ้งก็เดินมาหา เดินมาหาจริงๆนะครับ อัศจรรย์มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
	ศักดิ์ เธอส่งเสียงหวานใส ศักดิ์ ว่างอยู่หรือเปล่า เราอยากคุยด้วยหน่อยได้ไหม
	สวัสดี พู ผมทักทาย (แถมส่งยิ้มให้ด้วยเล็กๆ) มีอะไรหรือ เราว่าง ว่ามาซิ่
	ถ้าไม่รบกวนเกินไป ไปคุยกันที่บ้านเราดีกว่า หญิงสาวกึ่งชวนกึ่งเสนอ
	จะดีหรือ ผมติง น้าผ่องแกจะว่าเอา ที่ผมพูดเช่นนั้น ก็เพราะ เดิมที คุณผ่องพรรณแม่ของเธอก็เคยต้อนรับผม ทว่าพอลูกสาวดังเข้า ดูเหมือนแกจะระมัดระวังในการคบคนยิ่งขึ้นกว่าก่อนแยะเชียว	
ไม่ว่าหรอก นางเอกชื่อดังรับรอง เราปรึกษากับแม่ไว้ก่อนแล้ว
	งั้นตกลง ผมรับคำ แล้วเดินตามเธอไป

		ผมจะไม่ขอเสียเวลาพรรณนาบ้านเศรษฐีให้ท่านฟังนะครับ เอาเป็นว่า หรูหราสุดๆก็แล้วกัน น้าผ่องดูยิ้มแย้มกว่าเคยเมื่อเจอผม ลงมือคั้นน้ำส้ม หาขนมมาเลี้ยงด้วย พอผมกินเสร็จสรรพ แกก็ออกไป ทิ้งให้ผมคุยธุระกับลูกสาวเพียงลำพัง (ฮั่นแน่ ผมเชื่อว่า คงมีคนอ่านอิจฉาผมแล้ว ใช่ไหม)
	ศักดิ์ พวงชมพูเริ่มขึ้นก่อน ตอนนี้ยังเขียนหนังสืออยู่หรือเปล่า
	เขียนเรื่อยๆแหละ เมื่อเธอถามสั้น ผมก็ตอบสั้นเช่นกัน
	แล้ว ส่งไปให้สำนักพิมพ์เขา ผลเป็นยังไงบ้าง เอ จะมารูปไหนกันหว่าพิงค์กี้ ผมคิดอยู่ในใจ
	ส่ง แล้วก็กินแห้วทุกที
	ถ้างั้น รับรองครั้งนี้ ไม่กินแห้วแน่ๆ คือ หญิงสาวหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนต่อประโยค ศักดิ์คงเห็นใช่ไหมว่า หมู่นี้ดาราดังๆรุ่นพี่ๆเราเขาออกหนังสือกันเยอะ แย้มๆมาแค่นี้ ผมก็รู้แล้วว่าเรื่องอะไร แล้วก็ไม่ผิด เราก็เลยอยากออกหนังสือกับเขาบ้าง แต่เราเขียนเองไม่เป็น พอดีนึกถึงศักดิ์ขึ้นมา เลยมาขอความช่วยเหลือ เราติดต่อสำนักพิมพ์ไว้แล้ว เขาว่าจะรับ ขอให้มีต้นฉบับส่งเท่านั้นแหละ
	เออ ชั่งสะดวกสบายจริงนะแม่คุณทั้งหลาย แตกต่างกับนักอยากเขียนอีกหลายๆคนเป็นยิ่งนัก อาศัยชื่อเสียงเป็นบันไดไต่เต้า ปล่อยคนอับชื่อให้อับโชคอยู่ตาปีตาชาติ แล้วหนังสือของพวกเธอ ส่วนมากก็อวดรูปสวย บางคน หน้าหนึ่งๆ บรรจุคำไม่กี่คำ เฮ่ออออออออออออออออออออ กลุ้ม
	เราอัดเทปไว้ เล่าประวัติ เล่าเรื่องส่วนตัวไว้หมด ศักดิ์เพียงช่วยเรียบเรียง ตกแต่งให้ดูดี ดูเพราะ ก็แค่นั้น เรารับรองนะ ว่า รายได้ดี เพราะหนังสือพวกนี้ พิมพ์ออกมาไม่เท่าไรก็ขายเกลี้ยงแผง ได้กำไร เราก็แบ่งกัน เราจะเริ่มให้ค่าตอบแทนศักดิ์เมื่อเขียนเสร็จงวดแรกก่อน ศักดิ์ต้องการเท่าไหร่ บอกมาเลย
	พูจะให้เราเท่าไหร่ล่ะ ผมแกล้งหยั่งไปอย่างงั้นเอง ซึ่งเธอก็เสนอราคาเบื้องต้นเป็นจำนวนเลขถึงห้าหลัก
	ถามแบบไม่อ้อมค้อมเลยนะ หนังสือนี่ ใช้ชื่อผู้แต่งว่า พิงค์กี้ พวงชมพู ใช่ไหม นี่แหละครับ นิสัยขวานผ่าฟืนของผม
	ใช่ นั่นแหละครับ คำตอบของเธอ	
ถ้างั้น เราไม่รับงานนี้ ผมบอกปัดโดยวางฟอมทำนิ่งคิดอยู่เพียงแป๊บเดียว
	อะไรนะ ศักดิ์ เธออุทานเสียงสูง งานง่ายๆ ได้เงินเหนาะๆ เธอยังไม่เอา
	เธอจะฟังเราอธิบายไหม ผมเริ่มเคร่งขรึม
	เราก็อยากรู้เหมือนกันแหละ สมัยนี้ ใครๆเขาก็ต้องการเงินทั้งนั้น ใครมายื่นเงินให้ ถือว่าโชคดีนักหนา แต่เธอกลับไม่รับ
	ภู เราขอถามเธอก่อน นักเขียนสำหรับเธอ หมายถึงอะไร ผมขอรุกดาราบ้างหละ 
	ก็ คนเขียนหนังสือ มีหนังสือออกมาให้คนอ่านไง
	เธอเข้าใจผิดนะ นักเขียนไม่ใช่คนเขียนหนังสือได้ ถ้าอย่างงั้น ทุกคนก็เป็นนักเขียนกันหมดแล้ว เพราะต่างก็เขียนหนังสือเป็นด้วยกันทั้งนั้น เราหมายถึง จับปากกา หรือดินสอ วาดตัวอักษรสื่อสารกับคนอื่นๆให้เข้าใจ เช่นเราหยิบปากกาขึ้นมาเขียนข้อความบนกระดาษว่า วันนี้อากาศร้อนจัง นี่ก็เรียกว่าเขียนหนังสือแล้ว คนอ่านก็เข้าใจด้วย แต่ สำหรับนักเขียน ไม่ใช่แค่นั้น ท่านเขียนหนังสืออย่างมีศิลปะ มีวิธีการเรียบเรียงถ้อยคำอย่างประณีต อย่างข้อความที่ว่า วันนี้ อากาศร้อนจัง ถ้าทำให้เป็นภาษาวรรณศิลป์ อาจเขียนเสียใหม่ว่า วันนี้ อากาศผะผ่าวราวรับกระไอจากเตามหายักษ์บนฟ้าโน้น นี่แค่ประโยคเดียวนะ แล้วเธอคิดดู นักเขียนต้องเขียนหนังสือทั้งเล่ม หรือบางท่านเขียนมากกว่า ๑ เล่ม กว่าจะเขียนเสร็จ ต้องใช้เวลาขนาดไหน วรรณกรรมทุกประเภท มีองค์ประกอบมากมายนัก หนังสือหนึ่งเล่มที่เธอได้อ่าน บางที อาจใช้เวลาค้นคว้ากว่าครึ่งชีวิตของคนเขียนก็เป็นได้ ผมสูดลมหายใจลึกๆ นึกเรียบเรียงถ้อยคำก่อนจะร่ายต่อ
	ทีนี้ เมื่อสร้างด้วยความยากลำบาก ท่านก็ย่อมภูมิใจในผลงานที่สร้าง เพราะท่านสร้างด้วยจิตวิญญาณทั้งหมด แล้วเธอล่ะ คิดจะเขียนหนังสือ ได้จับดินสอ ปากกา หรือพิมพ์คอม เพื่อกลั่นกรองถ้อยคำด้วยตัวเองไหม ใช่ เธอพูดอัดเทป ใครๆก็ทำได้ เราถามหน่อย ถ้าหนังสือเขียนเสร็จ แน่นอน ยอดขายย่อมพุ่งปรู๊ดในไม่นาน แต่เธอภูมิใจนักหรือที่จะให้สัมภาษณ์กับใครๆว่าเธอเป็นคนเขียนขึ้นมา ในเมื่อเธอไม่เคยจรดพยัญชนะลงด้วยมือเลยแม้แต่อักขระเดียว
 	แหม ศักดิ์ก็ จะไปเคร่งเครียดอะไรนักหนา เดี๋ยวนี้ดาราเขาก็ทำกันอย่างงั้นแหละ
	เธอกำลังดูถูกดาราที่ท่านเขียนหนังสือด้วยตัวเองนะ ผมเตือนแกมตำหนิ
	ตกลง เธอไม่รับงานนี้ใช่ไหม เงินนะ เงิน พวงชมพูชักหงุดหงิด
	ใช่ เงิน บางทีมันก็ทำให้คนโง่ งง งมงาย ผมสวนโต้กลับทันควัน
	งั้นเธอก็โง่ต่อไปเถอะ ดาราดังสะบัดเสียง หน้าง้ำเห็นทันตา เรามีเรื่องรบกวนเธอเท่านี้แหละ
	สรุปก็คือ วันนั้น ผมชวดเงินหมื่น หาก ก็มีความสุขและหยิ่งผยองในตน ผมเดินกลับบ้านด้วยใจปีติ พอหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเก่า เจ้าโทรศัพท์มือถือก็กังวานขึ้นแหลมปรี๊ด ผมรีบรับสายทันที
	นั่นคุณศรีศักดิ์ สุภาพชนใช่ไหมครับ
	ครับผม
	เราโทร์มาจากนิตยสารสร้อยอักษรานะครับ เพื่อแจ้งให้คุณทราบว่า เรื่องสั้นชื่อ ตาดูดิน ตีนติดตม ของคุณ จะได้รับการตีพิมพ์ในปักษ์หน้าของเราครับ
	ผมมือสั่น สั่น สั่น สั่น โอ๊ย จะพูดยังไง ดีใจจริงๆ ถึงแม้ว่านี่คือก้าวแรก และค่าตอบแทนอาจเล็กน้อย หาก มันก็เกิดจากแรงวิริยะของผมโดยแท้ ผมคุยกับทางนิตยสารสร้อยอักษรา ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ก็เอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้อย่างปลื้มเปรม มาถึงตรงนี้ ก็จะย้อนถามท่านผู้อ่านอีกครั้งครับ ตกลง ผมโง่หรือเปล่า ที่ปฏิเสธเงินหมื่น กรุณา เมตตาตอบผมด้วยครับ
______________________________________________________				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงตราชู