21 มิถุนายน 2549 13:08 น.
ตราชู
เพื่อนๆทุกท่านครับ ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบอ่านประวัติศาสตร์ แม้จะผ่านในรูปกวีนิพนธ์อย่างลิลิตเตลงพ่าย พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส หรือนวนิยายอย่าง บางระจัน ของ ท่านไม้ เมืองเดิม ตัวเองก็เคยฝันเล่นๆว่า อยากย้อนเวลาสู่อดีตบ้าง ก็ทำหาได้ไม่ จึงได้แต่เขียนเพื่อเทิดพระคุณบรรพชนท่าน นี่เป็นอีกหนึ่งบทที่ขออนุญาตนำเสนอครับ
บรรพชน อนุชน
โคลง ๔ ดั้นบาทกุญชร กลบทช้างประสานงา
เมืองไทยเมืองมิ่งเที้ยร เมืองทอง
หมายเทิดฉเมนทรเลอ เลิศล้น
หลายหลากมากมูลมอง มีมั่ง
มาเมื่อบรรพ์ตั้งต้น แต่งเติม
เติบโตเต็มพรั่งพร้อม เพราพราย
พราวเพริศบรรพชนเหิม ฮึกห้าว
โหมหาญเชิดชาญฉาย เชิงเชี่ยว
ชูช่วยรบร้ากร้าว เรี่ยวไกร
รั้งกรุงเด็ดเดี่ยวรู้ รักษ์แดน
เรืองเด่นโดยคงไทย ค่าแท้
คือทิพย์ถิ่นเมืองแมน มวลมาศ
มิตรหมู่ไทยล้วนแล้ หลากหลาม
เหลือหลายต่างชาติเชื้อ ชนชุม
โชนโชกชิงช่วงคาม เขตแคว้น
คึกไขว่ทัพไทยคุม คับคั่ง
โค่นเข่นพาลร้างแร้น ร่วงหาย
ภุชงคประยาตร์ฉันท์ ๑๒
ทยอยหาญทะยานแห่ อธึกแท้ผิว์ท้าทาย
พิลึกหลั่งพลังหลาย ก็ท่าวล้มระทมลาญ
กระจายโรมกระโจมรุก ประจญบุกประจัญบาน
เลอะเลือดชุ่มละลุ่มฉาน ณ ภูว์แดน ณ แผ่นดิน
ผิว์มั่นในสมัยนี้ ประชวมวีรชีวิน
มิแปรผวนฤปรวนผิน สยบผ่อนสยอนภัย
สมัคคีซิ่มีค่า ประเจิดจ้าประจำใจ
สนิทหน่วงณ ทรวงใน สุขีนำสิคำนึง
จะลือศัพท์มิลับสูญ ประภาพูนประภัสสร์พึง
รจิตตรารุจาตรึง ประนังศรีมณีสม
ประทักษ์เขตประเทศแคว้น สะคราญแดนสุโขดม
ธนาทองก็นองถม ธเรศถิ่นบุรินทร์ไทย
อร่ามแย้มแอร่มยิ่ง นรามิ่งนิรามัย
วจีขานวิจารณ์ไข บุเรศถิ่นบุรินทร์ทอง
(ร่างเดิม ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ แก้ไขเมื่อ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙)
_______________________________________________
20 มิถุนายน 2549 12:05 น.
ตราชู
เพื่อนๆทุกท่านครับ งานชิ้นนี้ ผมเขียนขึ้น โดยคิดจะหัดเล่นกระทู้โบราณ ซึ่งกวีหลายท่านได้ทำเป็นแม่แบบไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านอังคาร กัลป์ยาณพงศ์ ท่านสร้างสรรค์กระทู้เช่นนี้ไว้หลายบท ผมว่าเป็นกระทู้ที่น่าสนุก จึงลองเล่นดูครับ
มนารมณ์
โคลงกระทู้โบราณ
ทะ ลุ่ม ปุ่ม ปู
ทะ ยานหวังผ่านด้น แดนไกล
ลุ่ม หล่มเลนลุยไป ไป่คร้าน
ปุ่ม ปมปราศจากใจ จึงแจ่ม
ปู แผ่ดวงจิตสะอ้าน เอี่ยมซึ้งสารศิลป์
ทุ สุ มุ ดุ
ทุ ราคินไป่ข้อง ระคางปน
สุ จริตจำรูญผล แผ่แผ้ว
มุ หมายไม่จำนน จมอนาถ
ดุ ด่าเตือนตนแล้ว เลิกท้อราถอย
อุ สา นา รี
อุ ดมการณ์คอยเร่งเร้า รังรอง
สา ระร่ำคำกรอง กล่าวถ้อย
นา นาทัศน์อาจมอง ประมวลสื่อ
รี แห่งดวงตาน้อย หนึ่งนั้นตาใน
โก วา ปา เปิด
โก มลไพสุทธิ์แย้ม เพยียบาน
วา เรศรินชลธาร ถั่งชื้น
ปา ณีเหนี่ยวปทุมมาลย์ มาประดับ
เปิด ตลอดโลกลึก, ตื้น ตื่นตั้งใจตรอง
จก จี้ รี้ ไร
จก คำผองเพื่อค้น คิดเขียน
จี้ จุดชวาลาเทียน ถ่องเรื้อง
รี้ พลแห่งความเพียร พายาตร
ไร เล่าอาจมลายเปลื้อง เปลี่ยนเส้นทางศิลป์
________________________________________________
18 มิถุนายน 2549 09:38 น.
ตราชู
เพื่อนๆทุกท่านครับ ผมนำงานเขียนบทนี้มาลง ถือเป็นการฉลองครบ ๑ เดือนในบ้านกลอนไทยให้กับตัวเองครับ ผมเข้ามาอยู่ที่นี่ วันแรก ๑๗ พ.ค. ถึงวันนี้หนึ่งเดือนพอดี ได้รับมิตรภาพอย่างล้นหลาม ทำให้ชีวิตไม่อ้างว้าง และสำคัญเหนืออื่นใด คือได้เห็นพลังแห่งกาพย์กลอนอันยังยืนยงคงอยู่อย่างทรงศักดิ์ ผมหวังว่า เรือนไทยหลังนี้ จะเป็นแหล่งรินถ้อยร้อยกรองเพื่อสังคม เพื่อธำรงวิถีไทยให้จีรังตลอดไป ชั่วนิรันดรครับ
พลานุภาพแห่งกาพย์กลอน
โคลง ๔ สุภาพ
คราวใด ภัยแผดด้าว ภูวดล
ร้อนรุ่มคลุมมวลชน ชีพช้ำ
อาบเอิบเติบอิทธิพล พาลแผด
ทนขื่นกลืนโศกกล้ำ กลบเศร้ากรมศัลย์
วันวันไหวหวั่นว้าง ว่างวาย
โรยร่วงรารอนราย รวดร้าว
ดูเดียวเดี่ยวโดยดาย แดดับ
ดับดิ่งดาลแดนด้าว ดุ่มด้นแดนใด
คาบนั้น ไกรกาพย์แก้ว กลอนโคลง
ฉันท์เฉิดเจิดจรรโลง หล่อเลี้ยง
เผยยุค...ผ่านยุคโยง ยืนหยัด
พ่างเก็จพราวเพชรเกลี้ยง กลอกกลิ้งผกายฉาน
คำขานไขขับขึ้น แข็งขัน
ถางถากเทียวทางธรรม์ เที่ยงแท้
ฟูไฟใฝ่เฟื่องฝัน ฝังฝาก
ก่อกิจ, ก่อเกียรติแก้ เกี่ยงกู้กาฬกรรม
ลำนำลำนักเน้น ลำเนา
พราวพร่างแพรวพรายเพรา เพริศพร้อย
พูนเหมผ่องพรรเหา เห็นเผจิด
ล้วนถักลายลักษณ์ถ้อย ถี่ถ้วนควรแถลง
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
ยามยากระยำเพราะทุรยุค
ทรทุกข์กระทุ่มแทง
ดาลเดชประดังรณแสดง
ระดะดาสุธาดล
ใครเย้ยฤหยามเยอะแยะเยาะหยัน
วิถิมรรคะมืดมน
กลอนกาพยก้องกิติถกล
พละกล้าจะท้ากูณฑ์
ใดเล่าจะเลือนพหลหลาย
ทิศภายพิพัฒน์พูน
สาดส่องผสานประดุจสูรย์
รพิสรรค์พะบรรสาน
เถิดเพื่อน, ผิว์เผยพจน์มิแผ่ว
พจิแผ้วจะผลาญพาล
มากหมู่เถมินริปุประมาณ
มรณาศอนาถนันต์
กาพย์กลอนเถกิงถกลแก้ว
กระจะแวว ณ ไกวัล
ชุมโชติประชวมรศมิฉัน
ประลุชัยพิไลชาญ
กาพย์ยานี ๑๑
กี่ย้ำ กี่ย่ำแย่
กี่บาดแผล กี่บ่วงพราน
กี่คราว กี่กล่าวขาน
กี่ล้านคน กี่ล้นคอย
ใจเหน็บยังเจ็บหนาว
ถมรวดร้าว ทิ้งร่องรอย
ยังท้อ ยังย่อถอย
ดังหลงเถื่อนลืมเลือนทาง
รอท่า รอหาทิศ
แต่ทางปิดแทบทุกปาง
คลุมหมอง คลุ้มครองหมาง
จ่อมจมมิดจนจิตมัว
กาพย์กลอนกำจรกล่น
ชุบชีพชนม์ชื่นชมชัว
ฟอกหล้า ฟอกฟ้าหลัว
ให้วามหาว ให้วาวเห็น
ทุกคำที่คร่ำเขียน
คือบุญเพียรควรบำเพ็ญ
แลขำ ลาญลำเค็ญ
ไขรักเรื้องโคมเรืองราย
กลอนสุภาพ กลบท สุรางค์ระบำ
เพียรเรียงถักรักถ้อยเรียบร้อยถ้วน
เป็นสิ่งมวลส่วนมิตรไพสิฐหมาย
ด้วยวรรณแพรวแววพราววับวาวพราย
เก็บรุ้งสายรายส่องรังรองทรวง
มากำนัลกันนิตย์ในกิจนี้
ในทุกศรีที่สรรพบรรทับสรวง
ทั้งร้อยดาวราวเด่นไม่เร้นดวง
มาเสริมตวงทรวงแต้มแทรกแซมตาม
รินรศจำร่ำเจื้อยรี่เรื่อยแจ้ว
เพลินพากย์แว่วแผ่วหวานพลิ้วผ่านหวาม
เชิญจิตไขว่ใจคว้าวาจาความ
ให้รุ่งวามรามหวังจีรังวาร
เปรียบคือเทียนเขียนทนเพื่อคนทุกข์
ที่ทนยุคทุกข์ยั่วทึมทั่วย่าน
เนืองสุขนำสำเนียงส่งเสียงนาน
คำไขจารขานจงเคียงคงใจ
เรียบเรียงค่อยร้อยคำจดร่ำคิด
แด่ผองมิตรพิศมองฟ้าผ่องใหม่
ก็สุขด่ำซ้ำดิ่งเกินสิ่งใด
ซึ้งทรวงในใสนั้นสุขสันต์เนา
หมายเหตุ
กลบทกลอนชื่อ สุรางค์ระบำ นี้ ผมพบตัวอย่างจากบทกวีชื่อ รุ้งรุ่ง ประพันธ์โดย ท่านคมทวน คันธนู จากหนังสือ จตุรงคมาลา จึงลองเขียนดูเพราะใจรักครับ
_____________________________________
16 มิถุนายน 2549 09:11 น.
ตราชู
กราบเท้าพ่อ
(แรงบันดาลใจจาก เพลง ลูกดื้อ ประพันธ์โดย ท่านอาจารย์ศิวกานท์ ปทุมสูติ ขับร้องโดย ท่านอาจารย์ชินกร ไกรลาส)
กราบเท้าพ่อ พ่อผู้บังเกิดเผ้า
แบกภาระหนักเบาภายในบ้าน
ลูกจำนรรจ์กลั่นกล่าวมากราบกราน
แดสะท้านดาลสะทกด้วยอกสะเทือน
คำพร้องขานพร่ำคือคำพ่อ
ทุกข์ก่อที่กลุ้มก็กลบเกลื่อน
แต่...คำพ่อรำพึงไม่ถึงเดือน
ลูกก็ล้วนเลยเลื่อนหลงเลือนลืม
กลับทุ่มเถียงถ้อยถ้อให้พ่อทุกข์
ไม่มีที่จะปลุกให้พ่อปลื้ม
สัญญา, สัญญา คล้ายคำยืม
พูดพร่ำด่ำดื่มได้ครู่เดียว
ลับหลังพ่อแล้วก็แผล็วโลด
กัดกรามกร้าวโกรธทำกราดเกรี้ยว
สามัคคีเคลื่อนคลาดคลายขาดเกลียว
บ้านเราเปล่าเปลี่ยวเยี่ยงก่อนปาง
หลายเรื่องหลายราวที่พ่อรับ
หลายสิ่งหลายสรรพที่พ่อสร้าง
หลายท่งหลายเถินพ่อเดินทาง
หลายยากหลายอย่างพ่อยลยิน
ไยลูกทั้งหลายยังร้ายร้อน
คล้ายลืมคำสอนของพ่อสิ้น
ไยท่วมถั่งท้นด้วยมลทิน
ไยจมอยู่อาจิณมิกลับใจ
กราบเท้าพ่อ พ่อผู้บังเกิดเผ้า
พ่อยังเหนื่อยนานเนาในเรือนใหญ่เมื่อไรหนอ เรือนเราจึงเรืองไร
เมื่อไรหนอ ลูกได้เป็นคนดี
(๑๕มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙)
____________________________
15 มิถุนายน 2549 16:54 น.
ตราชู
เพื่อนๆทุกท่านครับ ร้อยกรองบทนี้เกิดจากความซุกซนของผมโดยแท้ คือ ผมเกิดพิสมัยในกลบท กบเต้นสามตอน มานานแล้ว คิดว่าน่าจะเขียนยาก ตัวเองคงทำไม่ได้ ต่อมา ภายหลัง จึงเกิดความอยากลอง ถือเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งครับ ด้นไปเรื่อยๆ โดยมี ท่านคมทวน คันธนู เป็นกวีต้นแบบ และแรงบันดาลใจสำคัญยิ่งเฮ่ออออออออออออ หืดขึ้นคอเลยครับกว่าผมจะทำได้
สายลม แสงแดด ดอกไม้ และสายน้ำ
กลอนกลบท กบเต้นสามตอน
ลมไหวไหลว่องล่องหวิว
โชยริ้วฉิวร่ำฉ่ำรื่น
สุขยงส่งยิ่งสิงยืน
มาชื่นมื่นชวนมวลเชย
แดดสวยด้วยซ่านดาลส่อง
เอี่ยมผ่องอ่องพาอ่าเผย
เลอค่าหล้าคำล้ำเคย
ไม่เฉยเมยช้ามาชม
มาลีมีหลากมากล้วน
เอมชวนอวลชายอายฉม
ชลพรูชูพร่ำฉ่ำพรม
ขาดตรมขมตรึงขึ้งตรอง
เพ็งอยู่ภูว์ยิ้มพิมพ์ย่าน
พึงมานผ่านหม่นพ้นหมอง
สุขปวงสรวงปันสรรค์ปอง
เฟื่องล่องฟ่องหล้าฟ้าลอย
คือใจไขจิตคิดแจ้ง
รุ้งแสงแรงสายรายสร้อย
เลิศธรรมล้ำถั่งหลั่งทอย
ทุกข์คล้อยถอยคลายถ่ายคลา
ทาบส่องถ่องสร้างทางใส
แสงใจใสจ้องส่องจ้า
สีทองส่องทัศน์ศรัทธา
สุขมาสามัญสรรพ์มี
(๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙)
___________________________________________