13 มิถุนายน 2550 15:35 น.
ตราชู
อาชญา อายัด
แต่ก่อนเมื่อตอนกาจ
ฉกฉวยชาติจนชินชา
มั่วชิดกับมิจฉา
ช่วงชิงใช้เฉไฉเชิง
ลิ้นพลิ้วโลดลิ่วพลิก
สำรวลริกสำราญเริง
หลากหลามเลวลามเหลิง
สำทับเล่ห์สนเท่ห์ลวง
วุ่นหลอนเวียนว่อนหลอก
แนบเนียนบอกน่าบำบวง
เบื้องหลังเบียดบังหลวง
ซุกซ่อนลับสินทรัพย์หลาย
เผ่นอยู่เหนือผู้ยาก
ยิ่งมีมากยิ่งเมามาย
ลูกน้องสำนองนาย-
ลามกนี้มากมีนาม
อาชญาต้องอายัด-
ทรัพย์อาสัตย์อันแสนทราม
ซ้ำซ้ำพวกส่ำสาม
โสมมสร้างไม่สร่างซา
คุ้มชาติ เด็ดขาดชี้
เร่งเร็วรี่อย่าเลิกรา
ปล่อยนาน พวกด้าน, หนา
ย่อมหนุนเนื่องมาเนืองนอง
แม้ม่าห์หวนมาใหม่
มันย่อมใคร่คืนครอบครอง
จู่เข้าเป็นเจ้าของ
สิ่งมีค่าหมดนาคร
(๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐)
13 มิถุนายน 2550 08:23 น.
ตราชู
สิ้นแรงไฟ
(ลีลาดำเนินกลอนเยี่ยงนี้ ผมเรียนรู้จากกวีหลายท่าน อาทิ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ท่านคมทวน คันธนู ฯลฯ ครับผม)
ยามฟ้ากราดฟาดเกรี้ยวฟื้นเรี่ยวโกรธ
พายุโหดโหมฮืออึงอื้อกระหึ่ม
มองทิศทางหมางทั่วมืดมัวทึม
จนเซื่องซึมซมเศร้าแรงเซา โซ
แล้วเพลิงรุ่งพลุ่งอร่ามก็พลามเริ่ม
สาดส่องเติมเสริมแต่งส่งแสงโต้
กลางฝน, ลม ระดมหล้าอย่างพาโล
มีเตโชฉานช่วงเป็นดวงโชน
ไม่มอดเชื้อเมื่อโชติปราโมทย์ฉาย
ไม่หนีหน่าย เนืองอนันต์ นี่ นั่น โน่น
ไม่บ่ายเอียงเบี่ยงเอนหรือเบนโอน
ไม่เงนโงน คงสง่ารุจางาม
เปรียบหนุ่มสาวราวแสงไฟแรงส่อง
ใดขัดข้องมรรคาก็กล้าข้าม
ในคราวหล้ากาลีเร็วรี่ลาม
คือภาพวามผ่องสวรรค์พร่างวันวาน
ฟ้าครึ้มหนักนักหนาเวลานี้
ท้องฟ้ามีมากหม่นมืดมนม่าน
เหมือนย้ำเน้นเย็นหนาวเยียบยาวนาน
ในดวงมานร่ำละเมอเมื่อเหม่อมอง
ไหนล่ะไฟ, ไหนล่ะฟืนส่องฟื้นฟ้า
ขึ้นสาดท้าถ้วนถี่ทางที่ท่อง
ไหนแสงทาบฉาบวิถีฟ้าสีทอง
ให้ทางถ่องทาบทาท่ามฟ้าเทา
หนุ่มสาวสันต์หรรษามุ่งหาทรัพย์
เหมือนล้มหลับหลากหลายมากมายเหล่า
สิ่งบ้าบอส่อบ้าปัญญาเบา
ทิ้งเรื่องเล่าลบล้างจนรางเลือน
ลืมตำนานวานนั้นไม่หมั่นนึก
ด้วยลุ่มลึกหลงใหลครรไลเลื่อน
จึงพายุทุรยุคก็รุกเยือน
เมื่อฟ้าเฟือนฝ้าแฝง....สิ้นแรงไฟ
(๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐)
7 มิถุนายน 2550 11:46 น.
ตราชู
คือบางคนของคนตุลา
(เขียนหลังจากอ่านบทกวี ฝนตกขี้หมูไหล ของ ท่านสดายุ ครับผม)
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
ตำนานแห่งตุลมาสพิฆาตชิวิตมรณ์
มวลชนทุรน, รอน
ฤดี
ยอมพ่ายพับสริร์พังเพราะหวังจิรรพี
ฉายฉานชวาลชี-
วชน
เอื้ออวยเอกอธิปัตย์ประชารมยดล
สืบเนื่องประเนืองนนท์
นคร
แต่.....ท่ามกลางวิรกรรม์อนันต์นรนิกร
เลวร้ายอบายบร
ก็บัง
สรรค์เกียรติกลางศพดาษสินาดปะทุประดัง
ชีวินถวิลหวัง
วิไล
ได้โอกาสซิ่เถกิงเถลิงกิรติไกร
ปีน, ป่าย, ตะกายไป
ปะปน
เป็นทาสถ่อยทุจริตเพราะจิตอุณหะรน
เงินงำก็ทำงน
กะเงิน
ยลพ่างโสนขภุญชภักษรสเพลิน
ธรรมาระอา, เมิน
ฤมอง
คือบางคนตุลคิดตระบิดนิติลบอง
ตราตรึงคะนึงตรอง
ตะกราม
คือบางคนตุลล้นกมลรุทรลาม
อาสัตย์อุบัติทราม
สถุล
(๖ มิถุนายน ๒๕๕๐)
6 มิถุนายน 2550 09:09 น.
ตราชู
จงรับกรรม
(รูปแบบกลอน ผมศึกษาจากหนังสือ กฎบนกลบท ของ ท่านคมทวน คันธนู ครับผม)
กลอน กลอักษร งูกลืนหาง
โกย, ล้วง, ตัก หนักหน่วง โกย, ล้วง, ตัก
เกิดพรรคผีรี่ทะลักเกิดพรรคผี
โอ่ท่าทีลีลาโอ่ท่าที
หลายปีนานร่านฉะนี้หลายปีนาน
สร้างชื่อฉาวเล่าลือสร้างชื่อฉาว
หลอกชาวบ้านชาญกล่าวหลอกชาวบ้าน
ดอกเงินบานตระกาลเพลินดอกเงินบาน
สำราญใจใคร่ทะยานสำราญใจ
มันกลอกกลิ้งจิ้งจอกมันกลอกกลิ้ง
จนยิ่งใหญ่ไต่วิ่งจนยิ่งใหญ่
ไทยรักไทยได้ประจักษ์ไทยรักไทย
โดยใช้กลปล้นไปโดยใช้กล
แสนย่ำแย่แส่ระยำแสนย่ำแย่
ตั้งแต่ต้นผลแผ่ตั้งแต่ต้น
ช่างหน้าทนคนบ้าช่างหน้าทน
เมืองหม่นมัวสลัวล้นเมืองหม่นมัว
เรื่องถึงศาลกาลหนึ่งเรื่องถึงศาล
เผยด้านชั่วทั่วสถานเผยด้านชั่ว
ยังไม่กลัว มั่ว, ไถล ยังไม่กลัว
เอาหัวชนคนทั่วเอาหัวชน
ถูกยุบพรรคหักฟุบถูกยุบพรรค
ไม่ยักร่นทนหนักไม่ยักร่น
เที่ยวคำรณพ่นพร่ำเที่ยวคำรณ
เกินทนยับรับผลเกินทนยับ
เมื่อชั่วห้อมล้อมตัวเมื่อชั่วห้อม
จงยอมดับรับพร้อมจงยอมดับ
คือผลลัพธ์ อับจนคือผลลัพธ์
จงรับกรรมจ๋ำหนับจงรับกรรม
(๒ ถึง ๔ มิถุนายน ๒๕๕๐)
หมายเหตุ
กลงูกลืนหางนี้ ท่านคมทวน คันธนู อธิบายว่า ตำราของโบราณาจารย์ท่าน จะเขียนคำไว้เพียงแค่ ๕ คำเท่านั้นในหนึ่งวรรคของกลอน วิธีถอดกลก็คือ ผู้อ่านจะต้องนำคำที่ ๑ ๒ ๓ นั้น มาต่อเป็นคำที่ ๖ ๗ ๘ ก็จะได้ความสมบูรณ์ครับผม
2 มิถุนายน 2550 13:54 น.
ตราชู
นองเลือด
(รูปแบบการเขียน ได้แรงบันดาลใจจากบทกวี ลิเกยังไม่เลิก ของ อาจารย์สุธี พุ่มกุมาร ในหนังสือ ระบำใบหญ้า ครับผม)
กลอนลิเก
ได้ยินการขานกล่าวเป็นเรื่องราวข้องเกี่ยว
ดูร้ายกาจฉกาจเกรี้ยวขนลุกเกรียวกรูกรู
ผองพวกโหรพวกห้อยทำให้พลอยฮือฮา
ฉวัดฉิวชิวหาแจ้วเจรจาเข้าหู
ว่าแผ่นดินต้องกินเลือดโลหิตเดือดรินไหล
จะลือลั่นความบรรลัยขออย่าได้ลบหลู่
อ้างเอะอะปะปนพูดเสียจนป่นปี้
พล่ามตั้งแต่ต้นปีกางคัมภีร์ขึ้นมาปู
ดาวนั่นโยน โน่นย้าย พาผีร้ายมาย่ำ
ให้เย็นเยียบเฉียบย้ำความระยำจะมาอยู่
พอเลยผ่านวารผันพอคืนวันล่วงพ้น
ประจักษ์, ดู รู้ผลทั่วทุกคนทุกผู้
ว่าถ้อยคำสำรอกล้วนเล่ห์หลอกพวกเรา
ให้กลัดกลุ้มรุมเร้าและร้อนเร่าเมื่อได้รู้
ช่างคิดค้นกลสำคัญเที่ยวผกผันเผ่นคว้าง
กลิ้งขลุกขลุกเป็นลูกข่างเอ่ยข้างข้างคูคู
ว่ารู้เจนเห็นแจ้งตามตำแหน่งที่จ้อง
อันตรายหมายจองมันมุ่งปองโจมจู่
นี่ก็ออกมาพร่ำพูดซ้ำซ้ำพล่อยพล่อย
ว่าเลือดไทยจะไหลพร้อยคนทยอยตายพรู
หนอย! ช่างขุดช่างคุ้ยแคล่วคล่องคุยขานไข
บอกแต่เรื่องเคืองไข้คล้ายจงใจข่มขู่
เถอะ เลือดถ้าหลั่งพลั่งหลาก ก็เลือดจากปากหมอดู
(๒ มิถุนายน ๒๕๕๐)