7 มีนาคม 2548 15:15 น.
ตนชายขอบ
สายลมเวลาเย็นพัดโชยมาเป็นระลอกทำให้ใบมะพร้าวที่ต้านทนแห่งลำต้นต้องพริ้วไหวเป็นระยะตามแรงโต้นลม หมู่นกกระยางสีขาวนวลบินตัดลมแห่งท้องทะเลมาเป็นกลุ่ม นี่คือวิถีแห่งการดำรงอยู่ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์จำต้องมีปัจจัยในการดำรงชีพ ห้วงเวลาแห่งการลาลับของลูกไฟดวงใหญ่กำลังสิ้นสุดลงที่ปลายชายขอบแห่งปฎิวิถีโลก กลับกลายเป็นว่าในวินาทีนี้เวลานี้ การเคลื่อนกำลังจะเกิดชึ้น ภายใต้ท้องฟ้าสีครามที่บัดนี้กลับกลายเป็นความมืดเข้ามาแทนที่หิ่งห้อยแห่งอวกาศเริ่มกระพริบแสงนำทางสู่เรื่องว่ากำลังเริ่มมา ดอกไม้แห่งห้วงหาวบัดนี้บานสะพรั่งเต็มท้องฟ้ากลมขาวนวลเหมือนกับบอกว่าเราหมู่มิตรกลับมาทำหน้าที่กันอีกครั้ง
อับดุลเลาะห์ อับดุลเลาห์ เขาไปตลาด เสียงแว่วมาจากวิทยุทรานสิตเตอรืเครื่องเก่าที่ผ่านการใช้งานมาเนินนาน ถ้ามันพูดได้ก็คงจะบอกว่า ปล่อยฉันพักเสียทีเถอะ ซึ่งดังแว่วผสมกับเสียงคลื่นผสมผสานแห่งดนตรีวิถีชีวิตดังมาจากบ้านไม้ที่ปลูกขึ้นตามแบบชาวเลมุสลิม ซึ่งข้างล่างติดผืนน้ำที่ตรงนี้คือเรื่องราวที่กำลังจะเริ่มต้นนับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
ทึก ทึก ทึก ทึก เสียงเครื่องยนต์ขนาดเล็กซึ่งบัดนี้ได้กลับกลายเป็นเครื่องผ่อนแรงของชาวแถบลุ่มเลสาบแห่งนี้ เสียงสายน้ำแหวกตรงหัวเรือพร้อมกับความหวังของชายคนหนึ่งกำลังจะเกิดขึ้น บังเลาะห์ เป็นชื่อเรียกที่ติดปากของชาวปากบาง รูปร่างเล็กแกร็งแต่สีหน้ามาดมุ่งด้วยความพร้อมที่จะช่วยเหลือทุกคนในหมู่บ้าน ไม่ว่ามีงานที่ไหนจะพบเห็นบังเลาะห์ได้ตลอด
ป๊ะ ป๊ะ ต่อเช้าครูเขาอีเอาเบี้ยค่าเทอมแล้ว ป๊เอาเบี้ยมาให้กันนั้น สิ้นเสียงซอรีเยาะ ลูกสาวคนเดียวซึ่งบัดนี้ได้ย่างเข้า11ขวบแล้ว ซึ่งเป็นวัยที่กำลังกินกำลังนอน บังเลาะมองหน้าลูกสาว พร้อมกับเบือนหน้าไปทางท้องทะเล น้ำตาแห่งลูกผู้ชายไหลโดยไม่ได้กำหนดว่ามันจะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ปลาที่เมื่อก่อนเคยชุมยังกับยุงบัดนี้เลือนไปเต็มที โรงงานที่ครอบครองด้วยคนมีอันจะกินปล่อยน้ำเสียลงสู่ท้องทะเลอันเป็นที่ซึ่งบังเลาะห์เอาชีวิตไปฝากไว้ตั้งแต่เล็กจนอายุย่างเข้า50ปี ฟ้าเป็นมุ้งน้ำเป็นบ้านมีเพียงแสงแห่งดอกไม้แห่งจักวาลและหิ่งห้อยแห่งห้วงฟ้าเป็นเพื่อนบังเลาะยามเหงา
ตูม เสียงโยนไซลงเล เสียงเพลงจากระติการอันผสมผสานกับธรรมชาติบรรเลงเป็นเพลงแห่งความหวังและกำลังที่จะสู้ต่อไปในโลกาวิถีแห่งความวกวนวุ่นวายของสังคมแห่งการเอาเปรียบ มนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรม เป็นเรื่องราวที่ต้องเกื้อกูลในวตะวิถินาแห่งการอยู่รอด
เกียงป๋องซึ่งอยุ่ในสอบนั่งที่ฟาติมะเมียรักได้ทำไว้ให้ก่อนสิ้นใจได้จุดขึ้นด้วยไม้ขีดตราพญานาคกลิ่นควันไฟจากเกียงป๋องผสมกับน้ำมันก๊าดซึ่งกลับกลายเป็นกลิ่นที่เคยชินซึ่งบังเลาะห์ต้องรับรสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ป๊ะ ป๊ะ ฝากซอรีเยาะด้วยนะ ฉันคงอยู่ได้ไม่นานแล้ว อย่าทิ้งลูกนะ เสียงนี้ยังสั่นโสตแห่งความผูกพันธ์ยังติดตรึงไม่รู้คลาย
อัลเลาะห์ อัลเลาะห์ ขอให้คราวนี้ได้ปลาเยอะนะซอรีเจะได้เรียนซึ่งนี้คืออัญมณีชิ้นสุดท้ายที่ฟาติมะได้ฝากไว้
สายตาที่แน่วแน่เนื้อตัวที่หยาบกร้านจากกาลเวลาได้พาเรือลำน้อยที่บัดนี้ถึงเวลาที่จะต้องซ่อมแล้วกลับเข้าฝั่งภายใต้ความหวังที่ฝากไว้ในค่ำคืนนี้
นาฬิกาปลุกแห่งชีวิตได้ทำให้บังเลาะห์ต้องรีบแต่ตัวเพื่อจะไปยกไซที่วางไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เสียงย่องเบนพื้นดานแห่งกาลเวลาซึ่งบัดนี้กำลังจะสลายไปกับธรรมชาติ บังเลาห์ก้มลงกระซิบที่ข้างหูซอริเยาะลอดผ่านเสียงอันแผ่วเบาอันซึ่งนำมาศุ่ฝันของเธอที่กำลังจะเป็นจริงในเช้านี้
เสียงเคลื่อนเรือลำเก่าแหวกผ่านสายน้ำ มืออันกำยังได้กระตุกเครื่องเรือเสียง เครื่องเรือดัง ทึก ท฿ก แหวกคลื่นน้อยมุ่งตรงไปยังไซ หิ่งห้อยแห่งความหวังดอกไม้แห่งห้วงหาวยิ้มรับถึงเหตุกาณ์ที่จะมาถึง โอ้พระเจ้า โอ้พระเจ้า เสียงบังเลาะแผดเหนือท้องเลสาบแห่งนี้ ปิติแห่งความดีใจเกิดขึ้นกับเขา ปลาน้อยใหญ่เหมือนกับพร้อมเพรียงกันมาเขาไซเพื่อให้เรื่องราวที่คาดหวังของบังเลาะห์ซึ่งมันเป็นจริงไปแล้ว สายลมแห่งท้องทะเลโบกมือลาคลื่นน้อยกระซิบกับแสงแห่งใจบอกลาเรื่องแห่งความหวัง
มืออันหยาบกร้านซึ่งมีกลื่นคาวปลาบรรจงหยิบแบ็งที่ผ่านการแลกเปลี่ยนมากับปลาที่จับได้เมื่อคืน วางไว้ที่หมอนอันเป็นที่รักของซอรีเยาะห์ ลูกคืออัญญมณีแห่งชีวิตป๊ะ จงสู้ต่อไปตราบใดที่ป๊ะยังไม่ถูกเรียกให้ขึ้นไปรับใช้พระเจ้า
เลสาบซึ่งบัดนี้ไร้แม้คลื่นลมกำลังรอบังเลาะห์ให้กลับไปเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง
26 กุมภาพันธ์ 2548 22:58 น.
ตนชายขอบ
เรื่องราวแห่งความทรงจำเมื่อวัยเยาว์ผุดขึ้นท่ามกลางเมืองหลวงแห่งความสับสนวุ่นวาย เสียงครวญของเครื่องยนต์ดังผสมผสานท่ามกลางกลุ่มควันที่พวยพุ่งกันออกมาอย่างไม่กำหนดเรื่องราวของกาลเวลา ตึกสูงใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแข่งกันผุดเหมือนกับดอกเห็ด ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างสาระวนกับวิถีของตัวเองโดยไม่คิดถึงคำว่า เอื้อเฟื้อ เมตตา การุณา สังคมมีแต่งการแก่งแย่งแข่งขัน
ฉันมองฉันคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ในอดีตอันเป็นเสมือนกับรากที่ทำให้ฉันแผ่กิ่งก้านสาขาและดำรงอยู่ได้ในแนวทางของสังคมที่เหมือนกับกรอบที่วางไว้ให้ชีวิตเราต้องเดินตามไปกับมัน แล้วทำไม่เราไม่หนีไปจากกรอบนี้ละ ฉันคิด ฉันคิด พรุ่งนี้ ฉันต้องกลับไปสู่ที่เดิม ที่ฉันถือกำเนิดแห่งเรื่องราวของความเป็นจริง ชีวิตที่ติดดิน ชีวิตที่มีแต่ความเอื้อเฟื้อ ชีวิตที่มีแต่ความสุข นี้คือเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น ณ. บัดนี้
ฉึกฉัก ฉึกฉัก ฉึกฉัก เสียงของล้อรถไฟที่นำฉันมาสู่ดินแดนทักษิณ ถิ่นสะตอ กำลังเทียบชานชลา ซึ่งบัดนี้ไม่เหมือนเก่า จากเมื่อครั้งอดีตชานชลาแห่งนี้พลุกพล่านไปด้วยแม่ค้าขายอ้อยควั่น กาแฟกระป๋องที่เมื่อถือกันเป็นพวงและแม่ค้ากำลังจะส่งให้ผู้โดยสารเสียงของมันกระทบกันดัง กริ๊งกรั้ง เสียงแม่ค้าขายข้าวเหนียวไก่ทอด รสเด็ดอันเป็นสูตรที่มีเฉพาะถิ่นนี้ส่งกลิ่นหอมหวลชวนกิน สิ่งเหล่าได้กลายเป็นฝันไปแล้ว บัดนี้สถานีแห่งนี้มีซุปเปอร์มาเก็ตที่ทันสมัยตั้งขึ้นมาแทนที่ แม่ค้าและเสียงโหวกแหวกในการขายของไม่มีแล้ว ตราบใด ณ. สถานที่ใดก็ตามเมื่อมีความเจริญเข้ามาแทนที่ ณ. ท้องถิ่นนั้น ๆ เรื่องราวแห่งอัตลักษณ์ที่เคยมีอยู่ก็จะกลมกลืนกับปัจจัยที่นำเข้ามา ใช่ซิแล้วใครเล่าจะอยู่ในรูปแบบเก่าๆ ใช่ซิก็เพราะเงินที่ได้มากขึ้นจากการปรับเปลี่ยนในการค้าขายใครละจะไม่ต้องการ นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วซึ่งมันเป็นแค่อนูแต่ไม่แน่ต่อไปมันจะกลายเป็นมหัพภาคก็ได้ใครจะไปรู้ละนอกจากคนถิ่นนั่นเอง
มโหรสพแห่งบึงหนองเหรียง
พี่เท่งมาจากบางกอกตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วไม่บอกกันมั่ง เสียงตะโกนจากเขียวซึ่งบัดนี้กลับกลายเป็นชายหนุ่มร่างกายกำยำแต่ก็ยังแฝงด้วนรูปคงใบหน้าเหมือนเดิม จนได้ฉายาเมื่อตอนวัยเด็กว่า แพะตาหลุน ซึ่งเป็นความหมายที่เพื่อนๆ ตั้งให้เขียว เพราะลักษณะของใบหน้าเขาเหมือนกับแพะตาโปน พี่กลับมาถึงเมื่อเช้าแล้วพันพรื่อมั่งบ่าวเขียวบายดีไหม เสียงเท่งตอบกลับด้วยสำเนียงภาษาปักษ์ใต้สงขลา
ยามบ่ายตะวันคล้อยหลังเหมือนกับบอกว่าวันเวลาได้เปลี่ยนไปอีกแล้วแต่ชีวิตของคนที่นี่ก็กำลังจะเปลี่ยนไปเช่นกัน นกเขาฝูงใหญ่บินวนอยู่เหนือต้นตาลที่ยืนต้นตาย หลังจากที่ นากุ้งเข้ามาแทนที่นาข้าว มันเริ่มเข้ามาตั้งแต่การปฏิวัติทางเศรษฐกิจเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชาวผู้เป็นนายทุนเท่านั้น ชาวนายากจนไม่มีโอกาสแม้จะคิด และแล้วเรื่องราวแห่งการลงทุนเพื่อการอยู่ดีมีสุขก็หยุดชะงัก เมื่อโรคระบาดของกุ้ง และราคากุ้งตกต่ำเริ่มเข้ามาแทนที่ หลายรายติดหนี้ก้อนโต หลายรายเอาชีวิตมาทิ้งเพราะคำว่า อยากรวย และคนทั่วไปที่พวกเขาว่า นายหัว ซึ่งเป็นคำที่ยิ่งใหญ่และเป็นศักดิ์ศรีของ ชาวบ้านที่ทำอาชีพนากุ้ง นาที่เคยสะพรั่งไปด้วยรวงทองที่เมื่อต้องแสงตะวันระยิบระยับเต็มท้องนา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นแอ่งกะทะขนาดใหญ่ไร้ซึ่งอดีตแห่งความอุดมสมบูรณ์ มีแต่ความแห้งแล้งเข้ามาปกคลุมแทนที่และไม่สามารถที่จะใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป
สายลมกระทบกับใบหน้ากลิ่นโคลนริมบึงโชยเข้ามาในจมูก ผมสูดกลิ่นเข้าไปอย่างเต็มปอด เพราะว่ากลิ่นอย่างนี้ผมไม่เคยได้สัมผัสมากว่า20 ปี ผมเอนตัวลงพิงกับต้นไทรใหญ่ที่มีอายุผ่านร้อนผ่านหนาวไม่ต่ำกว่าร้อยปี เห็ดโคนขึ้นเต็มสะพรั่งที่จอมปลวกหลังต้นไทร อีไม่นานพวกเจ้าก็ต้องตกเป็นอาหารของมนุษย์ เพราะมนุษย์นั้นไม่ว่าสมัยไหนก็ตามย่อมพึ่งพากับธรรมชาติ แต่เดี๊ยวนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่กลับกลายเป็นว่ามนุษย์กลับเอาเปรียบธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดของวิถีตัวเอง ในแต่ละปีเราจะเห็นข่าว การสร้างเขื่อน การปิดเขื่อน การสร้างโรงไฟฟ้า การวางท่อก๊าซ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ทำลายธรรมชาติที่สร้างด้วยตัวของมันเอง เริ่มหมดไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว แล้วสักวันหนึ่งเราก็จะไม่เหลือความคงที่ของธรรมชาติที่ช่วยเกื้อกูลในวถีชีวิตของมนุษย์ชาติอีกต่อไป
ตูม ตูม ตูม เสียงกระแทกน้ำของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ อันประกอบไปด้วย เขียว เอียด จุ้ง ซึ่งเป็นเหล่าเพิ่อนพ้องที่ผมรวมหัวกันอยู่ในขณะนี้
ไอ้หย่า พวกสูมาแลต้า ปลาช่อนเท่าข้อมือมีหลายตัวเราเอาแหมาวางดีหวา เสียงจุ้งบุรุษย์ร่างเล็กที่สุดในกลุ่มหมู่ผองเพื่อนตะโกนมาจากบึงเหรียง บึงเหรียงนี้ครั้งหนึ่งเคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชนานาพันธ์ เป็นที่อยู่ของนกนานาชนิด แต่บัดนี้เหมือนต้องแสงไร้เงา ทุกอย่างนิ่งสนิทไร้การตอบรับ การรุกรานของมนุษย์เป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของบึงแห่ง
ฟ๊าว เสียงของแหแหวกม่านอากาศถลาลงในบึงสายน้ำนิ่งแตกกระจายแผ่กว้างมาถึงฝั่งด้วยน้ำมือของพรานปลามือฉมังนามว่าจุ้ง สักครู่หนึ่งไอ้ช่อนขนาดข้อมือเด็กเป็นผลงานชิ้นแรกในวินาทีนี้ เอาข้องมาเร็ว เสียงจุ้งบอกให้ผมเอาข้องที่ตั้งอยู่บนริมบึง มาจับปลาใส่ ผมถลาลงบึงด้วยความสนุก หัวใจผมพองโตกลับเป็นเด็กอีกครั้ง หวนนึกถึงเรื่องในสมัยเก่า ที่วิถีแห่งคนบ้านนอกปฏิบัติกิจกันเป็นประจำในฤดูฝน
กลิ่นหอมของเครื่องแกงส้มที่ผสมด้วยสมุนไพรพื้นถิ่นด้วยสูตรตำหรับของชาวใต้ส่งกลิ่นหอมหวลยั่วน้ำลายด้วกุ๊กอดีตพ่อครัวสวนอาหารซึ่งบัดนี้ล้มสลายไปกับนากุ้งเสียแล้วนามว่า เอียด กุ๊กฟ้าประทาน เสื่อผืนเก่าซึ่งบัดนี้ยังรับใช้เจ้านายของมัน อย่างไม่เสื่อมคลาย
แกงส้มปลาช่อนดอกแคถ้วยแล้วถ้วยเล่าถูกยกมาวางกลางวงล้อมหมู่เพื่อนฝูง มันช่างอร่อยลิ้นเสียจริง ๆ ปลาที่เป็นบ่อเกิดจากธรรมชาติ ไม่ใช่ปลาที่ถูกบ่มเพาะมาด้วยน้ำมือมนุษย์ ดอกแคหวานกลมกล่อมปราศจากสารพิษเพราะเกิดมาจากธรรมชาติ ช่างเป็นการต้อนรับที่แสนอิ่มท้อมหลังจากที่หลีกลี้หนีหายจากภูมิถิ่นอันเป็นที่เกิดและจะเป็นที่ตายกาลเวลาข้างหน้า
3 มีนาคม 2547 03:23 น.
ตนชายขอบ
เมฆฝนตั้งเค้าปกคลุมทั่วท้องทุ่ง สลับกับเสียงฟ้าคำรามเป็นระยะ ๆ เงาเมฆที่ทะมึนทอดตัวต่ำลง ลมก่อตัวกรรโชกพัดอื้อึง เพียงหลับตาเมฆฤฝนครึ้มดำก็สลายตัวเป็นเม็ดฝนพลั่งพรูกับเพื่อนสายลมพัดพาเม็ดฝนโปรยปรายสาดแผ่กระจายลงสู่พื้นดิน ที่รตอคอยการกลับมาของความชุ่มฉ่ำอีกครา กลิ่นอวนของอายดินหอมฟุ้งตลบไปทั่วท้องนา บ่งบอกให้รู้ว่าฤดูการแห่งการรอคอยของชาวนากลับมาอีกครั้ง..........................
ฤดูกาลของกาลเวลาบ่งบอกถึงเรื่องราวของวันข้างหน้า หลังจากหยาดฝนพร่างพรมสู่ดินอันแตกระแหง จากความหมดหวังกลับกลายเป็นความชุ่มชื้น สีหน้าที่เทื่อก่อนหยาบกรต้านไร้แม้เงาซึ่งความสุข ชะโลมจากหยาดฝนที่ตกอย่างกระหน่ำ แลดูไปข้างหน้าคิดถึงวันพรุ่ง
"มอ มอ มอ " ปลายมือกำเชือกเดินนำหน้าคู่ขาสีเกลอที่รอดพ้นจากไอ้เสือโหด สองชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวช่วยกันพลิกพื้นนา ให้เป็นที่รองรับกับบ้านห
ลังไหม่ของพืชผล "เฮ ฮา น้องเฮอ ช่วยกัน ปักดำ ให้เสร็จ เพื่อที่เด็ดข้าวสวยกลับมา เป็นขวัญข้าวก่อเกิดเป็นต้นผลของเรา ว่า เออ น้องสาว " "เสียงเพลงบอกล่องลอยมากับสายลมพร้อมกลิ่นของฟางข้าง
ภาพความงดงามของชีวิตท้องทุ่งผ่านไปอีวาระหนึ่ง ของฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง เสียงเพลงบอก ห่างหาย ผู้คนพลุกพล่านเพื่อขึ้นรถไปทำงานโรงงาน ล บัดนี้มีแต่ เสียงของลมหวีดหวิว เรียกร้องขอความเป็นอารยวัฒนธรรมกลับสู่บ้านนา ตะวันลับไปอีกครา แต่ผืนนากลับเปลี่ยนไปยากที่จะเอื้อมมือถึงรากดึงกลับคืน คนชายขอบ