7 มีนาคม 2548 15:10 น.
ตนชายขอบ
ยอดภูผาฟ้าชมดาวพร่างพิศมิติฅน
หมอกเมฆฟ้าเริงร่ากลางสายลม
ประชิดชมยอดภูผาพาพิศศัย
เคล้าเคลียหญ้ายอดพลิ้วหวีดหวิวไหว
พิศมัยชวนชมรมณ์อุรา
ฉาดฉายแสงแรงอ่อนอาทิตย์เช้า
ดูพร่างพราวกระทบหินสินสมัย
หมู่พมรร่อนลมชมพฤษไพร
ฉ่ำชื่นใจน้ำตาฟ้าเมื่อข้างคืน
ผ่านเวลาหมุนไปใจฉงน
พระจันทร์โฉมเทียบขอบฟ้าเวลาค่ำ
ล่องละลอยสูงเด่นเทียมจันทร์ฉาย
ค่ำคืนนี้หมู่ดาวน้อยพลอยพลั่งพราว
ฟ้าถามดาวเจ้าช่างสวยนี่กระไร
ดาวปริ่มยิ้มกระซิบราวข้างหูฟ้า
ไม่มีฟ้าดาวคงเด่นเป็นไม่ได้
เกื้อกูลกันจักวารไพศาลใหญ่
กลมเกลียวไว้สร้างสัมพันธ์กันนานมา
ฯ ลฯ
เสียงพูดอันแผ่วเบาสองพ่อลูกพลอดผ่านสายลมอันเบาบางของยอดภูผา เขาทั้งสองคือผู้ผ่านความทุกทนบนพื้นพสุธาและสังคมอันเน่าเหม็น ยืนถ้าสายลมหนาวบนยอดดอยวาว อันสูงเทียมฟ้าในวิถีธรรมชาติและสัจธรรมแห่งมวลโลกิยวาติสูติพสุธิธา
เห็นไหมลูกเราอยู่บนยอดสูงกว่าคนอื่น ลูกไม่ต้องน้อยใจที่ใครเขาว่าเราเป็นคนต่ำ คนจน ลูกมองดูท้องฟ้าซิ เห็นไหมเขาอยู่สูง เขายังมีเพื่อนเป็นดวงดาว เขาไม่เคยผิดสัญญา เมื่อตกค่ำเขาทั้งสองก็ปรากฎให้เราเห็น เขาไม่เคย แบ่งแยกชนชั้น เขาไม่เคยมองคนในแง่ไม่ดี เขาไม่รังเกียจคนทั่วไป จำไว้นะลูก คนเราถึงจะจน อย่างไรก็ตามแต่ก็มีศักดิ์ศรีความเป็น คน จะสูง ต่ำ ดำ ขาว ก็เป็นมนุษย์ที่คนทั่วไป เขาว่า เป็นสัตว์ ประเสริฐ แต่ มันไม่เหมือนกันทุกคนหรอกนะลูก เราอยู่ตรงนี้เราต้องทำให้ดีที่สุดในทุกๆด้านแม้เวลาจะสั้น ลูกมองท้องฟ้าและดาวไว้นะ จับมือพ่อให้แน่ หลับตาซิลูก พอจะพาเจ้าไปพบกับฟ้าและดาว ไปละนะเจ้าผู้ผาถึงแม้เจ้าสึกกร่อนเพราะแรงลมแต่เจ้าก็ยังคงทนอยู่คู่ฟ้าและดาว
ตุ๊บ
เสียงของวัตถุอะไรสักอย่างกระแทกกับก้นเหวลึก ดังกึกก้องปฐพีไปชั่วนิจนิรั
25 กุมภาพันธ์ 2548 11:59 น.
ตนชายขอบ
หนาว หนาว หนาว หนาว
คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง
สู่บ้าน สู่บ้าน สู่บ้าน สู่บ้าน เมืองไทย
เวลาน้อยนิด ลงเครื่องจุมพิศ แผ่นดินแม่
วิถีชีวิต
สังคม
วัฒนธรรม
ฝังตรึงความเป็นไทย
จากไปเกือบปีความรู้สึกนี้ไม่เสื่อมคลาย
(ตนชายขอบ รายงานตัวครับ หลังจาก ไปศึกษา ต่อที่ มหาลัยเคียฟ เกือบ 10 เดือน แวะมาเยี่ยมครับอีกหลายวันคงกลับครับ )
19 เมษายน 2547 17:10 น.
ตนชายขอบ
การเดินทางแห่งเวลาเริ่มก้าวย่าง
ผ่านขวากหนาทุกทนมา มากหลาย
แสงแห่งฟ้าส่องนำทางชีวิตฉัน ให้กลับกลาย
เส้นสุดท้ายแห่งความหวังจึงนำพา
สู่เมืองฟ้าประเทศแดนเขตขรรค์
รัสเซียนั้นฉันจึงไปแฝ่หา
ลาเจ้าแล้วไทยภูมิตรึงอุรา
เป็นเพราะฟ้าให้ลิขิตจิตเจอกัน
ขอลาแล้วหญิงไร้เงาที่แสนดี
อีกมีทั้งภูตะวันอันเชิดชาย
คุณแทนไทที่เคารพไม่รู้กาย
คือความหมายที่ดีๆมีให้กัน
ฅนชายขอบ ถึงตรงนี้ต้องขอลา
การศึกษาที่รออยู่นำพาไม่รู้หาย
รัสเซียนี้ถึงว่าไกลใจไม่วาย
ใจมุ่งหมายมุ่งมั่นในตัวตน
คนทำดี
ตนชายขอบได้ทุนมหาวิทยาลัยเคียฟ ที่รัสเซีย ด้านมานุษย์วิทยา คงต้องขอลาไปเทสต์ อีกไม่นานจะกลับมา
10 เมษายน 2547 22:19 น.
ตนชายขอบ
พร่างพราววาววับแม้อับแสง
กระจ่างแจ้งแจ่มชัดในทัสสา
ยามฟ้าหม่นไร้เดือนเคลื่อนนภา
ดาวจึงเด่นเป็นดาราแห่งฟ้าใจ
ดังคนดีแม้มิเลิศประเสริฐทรัพย์
แต่เจ้านับเป็นดาราที่ยิ่งใหญ่
ส่องสกาวสุกสว่างอยู่กลางใจ
แจ่มจรัสอิ่มเอมใจในฤดี
10 เมษายน 2547 22:14 น.
ตนชายขอบ
วาววับสลับแสงพริ้งพราวดาวระยับ
เจิดจรัสประดับฟ้าราตรีหน
พระจันทร์ใหญ่ลอยเด่นฟ้า ณ.เบื้องบน
คล้ายกับคนเฝ้าเปลี่ยวเหงาเศร้าหัวใจ
ดาวจ๋าดาว ข้ารักดาว เจ้ารู้ไหม
ส่องกลางใจ ส่องกลางฟ้า พาสุขสันตร์
แสงน้อยนิดรวมเป็นใหญ่ ใต้เงาจันทร์
สายสัมพันธ์ลึกซึ้งตรึงหัวใจ