5 มิถุนายน 2549 01:55 น.
ดิสยเมธา2
ปราณรดี ปรีดาดวง แห่งสรวงสวรรค์
คือชีวัน อันชีวี ที่ข้าแสวง
ยามข้าเศร้า เจ้าคือสุข ทุกคำแสดง
เจ้าปลอบแล้ง แปลงหนาว อุ่นคราวสะคราญ
อ่อนข้อโดย ดุษณี ฤดีสะดุด
รักโรจน์รุจน์ รจนา พาสู่สนาน
ทุกน้ำคำ คือน้ำสุข ทุกเทศกาล
ไหลเย็นซ่าน ผ่านคืนวัน พลันใสสกาว
ข้ามองโลก มุมนั้น เงียบงันสนิท
กับความคิด โง่โง่ จนโทสะกร้าว
เจ้ากลับมอง มุมนี้ ที่เสียงซะซร้าว
เสียงแม่สาว กังวาลดัง ดั่งกังสดาล
ผิคนสวย ขวยเขิน เมินคำเสนาะ
อาจด้วยเพราะ ข้าพร่ำพรอด หยอดคำซะหวาน
จักทิ้งขว้าง อย่างขยะ สู่เทศบาล
ขอเจ้าอ่าน ข้าก็ซึ้ง จึงดุษฎี
มิได้จีบ เพราะยังเจียม เปี่ยมใจสะอาด
เพียงหมายมาด จะพูดไป ในเทศะนี่
โอ้เพราะน้ำ คำเจ้า เข้าเทศะนี้
ที่ที่มี สี่ห้อง เสียต้องส(ล)ะใจ
31 พฤษภาคม 2549 14:33 น.
ดิสยเมธา2
ยังอุดอู้ อยู่ใน ความรู้สึก
อันซ่อนลึก หลบพิภพ อันอบอุ่น
นอนคุดคู้ อยู่ใน ความเคยคุ้ย
เอาหมอนหนุน อบหนาว ทุกคราวคืน
นึกว่าหมอน ตอนนี้ ที่แนบแน่น
คือวงแขน ของบุรุษ ระรวยรื่น
ปลอกหมอนแทน แผ่นอก อันโชกชื้น
น้ำตาตื้น ติ๋งติ๋ง เมื่อทิ้งตัว
มีหมอนกอด เป็นอีกกาย ให้ก่ายเกาะ
อยู่บนเบาะ นอนคนหนึ่ง ก็ถึงทั่ว
ทั้งเนตรสอง มองออก ไปนอกรั้ว
แลสลัว งัวเงีย ในเงียบงัน
ความรู้สึก ของผู้ อยู่โดดเดี่ยว
จะเปล่าเปลี่ยว ปลอบแล้ง แห่งคิมหันต์
จะรุ่นร้อน ผ่อนหนาว คราวเหมันต์
หน้าวสันต์ จะสั่นสู้ ทำขู่คึก
หมื่นชาวโลก ล่วงรู้ ฤดูร้อน
หนึ่งคนนอน นับดาว เมื่อคราวดึก
ปิดพัดลม ห่มผ้า น่าพิลึก
นั่งผิงไฟ ในรู้สึก นึกเอาเอง
แสนชาวโลก ล่วงรู้ ฤดูฝน
หนึ่งดั้นด้น เด็ดเดี่ยว เที่ยวทำเก่ง
ทอดทิ้งร่ม ถ่มน้ำลาย อยู่เล้งเล้ง
เป็นนักเลง เล่นฝน จนเปื่อยเนือย
ล้านชาวโลก ล่วงรู้ ฤดูหนาว
หนึ่งนอนผ่าว ผ้าผ่อน ล่อนอยู่เรื่อย
เปิดพัดลม อีกผมเผ้า เคยยาวเฟื้อย
ก็เปล่าเปลือย เกรียนหัว มิกลัวลม
ด้วยยามร้อน ไร้วารี ที่รินหล่น
พอยามฝน ไร้ร่าง คอยกางร่ม
อีกยามหนาว ยาวนาน จะพาลล้ม
ไร้ผ้าห่ม หัวใจ ไร้คู่เคียง
ยอมอดสู อยู่ใน ความรู้สึก
ความคิดนึก เองอีก เพียงหลีกเลี่ยง
จากโลกสุข ซับโศก ซึ่งโลกเอียง
เพื่อหล่อเลี้ยง ข้าพเจ้า ผู้เปล่าดาย
24 พฤษภาคม 2549 16:32 น.
ดิสยเมธา2
ฉันไม่เคย มีเธอ ดั่งเพ้อฝัน
ผ่านร้อยวัน พันปี ไม่มีเห็น
ผ่านร้อนหนาว เช้าสาย ยันบ่ายเย็น
มันยังเป็น เช่นเคย แค่เลยไป
ฉันไม่เคย มีใคร มาใคร่รัก
เขาทายทัก รู้จักกัน อย่าหวั่นไหว
คนอย่างเรา เขาไม่รัก จงปักใจ
เป็นแนวไว้ ในชีวิต อย่าคิดเพลิน
ฉันไม่มี หัวใจ ให้รู้สึก
พึงสำนึก ตรึกใน มิให้เหิน
ใครมองพ้น ยลผ่าน พลันหมางเมิน
เชิญเถิดเชิญ ใช่ตาเรา ตาเขาเอง
เพราะฉันมัน รักใคร ไม่เป็นหนอ
มิมัวร่อ มาร้องห่ม ให้ข่มเขง
เขาไม่รัก เราก็ไม่ มิได้เกรง
ก็วังเวง ก็ว้าเหว่ บางเวลา
ฉันไม่มี ตัวตน เหมือนคนอื่น
อาจรั้นยืน รื้นอยู่ รู้เดียงสา
ทว่าร่าง ที่พ่างตาย ในสายตา
ไร้วิญญาณ์ จะอาลัย ให้อาวรณ์
ฉันไม่รู้ ร้อนเย็น เช่นสัตว์โลก
สุขหรือโศก โรคหรือภัย ไม่พึงหลอน
หอมอบร่ำ รสอร่อย รอยงามงอน
ฉันสิ้นพร สัมผัสไซร้ มิใคร่มี
ฉันไม่มอง เมื่อมอง แล้วร้องไห้
ฤๅบอดได้ ก็บอดไซร้ ให้บอดสี
เปลี่ยนให้โลก และสลัว ชั่วราตรี
วอนสุรีย์ อย่าเรืองรอง ส่องฟ้าดิน
เพราะไม่อยาก และเห็น สิ่งใดไซร้
นั่นดอกไม้ ได้สลอน เคียงก้อนหิน
นี่ใบไม้ ไรไรสวย รวยรวยริน
โน่นนกบิน ยามเรื่อเรื่อ เมื่อรำไร
ต้องคอยเตือน ตัวเอง อยู่อย่างนี้
ในยามมี อารมณ์ อันอ่อนไหว
ต้องแข็งแกร่ง มิแปลงเป็น เช่นใบไม้
เธอไม่ใช่ ของฉัน นั่นความจริง
ยามเผชิญ ความเหงา ที่โหดร้าย
มารุมราย กายใจ ไร้ไฟผิง
ยามรอบร่าง ร้างรัก ให้พักพิง
มีเพียงสิ่ง ไร้ชีวิต จิตวิญญาณ
ไม่ให้ยิ่ง เศร้าเมื่อขาด เธอไปแล้ว
แม้นมิแคล้ว คลาดวัฏ- สงสาร
แค่พอให้ ไม่สลาย สายลมปราณ
ประคองวาร ครั้นมิถึง ซึ่งคราวตาย
ฉันต้องไม่ เป็นไร ไปตอนนี้
เพราะยังมี แม่น้ำริน มิสิ้นสาย
เกลือยังเค็ม เต็มรสชาติ มิอาจคลาย
เมื่อลมชาย ใบไม้ช้ำ ยังพร้ำพรู
ขอแค่เพียง ลืมเธอ ไม่เพ้อฝัน
ว่าเธอนั้น มิเงียบกริบ กระซิบหู
ให้รอยยิ้ม เย้าแหย่ ยังแลดู
คอยเดินคู่ อยู่ข้าง เหมือนอย่างเคย
เป็นวันผ่าน วานพ้น เพื่อวนหนี
ทุกวันนี้ ที่เผชิญ คือเมินเฉย
ราวที่สุด เราทั้งสอง ต้องลงเอย
มิทันเอ่ย เอื้อนร่ำ อำลาเธอ
หนึ่งเรือล่อง สองโลก ไว้โศกสุข
โลกหนึ่งปลุก ให้ตื่น เมื่อคืนเผลอ
โลกหนึ่งสอน อย่าอ่อนไหว ในวันเพ้อ
ขอไม่เจอ เธออยู่ใน ฝันอีกเลย
23 พฤษภาคม 2549 18:02 น.
ดิสยเมธา2
อุปโลกน์ โศกเป็น เช่นอาหาร
อันห่อนหวาน ขานขม ร้องห่มหา
เติมน้ำตาล ปานเพิ่ม เติมน้ำตา
ต้องก้มหน้า ยาไส้ ไปวันวัน
อุปลักษณ์ รักเป็น เช่นรสหวาน
ของน้ำตาล จานโปรด คนโสดสรร
พอเห็นใคร ได้ลิ้ม ชิมรสกัน
กลับเห็นฉัน กลั้นใจ อยู่ใกล้เคียง
กลั้นกระเดือก เกลือกกลั้ว กลัวกระดาก
มือป้องปาก มิอยากให้ ได้ยินเสียง
กลืนโศกไซร้ ไม่รอด หลอดลำเลียง
อมหล่อเลี้ยง เพียงขม จนตรมตาย
21 พฤษภาคม 2549 15:47 น.
ดิสยเมธา2
เพียงเจ้าปราย ชายตา มาหนึ่งแวบ
เนื้อข้าแปลบ แทบเห็น เป็นโลหิต
คมดั่งมีด กรีดเนื้อ ยังเจือพิษ
ซ่านเข้าจิต ติดตรึง จนถึงตาย
เพียงเจ้ายิ้ม กริ่มกรุ่ม แค่มุมปาก
ฉีกกระชาก พรากหัว จากตัวหาย
แย้มประหัต ตัดขั้ว หัวใจวาย
ด้วยคมคาย ชายชาติ ของศาสตรา
แต่ความหลง คงเหมือน พวกเถื่อนถ่อย
โจรห้าร้อย คอยทัณฑ์ ดันโหยหา
จงแย้มพริ้ม ยิ้มพราย แล้วปรายตา
ประหารข้า สาสม อารมณ์โจร