26 มกราคม 2550 19:27 น.
ดอกบัว
เห่ครวญคำหวนไห้
ทอดอาลัยอยู่ทุกครา
ชีวิตช่างชินชา
กับพิษรักมาหักทรวง
กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
กายก็ยังไร้คู่ควง
กี่ช้ำต่อคำลวง
ระดมโถมเข้าทาบทาม
กี่ใจจะไหววุ่น
วิตกครุ่นต่อสิ่งทราม
ไฟทุกข์บ่หยุดลาม
จึงจำหม่นทนเดียวดาย
หาไหนนะรักแท้
เห็นเพียงแต่รักเคลื่อนคลาย
เมื่อวันมันผันกลาย
รักก็ดับลับตามกาล
เวียนวนความวังเวง
ดอกโศกเปล่งประกายบาน
เสพขมซ่อนคมหวาน
เสพซมซานอยู่เนืองเนือง
ฉันจึงได้ประจักษ์
นิยามรักล้วนเปล่าเปลือง
หลายหลากเล่ห์ขุ่นเคือง
อุบายซ่อนอย่างแยบยล
จะอยู่เพียงผู้เดียว
ไม่ผินเหลียวต่อผู้คน
เข้าหาธรรมมรรคผล
เพื่อให้พ้นบ่วงแห่งกรรม..
11 มกราคม 2550 17:05 น.
ดอกบัว
เป็นสตรีไม่มีศีล ก็สิ้นสวย
บุรุษด้วยไม่มีศีล ก็สิ้นศรี
เป็นสมณะไม่มีศีล ก็สิ้นดี
เป็นทหารไม่มีศีล ก็ไม่ได้ความ
เป็นสตรีไม่มีธรรม ก็ทรามชั่ว
บุรุษทั่วไม่มีธรรม ต่ำศักดิ์ศรี
เป็นสมณะขาดธรรม ก็อลัชชี
เป็นข้าราชการธรรมะไม่มี ก็หยาบคาย
พ่อแม่ขาดธรรม ลูกก็ช้ำจิต
เป็นลูกศิษย์ขาดธรรม อาจารย์ก็ช้ำใหญ่
ถ้าเป็นสามีขาดธรรม ภรรยาก็ช้ำหัวใจ
คนทั่วไปขาดธรรม โลกก็ช้ำทั้งแผ่นดิน
มนุษย์เกิดมาบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่
ก็ทุกข์ใจมากเกินพอ ต้องหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไหนจะเหนื่อยกับการงาน
แล้วยังต้องมาหัวหมุนกับเรื่องรอบตัว
ถ้าเราใช้ธรรมเข้าช่วยระบบจิตใจจะได้ผ่อนคลายลงบ้าง
ไม่เล่าร้อนจนเกินไป เพราะเราทุกคนเกิดมาก็มีกรรมอยู่แล้ว
อย่ามาสร้างกรรมเพิ่มเติมกันเลย
ปล่อยวางกับทุกเรื่อง เอาเฉพาะเรื่องที่ควรเป็นไป
ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
และมองดูตัวเราก่อนค่อยไปมองดูคนอื่นเขา
ซึ่งทุกวันนี้โลกก็วุ่นวายมากเกินพออยู่แล้ว
ความตายอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
อย่ารอให้สายเกินที่จะสร้าง
เมื่อกิเลสไหลนองยึดครองโลก
มันสุดแสนโสโครกที่โกรกไหล
เมื่อกระแสไฟตัณหาไหม้พาไป
ทิ้งซากไว้ระเกะระกะอนิจจัง
กลับยกย่องว่านั่นสิ่งศิวิไลซ์
ยั่วความใคร่เพิ่มเหยื่อแก่เนื้อหนัง
เป็นเครื่องล่อกามาบ้าติดตัง
ทั่วโลกคลั่งก็ยิ่งคล้ายอบายภพ
ทั้งแก่เฒ่าสาวหนุ่มล้วนจมกาม
เกลียดศีลธรรมเห็นเป็นหนามระคายขบ
อาชญากรรมลุกลามสงครามครบ
ร้อนตลบโลกกิเลสสังเวชจริง ฯ
5 มกราคม 2550 19:41 น.
ดอกบัว
แต่ปางหลังครั้งสองพระทรงศรี
จอมมุนีโลกนาถแพร่ศาสนา
ประทับวัดเชตวันอันโอฬาร์
ณ.เมืองสา วัตถีบุรีรมย์
ถึงวัสสานฤดูมีหมู่สงฆ์
สามสิบองค์ เดินทางอย่างขื่นขม
จากเมืองท่า ปาฐาอุราตรม
หมายบังคม ยุคลบาทพระศาสดา
แต่พอถึง สาเกตประเทศน้อย
วันเดือนคล้อย เข้าปุริ ม พรรษา
ทุกอกองค์ อั้นอันตันปัญญา
หยุดไคลครา จำพรรษาครบสามเดือน
ครั้นถึงวัน ปวารณาพรรษาแล้ว
ดังได้แก้ว ดีใจหาใดเหมือน
ต่างรีบร้อน คราไคลไม่แชเชือน
ก็คล้อยเคลื่อน เข้าเขตเชตวัน
ตลอดทาง ต่างย่ำโคลนเปรอะเปื้อน
ด้วยเป็นเดือน พิรุณลาคราวสันต์
ไตรจีวร เปียกเปื้อนเหมือนเหมือนกัน
รีบผายผัน เฝ้าบาทพระศาสดา
พระพุทธองค์ ทรงมีปฏิสันถาร
พระบรรหาร หวานเสนาะเพราะนักหนา
ดำรัสตอบ ชอบใจในเจตนา
ที่อุตส่าห์ บากบั่นด้วยมั่นใจ
ทอดพระเนตร สังเกตผ้ากาสาสงฆ์
แต่ละองค์ มัวหมองไม่ผ่องใส
จึงเอื้อนโอษฐ์ โปรดบัญญัติตรัสวินัย
ประทานให้ สงฆ์ที่ได้ปวารณา
จำพรรษา มาจบครบไตรมาส
อนุญาต ให้เสาะแสวงหา
ผ้าสำหรับ จะทำจีวรา
แล้วนำมา เย็บย้อมเป็นจีวร
ภายในเพ็ญ เดือนสิบสองให้ครองได้
บัญญัติไว้ แล้วพระองค์ทรงสั่งสอน
ให้หมู่สงฆ์ ช่วยกันไม่เกี่ยงงอน
หาไม้ท่อน มาทำเป็นสะดึง
สมัยนั้น การจะทำเย็บปะผ้า
จักต้องหา อาศัยไม้สะดึงขึง
ไม้สะดึง ซึ่งทำให้ผ้าตึง
เป็นอันหนึ่ง ที่สำคัญในวงงาน
ไม้สะดึง ซึ่งเรียกกฐิน
ประกอบชิ้น จีวร เป็นสัณฐาน
จึงเรียกว่า ผ้ากฐิน แต่โบราณ
รวมทั้งกาล เวลา ทำผ้าไตร
เรียกกันว่า กฐินกาล งานกฐิน
เขตสุดสิ้น เดือนสิบสอง เพ็ญผ่องใส
ให้พระสงฆ์ ตกลงกัน ว่าฉันใด
ยกผ้าที่ ทำเสร็จให้ ได้ครอบครอง
มอบแก่พระ ภิกษุเพียงรูปหนึ่ง
เป็นพระซึ่ง สงฆ์ยอม พร้อมถวาย
เป็นพระผู้ งดงาม ตามวินัย
นอกนั้นไซร้ สาธุใน โมทนา
เช่นนี้เรียก ว่าสงฆ์ กรานกฐิน
เป็นสุดสิ้น ปฐมเหตุ เทศนา
ต่อมามี มหาอุ บาสิกา
วิสาขา นามกระเดื่อง เรื่องใจบุญ
ได้รู้เรื่อง เริงรื่น ฉ่ำชื่นจิต
ด้วยนางคิด ที่จะสนับสนุน
จึงจัดหา ผ้ากฐิน สิ้นเงินทุน
ด้วยการุณ ในพระสงฆ์ทรงวินัย
ทอดถวาย เป็นรายแรก หนึ่งในโลก
จึงอาโภค เพียบพูน บุญมโหย
บัดนี้เล่า พวกเรา ชนชาวไทย
ก็พร้อมใจ กันทอด กฐินทาน
เอาเยี่ยงอย่าง แม่นาง วิสาขา
ด้วยศรัทธา พร้อมพรัก สมัครสมาน
เพื่อบูชา ไตรรัตน์ อันโอฬาร
ให้ยืนนาน วัฒนา ชั่วฟ้าดิน
ผลผลา อานิสงฆ์ จงสัมฤทธิ์
แด่ญาติมิตร ชื่นชม สมถวิล
เป็นอันจบ ครบเครื่อง เรื่องระบิล
เรื่องกฐิน ย่อเค้า เท่านี้เอย