27 สิงหาคม 2552 14:41 น.
ฐปนวุธ
เมื่อไม้ป่าต้องฝนบนพื้นแล้ง
ที่อ่อนแรงก็กลับฟื้นตื่นขึ้นใหม่
มวลพฤกษาทั่วชัฏก็ผลัดใบ
เพื่อผลิตลมหายใจให้มวลชน
อุดมการณ์นั้นเป็นเช่นใบไม้
ที่แตกยอดทอดใบเมื่อได้ฝน
หลั่งเอาหยาดน้ำใสของใจคน
มาเลี้ยงต้น...ใบผลิปณิธาน
เธอคือหยาดน้ำใสใต้แผ่นฟ้า
หล่อเลี้ยงกล้าที่เกิดใหม่เมื่อไหลผ่าน
คมและเข้มด้วยชีวิตจิตวิญญาณ
เพื่อผลิพ้นใบบานเต็มบ้านเมือง...
22 สิงหาคม 2552 19:53 น.
ฐปนวุธ
๑ ใครหนอใครตรงนั้นเขาหวั่นไหว
เขามาทำอะไรในที่นั่น
เสี้ยวเวลานานนับเหมือนกัปกัลป์
เขานั่งฝัน เฝอเฟื่องเรื่องราวใด
๒ มีดอกไม้สีสดเปื้อนหยดน้ำ
และระบำมวลภมรบินว่อนไหว
ณ ทางนั้นวันนี้ที่เปลี่ยนไป
เปลี่ยนที่ใคร คนเก่าก็เท่านั้น
๓ มือที่กร้านผ่านฟ้าเขียนอากาศ
ทุ่มทุกหยาดความเพียรเพื่อเขียนฝัน
เดินเท้าเปล่ากลางทรายอยู่หลายวัน
รับไออันบริสุทธิ์ หยุดเดินทาง
๔ ระลอกคลื่นกลืนเกลียวไม่เหลียวหลัง
ซัดเข้าฝั่งทีละนิด...จนจิตว่าง
ฉันมันเหมือนคนใกล้ตาย...อยู่ปลายทาง
อยู่เพื่อพราง ปรารถนาแห่งอารมณ์
๕ แสงตาวันอมยิ้มริมฟ้าเรื่อ
รับดาวเหนือกลางราตรีที่คลี่ห่ม
แสงเจ้าเอยเผยลำกลางช้ำตรม
ให้คนซมซอมซ่อฝันต่อไป
๖ ก่อนที่แสงทิวาจะมาอีก
ฉันควรหลีกควรลี้ไปที่ไหน...
ฟ้าเอ่ยฟ้าสุดกว้างและอย่างไกล
ฉันจะหลบเช่นไร...หัวใจเอย...
10 สิงหาคม 2552 20:22 น.
ฐปนวุธ
๑ เมื่ออ้อมอกอบอุ่นให้หนุนแอบ
ร่างน้อยแนบซบอิงนิ่งหลับใหล
ใครคนหนึ่งโอบอุ้มและคุ้มภัย
ใครหนอใคร...ปลอบและเป่า...ผงเข้าตา...
๒ จำได้ว่าวันหนึ่งซึ่งมีดบาด
โลหิตหยาดมากมายท่วมปลายขา
กลัวก็กลัวผวาสั่นขวัญร้างรา
เพียงสายตา...และมืออุ่น...แม่วุ่นวาย
๓ น้ำตาแม่ไหลนอง...อย่าร้องลูก
ทายาหยูก...หน่อยเดียว เดี๋ยวก็หาย
แล้วแม่สอน ให้รู้ ลูกผู้ชาย
อย่าร้องง่าย อย่างนี้ ไม่ดีเลย...
๔ แล้วทำไมขี้แยล่ะแม่จ๋า
ไม่เห็นว่าแม่มีแผลนะแม่เอ๋ย
เพียงคำตอบที่วันนั้นว่ามันเชย
จนล่วงเลยผ่านล่วงห้วงคำนึง
๕ กาลเวลาเปลี่ยนแผลน้อยเพียงร้อยเย็บ
ที่กอดเก็บเรื่องราวย้ำกล่าวถึง
เพียงสัมผัสรอยแผลแม่นิ่งซึ้ง
ลูกก็อึ้ง สุขและเศร้า เท่าเท่ากัน...
๖ น้ำตามันร่วงไหลตอนไหนน่ะ
ชั่วขณะที่คิดถึงจึงไหวหวั่น
สองพุ่มมือก้มราบลงกราบพลัน...
อ้อมตักนั้นยังอุ่น...อย่างคุ้นเคย
๗ เพียงคำตอบคำนั้นจากวันเก่า
ย้ำเตือนเราอย่าเลือนนะเพื่อนเอ๋ย
คำว่ารักขอแม่นั้นมันฟังเชย...
แต่ไม่เลยล่วงผ่าน...กาลเวลา...
ฐปนวุธ
5 สิงหาคม 2552 18:32 น.
ฐปนวุธ
๑ ม่านราตรีคลี่คลุมปิดมุมฟ้า
เห็นหลังคาสลัวริ้วเป็นทิวแถว
ความเป็นเมืองแผ่ข่ายกระจายแนว
จึงค่าคนผ่อนแผ่ว...และผันตาม
๒ ในซอกตึกลึกไกลในเมืองนั้น
วีรชนถูกกั้นและหยันหยาม
คุณธรรมและความดีถูกตีความ
เป็นข้อห้ามหนักหนา...อย่ากระทำ!
๓ ผู้เป็นนายกำหนดบทบัญญัติ
แบ่งส่วนสัดผู้ร่วมลิ้มจนอิ่มหนำ
หากมีคนตะแบงทิ่มแทงตำ
ต้องรับกรรมถ้วนหน้าที่ท้าทาย
๔ มือโสมมที่เขียนฟ้าว่ากูใหญ่
ใครต่อใครน้อมนบ...สบใจหมาย
แต่ละวันแต่ละปีที่ผ่านราย
สร้างแต่ความวอดวายเป็นรายวัน
๕ เสียงหัวเราะเยาะย้ำคนร่ำไห้
ย่ำหัวใจคนรากหญ้าผู้ล้าฝัน
คืนเดือนมืดอันมัวหม่นทนกัดฟัน
สุริยันเบิกฟ้าตั้งตารอ...
๖ แล้ววันหนึ่งคนต่างใจต่างไฟฝัน
ต่างชีวันเส้นทางต่างแม่พ่อ
จะร่วมเดินร่วมรักร่วมถักทอ
ลุกขึ้นต่อต้านมารประหารโจร...