9 กันยายน 2552 13:36 น.
ฐปนวุธ
โคลงสี่สุภาพ
วสันต์เวียนหล่นเปลี่ยนฟ้า ปฐพี
ไม้ดอกผลิออกสี ช่อชั้น
ฤดูกาลผ่านผันทวี วารย่าง
สรรพสิ่งชีพสุดสั้น เปรียบก้าวกาลเดิน
อินทรวิเชียรฉันท์
เพียงธรรมะล้ำค่า ณประชา จะ สรรเสริญ
ผันผ่าน ณ กาลเพลิน บ่มิ แตก มิดับสูญ
ยลยิน มุ นินทร์มรรค ก็ ประจักษ์ บ่ อาดูร
ปัญญา จะ เพิ่มพูน ก็ผลิ ชัด อ นัตตา
กาพย์ยานี ๑๑
เสียงสวดที่ผิวแผ่ว กลับเพริศแพร้วและเลิศค่า
ผ่านหูและผ่านมา เก็บเอามาเพื่อเปิดใจ
วงวัฏวิบัติทุกข์ เปลี่ยนและปลุกยุคสมัย
ชีพเกิดและดับไป คือเงื่อนไขพึงไตร่ตรอง
ข้ามกาลขนานก้าว ดับรวดร้าวและหม่นหมอง
เดินย่ำถือธรรมทอง เพื่อฉายส่องสู่ผองชน
กลอนสุภาพ
เส้นเวลาขีดไว้ให้โลกหมุน
ใต้แดดอุ่นริมหาวที่ผ่าวฝน
สรรพสัตว์เปลี่ยนแปลงตามแรงวน
เฉกฟ้าหม่นเพื่อแจ้ง...แล้งเพื่อเย็น
กาลเวลายังหมุนโลกบุญบาป
กว่าจะทราบจะซึ้งสิ่งพึงเห็น
พุทธองค์ทรงประจักษ์เผยมรรคเป็น
ทางดับเข็ญที่ข้ามผ่านกาลเวลา
ยอดเจดีย์สีทองส่องแสงวับ
งามระยับเฉกพระธรรมอันล้ำค่า
เห็นวงเวียนความเปลี่ยนแปลงแจ้งใจตา
สำนึกว่าโลกเรา...ก็เท่านี้
เดินขนานเส้นนั้นบั่นกิเลส
ตัดสังเวชแห่งชีวิตคิดถ้วนถี่
ณโลกหนึ่งถึงวารลับดับชีวี
เพียงแต่มีสุขสงบ...พบเพียงธรรม...
รางวัลชมเชยรอบชิงชนะเลิศ สโมสรยุวกวี ปี ๒๕๕๒
27 สิงหาคม 2552 14:41 น.
ฐปนวุธ
เมื่อไม้ป่าต้องฝนบนพื้นแล้ง
ที่อ่อนแรงก็กลับฟื้นตื่นขึ้นใหม่
มวลพฤกษาทั่วชัฏก็ผลัดใบ
เพื่อผลิตลมหายใจให้มวลชน
อุดมการณ์นั้นเป็นเช่นใบไม้
ที่แตกยอดทอดใบเมื่อได้ฝน
หลั่งเอาหยาดน้ำใสของใจคน
มาเลี้ยงต้น...ใบผลิปณิธาน
เธอคือหยาดน้ำใสใต้แผ่นฟ้า
หล่อเลี้ยงกล้าที่เกิดใหม่เมื่อไหลผ่าน
คมและเข้มด้วยชีวิตจิตวิญญาณ
เพื่อผลิพ้นใบบานเต็มบ้านเมือง...
22 สิงหาคม 2552 19:53 น.
ฐปนวุธ
๑ ใครหนอใครตรงนั้นเขาหวั่นไหว
เขามาทำอะไรในที่นั่น
เสี้ยวเวลานานนับเหมือนกัปกัลป์
เขานั่งฝัน เฝอเฟื่องเรื่องราวใด
๒ มีดอกไม้สีสดเปื้อนหยดน้ำ
และระบำมวลภมรบินว่อนไหว
ณ ทางนั้นวันนี้ที่เปลี่ยนไป
เปลี่ยนที่ใคร คนเก่าก็เท่านั้น
๓ มือที่กร้านผ่านฟ้าเขียนอากาศ
ทุ่มทุกหยาดความเพียรเพื่อเขียนฝัน
เดินเท้าเปล่ากลางทรายอยู่หลายวัน
รับไออันบริสุทธิ์ หยุดเดินทาง
๔ ระลอกคลื่นกลืนเกลียวไม่เหลียวหลัง
ซัดเข้าฝั่งทีละนิด...จนจิตว่าง
ฉันมันเหมือนคนใกล้ตาย...อยู่ปลายทาง
อยู่เพื่อพราง ปรารถนาแห่งอารมณ์
๕ แสงตาวันอมยิ้มริมฟ้าเรื่อ
รับดาวเหนือกลางราตรีที่คลี่ห่ม
แสงเจ้าเอยเผยลำกลางช้ำตรม
ให้คนซมซอมซ่อฝันต่อไป
๖ ก่อนที่แสงทิวาจะมาอีก
ฉันควรหลีกควรลี้ไปที่ไหน...
ฟ้าเอ่ยฟ้าสุดกว้างและอย่างไกล
ฉันจะหลบเช่นไร...หัวใจเอย...
10 สิงหาคม 2552 20:22 น.
ฐปนวุธ
๑ เมื่ออ้อมอกอบอุ่นให้หนุนแอบ
ร่างน้อยแนบซบอิงนิ่งหลับใหล
ใครคนหนึ่งโอบอุ้มและคุ้มภัย
ใครหนอใคร...ปลอบและเป่า...ผงเข้าตา...
๒ จำได้ว่าวันหนึ่งซึ่งมีดบาด
โลหิตหยาดมากมายท่วมปลายขา
กลัวก็กลัวผวาสั่นขวัญร้างรา
เพียงสายตา...และมืออุ่น...แม่วุ่นวาย
๓ น้ำตาแม่ไหลนอง...อย่าร้องลูก
ทายาหยูก...หน่อยเดียว เดี๋ยวก็หาย
แล้วแม่สอน ให้รู้ ลูกผู้ชาย
อย่าร้องง่าย อย่างนี้ ไม่ดีเลย...
๔ แล้วทำไมขี้แยล่ะแม่จ๋า
ไม่เห็นว่าแม่มีแผลนะแม่เอ๋ย
เพียงคำตอบที่วันนั้นว่ามันเชย
จนล่วงเลยผ่านล่วงห้วงคำนึง
๕ กาลเวลาเปลี่ยนแผลน้อยเพียงร้อยเย็บ
ที่กอดเก็บเรื่องราวย้ำกล่าวถึง
เพียงสัมผัสรอยแผลแม่นิ่งซึ้ง
ลูกก็อึ้ง สุขและเศร้า เท่าเท่ากัน...
๖ น้ำตามันร่วงไหลตอนไหนน่ะ
ชั่วขณะที่คิดถึงจึงไหวหวั่น
สองพุ่มมือก้มราบลงกราบพลัน...
อ้อมตักนั้นยังอุ่น...อย่างคุ้นเคย
๗ เพียงคำตอบคำนั้นจากวันเก่า
ย้ำเตือนเราอย่าเลือนนะเพื่อนเอ๋ย
คำว่ารักขอแม่นั้นมันฟังเชย...
แต่ไม่เลยล่วงผ่าน...กาลเวลา...
ฐปนวุธ
5 สิงหาคม 2552 18:32 น.
ฐปนวุธ
๑ ม่านราตรีคลี่คลุมปิดมุมฟ้า
เห็นหลังคาสลัวริ้วเป็นทิวแถว
ความเป็นเมืองแผ่ข่ายกระจายแนว
จึงค่าคนผ่อนแผ่ว...และผันตาม
๒ ในซอกตึกลึกไกลในเมืองนั้น
วีรชนถูกกั้นและหยันหยาม
คุณธรรมและความดีถูกตีความ
เป็นข้อห้ามหนักหนา...อย่ากระทำ!
๓ ผู้เป็นนายกำหนดบทบัญญัติ
แบ่งส่วนสัดผู้ร่วมลิ้มจนอิ่มหนำ
หากมีคนตะแบงทิ่มแทงตำ
ต้องรับกรรมถ้วนหน้าที่ท้าทาย
๔ มือโสมมที่เขียนฟ้าว่ากูใหญ่
ใครต่อใครน้อมนบ...สบใจหมาย
แต่ละวันแต่ละปีที่ผ่านราย
สร้างแต่ความวอดวายเป็นรายวัน
๕ เสียงหัวเราะเยาะย้ำคนร่ำไห้
ย่ำหัวใจคนรากหญ้าผู้ล้าฝัน
คืนเดือนมืดอันมัวหม่นทนกัดฟัน
สุริยันเบิกฟ้าตั้งตารอ...
๖ แล้ววันหนึ่งคนต่างใจต่างไฟฝัน
ต่างชีวันเส้นทางต่างแม่พ่อ
จะร่วมเดินร่วมรักร่วมถักทอ
ลุกขึ้นต่อต้านมารประหารโจร...