12 ธันวาคม 2550 17:53 น.
ช่ออักษราลี
๐ ในความมืดอันขื่นขมท่ามลมหนาว
ไร้แสงดาวพราวพร่างเหมือนอย่างเห็น
ไม่มีเดือนเคลื่อนลอยคล้อยอย่างเป็น
ดั่งเหมือนเช่นสวรรค์ปิดสู่นิทรา
๐ ผ่านวารคืนยาวนานในกาลค่ำ
ผ่านมืดดำแห่งฝันถลันผวา
ผ่านความเย็นยะเยียบเฉียบอุรา
ผ่านดงป่าน่าสะพรึงตรึงดวงใจ
๐ สักกี่วารกี่กาลหนอจักรอเห็น
ฟ้าจะเป็นเฉกแสงทองอันผ่องใส
อีกซักหน่อยมืดปรอยคล้อยคลาไคล
อีกเมื่อไหร่ก็จะรอไม่ท้อเลย
๐ พร่ำพ้อรออุ่นอรุณรุ่ง
แสงจรุงพุ่งเฉลาเช้าเฉลย
เพราะเมฆใหญ่มาบังแสงเช่นอย่างเคย
เมฆเอื้อนเอ่ยฟ้านี้มีข้าครอง
๐ ข้าจักบดบังแสงแห่งอาทิตย์
จะลิขิตชะตาดาวที่พราวฟ่อง
แสงดวงเดือนให้เลือนหลงจากรงรอง
ข้าจักครองดาวดินฟ้าในครานี้
๐ ข้ารวมมวลสดใสแห่งไอน้ำ
อันเลิศล้ำเฉิดฉานละลานสี
รวมพลังดาราทั่วธานี
รับปรารถนาดีจากเจตทั่วเขตแดน
๐ ผิว่ายองนวลใยของไอน้ำ
อันเลิศล้ำฉ่ำใสในเรือนแสน
เป็นเมฆใหญ่ลอยเลื่อนเคลื่อนแคว้นแดน
ทุกมวลแผ่นดินไทยใต้เมฆา
๐ ฤาเมฆนี้จะกว้างใหญ่แผ่ไพศาล
ถึงคราวรานแหลกยับกับเวหา
ด้วยเคราะห์กรรมหนาวเหน็บเจ็บอุรา
ตกลงมาเป็นฝนหล่นผืนดิน
๐ รอแสงทองของรวิสิเฉิดฉาย
จะโน้มกายเจืออุ่นละมุนถวิล
ลาหอมกรุ่นอุ่นใสของไอดิน
จักผายผินรับฟ้าผ่องลำยองใย
๐ ข้าจักรายกลายค่าอีกคราหนึ่ง
ยังหลอมตรึงในเมตตาทิวาไหว
รอรับมวลแสงอุ่นละมุนละไม
หยาดน้ำไซร้เป็นไอได้อีกครา
11 ธันวาคม 2550 19:41 น.
ช่ออักษราลี
ตราบชีวิตยังไม่สิ้นทั้งดินฟ้า
จะเย้ยหยันพสุธาที่อาศัย
เมื่อทำดีไม่ได้ดีมีถมไป
ทำชั่วไซร้กลับได้ดีมีมากมาย
จะหัวเราะเริงร่าทั้งหล้าโลก
จะไร้เศร้าเงาโศกวิโยคสลาย
ลิขิตฟ้าชะตาดินสิ้นมลาย
ตราบยังหายใจยังเต้นมิเป็นไร
11 ธันวาคม 2550 18:55 น.
ช่ออักษราลี
๐ ดาวดับดาวลับสรวง
สะท้านทรวงร่วงหล่นหาย
แฝงลับกับผืนทราย
มิสลายกลายข้ามคืน
๐ รอวันพลุฟ้าพุ่ง
เจิดจรุงทั่วดินผืน
แสงลับจากแรมคืน
จะผุดตื่นฟื้นประกาย
๐ เมื่อคราฟ้าสลัว
จะแฝงตัวทั่วจุดหมาย
ลาแล้วเจ้ากองทราย
จะกลายค่าคืนฟ้ามัว
๐ แจ่มจ้าเจิดจรัส
ล้วนสลัดความดีชั่ว
ผ่องใสในระรัว
ช่วงคืนร้าวดาวเมลือง
๐ แสงทองของความหวัง
จักหยุดยั้งในกระเดื่อง
ขับไล่ดาวกินเมือง
เรืองสลายประกายดาว
๐ ฟ้ารับสลับสี
โอบรวีสีแดงขาว
น้ำค้างร่วงพวงพราว
ผ่านคืนคราวอันร้าวใจ
๐ ต้อนรับสุริยา
ผ่านฟ้ามาในวันใหม่
ตะวันจะเป็นใคร
ล้วนยิ่งใหญ่ในใจเรา
๐ ดับแสงแห่งดวงดาว
บ่มคืนหนาวคราวใจเศร้า
อุ่นพุ่งในรุ่งเช้า
ความมืดเหงาจักเบาคลาย