12 กันยายน 2555 10:12 น.
ชินเดช ญาณรัตน์
ในวันที่เหงากับฝนที่หล่นพรำ..
วันที่นกยักษ์บินไม่ได้..
วันที่ชีวิตเป็นของเรา..
ไม่ได้อยู่บนนิ้วไกปืนของศัตรู
นอนบนเปลญวน
เหงาจับหัวใจ..
ก่อนเคยมีเธอให้คิดถึง..
พอทำให้ชีวิตพอมีความหมายบ้าง
แต่วันนี้..ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตามวิถี
ทางสายเก่า...จึงโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ในหัวใจ
คงเหลือแต่ผู้หญิงคนเดียว..
ภาพความหลัง ครั้งเยาว์วัยฉาบผ่านเข้ามา
................
เพราะต้องการให้ฉันแข็งแกร่ง
แม่จึงเฝ้าดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงใยในบางครา
แม่ทำโทษยามที่ฉันทำผิด
แต่ฉันเห็นแม่เสียน้ำตาทุกครั้ง
รอยหม่นหมองบนใบหน้า
เสียงร้อง..หยาดน้ำตาของฉัน
บาดหัวใจแม่ให้เจ็บปวด
รอยยิ้มของแม่มีน้อยนัก
ที่จะปรากฏให้ฉันเห็น
ด้วยทุกข์ท้นแห่งภาระอันหนักอึ้ง
หาใช่เพราะเบื่อหน่ายเกลียดชังแต่อย่างใด
แม่จึงเป็นดั่งแสงสว่าง...
คอยชี้ทางให้ฉันเดินไปอย่างเชื่อมั่น
และเป็นราตรีกาล
ให้ฉันได้พักนิ่งชั่วขณะ
เพื่อที่จะให้มีพลังก้าวเดินต่อไป
ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน
ในสนามรบหรือยามสงบเงียบงันเช่นนี้
คงมีแต่แม่ที่เป็นดั่งความรัก
หนึ่งเดียวหนึ่งหญิงที่มีอยู่บนโลกใบนี้
และเป็นชีวิตแห่งฉัน..
..............
สายฝนที่หล่นพรำ..
เป็นน้ำตาของแม่หรือเปล่านะ..
แม่ครับ..วันนี้ผมเป็นลุกชายที่แข็งแกร่งของแม่แล้ว
เป็นรั้วที่คอยป้องอริราชศัตรูของแผ่นดิน
เป็นผู้พิทักษ์สันติแห่งราษฏร์ด้วยเกียรติ ชีวิตและศักดิ์ศรี
ถึงไม่มีคนรักเพศเดียวกับแม่สักคน
แต่ผมมีอ้อมกอดแม่คอยคุ้มครองทุกหนทุกแห่ง
เมื่อยามที่ฝนพรำ...
เหมือนวันนี้...
ผมคิดถึงแม่ครับ..
วันหนึ่ง วันใด บนฟากฟ้าไกลๆ
เราคงได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอีกครั้ง
ที่ซึ่งตลอดชีวิตที่ใฝ่หา..
แต่ทว่าไม่เคยมี
3 กันยายน 2555 20:47 น.
ชินเดช ญาณรัตน์
คืนที่..ลมละมุนกรุ่นดอกแก้ว
เรไรแว่วสำเนียงเธอเพรียกหา
สะท้อนขวัญกลั้นสะอื้นกลืนน้ำตา
ทั้งเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใคร
ฟ้ามีเพียงดวงดาวสกาวฟ้า
ว้าเหว่จนน้ำตาร่วงรินไหล
ความอาดูรเอ่อท้นล้นหัวใจ
รอยอาลัยผสานเข้มเต็มอารมณ์
เธอที่รักลาลับไปไหนหนอ
ปล่อยใครคนหนึ่งรอจนขื่นขม
หรือลืมรักถ้อยคำสุดระทม
ลืมคนเคยชื่นชมเคยพอใจ
คะนึงถึงสัญญาจะคืนกลับ
จะช่วยซับรอยขมที่ตรมไหม้
รักร้าวรอนก่อนหน้าอำลาไกล
สัญญาไว้จะร่วมสร้างทางด้วยกัน
หวั่นทุกสิ่งทุกอย่างจะพร่างพร่า
ความสุขสมเหลือค่าเพียงความฝัน
ไม่มีแล้วแววตาเหงาคู่นั้น
ไม่มีบทกวีสร้างสรรค์ความอาทร
คืนนี้..จึงเหงาอยู่เงียบเงียบ
กับหัวใจบางเฉียบที่ร้าวกร่อน
รอคอยวันเธอนั้นหยุดสัญจร
มาลบรอยร้าวรอนในอารมณ์
.....................
26 สิงหาคม 2555 14:52 น.
ชินเดช ญาณรัตน์
ถึงอย่างไรก็..คือฉัน..
ที่ผุกพันและมั่นคง
ยังรักยังซื่อตรง
แม้ดำรงเป็นเพียงหุ่น
แต่ละก้าวยาวหรือสั้น
ตามไม่ทันแรงโลกหมุน
เป็นหรือตายคล้ายทารุณ
รอกระสุนคืนทุนไป
ใช่คร่ำคราญหรอกวันนี้
เพราะไม่มีน้ำตาที่จะไหล
รู้แล้วละ..ว่าหัวใจ
ไม่มีค่า..สำหรับใครในโลกนี้
22 สิงหาคม 2555 22:27 น.
ชินเดช ญาณรัตน์
ทั้งดาวเดือนเลือนลา..คราฝนตก
มีนรกกลางใจในวสันต์..
ฝนกลางฟ้าปลากลางน้ำชื่นฉ่ำกัน
แต่ไยฉัน..แสนเศร้า ฤาเดียวดาย
เคยมีงานสมานใจ..ไม่ให้เหงา
ยามสองเราไกลกัน..มีจุดหมาย
ช่วยกันสร้าง เรือนรังเพื่อพักกาย
เหงาก็หายคลายเหงา..เราเข้าใจ
เห็นเดือนดาวเป็นสายตายามว้าเหว่
ขอบทะเลแสนไกล..ก็หาไม่
ถึงกายห่าง..ใจห่วงหฤทัย
ไกลเหมือนใกล้ถึงภูผามากั้นกาง
แต่วันนี้..คงไม่มีเหมือนวันนั้น
ทุกสิ่งผันเปลี่ยนไปไห้หมองหมาง
สุขเป็นทุกข์เบื่องานเบื่อทุกอย่าง
เมื่อเราร้างห่างไกล..ไปจากกัน
เธอเลือกเดินสายทาง..อย่างที่ฝัน
ฉันก็สร้างสายทาง..เป็นอย่างนั้น
ภารกิจเร่งรีบหนักทุกทุกวัน
เวลาผันทบยี่สิบสี่..มีแต่ห่าง
ไม่ขึ้งโกรธเ ธอ หรอกที่รัก..
เห็นใจนักคนดีที่ลาร้าง
สิ่งที่ผ่านยังจำไม่เลือนราง
เธอได้สร้างสิ่งดีแก่พี่ชาย
ชีวิตเหงาเดียวดายเยี่ยงชายโสด
เส้นทางโหดอุดมการณ์เป็นความหมาย
สรรพสิ่งหลายอย่างเคยย่างกราย
แม้สุดท้ายผ่านไปไม่ใส่จำ
แต่รอยอุ่นที่เคยให้กลางใจนี้
คงไม่มีวันจาง ทุกอย่างซ้ำ
ดั่งแผ่นเสียงตกร่อง..ถ้วนทุกคำ
เป็นลำนำไม่รู้จบนพนิรันดร์
อยากจะลืมสายใจใจจะขาด
แต่มิอาจทำได้..แม้ในฝัน
จึงขอจำให้เจ็บทุกคืนวัน
คนอย่างฉัน..คงรักใครไม่ได้เลย
ขอกลับไปเป็นฉันเหมือนวันก่อน
ไม่อาทรสิ่งใดใจเรียบเฉย
ใครจะรักใครจะชังเหมือนดังเคย
อยู่อย่างเย้ยเยาะฟ้าชะตาทราม
จึงจำลาจากไปในวสันต์
ทุกสิ่งพลันจบลงเป็นตรงข้าม
จากนี้ไป..คงไม่มีที่งดงาม
เลิกคำถามตอบใจไปนิรันดร์
22 เมษายน 2551 06:00 น.
ชินเดช ญาณรัตน์
มาจากดินถิ่นป่าแก้ว
ไปสู่ความเพริดแพร้วของเมืองใหญ่
เฝ้าเพียรหาสัจจธรรมความเป็นไป
มหาลัยสอนคนบนหลุมพราง
เราคือใคร เป็นอย่างไร ไปไหนนี่
โลกความดีความชั่วตัวสรรสร้าง
ทั้งซ้อนซับสับสนบนหนทาง
จิตหมุนคว้างท่ามฝูงชนคนคอนกรีต
โลกวัตถุรีบรุดมีจุดขาย
น้ำใจกลายเป็นปมซ่อนคมมีด
หน้าเนื้อใจเสือเล่ห์กลกันสุดขีด
เผลอเป็นกรีดคว้านใจไร้ปรานี
อีกบนฟลอร์เฟื่องฟ้าลีลาเร้า
แก้วบรั่นดีหนุ่มเหน้ากลางไฟสี
ความพอเพียงสักนิดไม่คิดมี
อีกนารีโลกียะนะหน้าทน
นี่หรือ..คือบัณฑิตผู้ติดปีก
เธอผู้หลีกทุกข์เข็ญเป็นมรรคผล
แท้คืองานผลิตจิตทรามบ่งามคน
ทางหลุดพ้นหรือพ้นหลุดมุดดินดำ
หมายกลับไปซบดินถิ่นป่าแก้ว
ขอลาแล้วกรุงไกรใจถลำ
กลับคืนถิ่นบ้านป่าศรัทธานำ
และขอลบรอยดำสร้างลำเทียน
แต่นิจจาพงไพรไม่เคยคิด
ความเจริญตามติดจนผิดเพี้ยน
สร้างโรงเหล้าไนต์คลับป่าเหี้ยนเตียน
วัดโรงเรียนจุดสะท้อนความอ่อนใจ
แล้วจะไปที่ไหนแห่งใดเล่า
เมื่อบ้านเก่าหายไปใจโหยไห้
มันอ้างว้างหนาวเหน็บอยู่ข้างใน
จะบอกใคร กลับบ้าน หรือผ่านทาง