7 ตุลาคม 2548 16:21 น.
ชลกานต์
มองดอกหญ้าคราไหวใกล้ธารหวาน
ผีเสื้อผ่านมาพักทักลมสาย
ทักดอกหญ้าน้ำค้างฉ่ำพร่างพราย
เปี่ยมประกายแดดต้องท้องธารา
เรี่ยมเรี่ยมริบวิบวับขยับเพรา
ใต้ร่มเงาแดดจางมิเจิดจ้า
ละอองลมพรมหอมพะยอมมา
กลิ่นพนาไพรพฤกษ์ล้ำลึกนัก
คงเป็นพรรัมภาจากฟ้าโพ้น
มาปลอบโยนขวัญหล้าที่ล้าหนัก
จากน้ำมือถือยุดมิหยุดพัก
มิตระหนักสักสิ่งอันจริงแท้
แม้แต่กลีบบุปผายังฆ่าเข่น
หรือมนุษย์นี่เป็นกระไรแน่
ถึงทำลายหมายปลิดริดดวงแด
กระทั่งถิ่นแดนแม่ธรณี
จะอยู่เย็นเช่นไรในโลกหล้า
ต่างเสาะหาเรืองรุ่งฟุ้งเฟื่องสี
มิต่างเสาะสักเศษเก็จความดี
จึ่งธุลีนั้นไร้คุณค่าพอ
มหานครคนเขื่องเปรื่องมนุษย์
ได้เร่งรุดเข้าสร้างวางทางท่อ
สร้างถนนรุกรานสะพานรอ
ให้คนเข้าไปก่อและทำลาย
นี่อาจเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบ
ดอกไม้สบดวงตาตะวันฉาย
เรณูว่อนฟ้อนฟ้าราระบาย
ความงามตาย ..เมืองคับกลับรุ่งเรือง..
6 ตุลาคม 2548 10:40 น.
ชลกานต์
ดูโน่นเรือดวงดาวราวละล่อง
จากฟ้าผ่องปราศเมฆเสกบังสรวง
ไปทิศใต้ไหววับแล้วลับดวง
คงเป็นห่วงบางใครใช่ไหมดาว
จึงเดินทางห่างฟ้ามาพิงพื้น
ในค่ำคืนหมอกหนักจักษ์เหน็บหนาว
ในค่ำคนจนยากลำบากคราว
สายลมร้าวเย็นเยียบมาเทียบชาน
ฤดูหนาวกี่ดาวมาก้าวดิน
มาไกลพิณไพเราะเสนาะขาน
มาช่วยผู้ยากไร้ในกันดาร
เพื่อสืบสานความดีที่มีมา
ต้องฝ่าท่องล่องข้ามตามธารเชี่ยว
เลาะป่าเปลี่ยวโคลนเปรอะเขรอะหนักหนา
จะหนักงานหว่านเหงื่อเหนือน้ำตา
เพียงผวยผ้าพอคลุมหุ้มทุกคน
เอาหยูกยามาด้วยเพื่อช่วยเหลือ
กางเกงเสื้อรองเท้าเขาขัดสน
กี่ดวงดาวสู้คราวหนาวทุรน
ทำเพื่อคนอีกมากที่ฟากดิน
ช่างน้อยดาวพราวดวงจากสรวงชั้น
ที่แบ่งปันน้ำใจอยู่ไกลถิ่น
อีกมากดาวบนหาวมิยลยิน
อยู่รอสิ้นแสงเงาไปเท่านั้น..