15 ธันวาคม 2547 22:44 น.
ชมอักษร
หยิบก้อนไหม .. ถักทอ .. ก่อด้วยรัก
หนาวยิ่งนัก .. จักใคร่ .. มอบไออุ่น
ถักเป็นผ้า .. พันอ้อม .. ล้อมคอคุณ
คงละมุน .. กรุ่นซ่าน .. ผ่านถึงใจ
ทีละเส้น .. ทำห่วง .. เป็นบ่วงคล้อง
ด้วยหมายปอง .. กายคุณ .. อุ่นใยไหม
บรรจงถัก .. วันละน้อย .. ค่อยทำไป
สานสายใย .. ในรัก .. หนักแน่นจริง
ถักไม่สวย .. เพราะน้อย .. ด้อยความเก่ง
ยังหวั่นเกรง .. ใครเห็น .. ไม่เป็นหญิง
อ่อนงานบ้าน .. การเรือน .. เหมือนละทิ้ง
หาคนอิง .. คงยาก .. ลำบากทรวง
ยังมุ่งมั่น .. ถักต่อ .. มิท้อหน่าย
หากหนาวกาย .. สุดแสน .. จะแหนหวง
เร่งมือทำ .. ทุกเย็น .. ด้วยเป็นห่วง
กลัวจะล่วง .. เลยผ่าน .. กาลเหมันต์
มอบแทนรัก .. ล้อมกาย .. เพื่อคลายหนาว
เส้นไหมยาว .. เปรียบเป็น .. เช่นแขนฉัน
จะโอบกอด .. คุณไว้ .. ให้หายสั่น
ทั้งคืนวัน .. พันไว้ .. ไม่คลายเลย
หยิบก้อนไหม .. ถักทอ .. ก่อเป็นรัก
ให้ประจักษ์ .. นานเนิ่น .. มิเมินเฉย
ถักเป็นผืน .. ดุจรัก .. ที่งอกเงย
ให้ผ้าเอ่ย .. ความหมาย .. สายสัมพันธ์
. . . . . .
. . . .
. . . . . . . .
ผ้าพันคอ .. ถักมา .. ไม่น่าใช้
ครั้นจะให้ .. แก่คุณ .. ยังครุ่นหวั่น
รู้ตัวดี .. คนทำ .. ไม่สำคัญ
มิอาจพัน .. ผูกใคร .. มาใกล้เรา
หยิบผืนไหม .. ใส่กล่อง .. แล้วตรองคิด
ยังตั้งจิต .. ส่งให้ .. ไม่เสียเปล่า
หากวันใด .. หนาวล้น .. จนสั่นเทา
คงหยิบเอา .. พันคอ .. ขออุ่นไอ
หายหนาวแล้ว .. ถอดส่ง .. เก็บลงกล่อง
ไม่เหลียวมอง .. สิ้นค่า .. หมดคราใช้
จะทิ้งขว้าง .. เก็บตก .. ยกให้ใคร
สุดแต่ใจ .. เถิดหนอ .. ไม่ขอคืน
.........................................
ผ้าพันคอ .. มีประโยชน์ในยามที่อากาศหนาว ..
แต่ผ้าพันคอบางผืนก็ไร้ประโยชน์ .. ถ้าผู้ครอบครองไม่เคยใช้มันเลย ..
13 ธันวาคม 2547 21:19 น.
ชมอักษร
เพราะฟ้าขีด .. เส้นทาง .. ให้ย่างก้าว
ผ่านเรื่องราว .. ผู้คน .. ให้ค้นหา
หรือก่อนเคย .. ทำบุญ .. หนุนกันมา
จึงชักพา .. ส่งให้ .. ได้พบพาน
สัมพันธภาพ .. ถักทอ .. ไม่รอรั้ง
ด้วยจริงจัง .. ตั้งใจ .. ใช่เพียงผ่าน
ความห่วงหา .. อาทร .. มิรอนราน
ยังก่อสาน .. หว่านให้ .. เต็มใจปัน
แรกคบหา .. หน้าคอมฯ .. หลอมรวมจิต
นำพามิตร .. ต่างบ้าน .. สมานฉันท์
ได้ประสบ .. พบหน้า .. พูดจากัน
และผูกพัน .. ด้วยเรา .. ต่างเข้าใจ
กินอาหาร .. หวานคาว .. ข้าวร่วมหม้อ
คุยหยอกล้อ .. ต่อคำ .. จำได้ไหม
ถึงกลอนนั้น .. คนนี้ .. พาทีไป
เอ่ยถึงใคร .. ยิ้มร่า .. ช่างฮาเฮ
พออิ่มหนำ .. สำราญ .. เบิกบานแล้ว
จึงชักแถว .. ชี้ชวน .. ให้สรวลเส
หลากร้านค้า .. พาเพลิน .. เดินเตร็ดเตร่
ต่างถ่ายเท .. ความสนุก .. สุขถ้วนกัน
สองตาหยุด .. จับจ้อง .. มองร้านหนึ่ง
สัญญาซึ่ง .. เคยให้ .. ไม่แปรผัน
ไอศกรีม .. หวานเย็น .. เป็นรางวัล
ดั่งของขวัญ .. เจ้าสาว .. โลกวิญญาณ
แปดเท้าปรี่ .. รี่ไป .. ไม่รอรั้ง
สี่คนสั่ง .. ถ้วยเดียว .. ทั้งเปรี้ยวหวาน
ไอศกรีม .. เจ็ดก้อน .. กินไม่นาน
อันตรธาน .. หมดไป .. ในพริบตา
ถ้วยที่สอง .. ไม่ถาม .. ตามมาติด
ต่างไม่คิด .. วางช้อน .. ก่อนเลยหนา
อีกเจ็ดก้อน .. ก็หาย .. ในไม่ช้า
แปลกที่ว่า .. มิตรภาพ .. กลับเพิ่มพูน
ขอขอบคุณอุ่นไอมิตรใกล้ชิดเธอ
ได้พบเจอเริ่มนับจากเป็นศูนย์
ค่อยค่อยต่อก่อเกิดทวีคูณ
และเพิ่มพูนจูนรักจนนานวัน
ร่วมสนุกสนานเบิกบานจิต
ร่วมมิ่งมิตรใกล้ชิดเธอและฉัน
ร่วมรักร่วมใจเกี่ยวสายสัมพันธ์
ร่วมแบ่งปันความสุขทุกคนเลย
....................................
นัดเจอเพื่อนและน้อง ๆ ในเวบไทยโพเอม .. รวม 4 คนไปสยาม ฯ ..
กินมื้อเที่ยงที่ร้านส้มตำนัว .. ต่อด้วยเดินเที่ยว .. ถ่ายรูป ..
ขาดไม่ได้ .. จุดมุ่งหมายหลัก .. ไปกินไอศกรีม ..
4 คน .. สั่ง 2 ถ้วย .. รวม 14 ก้อน .. ช้อน 4 คัน ..
หมดในพริบตา .. แต่มิตรภาพกลับเพิ่มมากขึ้นเหมือนที่เขียนไว้ในกลอน ..
กลอน .. เหมือนยังไม่จบ .. คงเพราะมิตรภาพจะไม่มีวันจบ ..
เลยแต่งค้างไว้แค่นี้ .. รออีก 3 คนมาเขียนเพิ่มค่ะ .. ^__^
ปล. พี่ตูนคะ .. สั่งไอศกรีมรสมะนาวมา 1 ก้อนด้วยค่ะ .. ตามที่ฝากให้กิน ..
เปรี้ยวมากกก .. แต่ก็อร่อยดี .. อิอิ
9 ธันวาคม 2547 11:07 น.
ชมอักษร
เป็นผู้หญิง .. โง่งม .. อมความเศร้า
รักครั้งเก่า .. ถือมั่น .. ไม่หวั่นไหว
แม้รักนั้น .. ทำร้าย .. ทำลายใจ
ดุจเปลวไฟ .. ร้อนเร่า .. เผากองฟาง
เป็นผู้หญิง .. โง่งม .. จมในรัก
ทุ่มใจภักดิ์ .. มิหน่าย .. แม้กายห่าง
ถึงรักที่ .. เคยครอง .. จะพร่องจาง
มิเว้นวาง .. เฝ้าฝัน .. วันร่วมเรียง
เป็นผู้หญิง .. โง่งม .. ระทมทุกข์
ไม่เหลือสุข .. หรรษา .. มาหล่อเลี้ยง
แม้หนทาง .. เราสอง .. ได้ครองเคียง
เหมือนทางเบี่ยง .. เกินหวน .. ทวนสัมพันธ์
เป็นผู้หญิง .. โง่งม .. ที่ขมขื่น
เขาเป็นอื่น .. ยังหลง .. ไปคงมั่น
แม้เนิ่นนาน .. ฝันตื่น .. กี่คืนวัน
ยังดึงดัน .. รั้นรัก .. ด้วยปักใจ
เป็นผู้หญิง .. โง่งม .. ตรมจนร้าว
น้ำตาพราว .. ถูกทำ .. ช้ำเพียงไหน
เจ็บจนท้อ .. ง้อเขา .. อยู่ร่ำไป
ยังเข้าใกล้ .. คล้ายเงา .. เฝ้าวนเวียน
เป็นผู้หญิง .. โง่งม .. สมควรไหม
ยอมทุ่มใจ .. ชีวิต .. ไม่คิดเปลี่ยน
รักของเขา .. เบาบาง .. ดั่งแสงเทียน
ที่ใกล้หมด .. จวนเจียน .. จะดับลง
.....................................
22 พฤศจิกายน 2547 21:42 น.
ชมอักษร
สังคมเมือง .. เรื่องชิงดี .. มีไปทั่ว
ต่างเมามัว .. ยกตัวเด่น .. เห็นทุกที่
ชอบประชัน .. แข่งขันหา .. ว่าใครดี
ปากก็มี .. ไว้ชำแหละ .. แขวะวาจา
แสนเกลียดชัง .. ฟังจนช้ำ .. คำติฉิน
เบื่อได้ยิน .. เสียงพร่ำบ่น .. คนกล่าวหา
อยากหลบลี้ .. หนีให้ไกล .. ใครนินทา
เอือมระอา .. น่าแหนงหน่าย .. ใส่ร้ายกัน
เพื่อนร่วมงาน .. ก็พาลใส่ .. ทำใจขุ่น
อารมณ์กรุ่น .. ว้าวุ่นจิต .. คิดหุนหัน
ซ้ำเจ้านาย .. ยังจู้จี้ .. ชี้นิ้วยัน
ยิ่งนานวัน .. ใจหวั่นว่า .. จะบ้าตาย
อยากบ่ายหน้า .. ร้างลากรุง .. ชมทุ่งกว้าง
ขอเดินทาง .. ให้ห่างคน .. ที่วนว่าย
รักโลภหลง .. ไม่ปลงหนา .. พาวุ่นวาย
จึงเร้นกาย .. สะพายเป้ .. ร่อนเร่ไกล
ออกเดินทาง .. กลางตะวัน .. อันเจิดจ้า
สูดกลิ่นหญ้า .. ท่องป่าเขา .. ร่มเงาไม้
ลมโชยพัด .. สัมผัสผิว .. ผมปลิวไป
ปลดปล่อยใจ .. ให้คลายทุกข์ .. มีสุขแทน
เติมเรี่ยวแรง .. แต้มแต่งยิ้ม .. บนใบหน้า
ขอก้าวขา .. ออกจากขอบ .. นอกกรอบแผน
ลืมเรื่องรัก .. พักเรื่องงาน .. ที่คลอนแคลน
จะกอบแขน .. เก็บพลัง .. ไว้ยังชนม์
.............................................
ปล. ศุกร์ - เสาร์ที่ผ่านมาไปสัมมนาที่เขาใหญ่ ..
ต่อด้วยเถลไถลไปนอนบ้านสวนของพี่ที่ทำงานด้วยกันอีก 1 คืน ..
สบายใจ .. สบายใจ .. ล้า ลา ลา .. ^______^
อ้อ .. คนในรูปเป็นพี่ที่ทำงานค่ะ .. ยังโสดด้วยล่ะ .. ฮะฮะ ..( จะรอดมั๊ยเนี่ยเรา .. )
5 พฤศจิกายน 2547 06:56 น.
ชมอักษร
ทะเลหมอก ..เขาบอกว่า
สวยนักหนา .. คราใกล้หนาว
ใบสนพร่าง .. น้ำค้างพราว
ดั่งแสงดาว .. วาววับตา
ตะวันงาม .. ยามใกล้รุ่ง
หอมจรุง .. ฟุ้งกลิ่นหญ้า
ลมโบกโบย .. โชยพัดมา
หนาวกายา .. บนผาภู
ทางคดเคี้ยว .. น่าเสียวไส้
ไม่หวั่นใจ .. ใคร่ได้รู้
มุ่งหน้าไป .. ตั้งใจอยู่
อยากจะดู .. ยอดภูงาม
แม้ต้องเดิน .. ยังเพลินจิต
แรงน้อยนิด .. ไม่คิดขาม
หยุดพักบ่อย .. ค่อยก้าวตาม
มิหักห้าม .. ความตั้งใจ
ถึงยอดภู .. ได้รู้เห็น
ความหนาวเย็น .. เป็นไฉน
ความสวยเด่น .. เป็นเช่นไร
หายเหนื่อยไซร้ .. ไม่เสียแรง
ลมสะบัด .. พัดไม้ไหว
ทอดตาไป .. ไกลสุดแสง
ตะวันฉาย .. รายรอบแจ้ง
ความงามแห่ง .. แหล่งภูเรือ
อีกหมอกขาว .. เป็นราวกั้น
ดุจภาพฝัน .. อันเหลือเชื่อ
ยิ่งเพ่งพิศ .. ไม่คิดเบื่อ
สุขใจเจือ .. เมื่อได้ยล
เที่ยวภูหนาว .. ในคราวนี้
แสนเปรมปรีดิ์ .. มีสุขล้น
ลืมลำบาก .. ยากระคน
คล้ายหลุดพ้น .. บนยอดภู
..................................
นึกถึงถนนในการเดินทางไปภูเรือ .. ที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคดไปมา ..
จนเกรงว่า .. จะมีใครบ้างนะ .. ที่จะออกอาการคลื่นเหียนอาเจียนเข้าให้ ..
แต่ก็ไปถึงโดยรอดปลอดภัยทุกคน .. ไม่เสียแรงรัก ( การเที่ยวภู อิอิ ) ..
จำได้ .. ตอนที่รู้ว่า .. ต้องเดินเท้าขึ้นยอดภูเรือ ..ระยะทาง 900 เมตร ..
คิดว่าคงไม่ไกลเกินใจมุ่งมั่น ..
แต่ด้วยความที่ต้องรีบเดินให้ทันแสงตะวันแรกแห่งภู ..
ระยะทางที่เห็นว่าเล็กน้อย .. เหมือนไกล .. ไกลจนใจเริ่มท้อ ..
หยุดพักบ้าง .. ถอยหลังเดินขึ้นบ้าง .. ( เคยได้ยินมาว่าจะทำให้ไม่เหนื่อย .. อิอิ )
มองหน้าพี่ ๆ ร่วมชะตากรรม .. อืมม .. นึกถึงสิ่งที่จะได้เห็นข้างหน้า ..
เอาน่า .. คนอื่นไปได้ .. เราก็ต้องไม่ท้อ ..
กัดฟัน .. รีบจ้ำไปให้ถึง ..
และแล้ว .. วินาทีแรกที่สายตาได้ปะทะกับทะเลหมอก ..
แปลกไหม .. ที่กลับลืมความหนาวเย็นที่ทั่วร่างได้สัมผัส ..
ลืมความเหนื่อยล้าไปหมดสิ้น ..
ความสวยงามที่ได้เห็น .. เกินที่จะหาคำมาบรรยาย ..
ดูภาพเอาเองนะคะ .. ( ภาพอาจไม่ค่อยสวยเหมือนที่สายตาได้ไปสัมผัส )
... จบ ... ( เอาดื้อ ๆ 555 .. )
ปล. กระพริบตา 3 ครั้ง .. ปิ๊ง ปิ๊ง ปิ๊ง .. ไปอาบน้ำดีกว่า .. อิอิอิ