29 ตุลาคม 2548 17:27 น.
ชมอักษร
ไหว้พระปรางค์สามยอดตลอดย่าน
ลูกพระกาฬมาเกิดประเสริฐยิ่ง
คือสาวสวยหุ่นเขื่อง คนเมืองลิง
เป็นคนจริงงามล้ำด้วยน้ำใจ
มายกจอกเชิญจิบเจือทิพย์ถ้อย
เอารักร้อยเป็นกลอนอวยพรให้
หากตั้งจิตคิดอ่านทำการใด
ขอจงได้สมหวังทุกครั้งครา
ครอบครัวอยู่ร่มเย็นและเป็นสุข
จงหมดทุกข์หมดโศกโรคหนีหน้า
ให้ร่ำรวยสินทรัพย์นับคณา
โชคเข้าหาพาชื่นทุกคืนวัน
จงนอนหลับกินอิ่มและยิ้มได้
หากวันไหนใจท้อขออย่าหวั่น
มีอีกหลายกำลังใจพร้อมให้กัน
หนึ่งในนั้น ชมอักษร แน่นอนเอย
..............................
ขอให้พี่อุ๊มีความสุขมาก ๆ .. คิดสิ่งใดสมดังใจปรารถนา ..
ปราศจากเรื่องทุกข์กายร้อนใจนะคะ ..
คำอวยพรธรรมดา ๆ .. แต่ก็มาจากใจค่ะ ..
แบบว่าเบญพูดอะไรหวาน ๆ กับเขาไม่ค่อยเป็นอ่ะ ..
คงไม่ว่าน้องคนนี้นะคะ ..
สุข .. สมหวัง .. จงเป็นของพี่อุ๊ค่ะ .. :)
20 ตุลาคม 2548 15:36 น.
ชมอักษร
เธออาจมองว่าฉันนั้นขี้หึง
ชอบตะบึงตะบอนงอนเข้าใส่
เพียงได้ยินเธอเอ่ยเผยชื่อใคร
ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ .. ดั่งไฟลน
อยากบอกเธอรู้ไว้ใช่งี่เง่า
ตัวฉันเปล่าเอาแต่ใจไร้เหตุผล
แต่เพราะหญิงมากหน้ามาเวียนวน
จึงกลัวเธอซุกซนเผลอสนใจ
อาการที่เธอเห็นเป็นความ หวั่น
ด้วยตัวฉันไม่น่ารักสักเท่าไหร่
ผสมรวมความ หวง และ ห่วงใย
แสดงออกมากไปจนไม่งาม
อาจดูเหมือนว่าฉันนั้นเรื่องมาก
เธอวางตัวลำบากยากหักห้าม
นั่นไม่ดีนี่ไม่ได้คอยไล่ปราม
เหมือนยุ่มย่ามระแวงแคลงใจกัน
หากเธอมองจากมุมที่ฉันอยู่
จะล่วงรู้หาใช่ไม่เชื่อมั่น
เธอมีค่ากว่าคำ คนสำคัญ
ต้องบอกไหมว่าเพราะฉันนั้น รักเธอ
.................................
18 กันยายน 2548 16:51 น.
ชมอักษร
อีกครั้งที่น้ำตา .. ไหลออกมาไม่อาจฝืน
พยายามทนกล้ำกลืน .. ยังสะอื้นอีกจนได้
เจ็บปวดที่ต้องเจอ .. ท่าทีเธอไม่สนใจ
ฉันรักเธอเพียงใด .. เธอกลับไม่เคยไยดี
คำพูดที่เสียดแทง .. เหมือนจะแกล้งให้เจ็บช้ำ
สิ่งที่เธอกระทำ .. เหมือนย่ำใจให้ป่นปี้
เคยรับรู้บ้างไหม .. ความน้อยใจที่ฉันมี
นับวันทบทวี .. จนอยากหนีไปให้ไกล
แต่ฉันมันอ่อนแอ .. จึงพ่ายแพ้ตัวเองเสมอ
แค่คิดว่าขาดเธอ .. น้ำตาเอ่อขึ้นมาใหม่
บอกตัวเองเบาเบา .. แม้ต้องเศร้าไม่เป็นไร
ยอมช้ำอยู่ร่ำไป .. เจ็บเพียงไหนเต็มใจทน
ฟ้านั้นคงลิขิต .. ทางชีวิตคนใจง่าย
ให้ต้องทุรนทุราย .. ถูกทำร้ายอีกหลายหน
กดเก็บไว้ข้างใน .. มิกล้าไปปริปากบ่น
แม้ใจจะร้อนรน .. ยอมจำนนเพราะรักเธอ
......................................
14 พฤษภาคม 2548 20:40 น.
ชมอักษร
คนที่เคยกอดหมอนนอนหนาวสั่น
ทุกคืนวันอยู่กับความสับสน
มีชีวิตเคว้งคว้างอย่างจำทน
ไร้ซึ่งคนคอยถนอมกล่อมนิทรา
ปราศจากชื่อใครให้พร่ำถึง
ห้วงคำนึงว่างเปล่าเฝ้าโหยหา
ซ้ำยังขาดเงาใครในแววตา
สื่อแทนค่าความหมายสานสายใย
หวังมีมืออุ่นหนามาสัมผัส
แขนกระหวัดกอดเกี่ยวดั่งเกลียวไหม
กี่คืนผ่านนานแล้วไร้แววใคร
เหตุอันใดได้แต่พล่ามเพียรถามจันทร์
คิดว่าหวังทั้งปวงคงล่วงผ่าน
ชินกับการเหว่ว้าไม่กล้าฝัน
จนเมื่อเธออยู่ตรงหน้าสบตากัน
รู้ได้พลันความหวานเริ่มหว่านมา
คำว่า รัก ของเธอเสมอเหมือน
แสงของเดือนส่องสว่างทางทั่วหล้า
จากคนที่ใช้ชีวิตเหมือนปิดตา
ก็เจิดจ้าด้วยแสงแห่งรักเธอ
ความห่วงหาอาทรไม่ซ่อนเร้น
ฉายชัดเด่นให้รู้มีอยู่เสมอ
ความห่วงใยยามห่างร้างการเจอ
มีปรนเปรอมาให้ไม่เคยจาง
ยามปัญหารุกเร้าเข้าสุมหนัก
เธอที่รักไม่เพียงอยู่เคียงข้าง
แต่จะคอยบอกวิธีชี้แนวทาง
จนทุกอย่างจากร้ายกลายเป็นดี
เธอนำรักและศรัทธามามอบให้
ทุกห้องใจท่วมท้นสุขล้นปรี่
เปลี่ยนคนเคยอ้างว้างกลางราตรี
เป็นคนที่ฝันพร่างกลางแววตา
......................................
3 เมษายน 2548 21:38 น.
ชมอักษร
ทั้งที่เดินอยู่ท่ามกลาง .. ความสับสน
แต่หัวใจกลับร้อนรน .. ระคนเหงา
เหลียวมองรอบกายคว้าไขว่ได้เพียง .. เงา ..
รับรู้ได้ดีถึงความว่างเปล่า .. ไม่มีใคร
กอดตัวเอง .. ฟังเพลงคลายหม่นหมอง
แต่น้ำตามันร่ำร้อง .. คอยจ้องจะรินไหล
ยิ่งฝืนกลั้นสะอื้น .. กลับยิ่งขมขื่นในใจ
เพราะอ่อนแอเกินไป .. จึงร้าวไหวมิโรยรา
แล้วน้ำใสก็ไหลเปื้อนสองแก้ม ..
ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยความรอนล้า ..
มิบังอาจร้องขอใคร .. ให้ช่วยซับน้ำตา
หวังเพียงจะลืมความเหว่ว้า .. ในห้วงนิทราทุกราตรี
....................................