25 สิงหาคม 2551 03:58 น.
ฉางน้อย
" สวัสดี สะวีดัดเจ้าคะพี่เมี่ยงคำ " วา หรือ ยิหวาส่งเสียงผ่านสายออกไปหลังดูเบอร์ที่โชว์หน้าจอโทรศัพท์
" อืม..วา นี่พี่เองนะ พอดีว่าวันนี้พี่ติดงานด่วนจ๊ะ พี่คงพาวาไปเดินเที่ยวซื้อเสื้อผ้าที่ประตูน้ำไม่ได้แล้วล่ะนะ " พี่เมี่ยงของวา กรอกเสียงตามสายผ่านมา
" เอาอีกแล้วน๊า พี่เมี่ยงน่ะ ชอบผิดสัญญาเรื่อยเลย เป็นงี้ทุกทีเลยน๊า วันหยุดก็ไม่ว่างเลยเหรอคะ "
" โอเคๆ..เย็นนี้พี่สัญญาว่าจะพาไปนั่งในสวนดีกว่า ดีไหม ?
สวนสาธารณะสันติชัยปราการน่ะ พี่จะพาวา ไปดูต้นลำพูต้นสุดท้ายในกรุงเทพฯด้วยดีป่ะ มีหิ่งห้อยด้วยน๊า จะบอกให้.."
" เชอะ ..ไม่ต้องเอาเจ้าตัวหิ่งห้อยมาล่อวาเลย วางอนพี่แล้วด้วย ฮึ"
" น่า นะๆ วาคนดี อย่างอนนะ พี่จะเล่านิทานหิ่งห้อยให้วาฟังด้วยดีป่าว อย่างอนน๊าคนดี๊ คนดีของพี่ " พี่เมี่ยงคำของวาหลอกล่อ เอ๊ย งอนง้อเต็มที่ อิอิ
" อ่ะ..ก็ได้ๆๆ ก่อนไปสวนฯ แวะกินไอติมด้วยแล้วกัน ที่เซเว่นเซ่นอ่ะ อยากผิดสัญญาดีนัก วารอพี่ที่เดิมนะคะ " วา แอบยิ้มในหน้าทำตาโตด้วยความดีใจ เพราะพี่เมี่ยงของเธอสัญญาเอาไว้นานแล้วว่า จะเล่านิทานหิ่งห้อยให้ฟัง แต่ไม่มีโอกาสสักครั้ง
เฮ้อ..ที่จริงเรื่องไปเดินซื้อเสื้อผ้าที่ประตูน้ำน่ะ วาก็เลือกไม่ค่อยเป็นกะเขาด้วยซิ นอกจากเดินตาม(กวนใจ)พี่เมี่ยงเฉยๆ เผลอๆพี่เมี่ยงของเธอซิ ต้องทั้งลาก ทั้งจูงวาเพื่อให้วาเดินตามทันเขา เพราะวา มักหยุดเถลไถลบ่อยตามสองข้างทาง ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย ตามประสา
เฮ้อ..(อีกที)..วาคิดแล้วก็ขำตัวเอง ทั้งๆที่ไม่ใช่เด็กๆ แต่พี่เมี่ยงก็ชอบบังคับให้กินข้าวเยอะๆ บังคับให้กินผัก ผลไม้เยอะๆ พี่เมี่ยงไม่รู้หรอกหรือว่า วาน่ะ ไม่ค่อยชอบกินผัก แต่ผลไม้น่ะพอไหว อิอิ
" เป็นไง วา อิ่มไหม ไอติมที่เซเว่นเมื่อกี้น่ะ ถ้วยโตๆแล้วอย่าบอกว่าไม่อิ่มนะ อะไรจะท้องยักษ์ท้องมารขนาดนั้น" พี่เมี่ยงเอ่ยถามวา หลังจากลงรถเมล์สาย 53 เพื่อเดินเข้าสวนแห่งนี้
" อิ่มเกินกว่าคำว่าอิ่ม พี่แหละ ชอบตักให้วาเยอะๆๆ จุกด้วย เห็นไหมเนี่ย เดินพุงกลมดุ๊กดิ๊กๆเป็นนกเพนกวินแระ เห็นป่าว อายเขานะ " วา มองค้อน พลางตอบออกไป(ดีนะที่พี่เมี่ยงไม่ส่งตะปูให้ อิอิ )
" ไม่หรอก พี่กลัววาไม่อิ่มต่างหาก วาไม่อิ่มแล้วชอบงอน เวลาวางอนเหมือนคนอื่นซะที่ไหน ชอบฟาดงวง ฟาดงาไปทั่ว "
" แน๊... เรื่องไรมาว่าเค้าเป็นแมว ฟาดงวงงาน่ะ เค้าไม่ใช่แมวน๊า " วาแย้งออกไป
" อ้าว เหรอ พี่คิดว่าใช่...5555" พี่เมี่ยงหัวเราะด้วยความสะใจ
" แหม.. พี่เมี่ยงน่ะ ชอบกัดวาอยุ่เรื่อย " สองคนยังคงถกเถียง พลางสอดส่ายสายตามองหาม้านั่งที่ว่างๆในสวน
" อ๊าววว... แล้วกัน วา หาว่าพี่เป็นแมวเหรอ "
" อ้าว เหรอ วาคิดว่า ใช่ .." ทั้งสองต่างไม่ยอม มีการเอาคืนอีกด้วยแฮะ..
" โน่นไงมีม้ายาวๆสีเขียวว่างอยู่ ไปนั่งตรงนั้นดีกว่านะวานะ จะได้เห็นวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย สวยนะ ขอบอก " พี่เมี่ยง เดินนำวา พลางก็คุยไปเรื่อยเปื่อย วาก็ไม่ลืมที่จะหอบหิ้วขนมติดไม้ติดมือไปด้วย ขนม นม เนย เพียบ อิอิ
" เฮ้ออออ... ปลอดโปร่ง โล่งใจดีจัง เนอะพี่เมี่ยงเนอะ เหมือนวาหายใจได้เต็มที่เต็มปอดเลยนะเนี่ยะ นี่หรือเปล่า ที่เขาเรียกว่า ปอดของคนเมือง เนอะ พี่เมี่ยงรู้สึกอย่างวาไหม เนี่ยะ "
" อืม.. เพราะเหตุนี้ไง พี่ถึงอยากพาวามาที่นี่ มากกว่าไปเดินแถวประตูน้ำน่ะ "
" วา อ้าปาก งับอากาศ กักตุนไว้ในปอดเยอะๆละ แถวบ้านหายากไม่ใช่เหรอ 555"
" แหมๆ พี่เมี่ยงล่ะก็ วาไม่ใช่ปลาหมอนะ จะได้อ้าปากหายใจน่ะ "
แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆสาดส่องไปทั่วผิวน้ำเจ้าพระยาทำให้เกิดระลอกคลื่นระยิบระยับตา โน่น..นกพิราบ 3 - 4 ตัวพากินบินลงมาหากินแถวร่มไม้ใกล้ๆ นั่นอีก..นกเอี้ยงมากันเป็นคู่ สักพักก็ทะเลาะถกเถียงกันด้วยเรื่องอะไรไม่ทราบ ถึงได้ยกพวกตีกันราวกับกลุ่มนักเรียนอาชีวะยกพวกตีกันยังไงยังไง อิอิ
" พี่เมี่ยงๆ นั่นสะพานอะไรน่ะ สวยจังเลย เนอะ " ชายหนุ่มมองตามปลายนิ้วมือที่วาชี้
" นั่นล่ะ เขาเรียกว่า สะพานพระราม 8 ล่ะ วาว่า สวยไหมล่ะ หือ " พี่เมี่ยงตอบพลางย้อนถามวา
" ค่ะ ..สวยคะ .. " วา ตอบรับ แต่คำตอบรับของเธอ ทำให้ชายหนุ่มต้องเอี้ยวคอเหลียวมองหน้าวา อีกรอบ
" แน่ะ.. เราน่ะ พูดเพราะๆ คะ ขา เป็นกะเขาด้วยหรือนี่ เก่งนี่ แน่จริงก็พูดให้ตลอดนะแม่คุณ "
" แหมๆๆ พี่เมี่ยงก็ วา ลืมตัวมั้ง 555" วายังไม่ยอมรับตัวเอง อิอิ
" วา เห็นอะไรอีกไหม นอกจากสะพานพระราม 8 " พี่เมี่ยงเริ่มซัก
" เห็นซิ ..วาเห็นหมดแหละ ต้นไม้ไง ใบหญ้า ยอดตีก แม่น้ำ และที่สำคัญ วาเห็นพี่เมี่ยงนั่งเคียงข้างวาอยู่นี่ไง " วา ไม่พูดเอย่างเดียว แต่ใช้นิ้วจิ้มเอวชายหนุ่มซะจนเขาสะดุ้งสุดตัว
" บ้าซิ เล่นไรกันเนี่ยะ ตกใจหมดเลย " ชายหนุ่มต่อว่าต่อขานเล็กๆน้อยๆ
" ก็วาขำนี่ พี่เมี่ยงทำไม ต้องบ้าจี้ด้วยละ วา แค่สะกิดนิดเดียวเองน๊า อิอิ "
" แหมๆ แบบนี้เขาไม่เรียกว่า สะกิด แล้วละ เขาเรียกว่า เอาไม้หน้าสามกระทุ้งเอวแล้วมั้ง ก็เราน่ะ สะกิดซะแรงมั้ง " พี่เมี่ยงยังคงบ่นไม่หยุด แต่วา นั่งหัวเราะชด้วยความสะใจ ก็คนขำนี่นา 5555
" เอ้า.. เลิกเล่นได้แล้ว ตอบมาตรงๆ เห็นอะไรอีก " ชายหนุ่มยังคงรุกในคำถามของเขา
" ก็เห็นต้นไม้อะไรโน่นแน่ะ ต้นใหญ่ๆ มีรากเกะกะไปหมด มีรั้วรอบด้วย " วา ชี้นิ้วทำปากบุ้ยใบ้ไปยังต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าริมแม่น้ำเจ้าพระยา
" นั่นล่ะ เขาเรียกว่า ต้นลำพูละ เหลือที่นี่ที่เดียว ต้นสุดท้ายในกรุงเทพฯละมั้ง " พี่เมี่ยงของวา เริ่มพูดคุยอย่างช้าๆมาดนิ่งๆแต่ลุ่มลึก หุหุ
" จริงเหรอ พี่เมี่ยง ทำไมคะ ต้นลำพูเอาไว้ทำอะไรล่ะคะ " ; วาเริ่มสงสัย ซักถามต่อ
" วา ไม่เคยได้ยินหรอกเหรอ ว่า ต้นลำพู มักคงอยู่คู่กับหิ่งห้อยนะ แล้ววันหน้าจะเล่านิทานหิ่งห้อยนะ วันนี้คุยเรื่องสวนของที่นี่ก่อนนะ" ชายหนุ่มก็ตอบโต้คำถามของวา โดยไม่มีท่าทีเบื่อหน่าย(เอ หรือว่า เบื่อ แต่เก็บไว้ในใจ ไม่อาจทราบได้ อิอิ )
" พี่จะบอกอะไรให้นะวา วา .. ที่วา เห็นเป็นแหลมๆ แทงขึ้นมาจากพื้นดิน โผล่พ้นน้ำน่ะ เป็นรากของต้นลำพู เขาต้องการอากาศหายใจ หากว่าน้ำท่วม ต้นลำพูก็อยุ่ไม่ได้ จะตายนหมด เพราะขาดอากาศหายใจ " พี่เมี่ยงอธิบายให้วารับรู้
" อ๋อ.. ค่ะ วาก็ยังนึกสงสัยว่าอะไรแหลมๆ ทำไมต้องงอกมาจากใต้น้ำด้วย อิอิ "
" ตามแถวชนบทบางพื้นที่ เขาจะสร้างร้านไว้ เพื่อป้องกันคนตกหล่นไปในบริเวณโคนของต้นลำพู ซึ่งอาจทำให้บาดเจ็บได้ คราวนี้เข้าใจชัดไหม "
" ส่วนเรื่อง นิทานหิ่งห้อย เอาไว้ก่อนนะจ๊ะ ไว้ภาค 2 อาทิตย์หน้าจ๊ะ ไม่ลืมๆ " พี่เมียงชายหนุ่มผู้แสนจะรอบรู้ พยายามต่อรองข้อตกลงระหว่างยัยวา อิอิ
" อีกแระๆ วันหน้าๆๆ อีกแล้วนะคะ เฮ้อ ทุกทีซิน่ะ " วาเริ่มบ่นๆ เมื่อรู้ว่า ตัวเองอดฟังนิทานหิ่งห้อยอีกแล้วเป็นแน่แท้ บ่นพลาง ทำปากเบี้ยว หน้าบูดเป็นตูดอึ่ง ประมาณว่า หน้างอ มั้งคะท่านผู้อ่าน อิอิ
" น่านะๆ.. พี่ไม่ลืมหรอกน่ะ นิทานหิ่งห้อยของวา แต่วันนี้พี่อยากให้วารู้เรื่องราวความเป็นมาของสวนที่นี่ ณ.ที่แห่งนี้ที่ทำให้พี่ได้เจอหญิงคนหนึ่งที่บ้าๆบอๆออกจะต๊องๆนิดๆ "
น้านนนน.. พี่เรา เหมือนจะหวาน แต่ไม่รู้ว่าชมหรือด่าใครบางคนหรือเปล่าว๊า แหวะๆๆ แบร่ๆๆ 55555
" อ้าว .. แล้วนั่น เป็นอะไรไป เราน่ะ นั่งเกาขยุกขยิกไปได้ " พี่เมี่ยงถามด้วยความแปลกใจ
" เปล่าคะ ..มดกัด..สงสัยมดตามมาหาคำหวานๆ มั้งคะ สงสัยแถวนี้มีคนโปรยคำหวานๆไว้ทั่วแระมั้ง อิอิ " วา พูดแล้วก็หลบมะเหงกของพี่เมี่ยงที่อาจจะลงมาบนหัวเธอเมื่อไหร่ไม่รู้ได้ หุหุ
" มานั่งตรงนี้เลยวา มาใกล้ๆพี่นี่ มาฟังพี่พูดให้จบ อย่าทำลูกเล่นเยอะ เดี๋ยวโดนๆๆ " เชอะ ทำเป็นขู่ ไม่กลัว.....(ซะ..เมื่อไหร่ อิอิ )
" ตอบมาก่อน เห็นอะไรอีก บอกมาเท่าที่เห็น เร็วๆ "
" ก็เห็นป้อมกลมๆ ขาวๆนั่นไงหละ แหมๆ "
" เห็นศาลานั่นน่ะ แปลกๆ แต่ก็สวยดีอ่ะ " วาพูดพลางลอบมองหน้าชายหนุ่ม กลัวว่าคำตอบของตัวเองอาจทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจก็เป็นได้
" โห .. พี่เมี่ยงน่ะ จะเล่าอะไร ก็เล่ามาเหอะนะ อย่ามาทำเป็นลูกเล่นเยอะ " แน่ะ ยัยวา ยังยืมคำพูดของคนอื่นมาพูดอีกแน่ะ อิอิ
" วา ฟังพี่ดีๆนะ สวนสันติชัยปราการแห่งนี้ สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ 6 รอบของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปีพุทธศักราช 2542 " ชายหนุ่ม เริ่มอธิบายในเชิงวิชาการ
" เหรอคะ ..วาไม่เคยรู้ แล้วไงต่อคะ ? " วา เริ่มมีท่าทีสนใจเรื่องราวที่ชายหนุ่มเล่า
" อยากรุ้ล่ะซิ ถ้าอยากรู้เรื่องราวต่อนะ หอมแก้มก่อน อิอิ " ชายหนุ่มแกล้งยัยวาเล่นๆ
" เชอะ..วายอมไปหอมแก้มเจ้าเหมียวที่บ้านยังจะดีกว่านะคะเนี่ยะ " วาก็ตอบกลัว
" โอเคๆ พี่ไม่แหย่ล่ะ มาฟังต่อนะ ศาลารูปร่างแปลกๆที่วาพูดถึงน่ะ เขาเรียกว่า พระที่นั่งสันติชียปราการ จะมีตราสัญญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียติมาประดับไว้ พร้อมจัดสร้างท่ารับเสด็จขึ้นลงเรือ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นที่จัดงานพระราชพิธีต่างๆ .. เข้าใจยัง " เหนื่อย เมื่อยปากนะเนี่ย อิอิ
" โห ..พี่เมี่ยงคำ เก่งจังคะ แสนรู้ เอ๊ย รู้ดีไปหมด วาไม่เคยรู้อะไรเลยนะคะเนี่ยะ " วาชมพี่เมี่ยงแต่ไม่วายกัดเล็กๆ พร้อมกันนั้น วาก็ทึ่งในตัวชายหนุ่มที่เขารู้เรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดี
" เพราะพี่รู้ไง ..รู้ว่า วาไม่เคยรู้เรื่องอะไรสักอย่าง นอกจากกวนใจคนเก่ง แซวคนอื่นเก่ง พี่เลยอยากให้วารู้ รู้ในเรื่องที่สมควรรู้ เข้าใจไหมเนี่ยะ " ชายหนุ่ม ได้ทีสอนไปด้วยในตัว
" แล้วป้อมสีขาวๆนั่น ที่วาบอกพี่ใช่ไหม ? " ชายหนุ่มถามพลางชี้นิ้วไปยังป้อมสีขาวๆริมฝั่งถนนทางไปบางลำพู
" ป้อมสีขาวๆนั่น เขาเรียกว่า ป้อมพระสุเมรุ เป็นป้อมปราการที่สร้างในรัชกาลที่ 1 มาแล้วเสร็จสมบูรณ์ในรัชกาลที่ 3 มั้ง ถ้าพี่จำไม่ผิด ป้อมนี้ เป็นหนึ่งใน14 ป้อมที่ถูกสร้างขึ้นตามกำแพงรอบพระนครชั้นนอก "
เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่วาต้องทึ่งในความรอบรู้ของพี่เมี่ยงคำ หลายสิ่งหลายอย่างที่วาไม่เคยรู้ บัดนี้วาได้รู้เรื่องราวหลากหลายจริงๆ
บนสนามหญ้าเขียวขจี มีทั้งคนไทย ทั้งคนต่างชาติมานั่งพักผ่อนเอนกายเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์ บ้างก็ปูเสื่อนั่งพูดคุย มีขนมติดไม้ติดมือมา (เหมือนวาเลย ) บ้างก็มีหนังสือติดตัวมาอ่านเล่นด้วย (นี่ก็เหมือนวา อีกนั่นแหละ อิอิ )
วานั่งกินขนมอย่างสบายใจ พลางสอดส่ายสายตาสอดรู้สอดเห็น เอ๊ย สอดส่ายสายตาอยากรู้อยากเห็นไปทั่ว อิอิ ส่วนชายหนุ่มนั่งสงบเงียบ เหมือนใช้ความคิดอะไรบางอย่าง เหมือนครุ่นคิดอะไรในใจสักอย่าง
" พี่เมี่ยง.. คิดอะไรน่ะ เป็นอะไรไป " วาแกล้งพูดเสียงดัง พลางยื่นหน้าไปใกล้ๆ
" เฮ้ย.. วา พี่ตกใจหมด อยู่ใกล้แค่นี้ทำไม ต้องตะโกนด้วย " ชายหนุ่มหันมาทำตาเขียวใส่ยัยวา
" พี่ กำลังนั่งคิดว่า จะหาทางหลอกให้วาไปหอพี่ได้ยังไงดี หือ วา ช่วยคิดหน่อยซิ ..จะหลอกล่อว่า พาวาไปกินข้าวที่หอ วาก็อิ่มมาแล้ว จะหลอกว่า พาไปกินขนมที่หอ วาก็กำลังกินอยู่ หือ..วา ว่าไง ช่วยพี่คิดหน่อยซิ 55555 "
ได้ผล คราวนี้ยัยวา มีปฎิกิริยาตอบโต้ ตาเขียวพอๆกัน
" ไม่ต้องเลย ไม่ต้องคิดเลย ถ้าวา อยากไป วาไปเอง ไม่ต้องๆๆคิด"
" ฮ่า..ฮ่า..สมน้ำหน้า ชอบแกล้งพี่ดีนีก " ชายหนุ่มหัวเราะด้วยความชอบใจที่สามารถแกล้งยัยวาได้สำเร็จ เอาคืนๆๆ
เสียงหัวเราะก้องของชายหนุ่มทำให้นกพิราบสามสี่ตัวเมื่อกี้บินหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง ฝ่ายนกเอี้ยงที่ยกพวกตีกันเมื่อกี้ก็หยุดทะเลาะกันชั่วคราว เหมือนจะมองว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อคิดว่าไม่มีภัยอะไรมาถึงตัวพวกเขา ก็ยกพวกตีกันต่อ 555555
" ณ.สวนแห่งนี้ มีเรื่องราวหลากหลาย มีตำนาน ไว้พี่จะเล่าเพิ่มเติมวันหน้านะ นี่ก็ใกล้ค่ำมืดแล้วนะวา พี่สัญญาน่ะ ไม่ลืมนิทานหิ่งห้อยของวาหรอก "
" ไว้อาทิตย์หน้าพี่จะพามาเที่ยวใหม่นะ ถ้าวาทำตัวดีๆ ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่งอแง " พูดจบ วาก็สังเกตเห็นว่า คนพูดแอบกลั้นหัวเราะซะมากมาย จนวานึกหมั่นไส้ แหมๆๆ ว่าไปโน่นเลยพี่เรา เฮ้อ....
" ไปๆ กลับบ้านเราเถอะ อ่อ ลืมไป คนอย่างพี่ไม่มีบ้านหรอก พี่อยู่หอนานแล้ว นานจนลืมว่า ความอบอุ่นของคำว่า บ้าน คำว่าครอบครัวเป็นยังไง "
สำเนียง น้ำเสียงเศร้าๆในตอนสุดท้ายของพี่เมี่ยง ทำให้วาสงสารจับใจ วาอยากรู้วาตอนนี้ในใจพี่เมี่ยงคิดอะไรอยู่ วาไม่กล้าที่จะถามไถ่ ได้แต่คอยห่วงใยอยู่ลึกๆในใจ(หวานไหมคะ อิอิ )
อยากบอกว่า ยิหวาคนนี้คอยเป็นกำลังใจให้พี่นะคะ แม้พี่อาจไม่เห็นวาในสายตา แต่วาก็อยากเห็นพี่มีความสุข อยากเห็นรอยยิ้มของพี่ แบ่งความทุกข์ให้วารับรู้บ้าง
" ไปกันเถอะวา เดี๋ยวมืดมากกว่านี้ ไป เดี๋ยวพี่ไปส่ง "
" ค่ะ ..."
" ค่ะ ก็ลุกขึ้นซิ หรือว่าจะให้จูงมือ หรือว่าจะให้อุ้มละ "
" ไม่ดีกว่าคะ ..วาจะขี่คอพี่เมี่ยงแหละ 5555" พูดจบ วาก็ออกเดินดุ่มๆนำหน้าชายหนุ่มไปยังป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม
แสงสุดท้าย ณ.ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยากำลังเคลื่อนตัวต่ำลงเรื่อยๆแต่ยังคงสะท้อนให้เห็นระลอกคลื่นบนผิวน้ำระยิบระยับจับตาชวงนมอง
ชายหนุ่มและหญิงสาวต่างทิ้งเรื่องเล่า ทิ้งเรื่องราวไว้เบื้องหลัง ด้วยหวังว่า วันต่อมาพวกเขาจะมาเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ ประสบการณ์ดีๆจากที่แห่งนี้อีก
สายลมแผ่วๆพัดมาปะทะใบหน้าของคนทั้งสอง ทั้งคู่เดินเกี่ยวก้อยด้วยกันอย่างสุขหัวใจ
22 สิงหาคม 2551 22:51 น.
ฉางน้อย
ขอบคุณนะ..ที่ยังยืน..อยู่เคียงข้าง
ขอบคุณนะ..ที่ไม่ร้าง..ลาไปไหน
ขอบคุณนะ..ขอบคุณมาก..จากหัวใจ
ขอบคุณใคร..คนหนึ่งนั้น..ที่ฉันรอ
ขอบคุณมาก..ที่เกี่ยวก้อย..ร้อยความฝัน
ขอบคุณมาก..ที่ลำบาก..มาด้วยกัน
ขอบคุณมาก..ที่เธอ..ไม่ทิ้งฉัน
ขอบคุณสวรรค์..ที่ให้ฉัน..ได้พบเธอ..
( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
19 สิงหาคม 2551 02:11 น.
ฉางน้อย
แม้เราจะจาก..เลิกลาไป
แต่ใจฉัน..ยังคงอยู่..คู่เธอเสมอ..
เธอ..อาจเจ็บ
ฉัน..อาจปวด
ฉันรู้..เมื่อเธอเดินจากฉันไปแล้ว..
อาจลาจากกัน..ไปตลอดชีวิต..
แต่อยากให้เธอ..รับรู้ว่า..
ฉันคนนี้..ยังซื่อตรง..คงมั่นในรักของฉัน
และฉัน..ก็อยากให้เธอ..เชื่อมั่น..ในรักของกันและกัน
เธอ...อาจยืน..คนละขอบน้ำ..กับฉัน
ฉัน...อาจอยู่..คนละแผ่นฟ้า..กับเธอ
เธอ..ฉัน..อาจอยู่..คนละผืนดิน..เดียวกัน
แต่เราสองคน..ยังคงอยู่..ใต้ฟ้าหลังคาเดียวกัน..ไม่ใช่เหรอ
ขอให้เธอรับรู้ว่า..สองกาย..นั้นอาจไกล...แต่สองใจ..ยังคงใกล้กันเสมอ..
และแล้ว...ก็มาถึงวันนั้น..
วันที่เธอบอกฉัน..เราอยู่ห่างๆกัน..ดีที่สุด..
ใบหน้า..เริ่มร้อนผ่าว...ดวงตาพราว..วับวาวใส
น้ำตา..หลั่งริดรดใจ...น้ำใสใส..ไหลอุ่นอุ่น
ปวดในหัวใจ..ตื้อไปหมด..มึนงง ..กับคำพูดของเธอ
คำเธอบอก...อยู่ห่างๆกัน..ดีที่สุด..
แต่มิอาจหยุด..ความผูกพันธ์..ของฉันได้..
แม้กายไกล..ใจยังคงใกล้กัน
หรือจะมีเพียงฉัน..ที่ฝันถึงเธอ..
ที่ผ่านมา...เธอ..ไม่เคยรับรู้
ที่ผ่านมา...เธอ..ไม่เคยชายตา..เหลียวมอง
เพราะ..ฉันเป็นเพียง..คนแปลกหน้า..
ที่บังเอิญ..เดินผ่าน..ก้าวเข้ามา..ในชีวิตเธอ..
ผ่านมาแล้ว..ก็ผ่านไป..ใช่ไหมเธอ...
( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
19 สิงหาคม 2551 01:37 น.
ฉางน้อย
แม้อยู่ไกล..เหมือนอยู่ใกล้..
คล้ายๆ..เพียงเอิ้อมมือคว้า..
แต่ทว่า..ทำไม..ทำไมคว้าไม่เคยถึง..
นับวัน..เหมือนคุณโดนฉุดดึง..ให้ไกลห่าง..
นับวัน..คุณยิ่งไกลห่าง..จากฉันไป..ทุกที..ทุกที..
วันนั้น..ฉันถามเธอว่า..
เราสองคน..จะหยุดความสัมพันธ์..เพียงแค่นี้
หรือว่า..จะจับมือกัน..ก้าวเดินต่อไป..ในวันข้างหน้า
เธอ...ก็อ้ำอึ้ง..คงคิดไม่ถึง..กับคำถาม..ของฉัน
เธอ...คงสับสน..ในการค้นหา..คำตอบ..ให้กับตัวเอง
แต่สำหรับฉันนั้น...รู้คำตอบ...ในแววตาเธอแล้วล่ะ
ไม่เป็นไรน่ะ..ไม่เป็นไร..
แม้ถึงวันที่..เราสองต้องห่าง..ร้างลากันจริงๆ
ฉัน..ก็ยังยิ้มได้..ใจฉันเข้มแข็งพอ..ที่จะก้าวเดิน..
ไปคนเดียวข้างหน้า..โดยที่..ไม่มีเธอเดินเคียงข้าง..อีกต่อไป..
( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )