14 เมษายน 2551 01:12 น.

.. ลุงสมบูรณ์..

ฉางน้อย

 "ยัยวา..แต่งตัวเสร็จยังล่ะ เดี๋ยวไปสายรถติดกันพอดี ไหนจะไปยื่นบัตรคิวอีก " 
เสียงพี่สาว(ตัวดี)ตะโกนเร่งยัยวา หรือ ยิหวา ให้รีบลงไปรอรถเมล์ ก็วันนี้วามีนัดกับคุณหมอนี่นา หมอแผนกตาที่ รพ.ศิริราช จำได้ๆ

 " เสร็จแล้วๆ เรียกอยู่นั่นแหละ(น่ารำคาญ) " 
ประโยคสุดท้ายนั่นยัยวาไม่ได้พูดออกไปดังๆหรอกน่ะ เธอแค่คิดพูดในใจต่างหาก ขืนพูด(นอกใจ)ให้พี่สาวได้ยินซิไม่ได้ไปตามที่หมอนัดกันพอดี อิอิ

    6โมงเช้าที่ป้ายรถเมล์เริ่มมีผู้คนคลาคล่ำ ทั้งรถราทั้งผู้คนสัญจรผ่านไปมาจอแจจ้อกแจ้ก เฮ้อ สังคมเมืองหลวง ความเจริญที่หาไม่มีจากบ้านนอกเป็นแบบนี้นี่เองหรอกหรือ

 ที่นี่น่ะหรือคือสวรรค์เมืองฟ้าชั้นวิมานที่ใครๆต่างเสาะแสวงหาดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อเดินทางสู่ดินแดนแห่งความศิวิไลซ์  แท้จริงแล้ว พวกเขาแสวงหาอะไรกันเล่า เฮ้อ ..ยัยวาคิดๆก็เริ่มเหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่ต้องดิ้นรนยังชีพของคนเมืองหลวง

 "สาย 146 ค่ะ 146 ผ่านเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ศิริราช ขึ้นมาเลยค่ะๆ 
เอ้า คุณน่ะ ให้เขาลงก่อนซิคะ ค่อยขึ้นมา
 สองเท้าก้าวขึ้นมา สองขาก้าวลงไป 
นั่นๆ แถวกลางน่ะ ขยับหน่อย ถอยนิด ชิดๆหน่อยซิคะ แบ่งปันน้ำใจให้เพื่อนร่วมทางด้วยค่ะ ..."
 เสียงกระเป๋ารถเมล์สาวตะโกนโหวกเหวกแข่งกับเสียงผู้คนรอบข้าง ไหนจะเสียงเครื่องยนต์นานาชนิดๆที่เดินทางสายเดียวกันบนถนนเส้นนั้น

    ยัยวา และ เพื่อนร่วมเดินทาง ร่วมชะตาชีวิตบนรถขสมก.สาย146นั้นต่างยืนเบียดเสียดกัน เช้าๆอย่างนี้ไม่มีโอกาสได้นั่งแน่นอนถ้าไม่ได้นั่งจากต้นสาย 

 วา ได้ที่ยืนใกล้ๆข้างหลังคนขับด้านขวามือ ข้างๆกับชายคนหนึ่งอายุราวๆสัก30กว่าขึ้น แต่ไม่น่าเกิน 40ปี หน้าตาก็เหมือนดูดี นั่งฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์ 

  แม่ลูกขึ้นมายืนด้านหน้ายิหวา ชายคนดังกล่าวก็ยังทำเฉย ไม่รุ้ไม่ชี้ 

" แม่ววว... เป็นผู้ชายซะเปล่า ช่างไม่มีน้ำใจเล๊ย คนดีๆทำไมหายากงี้(วะ)"  วาได้แต่คิดในใจอีกแล้ว 

 สักพัก กระเป๋ารถเมล์สาวผู้นั้นคงทนไมได้ เลยมาสะกิดๆ

" พี่ๆ มีน้ำใจลุกขึ้นให้เด็กนั่งหน่อยได้ไหมคะ "

ได้ผลคะ  ชายคนดังกล่าวหน้าม้าน คงอายที่กระเป๋ารถเมล์พูดซะเสียงดังฟังชัดให้ผู้โดยสารท่านอื่นได้ยินกันทั่ว เขาเลยรีบลูกขึ้น

     เฮ้อ ...ถึงจุดหมายปลายทางซะที รพ.ศิริราช 
หลังจากยื่นบัตรคิวแล้วก็มานั่งๆคิดว่า น้ำใจคนไทยหายไปไหนหมด มันเหือดแห้งหายไปตอนไหน 
ทำไมมีแต่ความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว การแบ่งปันน้ำใจระหว่างเพื่อนรอบข้างไม่มีอีกแล้วใช่ไหมนี่ ? ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยสารพัดตามที่ว่างๆ อิอิ

    สองชั่วโมงผ่านไป เฮ้อ..เอาน่ะ เดี๋ยวเขาคงเรียกชื่อเราแล้วละ ใจเย็นๆ ยัยวา บอกกับตัวเอง 


".. คุณลุงสมบูรณ์คะ ลุงสมบูรณ์ " เสียงพยาบาลสาวหน้าใสเรียกรายชื่อผู้ป่วยตามลำดับก่อนหลัง

" คุณลุงสมบูรณ์อยู่ไหมคะ ? " เธอเรียกชื่อนี้เป็นครั้งที่สอง แต่วา ก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าไม่ใช่ชื่อตัวเองสักหน่อย

    แต่แล้วยัยวาก็ต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง เมื่อชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องด้วยสภาพที่เหมือนอิดโรย
 ตาด้านซ้ายมีผ้าก๊อซแปะไว้ อายุราวๆสัก 55 - 60 ขึ้นไป สภาพการแต่งกายก็ง่ายๆ เป็นเสื้อม่อฮ่อมสีน้ำเงินที่คาดว่าคงผ่านการใช้งานมานานมาก 
มากจนสีซีดจางหายไปตามกาลเวลา กางเกงก็เป็นกางเกงชาวเล พับขาขึ้นมาข้างหนึ่ง คาดผ้าขาวม้าที่เอว ลักษณะเหมือนคนที่ผ่านการทำงานหนักมาเกือบค่อนชีวิต

    พยาบาลสาวเห็นคุณลุงสมบูรณ์เดินเข้ามา ก็รีบเข้าไปจูงแขนลุงให้นั่งบนเก้าอี้หน้าหมอหนุ่ม(หน้าตี๋ อีกแล้ว)

     ยิหวา นั่งดูคุณหมอหนุ่มหน้าตี๋ซักถามพูดคุยถึงอาการของคุณลุงอย่างไม่ถือตัว ปรากฎว่า คุณลุงมาตัดไหมออก
 ซึ้งก็หมายถึงว่า ผ่านการผ่าตัดมาเรียบร้อยแล้ว หมอหนุ่มท่านนั้นพยายามพูดคุยอย่างเป็นกันเอง แต่คุณลุงเหมือนประหม่า ไม่กล้าพูดคุยกับหมอ ได้แต่ " ครับๆๆ " อย่างเดียว

 "  เอาล่ะครับคุณลุง เสร็จเรียบร้อยแล้ว ดูแลตัวเองดีๆนะลุง "

" เดี๋ยวลุงสมบูรณ์ เอาใบนี้ไปรอรับยาหน้าห้โต๊ 5 นะลุงนะ "

" ครับ ผมไปละครับ ขอบคุณครับ " ลุงคนนั้นที่นามว่า ลุงสมบูรณ์รับใบสีขาวจากหมอหนุ่มพลางยกมือไหว้ขอบคุณ หมอหนุ่มรีบยกมือไหว้รับแทบไม่ทัน 

" ลุงสมบูรณ์ ทางนี้คะ มา เดี๋ยวหนูพาไป " พยาบาลสาวมีน้ำใจจูงลุงสมบูรณ์ออกมานอกห้อง

    ยิหวานั่งดูการกระทำของหมอหนุ่ม(หน้าตี๋)กับพยาบาลผู้ใจดีแล้วก็ชื่นชมในใจ ว่า คุณหมอใจดี พูดดีๆ กับพยาบาลมีน้ำใจยังมีหลงเหลืออีกเหรอ ในสังคมทุกวันนี้

"  อ้าว...คุณลุงสมบูรณ์ มีอะไรหรือเปล่าคะ " พยาบาลสาวคนเดิมทำสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นลุงสมบูรณ์อีกครั้ง

" ผม เอาใบนี้มาคืนคุณหมอครับ " คุณลุงพูดด้วยน้ำเสียงซื่อๆออกจะเหน่อๆ พร้อมกับยื่นกระดาษใบเดิมส่งคืนให้คุณหมอหนุ่ม

" คุณหมอครับ ผมเอามาคืน ผมมีเงินไม่พอที่จะจ่ายค่ายา 
เขาไม่ให้ยากับผมมาครับ ผมไม่เอายาก็ได้ครับ " 
คาดคิดว่า ทั้งหมอทั้งพยาบาล รวมทั้งยิหวาทุกคนที่ได้ยินต่างก็อึ้งกับคำพูดแสนซื่อของคุณลุงท่านนี้

 ไม่รู้ซินะ สำหรับยิหวาเอง ฟังแล้วสะเทือนใจกับคำพูดซื่อๆของลุงคนนี้จัง

พาลทำให้คิดไปว่า หากพ่อเราหรือญาติพี่น้องเราไปตกอยุ่ในสภาพแบบนี้จะเป็นเช่นไร  เฮ้อ

" เอางี้นะลุง ลุงนั่งก่อน เดี๋ยวผมจัดการให้ ผมเขียนใบใหม่ไปให้ลุงนะ บอกว่า ผมให้มารับยาฟรี " หมอหนุ่มยังน้ำใจกับคุณลุงท่านนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว 

" ลุงเอาไปยื่นที่เดิมนะ ไม่ต้องห่วง ผมจัดการให้ครับ "

หมอหนุ่มคนเดิมก้มลงเขียนอะไรบางอย่างในแบบฟอร์มสีขาวแผ่นใหม่

 
   วา อึ้งแทบน้ำตาซึมกับประโยคที่ว่า " ผมมีเงินไม่พอจ่ายค่ายา เขาไม่ให้ยาผมมาครับ ผมไม่เอาก็ได้ครับ " 
ประโยคนี้วาคิดว่า หากผู้อ่านทุกท่านได้ยินด้วยหูตนเองในขณะนั้นคงอดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึม คำพูดช่างแสนซื่อ 

 แม้ยิหวาไม่ใช่คนร่ำรวย แต่ยังมีทางเลือก อาจมีโอกาสที่ดีกว่าคุณลุงท่านนี้ ก็นะ คนเราเลือกเกิดไม่ได้นี่นา อะไรไม่ทราบ ดลใจให้วาเริ่มพูดคุยกับคุณลุง

"  คุณลุงมากับใครคะ แล้วลุงทานข้าวยังคะ ? "

" ผมมากับหลานชายครับ เขารอข้างนอก ยังไม่กล้าซื้ออะไรกินครับ กลัวเงินไม่พอจ่ายค่ายา  แล้วก็........"

".. แล้วก็... มีเงินไม่พอจ่ายค่ายาจริงๆด้วย " ประโยคนี้ วาได้แต่คิดในใจ แค่
คิดก็แทบน้ำตาซึม วาคิดว่า คนฟังในห้องนั้นคงเข้าใจนัยยะแห่งความหมายของลุงที่แกเว้นวรรคให้พวกเราเข้าใจกันเอง 

"  ลุงคะ หนูไม่ได้รวยหรอกนะคะ ลุงอย่าหาว่าหนูดูถูกนะคะ หนูให้ลุงไป 80 บาทให้ลุงไปกินข้าว ลงพาหลานไปกินข้าวซะนะคะ " วาพูดพลางก็หันไปเห็นหน้าห้องหมอ มีเด็กชายอายุราวๆ13-15ปีมองชะเง้อเข้ามาในห้องตรวจ คาดว่า คงเป็นหลานชายลุงสมบูรณ์

" ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก ขอให้เจริญๆยิ่งๆขึ้นไปนะหนูนะ " ลุงรับเงินพลางยกมือไหว้ด้วยมืออันสั่นเทา 

มือคู่นั้นคงผ่านการตรากตรำงานหนัก  ลุงนำเงิน 80บาทของวา ใส่กระเป๋าหน้าอก พลางตบเบาๆราวกับให้แน่ใจว่า เงินยังอยู่ในนั้นแน่นะ ไม่หล่นหายไปไหน หากเงินหายไปนั่งคงหมายถึงข้าวมื้อนี้คงต้องอดทั้งลุงทั้งหลาน

" เอ้า นี่ ลุง ฉันมี 50 บาทฉันให้ลุงด้วยนะ " ยิหวาคิดว่าลุงคงปลื้มใจที่ในเมืองหลวงนี้ ยังมีคนมีน้ำใจอยู่บ้าง 
แม้ลุงไม่ได้พูดด้วยวาจา แต่สายตาและน้ำในตาที่รินรื้น ได้แสดงถึงความขอบคุณของลุงแล้วล่ะ วา คิดเช่นนั้นจริงๆ 

" ลุงๆ เอาไปนะ ของหนูมีย่อยแค่ 40 ที่เหลือเดี๋ยวซื้อนมให้ลูก หนูก็มีแค่นี้แหละ "  สาวรุ่นคนหนึ่ง ยื่นเงินแบ็งค์20ให้ลุงไป2ใบ 

  วารู้ ว่า ลุงคงดีใจจนพูดไม่ออก ได้แต่พูด ขอบคุณครับๆๆ  

 เงินแค่ 170 บาท อาจไม่มากมายนัก แต่อย่างน้อย อาจทำให้คุณลุงกับหลานชายอิ่มได้ในมื้อนี้
  เราอาจช่วยเหลือไม่ได้ทั้งหมด แต่หากเราทำแล้วสบายใจเราก็ทำไป 
วารู้ ลุงคงต้องพึ่งพาตัวเองด้วย ไม่ได้รอให้คนมาช่วยเหลือ และเหตุการณ์นี้ ลุงก็ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากใครๆด้วย แต่เพราะความเป็นเพื่อนคนไทยด้วยกันต่างหาก

 ใช่..ยังไง คนไทยก็ยังไม่แล้งน้ำใจกันไปซะหมดหรอกน่ะ .. วาคิดในใจ พลางทบทวนเหตุการณ์ของความมีน้ำใจบนรถเมล์สาย  146 เมือเช้านี้

 ......... เหตุการณ์และเรื่องราวของคุณลุงสมบูรณ์อาจไม่เด่นชัด หากไม่มีหมอหนุ่ม(หน้าตี๋)คนนั้นจัดการค่ายาให้ คุณลุงจะได้ยาไปรักษาตา หยอดตาหรือไม่ ไม่อยากคิด 

    สังคมไทยอาจเปลี่ยนไป แต่น้ำใจคนไม่เคยเปลี่ยนยังไม่แล้งน้ำใจไปซะทีเดียว อย่างน้อยก็หมอหนุ่ม กับพยาบาลสาว ป้าใจดีคนนั้นที่ให้เงินลุงไป 50 บาท สาวแม่ลูกอ่อน ที่ให้อีก 40บาท

       เฮ้อ...ประเทศไทยน่าอยู่ขึ้นเยอะ ถ้าเราต่างมองโลกในแง่ดี ต่างหยิบยื่นน้ำใจ สิ่งดีๆให้แก่กัน 
อยากฝากบอกคุณหมอหนุ่มหน้าตี๋ (ใจดี สุดหล่อ) ว่า คุณน่ารักจัง คุณได้ทำบุญครั้งยิ่งใหญ่เลยรุ้ไหมคะ ฝากขอบคุณพยาบาลสาวผู้ใจดี น่ารักด้วย ยิหวา ชื่นชมการกระทำของพวกคุณค่ะ

  สมัยก่อน ยิหวาเคยคิดนะคะว่า  ทำไมหมอแต่ละคนมักมีหน้าตาตี๋ๆ ทำไม ต้องใส่แว่นด้วย และที่สำคัญ ทำไมต้องขี้เก๊กด้วย (ฟ่ะ) 55555 

แต่สำหรับตอนนี้ไม่แล้วค่ะ  การกระทำของคุณหมอหน้าตี๋ในวันนั้นเริ่มทำให้ยิหวามีทัศนคติที่ดีๆต่อหมอหน้าตี๋ขี้เก๊กใส่แว่นแล้วคะ 555555

 ...... เย้ๆๆๆ..คุณหมอหนุ่มหน้าตี๋ ใจดี สุดหล่อ ( สองประโยคหลัง แถมให้คะ 55555 )

 ..........................................

 ( เหตุการณ์ครั้งหนึ่ง เมื่อยิหวา ไปรพ. ศิริราช ยังเป็นความประทับใจที่ดีๆค่ะ )

 
    ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) 				
1 เมษายน 2551 21:51 น.

...หนังสือ คือ สหาย...

ฉางน้อย

00446_0.jpg " ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด.."  เสียงกริ่งสัญญาณข้อความมือถือดังขณะที่ฉันนั่งรถเมล์ไปหัวลำโพง เพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน 

เฮ้อ..อย่าเพิ่งรีบซิ พี่สหายสืบ รถติดน๊า ..ฉันส่งข้อความตอบกลับไป

     ก็เช้าวันเสาร์ ที่ 29 มี.ค. ฉันมีนัดสำคัญกะพี่สหายนี่นา คนอะไรก็ไม่รู้ชื่อ สหาย อิอิ นัดสำคัญว่า จะไปเดินดูหนังสือด้วยกันที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์

"..อ้าวว..ห๋า ว่าไงนะคะ ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินน่ะเหรอคะ .." เวงกรรมล่ะฉัน  เกิดมาทั้งที เคยนั่งแค่หนเดียวเอง ช่วงที่เขาทดลองให้บริการนั่นแหละ 5555 จะไปจองตั๋ว นั่งเป็นไหมเนี่ยะ เฮ้อ..เซ็งๆ 

".. แหมๆ   พี่ไปรับก็ได้ ที่หัวลำโพงไง นะ พี่ไปรอที่นั่นแล้วกัน "

"..ได้ๆคะ ." ฉันก็รับปาก เกรงใจก็เกรงใจ แต่ทำไงได้ คนบ้านน๊อก บ้านนอก ไม่เคยนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินนี่นา อิอิ

".. เอ..แล้วเขาหยอดเหรียญยังไงหว่า "

".. เอ..แล้วเครื่องมันจะหนีบตูดเราไหมหว่า อิอิ " คิดไปเรื่อยตามที่สมองโล่งๆ อิ อิ

   ลงรถเมล์ปุ๊บ ฉันก็วิ่งจู๊ดไปจุดหมายชั้นใต้ดินที่พี่สหายบอกว่าจะ ยืน(เต๊ะท่า)รออยู่แถวๆนั้น อิอิ

 เจอแล้วผู้ชายคนนั้น เหมือนเคยเห็นจากโลกทวิภพที่ไหน อิอิ ข้างตัวเขามีถุงโตๆ2ถุงแน่ะ  ถือวิสา คันทัพ เอ๊ย ถือวิสาสะ เปิดดู โห..ขนมเพียบ อิอิ

โน่นขนม นั่นน้ำดื่ม นี่ก็อีก นมไมโล โน่นเลย์ถุงโตๆ 2 ถุงแน่ะ นี่ๆ ขนมเวอเฟอร์เคลือบคาราเมล ขนมปังอย่างดีอีก 2ห่อ โห แล้วนี่อีก ยูโร คัสตาร์ด เค้ก อีก 1กล่องโต ฯลฯ 

ทำยังกะพี่สหายจะวางแผนให้เราสองคนไปติดเกาะที่ไหนสัก3วัน2คืนงั้นแหละ หุหุ

".. มาๆช่วยถือๆ ทำไมซื้อไรมาเยอะแยะมากมายงี้ล่ะ ไหนว่าไม่เยอะไง " ฉัน(แกล้ง)บ่นไปงั้น สงสารพี่สหายต่างหาก หิ้วมาซะหนักเชียว

"..อืม.ยืนรอนี่นะ เดี๋ยวไปซื้อตั๋วก่อน แป๊บเดียว อย่าหายไปล่ะ."

 "..แล้วไม่ต้องพูดมาก ซื้อมาแล้วช่วยกินให้หมด กองทัพต้องเดินด้วยท้อง " พี่สหายบ่นก่อนเดินตัวปลิว อ่อ ไม่ปลิวซิ ต้องบอกว่า เดินตัวหนักไปซื้อตั๋ว อิอิ

       ระหว่างที่นั่งบนรถไฟฟ้าใต้ดินด้วยกันนั้น พี่สหายเอาแต่พูดๆๆ คุยๆ แล้วก็คุยๆซื้อตั๋วต้องไปที่ช่องนี้นะ.. รถมาต้องยืนรอตรงนี้นะ.. สารพัดที่พี่สหายจะพุดบอก สอนแนะนำ..ฉันก็ได้แต่มองหน้า แล้วก็..ค่ะๆๆๆๆ..

"..เป็นไรเราน่ะ ไม่พูดจา ได้แต่ค่ะๆๆ ทำเป็นตัวหนังตะลุงไปได้ ต้องชักปากถึงจะอ้าปากพูดได้ "

"..ป่าว คะ ก็แย่งพี่พูดไม่ทันแหละ อิอิ "

".. เดินตามพี่มาดีๆล่ะ ระวังหลง ลืมเอาป้ายชื่อมาแขวนคอให้เราด้วย เฮ้อ."  อ้าว ..พี่เค้าประชดหรือแดกดันหว่า งง อิอิ

".. โห ทำไมผู้คนเยอะแยะไปหมดล่ะพี่สหาย มาจากไหนกันนักหนา เนอะ ."

".. เขาก็คงเหมือนเราน่ะแหละ หนังสือคือชีวิตไม่ใช่เหรอ เราน่ะ ไม่งั้นก็คงไม่มางานนี้หรอกน่ะ " 

" ต่ะเองก็ชอบนี่ มาว่าแต่เค้า " ป่าว ฉันไม่ได้พูดออกไปหรอก ได้แต่คิดในใจ อิอิ กลัวโดนปล่อยให้หลงทาง 

คำว่า  " เรา" พี่สหายมักชอบเรียกฉันแบบนี้บ่อย หรือไม่ก็ " เธอ " แล้วแต่พี่สหายจะคิดคำไหนได้กะละมัง เอ๊ย ได้กระมัง อิอิ

  "..มาๆ มานั่งนี่ก่อน กินไรกันก่อน ค่อยเดินให้รอบเลยวันนี้ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่เป็นไก่ เอ๊ย เป็นไกด์ให้เอง " 

พี่สหายพูดพลางเดินนำฉันไปหาที่ว่างๆเพื่อกินขนมรวมทั้งของกินเล่นต่างๆ 

เราสองคนใช้พรมนั่นแหละแทนพื้นสนามหญ้าอย่างดี เพดานแทนท้องฟ้ากว้างไกล ให้สายลมจากเครื่องปร้บอากาศแทนสายลมแผ่วที่พัดผ่านผิวตามธรรมชาติ 

ให้ฝาพนังสี่ด้านแทนแมกไม้เขียวขจี นั่นฟังดีๆซิ เสียงผู้คนเอะอะจอแจ แทนเสียงหรีดหริ่งเรไรยามค่ำคืน  

 เฮ้อ.โรแมนกะติก ยัยหมวยเอ๋ย อิอิ 555555

".. เอ๊า ให้มากินขนม ไม่ได้ให้มานั่งยิ้ม คิดไรอีกเราน่ะ" 

"..เปล่าคะ แค่คิดไรเล่นๆ ขำๆ " ฉันยิ้มพลางพูดพลาง ยังขำนี่นา

"..อืม..รู้แล้วว่า เราน่ะ จินตนาการกว้างไกลซะเหลือเกิน จนพี่ตามไม่ทัน"

 ".. อ่ะนี่ ขนมกินซะจะได้อ้วนกะเขามั่ง นี่นม นี่น้ำอยู่นี่นะ หิวก็หยิบกินได้เลย นี่หนมปังนี่ก็อร่อยนะ พี่ชอบซื้อกินที่บ้าน "

"..โห นี่คนนะ ไม่ใช่แมว จะได้กินๆ เดี๋ยวจุกตายกันพอดี "

        สรุปนมคนละขวด ไม่หมดแฮะ อิ่มจัด ไหนจะขนมอีก ไหนจะน้ำอีก อิ่มตื้อตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทัพ อิอิ   

"..พี่สหายๆ เดี๋ยวแวะ สนพ. เอิร์น เอ็ดดูเคชั่นด้วยนะคะ  "

หมวยจะไปหาซื้อหนังสือ " บ้านสีลูกกวาด " ของพี่พล ด้วย อย่าลืมล่ะ "

"..อืม..ไม่ลืมหรอกน่ะ ถ้าจำได้ " อ่ะ ยังไง ถ้าจำได้ก็ไม่ลืม งง แฮะ

".. นี่ๆ แวะสนพ. นี่ก่อนก็ได้นะ อยากอ่านหนังสืออะไร เลือกเอา เดี๋ยวพี่จ่ายให้ "

"..ไม่หรอกคะ เดี๋ยวหมวยจ่ายเอง เตรียมเงินมาแล้วนี่นา "

  ".. น่ะ คิดไรมาก พี่กันน้องกัน เดี๋ยวพี่จ่ายให้ ไปเลือกๆๆ"

" พี่สหาย หมวยเตรียมเงินมานะ หมวย..." พูดไม่ทันจบ พี่สหายก็แทรก...

".. ไม่ได้ เงินของเราน่ะ บูดแล้ว ไม่มี อย.รับประกันคุณภาพ เขาไม่รับนะ เขารับแต่เงินของพี่ "  โห พี่เรา คิดได้ไงเนี่ยะ มุขนี้ อิอิ

  ".. คิดเงินเลยครับ  แยกถุง " สรุปแล้วว พี่สหายจ่ายเงินให้จริงๆด้วย เฮ้อ...

".. อ่อ .. พี่ลืมบอกเราไปว่า พี่นำหนังสือเรื่องสั้นเก่าๆมาให้อ่านด้วยนะ สัก5-6เล่มมั้ง เดี๋ยวค่อยเอานะ พี่ถือให้ก่อนเดี๋ยวหนัก "

"..เหรอคะ งั้นไม่ต้องซื้อเยอะหรอกคะ เปลืองเงินด้วย แค่ได้เดินดูหนังสือ แค่นี้ก็สุขใจแล้วล่ะค่ะ วันนี้อิ่มใจ สุขใจที่ได้เดิน ได้ทำในสิ่งที่เราชอบ"

"..อืม..พูดเป็นด้วยเหรอเราน่ะ เก่งนี่ "

  ".. ก็พูดจากใจนี่ ไม่ได้เสแสร้งสักหน่อย แหมๆๆ "

".. โน่นๆๆ พี่สหายๆ สนพ. ณ.บ้านวรรณกรรม ถามหาหนังสือรายากุนิง ของ คุณทมยันตี ว่าวางจำหน่ายหรือยังนะ ไปๆๆๆ "

".. อ่อ ยังไม่ได้วางตลาดคะ ต้องรอราวสัก2-3เดือน เพราะต้องรอเขียนบทละครทางโทรทัศน์ให้เรียบร้อยก่อน ค่อยตีพิมพ์และวางแผง "

".. อ่อ..ค่ะ /ครับ ขอบคุณค่ะ/ครับ" ฉันและพี่สหายพูดแทบจะพร้อมกัน

  "..เรารู้ไหมว่าเธอคือใคร นั่นล่ะ คุณทมยันตี ล่ะ "

".. อ้าว เหรอ แล้วก็ไม่บอก ไปๆ กลับไปถ่ายรูปก่อน "

     เฮ้อ ได้เจอตัว แต่ไม่รุ้จักซะนี่ ได้อ่านผลงานบ่อย แต่ไม่เคยเห็นตัวตนที่แท้จริงของท่าน ดูหน้าตาเหมือนดุ แต่ใจดี ท่านให้เกียรต์มาแจกลายเซ็นด้วยละ เป็นกันเองดีจัง

  ฉันยังคงเดินอมยิ้มจากบู๊ธสนพ.ณ.บ้านวรรณกรรม พี่สหายเลยแซว หาว่าเป็นปลื้มที่ได้คุยกับนักเขียนชื่อดัง ทมยันดี 

"..โน่นๆ ..หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น อ่านไหม พี่ซื้อให้ "

".. ไม่หรอกคะ โตแระ ไม่อ่านการ์ตูนแระ ไม่ใช่เด็กๆ" ปากว่าโตแล้วไม่อ่านการ์ตูน แต่ตาก็เหลือกๆ เอ๊ย เหลือบๆมองนิดๆ ก็ชอบนี่ แต่ไม่ดีกว่า ค่อยซื้อ

"..เอาน่ะ พี่ซื้อให้ สนุกน๊า เรื่องนี้ ขำด้วย แค่5เล่มเอง  ไม่เยอะน่ะ " 

 " นี่ ดูซิ ชื่อ คิโกะจัง ผมม้าตาขวาง หน้าตาตลกเหมือนหมวยเลย " อ้าว พี่เรา ตกลงว่า ชมหรือหลอกด่าอ่ะ อิอิ หาว่าเราหน้าตาตลกเหมือนการ์ตูนนี่นา 

".. อ่ะๆ ก็ได้ๆ ซื้อก็ได้ แต่หมวยจ่ายเงินเองน๊า ห้ามพี่แย่งจ่ายด้วย "

     แต่ผลสุดท้าย พี่สหายก็แย่งจ่ายเงินอีกจนได้ เฮ้อ.....สงสารแต่พี่สหายแหละ ของตัวเองไม่ค่อยได้ซื้อหนังสืออะไรเลย มีแต่ของหมวย ทั้งหนังสือ ทั้งขนม  พี่สหายบอกว่า ..

  ".. ได้ซิ ได้ความสบายใจไง เห็นคนที่เขาชอบอ่านหนังสือ ยิ้มกะหนังสือ พี่ก็มีความสุขแล้วละ

 ได้เห็นผู้คนมากมายรุมล้อมหน้งสือ เปิดหน้าหนังสืออ่านแล้วก็อิ่มเอมกับตัวหนังสือ พีก็อิ่มใจแล้ว.."

    แหมๆ   พูดซะซึ้ง พี่สหายสืบเรา อิอิ

  เราสองคนเดินเข้าร้านนั้นออกร้านโน้น เฮ้อ..สบายใจจัง แม้ไม่ได้ซื้อทุกร้าน เพียงแค่เห็นกองหนังสือมากมายที่รอวันจำหน่ายออกไป พวกะราก็อิ่มเอมใจอย่างที่พี่สหายว่าจริงๆนั่นแหละ

".. มา มานั่งพักก่อนอีกสักรอบ เดี๋ยวค่อยเดินต่อ ไหนเสบียงของเราละ เอามากินซิ"

"..รู้ป่าวว่า คุณคึกฤทธิ์ เขียนหนังสืออะไรบ้างที่ดังๆน่ะ "

 ".. แหมๆ รู้ซิคะ ก็ อย่างไผ่แดงนี่ไง ไหนจะกาเหว่าที่บางเพลงอีก ไหนจะ หลายชีวิตอีก " ฉันพูดทำ(อวด)รุ้ดีไปงั้น อิอิ

"..เอ่อ.เก่งนี่ คิดว่ารู้แต่เรื่องการ์ตูนซะอีก .

".. เป็นไงบ้างมาเดินวันนี้ ชอบไหม  สนุกไหม เหนื่อยไหมเนี่ยะเราน่ะ ?"

".. ไม่หรอกคะ ขอบอกว่า สุขใจมากกว่า สุขใจที่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบ ทำในสิ่งที่เราใฝ่ฝันมานาน แต่ไม่มีโอกาสสักครั้ง สบายใจที่สุด
 "..  พี่ดีใจ ที่เห็นเรามีความสุข 

ดีใจที่เราบอกว่า สุขใจที่ได้ที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ

 พี่ก็มีความสุขที่เห็นน้องมีความสุข พี่อยากให้เราน่ะ อ่านหนังสือเยอะๆ ถ้ามีโอกาส วันหน้าพี่พามาอีกนะ "

"..แล้วไปไง หิ้วไหวไหมเนี่ยะ พี่ไปส่งไหม ?"

"..ไม่ต้องหรอกคะ ขอบคุณมาก พี่จัดการเรื่องราวทุกอย่างให้แล้วยังจะต้องไปส่งอีกหรือคะ ไปได้คะ ไหวๆค่ะ "

".. แล้วเราน่ะ รู้  รู้ไหม ว่าคุณค่าของหนังสืออยู่ที่ไหน 

สำหรับพี่นะ พี่คิดว่า คุณค่าของหนังสือไม่ได้อยุ่ที่ราคาแพงแสนแพง คุณค่าของหนังสือไม่ได้อยุ่ที่เป้นหนังสือใหม่ๆ

 แต่พี่คิดว่า คุณค่าของหนังสือ อยู่ที่ใจ อยู่ที่ความชอบของคนอ่านมากกว่า หนังสือบางเล่มนะอาจจะแพงมากมาย แต่หากว่าคนอ่าน อ่านแล้วไม่มีความพอใจ ไม่ชอบก็ไร้ค่า

 ในขณะเดียวกัน หนังสือบางเล่มอาจจะเก่าในสายตาคนอื่น อาจไม่มีค่าไม่มีราคา ไม่มีคุณค่าของความเป็นหนังสือ แต่หากคนอื่นเขาอ่านแล้วพอใจประทับใจในหนังสือเล่มนั้น พี่ว่า นั่นแหละ คือคุณค่าที่แท้จริงของหนังสือล่ะ .."  

 "..เราน่ะ ฟังที่พี่พูดอยุ่ไหมเนี่ยะ หือ .." พี่สหายถาม หลังจากเห็นฉันเงียบไป ไม่ยอมละสายตาจากการ์ตูน คิโกะจัง ผมม้าตาขวาง อิอิ

 ...........ฉันกับพี่สหายตกลงกันว่า จะเดินอีกรอบเป็นรอบสุดท้าย แวะร้านหนังสือดอกหญ้า เป็นร้านสุดท้าย เพราะพี่สหายต้องการหนังสือเรื่อง ไผ่แดง ของคุณคึกฤทธิ์ ปรากฎว่าหมดพอดี เลยได้หนังสือเรื่องหลายชีวิตมาแทน 

พีสหายซื้อให้ฉันด้วยอีกเช่นเคย ฉันไม่ยอมให้ซื้อ ไม่รับ พี่เค้าก็ไม่ยอม บอกว่า ไม่ซื้อให้น้องนุ่งแล้วจะซื้อให้แมวที่ไหนอ่านล่ะ

 "..เดี๋ยวแวะสนพ.นี้อีกสักหน่อยนะ เผื่อมีไรน่าสนใจ"

".. ไม่ต้องเลยพี่สหาย กลับๆๆ พอแล้วๆๆ ไม่เอาๆ" ฉันต้องรีบปฎิเสธพร้อมกับดึงชายเสื้อ ไม่ยอมเข้าไป กลัวพี่สหายต้องจ่ายเงินมากกว่านี้ 

".. พี่จ่ายค่าหนังสือให้ก็เยอะแยะแล้ว  ไหนจะค่าตั๋วรถไฟฟ้าอีก ไหนจะค่าขนมอีก ไหนจะกินข้าวผัดมันปูอีก เฮ้อ มีแต่พี่ออกเงินทั้งนั้น ค่าหนังสือราวๆ 20 เล่ม เยอะไปหมด "

   ".. บ่นๆ ยังไม่แก่ ทำบ่นเดี๋ยวแก่ล้ำหน้าพี่ไม่รุ้ด้วย  ไป เดี๋ยวไปส่งที่หัวลำโพง แล้วกลับบ้านเองได้นะ "

".ได้คะ ขอบคุณมากๆสำหรับวันนี้ สักวันหมวยคงมีโอกาสได้ตอบแทนพี่สหายบ้างนะคะ ขอบคุณๆค่ะ "

  น่ะๆๆๆ... ยังไงก็ยังจำได้คะว่า พี่พูดอะไรไว้บ้างตอนที่นั่งพักทานขนม ทานนม และนั่งทานข้าวด้วยกัน จำได้ๆแหละน่ะ 

  พี่สหายบอกว่า "..คุณค่าของหนังสือไม่ได้อยู่ที่ราคาแพงแสนแพง  ไมได้อยู่ที่ความเป็นหนังสือใหม่ 

แต่คุณค่าของหนังสืออยุ่ที่ตัวเราอ่านแล้วพอใจ อ่านแล้วชอบ ประทับใจในหนังสือเล่มนั้น นั่นแหละ คือความมีคุณค่าของหนังสือเล่มนั้น "

     พี่สหายคะ  อยากฝากบอกอีกสักนิดนะคะว่า ".. คุณค่าของหนังสือนั้น อยุ่ที่ผู้ให้ด้วยคะ

  หากผู้ให้เต็มใจมอบให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ หนังสือ   หนังสือเล่มนั้น หรือหลายๆเล่มก็มีคุณค่าต่อผู้รับด้วยเช่นกันค่ะ "    

     ขอขอบคุณ พี่สหายที่ทำให้ฉันได้มองโลกทัศน์ที่กว้างขึ้นค่ะ 

แหะ..แหะ..  อ่านแระ ซึ้งม่ะๆ อิอิ  ....จบดีกว่า ..เย้ๆๆๆๆ .... =^_^=				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฉางน้อย