27 ธันวาคม 2551 21:46 น.
ฉางน้อย
บ้านของฉันมีสัตว์เลี้ยงมากมาย
ไม่ว่าสุนัข หรือ คนทั่วไปเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า หมา นั่นแหละคะ
มีแมวสองตัว ชื่อกุ๊กกิ๊ก กะ ตัวเล็ก เป็นเด็กผุ้หญิงทั้งคู่
เจ้าตัวเล็กซนเหมือนลิง เลยไม่รู้ว่าเป็นลูกครึ่งหรือเปล่า ชอบอ้อน
ชอบประจบ (ไว้วันหน้ามีวีรกรรมของตัวเล็กมาเล่าให้ฟังคะ)
แล้วก็มีกระต่ายอีกสองตัว เป็นตัวผู้กะตัวเมียอย่างละตัว
มาอ่านกันคะ ....
บ้านฉันมีสุนัขสองตัว ชื่อ เจ้าแพนด้า กับเจ้าแดง
เจ้าแพนด้านั้น ฉันจำได้.....
เมื่อปีปลายก่อน เจ้าหน้าที่เทศกิจได้รับนโยบายให้กำจัดสุนัขเร่ร่อน
แต่เจ้าแพนด้าตอนนั้นยังไม่มีชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริง
ฉันเห็นเจ้าแพนด้าวิ่งหน้าซีด เหงื่อตก เหมือนคนที่ลืมกินเอ็ม 16 เอ๊ย เอ็ม -150ก่อนทำงานแบกหาม
หางงี้ก็ตก จุกตูดเชียว เจ้านี่ฉลาดนัก วิ่งเข้ามาหลบมุมมานั่งทำหน้าเจี๊ยมเจี้ยมที่ในบ้านฉันหน้าตาเฉย
ฉันหันกลับไปอีกที เห็นเจ้าหน้าที่เทศกิจไล่กวดหมาตัวอื่นๆอย่างเอาเป็นเอาตาย
บ้างก็ไล่ตะครุบหมาจรจัดล้มลุกคลุกคลานทั้งหมาทั้งคนที่ไล่จับ
เจ้าแพนด้านั่งซุกมุมเงียบๆ ทำหน้าตาละห้อย แต่ตัวสั่นเทาทีเดียว
ฉันก็ทำสีหน้าเรียบเฉย ก็สงสารนี่ เลยไม่โวยวายอะไรออกไป
โถ..เจ้าหมาน้อยที่น่าสงสาร ฉันเลย(จำใจ)ให้ข้าว
ให้น้ำประทังชีวิตแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งๆ
แต่คุณเธอยึดแถวละแวกบ้านฉันประทังตลอดชีพเลยนี่(หว่า)
(ทำยังกะบ้านฉันเป็นที่ทำใบขับขี่ตลอดชีพเชียวแพนด้าเอ้ย
ทั้งๆที่ฉันให้โอกาสแกแค่ 3 เดือน ค่อยต่อใหม่ 555)
ส่วนเจ้าแดงนั้น เป็นหมาต่างจังหวัด แต่ถ่ายรูปมาให้ดูเฉยๆ
เป็นหมาพันธ์ไทยแท้ไม่มีลูกครึ่งหรือครึ่งลูก
ฉลาดกว่าฉันนิดนึงตรงที่ไหว้คนง่าย เชื่อคนง่าย
ทักทายสวัสดีได้ ตีลังกาได้ ส่วนฉันน่ะเหรอ
กะว่าจะตีลังกาอย่างเจ้าแดง ก็ติดพุงกลมๆทุกทีซิน่ะ
(อายหมามันไหมละ อิอิ )
นอกจากนั้นก็ยังมีแมวเหมียวอีกสองตัว แต่วันนี้ถ่ายรูปมาให้ดูแค่ตัวเดียวก่อน
เจ้ากุ๊กกิ๊ก แต่ฉันชอบเรียกว่า เจ้าอ้วน
เพราะนอกจากอ้วน แล้วยังขี้เกียจอีก
อาหารแมวต้องคัดสรรอย่างดี เพ็ดดีกรี เชียวนะคะ
เพชรไดม่อนด์เธอไม่สนคะ
ใครจะใส่เสื้อสีอะไร หรือใครจะมีขนมถุงละล้านเธอไม่สน
เธอกินแล้วนอนอย่างเดียว
โอ มายก๊อด ความสุขที่แท้จริงที่หาไม่ได้อีกแล้ว 55555
ยังคะ ยังมีอีก เจ้ากระต่ายสองตัว ตัวหนึ่งเป็นเพศเมีย ต
ลำตัวจะป้อมๆลักษณะช่วงลำตัวจะกว้างๆ
แต่ไม่ได้มีไขมันแบบน่าเกลียดนะคะ
(สงสัยกระต่ายบ้านฉันแอบเข้าฟิตเนสบ่อยๆ อิอิ )
ช่วงขาก็จะสั้นๆ ตัวก็จะเตี้ยๆ
อีกตัวเป็นเพศผุ้ เพศผู้นี้มีลักษณะลำตัวที่ยาวกว่านิดหน่อย ได้
ถ้าเป็นนักมวยจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ที่มีช่วงลำตัวที่ยาวกว่า
เหมือนเม่นเก้าแสน กระทุ้งแดงยิม ที่ชนะน๊อคคู่ต่อสู้ในยกที่ 1 เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง
ขอย้ำนะคะ กระต่ายทั้งคู่นี้มีฟันที่แหลมคมมาก ฉันเองยังเคยเผลอตัวได้เลือดไปซิบๆคะ
มีลำตัวสีเทาๆออกน้ำตาลๆด่างๆคะ
อ่อ ลืมบอกว่า กระต่ายคู่นี้ ตัวเมียชื่อ เค็มจังแก ส่วนตัวผู้ชื่อ แคจังกิม
อืม..ชื่อน่ารักเหมือนดาราเกาหลีไหมล่ะคะ 55555
ทั้งคู่อยู่ในชายคาบ้านฉันมาร่วมสิบปีแล้วมั้งคะ
อ่ะๆ อย่าเพิ่งแปลกใจนะคะ ทำไมวงจรชีวิตของกระต่ายคู่นี้ยืนยาวจัง
เอ.. แล้วเขากินอะไรเป็นอาหารน่ะเหรอคะ เดี๋ยวมีเฉลยคะ
ก่อนอื่นหารูปมาให้ดูกันก่อนคะ น่ารักซะไม่มีล่ะ อิอิ
.................................................
( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
ปล. เขียนเพื่อความสนุกสนาน ขำๆขันๆ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และหัวเราะ
ข้อควรระวัง...ก่อนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เราเตือนคุณแล้ว
กรุณาถอดฟันปลอมของคุณวางไว้ใกล้ตัวดีที่สุด อิอิ
21 ธันวาคม 2551 18:48 น.
ฉางน้อย
โห ยัยวา ซื้ออะไรมาเยอะแยะอีกแล้ว
พี่เมี่ยงร้องทักยิหวาแต่ไกลเมื่อเห็นวาเดินหิ้วของมายังจุดนัดหมาย
ณ.ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่ผู้คนพลุกพล่านพอสมควร
เยอะที่ไหนกัน พี่เมี่ยงก็ แหมๆ ชอบพูดเกินเลย
ก็ขนมครกแค่ 2 กล่องกับน้ำส้มคั้นอีก 2 ขวดเล็กๆเนี๊ยะนะ เยอะตายล่ะ แหมๆ วา เถียง เอ๊ย บอกให้พี่เมี่ยงของเธอฟัง
ก็นั่นแหละ แล้ววาจะไปกินที่ไหนล่ะ หอศิลป์เขาไม่ให้นำของเข้าไปกินนะ
ก็วารู้แล้ว แต่ว่า วาแค่จะ...
อย่าเพิ่งพูดมาก รถเมล์ครีม-แดงสาย 47 รถเมล์ฟรีเพื่อมวลชนมาแล้วล่ะ ไปๆๆ
บ่อยครั้งที่วากับพี่เมี่ยงคำของเธอมักมีเรื่องให้ถกเถียงกันตลอด
ต่างคนต่างหาเรื่องมาบอกกล่าวที่สมเหตุสมผล
มานี่วา เอาของมา พี่ช่วยถือให้.. พี่เมี่ยงพูดพลางยื่นมือจะช่วยถือของให้วา
พี่เมี่ยงเป็นสุภาพบุรุษเสมอสำหรับยิหวา
(รวมทั้งผู้หญิงอื่น ผู้สูงอายุ เ ด็ก ผู้อ่อนแอกว่า และสตรีผู้มีครรภ์
อิอิ เกี่ยวกันไหมเนี่ยะ)
ไม่ต้องเลย อยากซื้อดีนักนี่ ถือเองซะให้เข็ด
วาตอบพลางแย่งถุงขนมคืนจากมือพี่เมี่ยงคำ
แถมท้ายด้วยค้อนวงเล็กๆแต่พองาม หุหุ (ถ้ายิหวาส่งค้อนปอนด์ให้
สงสัยพี่เมี่ยงคอหักแล้วป่านนี้ อิอิ ) พี่เมี่ยงได้แต่อมยิ้มส่ายหน้าด้วยความระอาใจ อิอิ
..........................................................................................
โชคดีที่รถเมล์ฟรีเพื่อมวลชนสาย 47 คันนั้นยังมีที่นั่งว่างพอสำหรับเราสองคน เพราะขึ้นจากป้ายรถเมล์ต้นสาย ท่าช้าง เพื่อไปลงหน้าห้างมาบุญครอง
ก็พี่เมี่ยงบอกว่า วันนี้จะพาไปดูนิทรรศการภาพวาดของ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอนี่นา ยิหวา ก็ไม่รุ้หรอกว่า
หอศิลป์ที่พี่เมี่ยงคำบอกนั้น อยุ่ตรงไหนของกรุงเทพฯ
ไม่เป็นไร เอาเป็นว่า วาเดินตามหลังพี่เมี่ยงไปแล้วกัน
แต่พี่เมี่ยงก็บอกว่า เป็นหอศิลป์วัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
อยู่แถวสี่แยกปทุมวันนี่นา
ที่นั่นจะมีการจัดแสดงนิทรรศการตั้งแต่วันที่ 7 28 ธ.ค.2551นี้
พี่เมี่ยง กินขนมครกป่ะ กินดิ จะได้หมด
ไม่ต้องถือเข้าไปในหอศิลป์ให้เกะกะ
วาชวนพี่เมี่ยงกินขนมครกเจ้าปัญหาของเธอ
ไม่ล่ะ วากินซิ มาเดี๋ยวพี่ป้อนให้ดีกว่านะ พี่เมี่ยงส่ายหน้า
คงกลัววากินไม่อิ่มแน่เลย อิอิ
ไม่ต้องเลย เค้ามีมือ กินเองได้
อย่าดื้อน่ะวา จะกินดีๆไหม หือ ?
เสียงต่อล้อต่อเถียงให้ได้ยินกันสองคน
วากินฝา พี่เมี่ยงกินฝา (ขนมครกเขาเรียกเป็น ฝา ใช่ไหมล่ะ
หรือว่า ใครจะเถียง อิอิ )
ภายในไม่กี่นาที ขนมครก 2 กล่องของวา ก็เหลือชิ้นสุดท้าย
อ่อ วา ไหนว่า ทานข้าวมาแล้วไง ทำไม กินเก่งจัง
หิวไหม กินอะไรอีกไหม ?
คำถามเหล่านี้มีเสมอจากปากพี่เมี่ยง หิวไหม อิ่มไหม เหนื่อยไหม
เฮ้อ น่ารักซะไม่มีล่ะ อิอิ
ใช่ไง วากินข้าวอิ่มมาแล้ว แต่... แต่วา ยังไม่ได้กินขนมครกนี่นา 55555
วาตอบพี่เมี่ยง พลางหัวเราะชอบใจ
อ่ะ นี่ ชิ้นสุดท้ายแล้วนะวา กินซิ เขาบอกว่า ใครกินขนมชิ้นสุดท้าย
มักได้แฟนหล่อน๊า สนป่าว
กินก็ได้ ห้ามแย่งวาล่ะ เอ.. หล่อตรงไหนว๊า
อ่อ..หล่อที่พุงโตๆนี้ล่ะมั้ง อิอิ
วาพูดก็หยิกหมับที่พุงพี่เมี่ยง
ทำให้พี่เมี่ยงหัวเราะชอบใจ(บ้าจี้ต่างหาก)
ผู้คนที่นั่งข้างๆพี่เมี่ยงคงเหล่มองด้วยความหมั่นไส้ ที่อื่นมีถมไป มาทำโรแมนกะติกบนรถเมล์ 55555
...........................................................................................
สวัสดีครับ ขอชิญร่วมลงทะเบียน ก่อนเข้าชมนิทรรศการได้นะครับ
ขณะนี้มีการจัดแสดงผลงาน ที่ชั้น 4 และ ชั้น 5 ครับ
ส่วนชั้น6 ทำการปิดปรับปรุงชั่วคราว ขอโทษด้วยนะครับสำหรับความไม่สะดวก
หลังจากวาและพี่เมี่ยงลงชื่อในกระดาษลงทะเบียนแล้วก็ได้รับแจกหนังสือภาพเล๋มเล็กๆคนละหนึ่งเล่ม ซึ่งเป็นคู่มือที่นำชมเรื่องราว
เรื่องเล่าต่างๆ รวมทั้งที่มาของแต่ละภาพเอาไว้ด้วย
ภายในหนังสือภาพจะแนะนำความเป็นมา ที่มา
แนวคิดของแต่ละภาพ รายชื่อศิลปินผู้วาดภาพเอาไว้อย่างละเอียดทีเดียว
จะมีภาพเขียนทั้งหมด 84 ภาพ จากนักเขียน 84 ท่าน
และ ภาพเขียนเหล่านี้ได้จัดแบ่งเป็นหมวดทั้งสิ้น 11 หมวดด้วยกัน
อันได้แก่...
1. หมวดพระโสทรเชษฐภคินี เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดความผูกพัน
ระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระพี่นางเธอ มีศิลปิน15ท่านด้วยกัน
2. หมวดพระประวัติ มีภาพเขียนของศิลปิน 10ท่าน
3. หมวดทรงเป็นครูของแผ่นดิน มีภาพเขียนของศิลปิน 10 ท่าน
4. หมวดยอดขัตติยกัลยาณี มีภาพเขียนของศิลปิน 5 ท่าน
5. หมวดสืบสานโครงการสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนีและด้านการแพทย์ มีภาพเขียนของศิลปิน 7 ท่าน
6. หมวดทรงเกื้อกูลประชากรด้านสังคมสงเคราะห์ มีภาพเขียนของศิลปิน 5 ท่าน
7. หมวดทรงเกื้อกูลประชากรด้านการดนตรี การแสดง มีภาพเขียนจากศิลปิน 7 ท่าน
8. หมวดทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆ มีภาพเขียนจากศิลปิน 8 ท่าน
9. หมวดเจ้าฟ้านักประพันธ์ มีภาพเขียนจากศิลปิน 4 ท่าน
10. หมวดทรงเมตตาสัตว์น้อยใหญ่ มีภาพเขียนจากศิลปิน 5 ท่าน
11. หมวดพระเกียรติคุณสดุดี มีภาพเขียนจากศิลปิน 4 ท่าน
..........................................................................................
วา ลองทายซิ ภาพหน้าปกของหนังสือภาพเล่มนี้น่ะ
อยู่ในหมวดไหน อ่อ.. ภาพหลังปกด้วยนะ ลองทายดูซิ
พี่เมี่ยงนึกสนุกถามวา พลางชูหนังสือภาพให้วาลองทายดูเล่นๆ
ก็ไม่รู้ซิพี่เมี่ยง แหมๆ ขอเปิดดูหน่อยเดียวไม่ได้เหรอ แหะ..แหะ..
วา ต่อรองพี่เมี่ยง
อ้าว อย่าขี้โกงซิยัยวา พี่บอกให้ทาย ห้ามเปิดดูไง
โห พี่เมี่ยง งก มีตั้ง 11 หมวด ใครจะไปทายถูกล่ะ แหมๆ
วายังคงต่อรองพี่เมี่ยง ทำเสียงกระเง้ากระงอดเหมือนมอดกัดตูด อิอิ
เอ้า .. พี่เฉลยให้ก็ได้ ภาพหน้าปกน่ะ อยุ่ในหมวดที่ 11 จ้า
ชื่อหมวดว่า พระเกียรติคุณสดุดีไงล่ะจ๊ะ ชื่อภาพ ก็คือ
จากฟ้าสู่ดินคืนสวรรค์ เขียนโดยศิลปินหนุ่มใต้ชาวภูเก็ตเชียวน๊า
นามว่า คุณยงยุทธ์ รุยันต์ ไง พี่เก่งไหมล่ะวา
วา ฟังพี่เมี่ยงเฉลย ได้แต่อ้าปากหวอ ด้วยความอึ้ง ทึ่ง ในความรอบรุ้ของพี่เมี่ยง
เหรอคะพี่เมี่ยง พี่เก่งจัง ไม่อยากเชื่อคะ
วาน่ะ ไม่เชื่อพี่ก็ดีแล้ว พี่เก่ง เพราะพี่แอบเปิดหนังสือดูก่อนวาน่ะซิ 55555 เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รุ้ ที่พี่เมี่ยงแกล้งวาได้สำเร็จแล้วมักหัวเราะด้วยความชอบใจแบบนี้ ( ฮึ T WHO T IT .. แปลเป็นไทยได้ว่า ทีใคร ทีมัน 5555)
ส่วนภาพปกหลังของหนังสือนี่นะวา....
ส่วนภาพปกหลังของหนังสือนี่นะพี่เมี่ยง เป็นภาพเขียนอยู่ในหมวดที่ 2
ชื่อ หมวดพระประวัติ ชื่อภาพว่า เสด็จสู่สวรรคาลัย เขียนโดย
ศิลปินที่ชื่อว่า วัชระ กล้าค้าขาย หนุ่มเมืองนนท์นี่เองคะพี่เมี่ยง
ตอนแรกพี่เมี่ยงอ้าปากจะอธิบายต่อ แต่ยิหวาแย่งชิงพี่เมี่ยงพูดซะนี่
เลยต้องปล่อยให้วาพูดไป เลยตามเลย อิอิ แต่คำอธิบายของวา
ทำให้พี่เมี่ยงถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน
โห วา เก่งเหมือนกันนะเราน่ะ ไหนว่า ไม่รุ้เรื่องเลยไงล่ะ ?
เก่งซิพี่เมี่ยง วาเก่ง เพราะแอบเปิดดูตอนที่เมี่ยงเผลอเหมือนกันนี่นา 5555
ดีใจด้วยนะยิหวา เธอเอาคืนได้สำเร็จแล้ว อิอิ
...................................................................................
เอ๊ะ... พี่เมี่ยง ทำไมดูเหมือน 4 ภาพนี้จะเหมือนมีลักษณะ
พิเศษกว่าภาพอื่นๆล่ะค่ะ ดูเหมือนมีขนาดใหญ่กว่าภาพอื่นๆน่ะค่ะ
เป็นครั้งที่ 108 ได้แล้วกระมัง ที่ต้องมีคำถามจาก
ความขี้สงสัยของยัยวาออกมาบ่อยๆ
คืองี้นะวา ..ภาพทั้ง 4 ภาพนี้ เป็นภาพที่เหล่าศิลปินทั้ง 4ท่านน่ะ
ได้รับมอบหมายโดยตรงให้วาดภาพขนาด 1.80*2.40 ม.
.และวาดภายในบริเวณรั้วราชนิวัตน่ะ เข้าใจยังจ๊ะ ?
อ่อ ..มิน่าล่ะ วา เข้าใจแล้วล่ะคะ ถามจริงๆ ทำไม
พี่รุ้เรื่องราวเก่งจังคะ ? วา อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามอีกแล้ว
ก็จริงๆแล้ว พี่มาดูก่อนวา หนึ่งรอบแล้วนะ
แต่อยากให้วาได้มาดูด้วยตาตัวเองด้วยไง
เหล่าศิลปินทั้ง 4 ภาพนี้มาจาก 4 ภาคของไทยเลยนะวา
ไม่ว่า เหนือ ใต้ อิสานหรือว่าภาคกลาง
อย่างภาพนี้นะวา ชื่อภาพว่า ทรงพระเยาว์ เป็นฝีมือของคุณสมศักดิ์ รักษ์สุวรรณ จากหนุ่มใต้น่ะ
หรืออีกภาพ เป็นภาพเขียนของ อ.ปรีชา เถาทอง จากภาคกลาง ชื่อภาพว่า ทรงพระกรม
เสียงพี่เมี่ยงยังคงอธิบายไปเรื่อยๆไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อต่อคำถามของยิหวา พี่เมี่ยงอธิบายไปพลาง วา ก็ได้แต่เดินตาม ฟัง รับรู้สิ่งที่พี่เมี่ยงบอกให้ฟัง
ภาพ แต่ละภาพน่ะนะวา มีแนวคิด มีที่มาแตกต่างกันออกไป
การมองภาพให้เป็นศิลป์ ใครจะมองยังไงก็แล้วแต่
ความสวยงามขึ้นอยุ่กับความสบายใจของเรามากกว่า
ไม่จำเป็นว่า เรามองแล้วรู้เรื่อง
หรือเข้าใจความหมายของภาพที่สื่อออกมาหรือแม้แต่ในขณะที่อีกคนมองแล้ว ฉงน สงสัยว่า สวยตรงไหน ยังไง
ความหมายของคำว่า ศิลปะ นะวานะ
ไม่มีความหมายตายตัวแน่นอนหรอกนะวา เข้าใจไหม ที่พุดเนี่ยะ นิ่งเงียบเชียว
...ค๊า เจ้าคะ อาจารย์เมี่ยง .....
ไม่แน่ใจว่า ยิหวา ประชดหรือแดกดันพี่เมี่ยงคำ อิอิ
ดูแต่ตา.. มืออย่าต้อง.. ของจะเสีย.. ห้ามจับ ห้ามซนนะวา
รู้แล้วน่ะ พี่เมี่ยงนี่ก็ แหมๆๆ
พี่เมี่ยงพายิหวาเดินวนซ้าย ย้ายมาขวาไม่รุ้กี่รอบ
พลางอธิบายทำยังกะเป็นเจ้าของภาพซะเองงั้นแหละ
คนอะไรรุ้ดีไปหมด เนอะ
แม้ท่านจะเสด็จสู่สวรรคาลัย แต่น้ำพระทัยพระองค์ท่านนั้นมียากเกินพรรณนา นี่แหละถึงเรียกว่า นางฟ้า ส่งนางฟ้ากลับสู่สรวงสวรรค์
ขอบคุณนางฟ้า ที่นำสิ่งดีๆมอบแด่ปวงชนชาวไทย แสงรุ้งงามแห่งสยาม...
เปล่าคะ ประโยคนี้วาไม่ได้พูดออกไป วาแค่คิดในใจคนเดียว ขืนคิดดังๆ พี่เมี่ยงก็ได้ยินซิคะ อิอิ.....
................................................................................................
คุณสามารถชมนิทรรศการ ผลงานศิลปกรรมทั้ง 84ภาพ
ได้ที่ หอศิลป์วัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน
ซึ่งมีจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 7 27 ธ.ค.51 นี้ เวลาตั้งแต่ 10.00 21.00 น.
..... ขอขอบคุณข้อมูลจาก หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
ขอบคุณหนังสือภาพแนะนำผลงานนิทรรศการ......
................................................................................
( ฉ า ง น้ อ ย ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น )
7 ธันวาคม 2551 20:45 น.
ฉางน้อย
" วา ไปหาก๋งไหมลูก ? "
เสียงถามจากเตี่ยดังขึ้นจากด้านหลัง
ทำให้ฉันต้องหันไปมองที่มาของเสียงนั้น
ฉันกระโดดแผล๊วจากชิงช้่ายางรถยนต์ซึ่งเป็นชิงช้าจากฝีมือของเตี่ยเอง
เพื่อนๆของฉันรุ่่นราวคราวเดียวกัน หันมามองแล้วก็เล่นกันต่อไป
" เตี่ย ไปสายไหนคะ สายบนหรือสายล่าง ? "
ฉันถามเตี่ยพลางก็เดินกึ่งวิ่งมาหาเตี่ย
" สายเสมอมั้งลูก " เตี่ยพูดพลางก็อมยิ้มแบบขำๆที่ทำให้ฉันงงได้ อิอิ
" แหมๆ เตี่ยล่ะก็..." ฉันมองค้อนปะหลับปะเหลือกแต่พองาม หุหุ
เตี่ยหัวเราะ พลางเอามือขยี้ผมเบาๆด้วยความหมั่นไส้(มั้ง)
ก็เป็นที่รู้กันทั้งหมู่บ้านว่า ถนนสายล่างมักจะหมายถึงถนนริมทางรถไฟ
ใครจะเดินทางรถไฟ ก็ต้องเดินเลียบริมทางกันอย่างทุลักทุเลพอสมควรเวลาที่รถไฟวิ่งผ่าน
ส่วนถนนสายบนหมายถึงถนนลาดยางมะตอยอย่างดี
เป็นถนนทางรถยนต์วิ่งผ่านสะดวกสบาย
ที่ฉันถามเตี่ยว่า ไปทางสายบนหรือสายล่าง ก็หมายถึงว่า..
ถ้าเตี่ยไปทางถนนสายบน เตี่ยก็จะปั่นจักรยานไป
โดยที่ฉันนั่งซ้อนท้าย มีบางครั้งที่ฉันให้เตี่ยเร่งแซงกับรถยนต์
เตี่ยก็บอกว่า งั้นมาปั่นเองเลยดีไหม 5555
วันนั้นเตี่ยบอกว่า เปลี่ยนบรรยากาศบ้างดีไหม ไปทางสายล่าง
เพราะ ไม่ได้ชมบรรยากาศริมทางรถไฟนานพอดู
ฉันแอบทำหน้าเบี้ยวปากเบ้เล็กน้อย อิอิ แต่ก็เอาน่ะ
ก็ยังดีกว่า นั่งเล่นขายข้าวแกงกับเพื่อนๆผู้หญิง
นั่นไม่ใช่การละเล่นที่ฉันชอบนักหรอก
ครั้นฉันจะชวนพวกคุณเธอเหล่านั้นมาเล่นโลดโผนอย่างเด็กผู้ชาย
ก็มีแต่พวกเธอส่ายหน้าหนีกันทุกคน
ณ.ริมทางรถไฟเช้าวันนั้นแดดไม่จ้ามากนัก แต่เตี่ยก็คงกลัวฉันร้อน โดนแดด
กลัวฉันไม่สบาย เลยเอาผ้าขาวม้ามาโพกหัวให้ ทำเป็นพม่าไปได้ อิอิ
แต่ฉันก็ชอบนะ เท่ดี 5555
ระหว่างนั้น สองพ่อลูก ก็คือฉันกับเตี่ย
ก็เดินเลียบริมทางรถไฟไปเรื่อยๆ ตอนนั้นสวนหมาก สวนพลู
สวนมะพร้าวยังอุดมสมบูรณ์ด้วยวิธีการธรรมชาติไม่ต้องอาศัยปู๋ยเหมือนสมัยนี้
สวนต่างๆข้างริมทางรถไฟยังให้ร่มเงา มีความร่มรื่น
ให้ความสดชื่น เหมาะแก่การสูดอากาศยามเช้า
สองพ่อลูกต่างพากันเดินไปเรื่อยๆระยะทาง 1.5 กิโล จากบ้านฉันไปบ้านก๋ง
ทำให้เด็กๆอย่างฉันตอนนั้นเรื่มเบื่อ เหนื่อย
แต่ก็ยังดีที่มีสิ่งให้เรียนรู้มากมายจากริมทางรถไฟ
สาย ตาก็มองโน่นมองนี่ไปตลอดทาง
ปากก็ซักถามไม่ได้หยุด แต่เตี่ยไม่เบื่อเลย(มั้ง)กับการตอบคำถามของฉัน
" เตี่ย อีกไกลไหมเนี่ยะ กว่าจะถึงบ้านก๋งน่ะ " ฉันชักจะเรื่มล้า เหนื่อย
" ไม่ไกลหรอกลูก อีกนิดเดียว " เตี่ยยังคงพูดปลอบใจฉันเรื่อยไป
ฉันรู้ ถึงแม้เตี่ยจะบอกระยะทางเป็นความยาวว่า กี่กิโลก่อนจะถึงบ้านก๋ง
ยังไงฉันก็ไม่รู้หรอก ว่า ระยะทาง(ตั้ง)1.5 กิโลนั้น
ไกลหรือใกล้แค่ไหนสำหรับเด็กๆอย่างฉัน
" เตี่ย ถ้าเราเดินไปเรื่อยๆ จะไปถึงไหนเหรอเตี่ย ? "
อีกหนึ่งคำถามสำหรับเด็กที่อยากรู้อยากเห็นอย่างฉัน
" แล้วหนูจะไปไหนละ ? " เตี่ยถามอย่างอยากรู้คำถามของฉัน
" หนูเห็นอะไรนั่นไหม เห็นจุดสิ้นสุดของรางรถไฟไหมล่ะลูก ?
เตี่ยตั้งคำถามย้อนคืนมาให้ฉันได้ขบคิด
" เห็นซิคะเตี่ย นั่นไง ใต้ต้นไม้ใหญ่ๆนั่นไง
จุดตรงนั้นน่ะ หนูเห็นรางรถไฟแคบเข้าหากันด้วยแหละ
รางรถไฟชิดกันจริงๆด้วยนะคะเตี่ย "
ฉันตอบ พลางชี้มือไปยังต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาข้างหน้านั่น
คำตอบของฉัน ทำให้เตี่ยอมยิ้ม ไม่พูดอะไรต่อไป นอกจากคำว่า ...
" อืม เหรอ หนูเห็นด้วยสายตาหนูแบบนั้นเหรอ
เดี๋ยวเราไปให้ถึงนะว่า จุดสิ้นสุดของรางรถไฟน่ะ สิ้นสุดตรงนั้นจริงๆหรือเปล่า "
....................................................
" อ้าว.....ไหนล่ะเตี่ย รางรถไฟที่หนูเห็นน่ะ
หนูเห็นว่า จุดสิ้นท้าย ปลายรางคือต้นไม้ใหญ่ต้นนี้นี่นา
แล้วหายไปไหนล่ะคะ ปลายรางรถไฟหายไปไหน ? "
ฉันได้แต่ทำสีหน้างุนงง อย่างอยากรู้อยากเห็น สงสัยเต็มที
เมื่อสงสัย คำถามก็พร่างพรูจากปาก
" เตี่ยๆ ปลายรางรถไฟ หายไปไหน ทำไมหายไปแล้ว ? "
ฉันถามพลางเกาะกุมด้วยสองมือของฉันเขย่ามือเตี่ยด้วยความอยากรุ้
ทั้งๆที่สายตาฉันเห็นแบบนั้นจริงๆนี่นา
" รางรถไฟน่ะ ไม่มีวันสิ้นสุดหรอกลูก
มองดูด้วยสายตา คาดคะเนว่า อยู่ตรงนั้น สิ้นสุดตรงนี้
แต่ไม่มีใครค้นพบคำว่า จุดสิ้นสุดของเส้นขนานเลยสักที "
ฉัน เริ่ม งง กับสิ่งที่เตี่ยพูดให้ฟัง แต่พอจะรู้ว่า ..
เหมือนชีวิตคนเราบางคน อาจเดินด้วยกันไปบนเส้นทางเดียวกัน
แต่ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน เพราะไม่เจอสุดสิ้นสุดของเส้นขนาน
ฉันได้แต่พยักหน้า อย่างจนใจในคำพูดของเตี่ย
จนกระทั่งเตี่ยต้องบอกว่า เอาเหอะ ไว้โตกว่านี้อีกหน่อย
คงจะเข้าใจคำว่า เส้นขนาน ต้องเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเรื่อยๆ
อย่าหยุดนิ่ง
" แม้เราต้องก้าวเดินไปบนเส้นขนาน แต่เราจำเป็นที่ต้องเดินไปไม่ใช่เหรอ ...."
ฉันทวนคำเบาๆ " เส้นขนานๆ "
เจ้าเส้นขนาน ทำไมเจ้าถึงไม่มีจุดสิ้นสุดสักทีนะ
.............................................
" ปู๊น...ปู๊น...ปู๊น..." เสียงหวูดรถไฟดังแว่วลากเสียงยาวมาแต่ไกล
ทำให้ฉันกับเตี่ยต้องหลบลงข้างทางซึ่งเป็นป่าหญ้าริมทาง
ทันใดนั้นฉันกวาดสายตาไปเห็นเจ้าดอกไม้ริมทางช่อหนึ่ง
ซึ่งออกดอกสวยทีเดียว
" เตี่ยๆ ดอกอะไรน่ะเตี่ย สวยจัง ? " ฉันทำสีหน้าตื่นเต้่ต้นหมือนเห็นสิ่งแปลกใหม่
" อ่อ .. เป็นดอกหญ้าริมทางน่ะลูก ชื่อว่า ดอกขี้ไก่ "
เตี่ยบอก พลางไปหักกิ่งดอกหญ้านั้นมาให้ฉันส่งให้ฉันหอบไว้ในมือ
" ดอกก็ออกสวย ทำไมชื่อเจ้าดอกขี้ไก่ไปได้เนอะ "
ลักษณะดอกหญ้าริมทางนั้นเป็นสีชมพูจางๆ สีเหลืองแซมด้วยส้มๆ น่ารักทีเดียว
เป็นดอกเล็กๆในกิ่งเดียวมีหลากหลายสี ใบสีเขียวๆ แต่ระคายมือ
กิ่งมีลักษณะที่เปราะหักง่าย ไม่ต้านทานแรงลมสักเท่าไหร่นัก
และเมื่อฉันสูดดมความหอม กลับได้แต่ความว่างเปล่า
" โห ดอกก็ออกจะซ๊วย สวย แต่ไม่หอมเลยล่ะเตี่ย แหวะ .."
ฉันสูดดม แล้วก็ทำหน้าเบ้
" อืม..นั่นแหละลูก ดอกไม้เปรียบเหมือนคนแหละ สมัยนี้ เขามองที่ความสวยงามภายนอกร่างกายกันก่อน เด็ดดอมดมหวังความหอม
แต่เมื่อสวยแต่รูป จูบไม่หอม เขาก็ทิ้งขว้างไปอย่างไร้ค่า
ในขณะที่ใครบางคน เขามองดอกไม้ที่ไม่สวย ขี้เหร่
แต่มีคุณประโยชน์มากมาย มีความหอมคงทน
เหมือนคนที่หน้าตาไม่สวย แต่เขาทำความดีงามที่น่ายกย่อง
หนูว่า อย่างไหนน่าจะดีกว่าล่ะ หือ ? "
เป็นครั้งที่สองที่ฉันได้จำยอมกับคำพูดของเตี่ย
รถไฟมาถึงที่พวกเราสองพ่อลูกยืนกันนั้น
ความเร็วและแรงของรถไฟ ทำให้ฉันแทบทรงกายไม่อยู่
ต้องเกาะเตี่ยเอาไว้แน่นเป็นหลักให้กับตัวเอง
พลางคิดในใจหากฉันไม่มีเตี่ยไว้เป็นหลักให้แบบนี้ตลอดไป
ฉันจะทำอย่างไร ชีวิตบนริมทางรถไฟช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร
ฉันได้แต่แค่ครุ่นคิด.......
เสียงล้อรถไฟบดแน่นกับรางคู่นั้น ช่างเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ
แต่ก็ทำให้ฉันอมยิ้มได้เมื่อนึกถึงบทสนทนาของฉันและคำล้อของเพื่อนๆ
" รถยนต์ล้่อยาง รถรางล้อเหล็ก รถไฟนั้นเป็นของเจ๊ก ล้อทำด้วยเหล็ก ฉึ่กฉั่กๆ "
ฉันมักท่องคำพูดประโยคนี้บ่อยๆยามต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
แต่เจ้าเพื่อนตัวดี ชอบล้อฉัน เพราะเห็นว่า คนในหมู่บ้านนั้นมีเพียงครอบครัวฉัน
ที่เป็นคนจีน เขาก็จะเปลี่ยนคำพูด กลายเป็นว่า..
" รถไฟไม่ใช่ของเจ๊ก โดนตีด้วยเหล็ก ชักแหง่่ก ชักแหง่ก "
สิ้นเสียงคำว่า ชักแหง่ก ชักแหง่ก ฉันก็วิ่งไล่ทุบเจ้าเพื่อนตัวดีเสมอๆ
ก็เขาบังอาจมาหาว่า รถไฟไม่ใช่ของเจ็กทำไมละ
มาหาว่า โดนตีด้วยเหล็กนอนชักแหง่กๆอีกแน่ะ เฮ้อ....
" เตี่ย นั่นสายอะไรล่ะ มีเสาสูงๆด้วยล่ะ สายก็ห้อยระโยงระยางเชียว "
คำถามอยากรู้มีอีกแล้วซิ
" อ่อ .. เขาเรียกว่า สายโทรเลขไง เป็นการส่งข่าว สื่อสารกันทางโทรเลข
สำหรับคนที่ห่างไกลบ้านและก็ต้องการส่งข่าวด่วนให้ญาติได้รับรู้ "
เตี่ยตอบอย่างผู้รู้เรื่องราวทุกอย่าง สมแล้วที่เป็นฮีโร่ของฉัน
" อ่ะๆๆ อย่านะลูก จะทำอะไรน่ะ ? "
เตี่ยร้องห้าม เมื่อเห็นฉันก้มลงหยิบก้อนหินริมทางรถไฟขนาดพอเหมาะ
มากำไว้ในมือ เตรียมตัวขว้างไปสุดแรง
" ทำไมล่ะเตี่ย เพื่อนหนูยังท้าพนันกันบ่อยไป
ใครขว้างโดนสายนั่นน่ะ ถือว่า เก่ง แม่นยำนะ
ฉันยังไม่ยอมจำนนต่อคำพูดของเตี่ย พลางพยักเพยิดให้เตี่ยดูสายโทรเลขข้างทางนั่น
" หนูคิดซิ หากเขากำลังส่งข่าว พวกเขากำลังทำงาน แล้วข้อมูลผิดพลาด
เพราะโดนหินขว้างแล้ว ความเสียหายจะเกิดขึ้นไหม ? "
คราวนี้เอง เป็นครั้งที่ฉันต้องยอมจำนนต่อคำพูดของเตี่ย
เปล่านะ ฉันแค่อยากเอาอย่างเพื่อนๆ
แค่เพื่อทดลองความแม่นยำของฝีมือตัวเองแค่ันั้น แค่นั้นเองจริงๆ
" ทำหรั๋ยนุ้ย.....ทำหรั๋ยลุง ? "
เสียงทักทายสำเนียงปักษ์ใต้โดยแท้จากลุงคนหนึ่งดังจากรถต๊อกๆ
รถต๊อกๆเป็นรถของทางการรถไฟ เมื่อก่อนที่ฉันเห็นนั้น
ทำจากแผ่นไม้กระดาน ความกว้างพอดีกับรางรถไฟ ความยาวก็แล้วแต่สะดวก(มั้ง)
ส่วนล้อก็เป็นล้อสำหรับวิ่งบนรางรถไฟได้ ไม่มีหลังคาคุ้มกันแดดฝน
ไม่มีเครื่องจักรกลบังคับการทำงานของรถแบบนี้
มีเพียงไม้ค้ำถ่อให้รถได้เคลื่อนตัว ไม่มีหลังคาอะไรทั้งนั้น
บนรถต๊อกๆก็จะมีประมาณสัก 4-5 คน แล้วแต่การทำงานของพวกเขา
" เตี่ย ใครน่ะ รู้จักเตี่ยด้วยเหรอ เขาทักทายหนูด้วย "
ฉันแปลกใจที่พวกเขาเหล่านั้นร้องทักทายฉันกับเตี่ยเหมือนรู้จักกัน
" อ่อ เป็นคนที่ทำงานการทางรถไฟน่ะลูก เขามาตรวจตราดูแล ซ่อมแซมทางรถไฟ
ดูว่าส่วนไหนเสียหายมากน้อยแค่ไหน เขาก็ส่งคนมาช๋อม
พวกเขาดูแม้กระทั่งว่า ก้อนหินของทางรถไฟนั้นจะถูกขโมยไปบ้างไหม
ดูว่า ไม้หมอนรองรางรถไฟส่วนไหนชำรุด เขาก็นำมาเปลี่ยนให้ ..."
เตี่ยของฉันมีความรู้อีกแล้ว พ่อฮีโร่ตัวดีของฉัน อิอิ
...........................................................
สุดท้ายแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้รู้หรอกว่า ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลฯ
ที่เตี่ยพาฉันเดินน่ะ ไกลหรือใกล้แค่ไหน
รู้เพียงแต่ว่า ฉันได้อะไรหลายๆอย่างในเช้าวันนั้น
รู้่รู้ว่า เส้นขนานที่ฉันกะด้วยสายตาว่า เดี๋ยวคงได้พบกัน
แต่แล้วก็ไม่มีวันมาพบบรรจบกันได้เลย
เหมือนชีวิตคนเรา ที่เดินไปด้วยกัน จับมือจูงเดินไปด้วยกันบนรางรถไฟรางคู่นั้น
ต่างก็ต้องคอยประคองซึ่งกันและกันไม่ให้ชีวิตของเราหรือเขาเหล่านั้น
ล่มกลางทางเสียก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง
แม้ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีโอกาสที่จะได้เจอกัน
ระยะเวลาในการเดินทางของสายชีวิตนั้น ต่างต้องพยายามมองคนรอบข้างด้วย
ไม่ใช่ว่า เราเดินดุ่มๆไปคนเดียว โดยที่
ไม่รุ้ว่า เมื่อไหร่คนเคียงข้างของเราก้าวพลาดบ้างหรือไม่
หรือว่า อาจเป็นเราเองที่อาจก้าวพลาดบนเส้นทางสายนั้น
ก็จะได้ช่วยฉุดมือกัน ดึงรั้งกันให้กลับมาในเส้นทางเดิม
แต่ก็เป็นน่ายินดีไม่ใช่เหรอ ที่อย่างน้อยเราสองคนได้ก้าวเดินไปด้วยกัน
ได้จับมือเดินไปในเส้นทางสายเดียวกัน แค่นี้ก็สุขใจพอแล้ว .
......................................................
< T H E E N D >
( ฉ า ง น้ อ ย ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น )
2 ธันวาคม 2551 09:41 น.
ฉางน้อย
ตอนแรกตั้งใจว่า จะไม่เขียนเรื่องราวความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ
หรือเรื่องราวของวันพ่ออีกแล้ว เพราะตัวฉันเองคิดว่า
อยากขอเก็บเป็นความทรงจำที่ดีๆในใจเรามากกว่า
แต่บังเอิญว่า ได้พูดคุยกับเพื่อนๆเรื่องราวความผูกพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก
ก็เลยคิดทบทวนอีกที อ่ะๆ เขียนก็ได้
สมัยเด็กๆเรียนชั้นประถมฉันจำได้ว่า เรียนชั้นป.4มั้ง คุณครูประจำชั้นให้เขียนเรียงความเกี่ยวกับ ฮีโร่ในดวงใจ เพื่อนๆร่วมห้องเรียนของฉัน เขาจะเขียนถึงตัวการ์ตูนที่เชาชื่นชอบ
เช่นโดเรมอนบ้างล่ะ นินทาฮาโตริ นินจาเต่า บ้างล่ะ
หรือว่า มดเอ็ก มดแดงอะไรประมาณนี้น่ะค่ะ
คุณรู้ไหมคะว่า ฉันชอบดูการ์ตูนอะไรมากที่สุด ดอกเตอร์สลัมกับอาราเล่ค่ะ
แต่นั่นไม่ใช่ฮีโร่ในดวงใจฉันสักนิดเดียว
สำหรับฉันแล้วฮีโร่ในใจฉันนั้นก็คือ พ่อ ( แท้จริงแล้วฉันไม่ได้เรียกว่า
พ่อ อย่างคนอื่นๆหรอกคะ ฉันเรียก เตี่ย มาตั้งแต่จำความได้)
ในเรียงความกระดาษสมุดธรรมดา แผ่นนั้นฉันจำได้ว่า
ฉันพรรณนาเรื่องราวความผูกพันของฉันกับเตี่ยไว้ซะมากมาย
ก็ฉันเป็นเด็กผุ้หญิงนี่นะ คนอื่นอาจมองว่า
ฉันชอบอ้อนเตี่ย ชอบประจบเตี่ย
และตัวฉันเองมักจะมองว่า เตี่ยของตัวเองนะ เก่งกว่าใครๆในโลกนี้
เพราะฉันคิดว่า เตี่ยปกป้องดูแลฉันมาตลอด
เตี่ยฉันชอบสร้างเครื่องเล่นในสนามหญ้าหลังบ้านให้ลูกๆได้เล่นกันอย่างสนุกสนาน
ไม่ว่า ไม้หมุนเอย ไม้กระดกเอย หรือแม้แต่ไปขอยางรถยนต์จากร้านซ่อมรถ นำมาผูกกับต้นขี้เหล็กใหญ่หลังบ้านให้ลูกได้ปีนป่าย ได้เล่นชิงช้ากัน
เรื่องชิงช้านี่ก็เหมือนกัน เตี่ยไปหาไม้ในห้องเก็บของที่ขนาดพอเหมาะ กับเด็กๆอย่างฉัน
เตี่ยทำชิงช้าไม้ไว้สัก 4ตัว เครื่องเล่นอื่นๆอีกหลายอย่างหลายชนิด
ในตอนนั้น เพื่อนๆบ้านใกล้เคียงกัน ก็มาขอเล่นด้วย ทำให้บ้านฉันเป็นแหล่งชุมนุมของเด็กๆ
ที่ทั้งวันจะมีแต่เสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าว อบอวลด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่พวกเขาได้ของเล่นถูกใจ
ฉันจำไม่ได้หรอกว่า ฉันเขียนอะไรไปบ้างในกระดาษสมุดแผ่นนั้น
จากคะแนน10 ฉันได้ 10เต็ม
ฉันจำได้เพียงว่า บทสุดท้ายนั้นฉันเขียนเอาไว้ว่า
" เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดรันทดใจ "
ฉันได้รางวัลจากการเขียนเรียงความในครั้งนั้นเป็นสมุดลายการ์ตูน2เล่ม กับดินสอสีไม้อีก1ชุด
แค่นี้ฉันก็ยิ้มแก้มปริแล้ว เปล่าหรอกนะ
ฉันไม่ได้ดีใจที่ได้ของรางวัลจากคุณครู ฉันเพียงแต่ภูมิใจว่า
เย็นนี้จะเอาเรียงความนี้ไปอวดเตี่ย ที่ได้คะแนนเต็ม 10
เย็นวันนั้นฉันนำรางวัลที่ได้ไปอวดเตี่ย พร้อมกับกระดาษที่เขียนเรียงความแผ่นนั้นด้วย เตี่ยรับมาอ่าน แล้วก็ยิ้มๆ ไม่พูดว่าอะไร
คำเดียวที่เตี่ยพูด.." ไม่เห็นได้เรื่้องตรงไหนเล๊ย ครูตาถั่วให้ตั้ง 10 คะแนนเต็ม "
ฉันรู้ เตี่ยก็แกล้งพูดไปงั้นแหละ กลัวลูกสาวจะเหลิงกับคำชม เตี่ยพูดพลางอมยิ้มน้อยๆ มือก็วางบนหัวฉันแล้วจับโยกเบาๆ
และฉันก็รู้อีกเช่นกันว่า เตี่ยก็(แอบ)ภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้เหมือนกัน
...........................................
ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่แสนจะธรรมดาๆใช้ชีวิตแบบง่ายๆ
เตี่ยบอก สอนเสมอๆว่า อย่าไปเป็นหนี้ใครดีที่สุด เพราะจะทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข
มีแค่ไหน ก็ต้องใช้ ต้องกินอย่างประหยัด อย่าไปเอาอย่างคนอื่น
เตี่ยไม่ใช่คนรวย ไม่มีเงินทองให้มากมาย เตี่ยให้แค่ ความรุ้ พยายามเรียนให้สูงที่สุด เอาตัวเองให้รอด
ตอนเด็กๆฉันก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาเรื่อยมา เล่นไปเรื่อย
ในขณะเดียวกันพี่ชายฉันชอบความเรียบร้อย ชอบความสะอาด ชอบอยู่กับแม่ คลุกคลีกับแม่ เข้าครัวทำอาหารกับแม่
ในทางตรงกันข้าม ฉันมักเดินตามหลังเตี่ยต้อยๆ ไปไหนไปกันสองพ่อลูก
ซึงคนในหมู่บ้านจะรู้กันดี ไม่ว่าไปไร่ไปนา ไปสวน ไปหาปลา
ไปตกปลา ไปบ่อนากุ้ง ไปจับปูเปี้ยวตัวเล็กๆ งานแบบนี้ฉันชอบ
ชอบที่จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากเตี่ยมากมาย ไปตกปลา ไปจับปูในนาก็ทำมาแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งเตี่ยกำลังจะไปตกปลา นำคันเบ็ดมาวางแล้วมากระซิบกระซาบกับฉันสองคน
ฉันก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วพากันไปนั่งข้างกองดิน เตี่ยก็ขุดๆๆ ฉันก็นั่งลุ้น
สักพักพี่สาวคนโตโผล่หน้ามาเรียกทานข้าว
เธอวิ่งเข้ามาก้มมองว่า เราสองคนพ่อลูกขุดดินหาอะไรกัน
" เจ๊ๆ เอาป่าว ไส้เดือน เตี่ยเพิ่งขุดได้ นี่ไง น่ารักเชียว ตัวแดงๆ ยังดิ้นกระแด่วๆอยุ่เลย "
ฉันเอ่ยถามพี่สาว พลางก็ยื่นไส้เดือนเป็นๆให้ตรงหน้า
พี่สาวร้องกรี๊ดได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน
ฉันวิ่งหลบไปหลังเตี่ยเพราะรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นในวินาทีถัดไป
" ยัยบ้า ไปให้พ้นๆเลยไป ยี้ๆๆ เอาอะไรมาเล่นก็ไม่รุ้
น่าหยะแหยง แหวะ.. ไปล้างมือให้สะอาดเลยนะ
ไม่งั้นไม่ต้องไปกินข้าวร่วมโต๊ะด้วย แหวะๆ..."
พี่สาวคนโต พูดพลางทำท่าขนลุกขนพอง
หลังจากพี่สาวก้าวพ้นเขตที่เราสองคนพ่อลูกขุดไส้เดือนเพื่อเอาเป็นเหยื่อตกปลากันแล้ว
เราสองคนพ่อลูกต่างหันมองหน้ากัน หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
" เตี่ยๆ แล้วเราขุดไส้เดือนไปให้ปลากินไม่บาปเหรอเตี่ย "
ฉันพูดเหมือนคนที่กลัวบาปเต็มที
ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้าตาของเจ้าตัว บาป เลยสักครั้ง
" ไม่หรอกลูก มันเป็นวัฏจักของธรรมชาตินะลูกน
ะ ถึงแม้ว่าเราไม่ขุดไส้เดือนไปเป็นเหยื่อปลา
พอถึงเวลา ไส้เดือนก็ตายไปเอง แถมซากของไส้เดือนยังเป็นปุ๋ยให้แก่ดินอีกน่ะ "
" เตี่ยๆ แล้วไอ้วัฏจัก คืออะไรล่ะเตี่ย " ฉันถามเตี่ยด้วยความสงสัย
พลางเดินก้าวข้ามสะพานไม้หมากไปยังคลองอีกฝั่งเพื่อนำราวเบ็ดไปปักไว้
ในขณะเดียวกันอุ้งมืออันแข็งแรงและอบอุ่นของเตี่ยก็คอยจับมือฉันไว้
ไม่ให้ฉันก้าวพลาดพลัดตกจากสะพานไม้หมากแห่งนั้น
" อืม.. แล้วจะเล่าให้ฟังนะลูกนะ ไว้ให้หนูโตอีกนิด ตอนนี้คุยไปก็แค่นั้น "
รอยยิ้มเตี่ยผุดพรายในใบหน้า ไม่เคยมีเลยที่เตี่ยจะรำคาญลูกๆ ไ
ม่่ม่เคยมีเวลาไหนที่เตี่ยจะบ่นให้ลูกๆได้ยิน
ฉันชอบที่จะเสาะแสวงหาความรู้ประสบการณ์รอบบ้านกับเตี่ย
ประสบการณ์ที่ฉันคิดว่า เด็กๆในเมืองไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้สัมผัสธรรมชาติชนบทบ้านเรา ฉันโชคดีที่เกิดเป็นลูกของเตี่ย
เตี่ยสอนให้ลูกๆได้เรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ แม้แต่ .38 ฉันก็เคยจับมาแล้ว
เตี่ยสอนแม้แต่กระทั่งว่า การป้องกันตัวเองในกรณีที่ว่าไม่ชอบมาพากล
เตี่ยไม่เคยห้ามถ้าฉันจะเล่นตะกร้อ กลับมาร่วมวงสนุกด้วยกันซะอีก
เตี่ยบอกว่า อยากทำอะไรทำไป ถ้าไม่เดือดร้อนคนอื่น
ทุกวันนี้ฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆที่ชนบท แต่ไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว ความจำเป็นในการดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเอง
ทำให้ฉันต้องทนอยุ่ในเมืองแคบๆ อึดอัด
สังคมรอบตัวเราเหมือนคนแปลกหน้าของกันและกัน
แม้ว่าบ้านเราหลังเก่ายังเหมือนเดิม
แต่ บางสิ่งบางอย่างไม่่เหมือนเก่า ชิงช้าตัวนั้นไม่มีเสียแล้ว
ผุพังตามกาลเวลา
ต้นขี้เหล็กใหญ่โต เคยให้ร่มเงาต่างพากันโค่นล้มราวกับไม่ต้องการยืนต้นอีกต่อไป
พวกเขาคงเหน็ดเหนื่อยกันมานานมากโขแล้ว
บางทีก็เหนื่อยนะ บางครั้งก็ท้อ อยากพักอย่างพวกต้นขี้เหล็กเหล่านั้นบ้าง
แต่ทำไม่ได้อย่างพวกเขาน่ะซิ เราเป็นคน
ไม่ใช่ชิงช้าตัวนั้น ไม่ใช่ต้นขี้เหล็กต้นนั้น
เฮ้อ..นั่งคิดถึงเรื่องราวของวันวาน แล้วอดที่จะยิ้มเสียไม่ได้ สุขใจอย่างบอกไม่ถูก
.........................................