1 ตุลาคม 2551 14:31 น.

ชวนพี่เมี่ยงไปชิงเปรต

ฉางน้อย

00475_0.jpg..ภาพนี้เป็นขนมลา.. 


  " พี่เมี่ยง อย่าลืมล่ะ เช้าวันพฤหัสฯที่ 25 พี่มารอรถที่บ้านวานะ ไปพร้อมกัน " 
วาย้ำพี่เมี่ยงถึงการเดินทางไปต่างจังหวัด
เพื่อร่วมงานประเพณีสาร์ทเดือน 10 หริอว่าประเพณีชิงเปรต นั่นเอง

" จ้า...ไม่ลืมหรอกนะ นานๆได้เที่ยวเดินทางไกล ไม่ตื่นสายด้วย รับรองจ๊ะ " 
พี่เมี่ยงรับปากมั่นเหมาะ

.........เช้าวันเดินทางก็มาถึง พี่ชายเอารถส่วนตัวไปเอง ออกจาก กทม.ประมาณ 6โมงเช้า วากับพี่เมี่ยงนั่งเบาะหลัง คุยกันเบาๆ
" อืม..ไหนวาลองเล่าซิ ประเพณีชิงเปรตที่วาบอกนั่นน่ะ 
มีจริงเหรอ แล้วเป็นยังไง " พี่เมี่ยงยังคงสงสัย

" ฮั่นแน่ะ อยากรู้ใช่ไหมล่ะ จ่ายมาก่อน 300 แล้วจะเล่าให้ฟัง " 
วา ไม่ค่อยงกสักเท่าไหร่ อิอิ
" เออ..น่ะ เล่าดิ ถ้าพี่เชื่อถือได้ จ่ายอีก 200 โอเค๊." พี่เมี่ยงคำต่อรอง

" คืองี้นะพี่เมี่ยง ประเพณีชิงเปรต หรือ สาร์ทเดือน 10 ห
รือว่า ประเพณีรับส่งตายายอ่ะนะ มักเป็นชื่อเรียกทางภาคใต้กันนี่เอง " 
วา เริ่มพูดคุย เล่าเรื่องราวถึงสิ่งที่ตัวเองได้รับรุ้และสืบทอดกันมาช้านาน

" ประเพณีชิงเปรต เป็นความเชื่อเก่าแก่ที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษที่ยังคงดำรงรักษามาจนถึงทุกวันนี้
ปรเพณีนี้ถือเป็นการทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว " วาเล่าได้โดยไม่ติดขัด ทำให้พี่เมี่ยงที่นั่งฟังนั้นชักมีอาการทึ่งในความมีสาระของยิหวาในวันนี้ 

" ญาติผู้ล่วงลับนั้นหมายถึง ผู้ที่มีบาปหนา ตกนรกด้วยนะพี่เมี่ยง ตกนรก เลยกลายเป็น..เปรต..ไงคะ "

" หือ..พี่เมี่ยงอ่ะ ฟังวาอยุ่ไหมเนี่ยะ "
 วา เอ่ยถามเมื่อเห็นพี่เมี่ยงนั่งเงียบเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
" อืม...ฟังซิ เล่าต่อนะวา พี่แค่คิดเล่นๆว่า หน้าตาของ เปรต จะน่ากลัวสักแค่ไหนเชียว " 
" แหม.. ยังไง พี่เมี่ยงก็หล่อกว่าอยู่แล้วล่ะคะ อิอิ "
 วา พูดพลางเอี้ยวคอหลบรัศมีของมะเหงกพี่เมี่ยง

...... รถยังคงแล่นไปเรื่อยๆพี่ชายคนขับ ยังคงมีสมาธิในการขับรถ 
คนนั่งข้างพี่สาวคนโต หรือเจ๊ใหญ่นั่นเอง เป็นเพื่อนนั่งคุยกับพี่ชาย
" อ่ะ วาเล่าต่อนะ พี่เมี่ยงห้ามเขกกะโหลกวาด้วย
 เดี๋ยวอดฟังเรื่องเปรตไม่รุ้ด้วยน๊า " วาเริ่มมาไม้อ่อน อิอิ

" .... เปรตน่ะนะพี่เมี่ยงจะได้รับการปล่อยตัวจากยมบาลให้มาพบลูกหลานและญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์ใน แรม 1 ค่ำ เดือน 10 
และ ให้อยู่ในเมืองมนุษย์ได้เพียง 15 วัน "

" อืม...แล้วไงต่อ เล่าซิ "
 พี่เมี่ยงเอ่ยถาม หลังจากที่วา นั่งเงียบไปซะเฉยๆ 

" วา คิดว่าวา เห็นเปรตริมทางเข้าแล้วล่ะพี่เมี่ยง " 
และแล้วก็เป็นจริงดั่งที่วาคาดคิด เพราะรถของพวกเราเข้าเขตจ.เพชรบุรีแล้ว มี
ตำรวจทางหลวงเรียกโบกมือให้พี่ชายแอบรถไหล่ทาง ชิดริมถนน
ไม่มีด่านตรวจ ไม่มีอะไรที่จะส่อว่า จะมีเจ้าหน้าที่เรียกตรวจ

" คุณจะไปไหนกันเนี่ยะ ไหนขอดูใบขับขี่หน่อยซิ " ตำรวจทางหลวงนายนั้นถามพี่ชายด้วยวาจา และ ท่าทางที่วางอำนาจ
" รับใบสั่งนะ คุณขับรถเลนขวา " 
วาคิดในใจ ผิดตรงไหน(วะ)รุถว่างๆก็วิ่งเลนขวาได้นี่(หว่า)

" พี่ครับ ไม่ต้องเขียนใบสั่งหรอกครับ 100 พอไหมครับ "
 พี่ชายถามโดยไม่ต้องการคำตอบยื่น100บาทแนบกับใบขับขี่
 หมอนั่นยังมีหน้าบอกว่า ขับรถดีๆนะครับ .....

" อ้อ พี่คะ หนูยังไม่ได้ตอบพี่เลยนะคะ ว่าจะไปไหนกัน คือว่า พวกหนูกะพี่ๆจะกลับบ้านไปทำบุญให้เปรตน่ะค่ะ"
" เปรตริมทางที่อดอยาก หิวโหยไงคะ หนูสบายใจแล้วคะ ทำบุญแล้ว ..."
 วา ยังมีหน้าไปแจ๋นใส่ตำรวจทางหลวงผู้นั้นอีก ทำให้พี่ชายต้องรีบออกรถโดยเร็ว ก่อนที่จะโดนคดีเรื่องไม่เป็นเรื่อง 55555

" เห็นไหมล่ะพี่เมี่ยง พี่ชายทำบุญให้เปรตไปแล้ว 1 ตัว คงสบายใจแล้วเนอะเฮียเนอะ " วาพูดพลางพยักเพยิดให้กับพี่ชายคนโต
" โห ยัยวานี่ ไปว่าเค้า ปากจัดนะเรานี่ ไม่เบา แหมๆๆๆ " พี่
เมี่ยงหันมองดุๆ

" อ่ะ ฟังต่อดีกว่า เนอะพี่เมี่ยง เมื่อเปรต มาอยู่ในเมืองมนุษย์ได้แค่ 15 วัน ฉะนั้นเมื่อถึงแรม 15 ค่ำเดือน 10 พวกเค้าก็กลับไปภูมินรกเหมือนเดิม " 
" การมาเยื่อมเยือนของเปรตผู้ล่วงลับ ทางภาคใต้ถึงได้เรียกว่า รับ ส่งตายายไงคะพี่เมี่ยง "
" อ่อ...... พี่พอจะเข้าใจแล้วล่ะ " ดูท่าทางพี่เมี่ยงฉลาดขึ้นมานิดนึง อิอิ


  " แล้วที่บ้านวาต้องเตรียมอาหาร กับข้าว ขนมไปวัดไหมละ เหมือนที่กรุงเทพฯไหมวา ?" พี่เมี่ยงถาม เพราะไม่เข้าใจประเพณีทางใต้จริงๆ
" แล้ววาต้องไปเป็นเปรต เอ๊ย ไปชิงเปรตด้วยป่ะ " 
พี่เมี่ยงถามแต่ แอบอมยิ้มในหน้า

" นี่แน่ะ...หาว่าเค้าเป็นเปรต หยิกซะ" วา เอาปลายเล็บเหน็บที่สีข้างพี่เมี่ยงพองาม แต่ทำให้พี่เมี่ยงบิดตัวหนีเล็บยัยวา 
" แหะ..แหะ..โอเค จ๊ะ พี่ไม่แหย่วาแล้ว นะคนดี 
เล่าต่อๆจ๊ะ อยากฟัง " นายเมี่ยงคำออดอ้อน
" อ่ะๆ.. เล่าต่อก็ได้ ห้ามขัดคออีกละ เดี๋ยวโดนๆ " 

" ก็พอถึงงานประเพณีสำคัญ แต่ละบ้านก็จัดเตรียมอาหาร
 คาวหวานใส่สำรับเป็นชุดๆ ซึ่งจะมีสามชุดน่ะค่ะ 

ชุดที่ 1... จัดอาหารคาวหวาน ของกินของใช้ต่างๆสำหรับพระภิกษุสงฆ์ 
เพื่อใช้ในการกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล

ชุดที่ 2 ...จัดให้เปรตกินในวัด เป็นเปรตชั้นดี ที่สามารถเข้าออกวัดวาได้
 จะมีการสร้างร้านหรือ ปลูกเป็นศาลาสูงๆไว้ตั้งสำรับสำหรับเปรตกิน 
ภาคใต้เรียกว่า หลาเปรต " วาสาธยายได้โดยไม่ติดขัด

" อะไรนะวา หลาเปรต แปลว่าอะไร ไม่เข้าใจ "
 พี่เมี่ยงทำสีหน้างุนงงแบบเล็กๆ อิอิ

" หลาเปรต ก็ คือ ศาลาไง ศาลาที่ไว้วางขนมแหละ
 ชาวบ้านก็จะนำมาวางบนนี้ ไว้ให้เปรตกินเสร็จ ค่อยไปแย่งไงคะ " 
วา เล่ามาถึงตรงนี้ด้วยสีหน้าอมยิ้ม 
ดูท่าทางเธอคงอดขำไม่ได้ว่า ชิงเปรต อิอิ 

" ส่วนสำรับชุดที่ 3 นะคะพี่เมี่ยง....
ชุดที่ 3 เราจะจัดให้เปรตกินนอกวัด 
ส่วนมากเป็นเปรตที่เข้าวัดเข้าวาไม่ได้คะ 
แต่ละบ้านจะจัดทำกระทง หรือ กรวยใบเล็กๆ ไว้ใส่กับข้าว 

เพื่อทำทานให้แก่เปรต โดยจะนำอาหารที่ใส่กรวยนี้ ไปวางริมทางเดิน 
ริมถนน ทางเข้าวัด หรือโคนต้นไม้ แล้วแต่คะ 
แต่เราต้องกล่าวคำเชิญให้เปรตได้มารับส่วนบุญที่เรานำมาวางให้เขาด้วยนะคะ เขาจะได้ไม่อดอยาก จะได้ไม่ทนทุกข์ทรมาน "

" ว่าแต่ว่า พี่เมี่ยงจะเลือกอาหารสำรับไหนดีน๊า อิอิ "
 วา ถามพลางหัวเราะคิกๆชอบใจ
" พี่ก็กิน อย่างที่วากินแหละ 5555 " พี่เมี่ยงเอาคืน 

" นอกจากอาหารคาวหวานในสำรับแล้วนะคะพี่เมี่ยง 
ยังมีขนมอีกนะคะ เป็นขนมประเพณีทางใต้โดยเฉพาะค่ะ " 
วา เริ่มเล่าต่อ เมื่อเห็นพี่เมี่ยงยังอยากรุ้อยากฟัง

" เหรอ วา เปรตกินขนมได้ด้วยเหรอ พี่เคยได้ยินว่า 
เปรตน่ะ ปากเท่ารูเข็มนี่นา " พี่เมี่ยงซักถามจริงๆด้วย

" นั่นแหละ เพราะเปรตมีปากที่เท่ารูเข็มไงคะ
 ขนมแต่ละอย่างแต่ละชื่อ เลยมีที่มาแตกต่างกันไงค
ะ อีกทั้งขนมแต่ละอย่างยังแทนสัญญลักษณ์ต่างๆด้วยนะคะ "

" ขนมที่วาบอก จะมี 5 อย่าง คะ เช่น ขนมกง ขนมลา
 ขนมพอง ขนมดีซำ ขนมสะบ้า "
 วา พูดพลางยิ้มน้อยๆ
 เมื่อเห็นพี่เมี่ยงของเธอทำสีหน้า งง หนักมากขึ้นกว่าเดิม

" 1...ขนมพอง ทำจากแป้งข้าวเหนียว 
นำนึ่ง ตากให้แห้ง ทอดด้วยน้ำมัน โรยหน้าด้วยน้ำตาลให้หวานๆ 
พี่เมี่ยงรู้ไหม ขนมพอง แทนสัญญลักษณ์ของอะไร ?
" วาถามพี่เมี่ยง ซึ่งได้แต่ทำหน้างง

" ขนมพอง แทนสัญญลักษณ์ ของแพ คะ
 ไว้ให้เปรตนั่งตอนขากลับ เพื่อข้ามห้วงมหรรณพ
 เป็นความเชื่อของคนโบราณแหละพี่เมี่ยง " 
พี่เมี่ยง ได้แต่พยักหน้ากึกๆ

" 2...ขนมกง หรือขนมไข่ปลานั่นเอง
 อย่าถามว่าทำยังไง วาไม่ค่อยรู้หรอก
 รู้แต่ว่า ขนมกง แทนความหมายของเครื่องประดับ 
รู้แค่นี้แหละคะ 55555 "

" 3...ขนมลา แทนความหมายของเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มคะ
 อีกอย่าง เปรตกินได้สะดวก
 เพราะเป็นตาข่ายเล็กๆ เป็นเส้นยาวๆ ที่
เปรตปากเท่ารูเข็มก็กินได้ไงคะ
 ทำจากแป้งมัน ผสมน้ำมันมะพร้าว ใส่ไข่ไก่ด้วย
 แต่อย่าถามว่า ทำยังไง ไม่ทราบคะ อิอิ " 

" อ่อ งั้นมีเปรตมีชีวิตได้ รอดด้วยขนมลามั้ง 
เพราะขนมอื่น เขาคงกินยากน่ะมั้ง เนอะ วา " 
พี่เมี่ยงเริ่มออกความเห็น 

" 4...ขนมดีซำ แทนความหมายของเงิน เบี้ยสมัยก่อน
ให้เปรตเพื่อใช้สอยในเมืองนรก

และ 5...ขนมสะบ้า แทนลูกสะบ้าที่ใช้เล่นในงานสงกรานต์ 
งานรื่นเริงต่างๆค่ะ จบแล้วววว " 

  " เดี๋ยวก่อนวา วาจบ แต่พี่ยังไม่จบ อิอิ พี่ยังสงสัยนี่ ว่า ชิงเปรต กันตรงไหน ยังไง ? "

" อ่อ ... ใช่ๆ วาลืมไปได้ไงน๊า จุดสำคัญของงาน อิอิ
 คือ เมื่อเราจัดสำรับวางบนหลาเปรต 
หรือศาลาเปรตแล้วนะพี่เมี่ยง 
บนหลาเปรคจะมีสายสิญจ์พันยาวๆๆรอบๆศาลานั้นไปยังพระสงฆ์ที่นั่งทำพิธีกรรมบังสุกุลอัฐ
 หรือ เขียนชื่อญาติผู้ล่วงลับในแผ่นกระดาษนำมาวางไว้ตรงนั้นแหละ 
พระท่านก็จะทำพิธีกรวดน้ำไปให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว "

" และเมื่อเสร็จพิธีกรรม ต่อไปก็เป็นการชิงเปรต 
นั่นก็คือ การที่เด็กๆหรือลูกหลาน แม้แต่ผู้ใหญ่ไปแย่งชิงสิ่งของ
 ขนมบนศาลาเปรตไงคะ
 งานนี้มีแต่ความสนุกสนานคะ ไม่มีว่าแย่งแบบเอาเป็นเอาตาย 
แต่แย่งเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวด้วยไงคะ 

อีกทั้งเปรต หรือญาติๆที่ตายไปก็จะได้ดีใจว่าลูกหลานมาร่วมงาน โดยไม่คิดรังเกียจพวกเขาไง
 บางที่เขามีการโยนกำพฤก หรือบางที่เรียก กำพริก 
เด็กๆก็เข้าไปแย่งกันคะ "
 วา เล่าต่อด้วยสีหน้ามีความสุขเมื่อนึกถึงวันเก่าครั้นเยาว์วัย

" กำพฤก หรือ กำพริก แปลว่า อะไรล่ะวา "
 พี่เมี่ยงสงสัยอีกแล้วซิ 

" ก็เป็นเงิน เหรียญ หรือ แม้แต่หมายเลขที่จะนำมาจับสลาก
 เพื่อได้สิ่งของไงคะ " 

" อ่อ .. พี่เข้าใจแล้วละ วันนี้วาเก่งนะ มีสาระดีด้วย
 เออ... ว่าแต่ว่า พี่ขอร้องอะไรวาสักอย่างได้ไหม หือ ? "

" อะไรคะพี่เมี่ยง " คราวนี้ ตัววาเองเป็นฝ่ายที่มีสีหน้าสงสัย

" ว่างๆ วาก็หัดให้พี่พูดภาษาใต้บ้างซิ "
 พี่เมี่ยงพูดพลางทำตาหวานเยิ้มยิ่งกว่าขนมเมืองเพชร อิอิ 

" อ่ะ ทำไมจู่ๆอยากพูดใต้ละคะ ? " 
" อ๊าววว... พี่จะไปเป็นลูกเขยใต้ พี่ต้องหัดพูดซิ จริงไหมละ "

งานนี้วาไม่ขอตอบคะ ว่าผลที่ออกมาเป็นยังไง อิอิ 

รู้แต่ว่าที่แน่ๆวันนั้น ที่ไปร่วมงานบุญกับยิหวาที่วัดนั้น 
ยัยวาก็ไปแย่งชิงขนมเปรตด้วย 
ชวนพี่เมี่ยงก็ไม่ยอมออกไป อ้างว่าเขิน อายเด็ก 

แต่ปรากฎว่า หันมาอีกที พี่เมี่ยงเข้ามาแย่งยัยวาด้วยซิคะ 

" อ้าว พี่เมี่ยง ไหนว่าไม่มาแย่งด้วยไง มาได้ไงเนี่ยะ " 

" พี่ก็ไม่อยากเข้ามาแย่งกับเขาหรอกนะ 
ใครก็ไม่รู้ซิ ถีบพี่เข้ามาในวงนี้แหละ "

วาไม่ตอบกระไร นอกจากเสียงฮาก๊ากกกก 5555555

...........................................................................

( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) 

00475_1.jpgภาพขนมต้มห่อด้วยใบกะพ้อ				
1 ตุลาคม 2551 00:28 น.

หมาก พลู และคุณยายข้างบ้าน

ฉางน้อย

สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกๆท่าน 

อิอิ อย่าแปลกใจคะ วันนี้อาจไม่ใช่เรื่องสั้น 

ฉางน้อยเพียงต้องการบอกเล่ากล่าวขานอาชีพหนึ่ง

อาชีพที่ใครบางคน หรืออีกหลายๆคนไม่เคยได้สัมผัสด้วยตนเอง

นั่นคือ อาชีพของคนที่อยู่ชนบท 

....ทายซิคะ อาชีพอะไรเอ่ย ? ....ติ๊ก..ต่อก..ติ๊ก..ต่อก..

.....แต๊น...แต่น...แต๊นนนน.....

..........การทำสวนหมาก สวนพลูไงคะ .....

       พอดีว่า ฉางน้อยกลับไปใต้มาค่ะ เลยถ่ายรูปเก็บไว้คะ

เก็บไว้ก่อนที่จะไม่มีให้เก็บ อิอิ 

        พลูก็ต้องคู่กับหมากใช่ไหมคะ คนรุ่นปู่ย่าตายายคะ ชำนาญ

ท่านชำนาญการเคี้ยวหมาก เป็นสิ่งที่มีติดตัวทุกบ้านทุกครัวเรือน

ฉางน้อยกลับไปเยี่ยมคุณยายท่านหนึ่ง ชื่อ  คุณยายเปี้ยน

อายุ90กว่าแล้วคะ  แต่แกยังแข็งแรงนะคะ รดน้ำต้นไม้สบายมาก

.....ฉางน้อยคิดว่า ต่อไปอีกไม่นาน อาชีพของคนชนบทเหล่านี้

คงเลือนหายไปตามกาลเวลา เพราะไม่มีใครสืบทอดเจตนารมณ์

....จะสืบทอด หรือ สืบปิ้งหรือย่างก็แล้วแต่นะคะ แหะ..แหะ..

ไปดูกันคะ .......ฟิ้ววววววววววววว				
29 กันยายน 2551 22:04 น.

...ปลูกต้นรักกันเถอะ...

ฉางน้อย

00474_1.gif"  พี่เมี่ยง วาอยากซื้อต้นไม้ไปปลูกบ้างแล้วล่ะ 
พี่เมี่ยงว่าต้นอะไรดีล่ะ "  
ยิหวาเอ่ยปากถามพี่เมี่ยงในเย็นวันหนึ่งขณะที่เขาเปิดก๊อกลากสายยางรดน้ำต้นไม้บริเวณบ้าน

" หือ..พี่เมี่ยงว่าต้นอะไรดีละ ที่ปลูกง่ายๆโตไวๆน่ะ " 
แน่นอน ยิหวาพูดกับพี่เมี่ยงคำของเธอ มักจะไม่ค่อยมีคะขา 
นานๆจะผ่านออกจากปากเธอสักครั้ง พี่เมี่ยงก็ชาชินกับคำแบบนี้ของเธอมานานแล้ว 

   พ่อยอดชายนายเมี่ยงคำของยัยวา ยังคงทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ยิหวาเอ่ยปากถามออกไป แต่เขาคงทนรำคาญของยัยวาไม่ได้ เลยบอกออกไปแค่คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมายชัดเจน

" ถั่วงอก " แน่นอน พี่เมี่ยงฟันธงแล้วว่า ถั่วงอก อิอิ  พี่
เมี่ยงพูดจบก็รดน้ำต้นไม้ต่อหน้าตาเฉยมากๆ

" บ้าซิพี่เมี่ยง ถั่วงอกเอามาทำอะไร วาไม่ได้อยากกินก๋วยเตี๋ยวหรือว่า
ผัดไทสักหน่อยน่ะ " ยัยวา แว้ดเข้าให้

'  อ้าว ก็ไหนวา บอกพี่เองไม่ใช่เหรอว่า ปลูกต้นอะไรก็ได้ที่
โตไวๆไม่ต้องดูแลรักษา แล้วหน้าตาอย่างวาน่ะ 
พี่มองออกว่า เพาะเมล็ดถั่วเขียวให้กลายเป็นถั่วงอกได้ แค่นี้วาก็เก่งแล้วล่ะ หุหุ" พี่เมี่ยงเหมือนพูดไม่ค่อยให้กำลังใจยัยวาเล๊ย เฮ้อ..

" โอ๊ย..ไม่คุยกะพี่เมี่ยงแระ พูดไม่รุ้เรื่อง 
วาพูดจริงๆนะ ไม่ได้พูดเล่นซะเมื่อไหร่ "  
นางสาวยิหวา พยายามเก๊กสีหน้าให้จริงจังกว่าทุกครา

" เอ..ต้นอะไรดีน๊า เหมาะกับวามากที่สุด 
อ่อ..นี่เลย คุณนายตื่นสายเป็นไง  " 
พี่เมี่ยงคำพูด แต่ก็กลั้นยิ้มในใบหน้า ก
ลัวโดนแว้ดเป็นรอบที่สอง 555

" จริงๆนะเหมาะกับวามากที่สุด
 ยิ่งเสาร์อาทิตย์พากันตื่นสายทั้งบ้าน ทั้งต้นไม้ทั้งเจ้าของ "
  พี่เมี่ยงคำพยายามทำสีหน้าจริงจังทั้งๆที่กลั้นหัวเราะแทบตาย 
ขืนหัวเราะออกมาดังๆตอนนี้ซิ ยัยวาจะได้โดดงับหูเข้าให้ อิอิ

" พอเลยๆ พี่เมี่ยง ไม่ต้องเสนออะไรทั้งนั้นนะ วาคิดเองดีที่สุดมั้ง " 

" นี่ไง รู้แล้วๆ วาจะปลูกต้นอะไรดี ต้นรักไงพี่เมี่ยง ดีป่าว " 

" จ๊ากกกก ก๊ากกกกก.. ...ฮ่า ฮ่า ..."
 ว่าแล้ว ต่อมขำของพี่เมี่ยงยังคงทำงานเป็นปกติ 
หลังจากที่พี่เมี่ยงตกตะลึงชั่วขณะตดยังไม่ทันหายเหม็น
 พี่เมี่ยงถึงกับอดกลั้นหัวเราะไม่ได้ 
 เพราะเสียงหัวเราะของพี่เมี่ยงนี่แหละ 
ทำให้ไส้เดือนดินตัวน้อยๆตกอกตกใจพากันแหงนหน้ามองหาที่มาของเสียง 
แล้วพากินคลานกระดื๊บๆหลบลงรูไป อิอิ

 "  ยัยวาเอ๊ย ไม่รู้จักโต ตัวเท่าลูกหมาริอ่านจะปลูกต้นรัก 
รู้เหรอ ต้นรักเป็นยังไง ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดาๆนะ  " 

" วาพร้อมเหรอ ที่จะเรียนรู้ ดูแลรักษาทนุถนอมความรัก "

" วาพร้อมเหรอ ที่จะใส่ปุ๋ยรดน้ำพรวนดิน 
กว่าดอกรักจะเติบโตแข็งแรงไม่ใช่ง่ายๆนะยัยวา " 
คราวนี้ สีหน้าท่าทางของพี่เมี่ยงจริงๆจังๆมากวุ้ย(คะ) 

     พี่เมี่ยงคำ เดินเลี่ยงไปปิดก๊อกน้ำแล้ว
วางสายยางรดน้ำบนพื้นสนามหญ้าไว้อย่างงั้น
 วา ได้แต่นั่งฟัง ครุ่นคิดตาม

 " วา มาดูนี่ซิ เห็นอะไรไหม ? " 
พี่เมี่ยงชี้นิ้วให้วาดูอะไรบางสิ่งบางอย่าง
ที่วางบนโต๊ะตัวเตี้ยๆริมสนามหญ้าใต้ชายคา

" ก็เห็น..ต้นไม้เป็นกลากเกลื้อนมั้ง 
เห็นเป็นด่างๆดวงๆนี่นา สงสัยไม่ชอบอาบน้ำ 
เนอะ พี่เมี่ยงเนอะ "  ยิหวายังคงเฉไฉไปตามเรื่อง 

" นี่น่ะ เขาเรียกว่า พลูด่าง พี่นำมาปลูกในขวดโหลแก้วไง " 
พี่เมี่ยงพยายามใจเย็นกับยัยวา 
เขาพูดพลาง(แอบ)ส่ายหน้าด้วยความระอา
(ระอา ดีกว่า ระราน นะคะ อิอิ)

" ว่าไงนะคะ พลูด่าง เหรอ ? "
 คราวนี้ยัยวาทำสีหน้าเหมือนลิงที่โดนลูกมะพร้าวหล่นใส่หัว
 (ก็ มึนงุนงง ไงคะ อิอิ )

" อืม..นั่นแหละ พี่จะคุยให้ฟังนะ " 
พี่เมี่ยงคำพูดพลางก็ยกขวดโหลแก้วที่ใส่พลูด่าง
มาวางตรงหน้ายิหวา เพื่อให้เธอได้พินิจพิจารณาอะไรบางอย่าง

" พลูด่างในขวดโหลแก้วนี้น่ะนะ วา 
พี่เพียงแค่เอารากแช่น้ำ แล้ววางไว้ในที่ร่ม 
ให้โดนแดดโดนลมพอประมาณ 

แต่ต้นรัก หรือความรักของใครบางคน
หรือระหว่างคนสองคนนะวา
ต้องดูแล ห่วงใย เอาใจใส่
มากกว่าต้นไม้ที่วาจะปลูกอีกนะ เข้าใจไหม ? "

พลูด่างไม่มีวันตายถ้าไม่ขาดน้ำ 
แม้แต่ความรักยังต้องมีสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจให้เข้มแข็ง
 เชื่อมั่น เชื่อใจกันและกัน ห่วงใยกันตลอด

     วา ได้แต่นิ่งฟังพี่เมี่ยงคำพูด
 ตาก็จ้องมองต้นพลูด่างของพี่เมี่ยงที่เห็นรากขาวๆลอยปริ่มๆน้ำ

" แล้ววารู้ไหม ทำไมพลูด่างไม่ตายทั้งๆ
ที่ไม่มีดินให้รากชอนไช ? " 
พี่เมี่ยงตั้งคำถามปวดกะโหลกให้ยัยวาอีกแล้วซิ

" ไม่ทราบคะ "
 ไม่ต้องรอให้ถามย้ำอีกที ยิหวาคนดีตอบทันทีทันใด

" ตอบง่ายจังนะวา ไม่ทราบค๊ะ "
 พี่เมี่ยงคำดัดเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบยิหวา

" ที่พี่ถาม เพราะอยากให้วาหัดคิดตาม 
ไม่ใช่ฟัง แล้วค่ะๆๆ อย่างเดียว "

" ค่ะ เอ๊ย รู้แล้วน่ะ แต่วากำลังจะบอกว่า ไม่รู้ ไม่ทราบค่ะ "

" ไม่รู้ แล้วทำไมไม่ถาม " พี่เมี่ยงรุก 

" โดนอีกแระตู ทั้งขึ้นทั้งล่อง "
 เปล่าคะ ประโยคนี้วาไม่ได้พูดออกไป 
วาทำได้เพียงแค่คิดในใจ 
ขืนคิดนอกใจคำนี้ให้พี่เมี่ยงได้ยินล่ะก็เป็นเรื่องแน่  .
.แฮ่..แฮ่..

"  ที่พลูด่างไม่ตายทั้งๆที่ไม่มีดินให้รากชอนไช
 เป็นเพราะว่า พลูด่างหรือต้นไม้บางพันธ์
สามารถหยั่งรากได้ทั้งในน้ำและบนดิน " 
พี่เมี่ยงพยายามอธิบายด้วยความรุ้เท่าที่มี 

" อ่อ...ครึ่งบกครึ่งน้ำ.."
 วาเชิดหน้าตอบทำสู่รู้ว่าตัวเองก็ฉลาดเหมือนกัน แต่ผิดคาดคะ

" บ้าซิ วา ต้นไม้นะ
 ไม่ใช่สัตว์หรือกบหรืออึ่งอ่างที่จะได้กลายพันธ์เป็นครึ่งบกครั่งน้ำ 
แหมๆ เราน่ะ เหลือเกินจริงๆเลยน่ะ  
พี่เมี่ยงคำทำได้เพียง(แอบ)ส่ายหน้าอีกแล้วครับทั่น 
เป็นรอบที่ 2 อิอิ  
  ส่วนยัยหวา จ๋อยสนิท

" คืองี้นะวา พี่กำลังจะบอกว่า
 ต้นไม้บางชนิดอาจต้องมีรากไว้ยึดเหนี่ยวลำต้น  
แต่ความรักระหว่างคนสองคนน่ะ ต้องมีรากฐานของความเข้าใจกัน 
มีความเชื่อใจ เชื่อมั่นซึ่งกันและกัน "

" พอจะเข้าใจที่พี่พูดไหมเนี่ย..หือ..
 เราน่ะยิ่งเข้าใจอะไรยากๆอยู่ด้วยซิ " 
พี่เมี่ยงคำไม่ยอมเปิดโอกาสให้วาได้แสดงความฉลาดออกมาหนที่สอง  อิอิ

" รู้แล้วนะ แหมๆๆ...." ประโยคนี้ติดปากยัยวาเสมอๆ 
แต่ติดใจพี่เมี่ยง อิอิ เธอมักพูดเพื่อตัดบท หรือ 
เพื่อตัดความรำคาญนั่นเอง แฮ่..แฮ่..

 
"  อ่อ ..พี่ถามอะไรนิดซิ
 ทำไมจู่ๆอยากจะปลูกต้นม้งต้นไม้กะเขาล่ะ ? "
 พี่เมี่ยงทำสีหน้างุนงง เล็กน้อยถึงปานกลาง 
บวกกับความสงสัยที่กำลังแผ่ปกคลุมกระจายเป็นหย่อมๆ  5555

" ก็ไม่มีอะไรนี่นา วา แค่อยากปลูกอยากถามเฉยๆแหละ " 
ยัยวาตอบพลางทำหน้าแอ๊บแบ๊ว 
เอ หรือว่า แอ๊บบ๊องส์ ชักไม่แน่ใจคะ
 วันนี้เธอคงเขินจัด เลยยืนบิดตัวไปมาๆ เหมือนหอยทากโดนน้ำร้อนลวก 
น่ารักหรือน่าถีบ คิดเองเองคะ อิอิ

" เอ่อ... พี่เมี่ยงคะ ถ้า...ถ้าวาจะปลูกต้นรักจริงๆสักต้น 
พี่เมี่ยงจะช่วยวาดูแลรักษาต้นรักของเราไหมคะ ? " 
เอาละวุ้ย(คะ)ยัยวาเริ่มหวานแระ อิอิ

" สำหรับพี่เมี่ยงคนนี้นะวา 
พี่นะเตรียมกระถางเตรียมดิน
ไว้ตั้งแต่วายังไม่คิดที่จะปลูกต้นรักเลยนะ 

ตอนนั้นวาเพิ่งจะเริ่มปลูกอะไรก็ได้ที่โตง่าย ตายไว 
เอ๊ย ดูแลง่าย โตไว 
วามองเห็นเพียงแค่ต้นถั่วงอก  
ว่าแต่วาเถอะ เมื่อไหร่จะลงมือปลูกวสักทีละ หือ ว่าไง "

  วี๊ดดดดวิ้วววว....หวานจัด มดดำ มดแดง มดคันไฟ
ต่างพากันหนีความหวานพากันลงรูหมดแระ 555

" ไม่ใช่เพียงคำว่า พี่ หรือ แค่คำว่า วา 
แต่จะมีคำว่า เรา .

.เราสองคนจะหมั่นถนอมดูแลรักษาน้ำใจกันยามยาก 
ไม่ทอดทิ้งกัน ต้องเชื่อใจกันและกัน
 สองเราจะหมั่นรดน้ำพรวดดิน
ให้ต้นรักเจริญเติบโตเป็นลำต้นที่ใหญ่แข็งแรง
พร้อมที่จะออกดอกออกผลในวันข้างหน้
า วาทำได้ไหมละ ช่วยกัน "
 พี่เมี่ยงยังคงทำซึ้งๆ 555

" ค่ะ...พี่เมี่ยง " 

" งั้น วากลับก่อนนะคะ " 
วา รับปาก แต่ลุกลี้ลุกลนอย่างผิดสังเกตุ

" อ้าว วา ไปไหนทางนั้นน่ะ ประตูรั้วบ้านพี่อยู่ด้านนี้นะ " 
โห สงสัยยัยวาเขินจัด 55555

" อ้าวเหรอคะ โทษทีคะ วา เก๊าะ ..รีบออกไปซื้อ ต้นรักมาปลูกไงคะ "
 วา พูดจบก็รีบวิ่งจู๊ดดด ไม่เหลียวหลังอีกเลย  

 
                    จบเหอะ  ชักมีนๆเหมือนกัน 5555

             ..............................................................................

                         ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )

                     00384_42.jpg				
18 กันยายน 2551 14:28 น.

..นิทานโคมไฟ..

ฉางน้อย

00384_38.jpg" เป็นไรไปอีกเราน่ะ หือ ? เห็นทำหน้างอเหมือนตะขอสอยมะพร้าว " เมี่ยงคำเอ่ยทักยัยวาหลังจากได้เจอหน้ากันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา

" พี่เมี่ยงแหละ ไม่ต้องมาทำพูดดี ก็วาโทรไปไม่ค่อยรับสาย ไม่ว่างเรื่อยเลย "วาพูดพลางทำหน้าเหมือนตูดอูฐอาหรับ 

" อ๊าววว ก็พี่มีงานยุ่งจริงๆ อย่าขี้น้อยใจหน่อยเลยน่ะ ยังไงพี่ก็โทรกลับหาวาอยุ่แล้วนี่นา จริงไหมล่ะ ยัยวาหน้าโคมไฟเอ๊ย " เมี่ยงคำแซว 

" อะไร ใครหน้าโคมไฟ เกี่ยวไรกะวาด้วย   เชอะ.." วายังคงทำปากดี

" อ้าว.. วาไม่เคยได้ยินนิทานเหรอ นิทานโคมไฟขี้น้อยใจไง "

" แต่จะมีใครอยากฟังนิทานโคมไฟหรือเปล่าไม่รุ้ เนอะวาเนอะ.." เมี่ยงคำเริ่มขุดหลุมอ่อยเหยื่อ อิอิ

" ทำไมเหรอพี่เมี่ยง ทำไมเจ้าโคมไฟต้องน้อยใจด้วยล่ะ  ? " ได้ผล วาตกลงไปในหลุมที่เจ้าเมี่ยงคำดักไว้ อิอิ

" อยากรู้ใช่ไหมล่ะเราน่ะ ..อืมม์.. พี่จะเล่าให้ฟังนะ แต่ต้องสัญญากับพี่ก่อนว่าจะไม่งอแง ไม่ขี้น้อยใจ ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่...."

" โอ๊ยยย...ข้อห้ามของพี่เยอะจัง อะไรๆก็ไม่ๆๆๆ ..." ยิหวาโอดครวญอ้อนออดเหมือนมอดกัดไม้ หุหุ 

"จะฟังไหม นิทานโคมไฟน่ะ " นายเมี่ยงคำยื่นไม้หน้าสาม เอ๊ย ยื่นไม้ตาย

" ไป..เราไปนั่งที่เก้าอี้ใต้โคมไฟดวงนั้นดีกว่านะ มีแสงสว่างด้วย ยุงจะได้ไม่กัดเราน่ะ " พี่เมี่ยงคำของยัยวาละเอียดอ่อนเสมอแม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม

" พี่เมี่ยงเล่าซิ ทำไมโคมไฟต้องขี้น้อยใจด้วย " วารุกกะพี่เมี่ยง

" อ่อ ..เพิ่มสัญญาอีกข้อแล้วกัน พูดคะ..ขา..เป็นกะเขาบ้างไหมเราน่ะ เป็นผู้หญิงต้องหัดพูดให้เพราะๆรู้ไหม จะได้น่ารัก " เมี่ยงคำยังคงร่ายยาว 

" รู้แล้วน่ะ เอ๊ย ..รุ้แล้วค่ะ " วาจำต้องเปลี่ยนคำพูดเมื่อเห็นสายตาดุๆของพี่เมี่ยงมองมาอย่างจับผิด 

     วา พูดแล้วก็หันหน้าหนีทำไม่รุ้ไม่ชี้ เสมองบรรยากาศรอบๆตัว ภาพที่เห็น ดวงอาทิตย์เริ่มที่จะลับขอบฟ้า แต่วาเห็นเป็นภาพเจ้าดวงอาทิตย์ตัวดีกำลังเอาตูดหย่อนลงน้ำอย่างช้าๆ แค่คิดวาก็ขำในใจ 

โน่นอีก นกกากำลังบินกลับรัง นั่นเจ้านกตัวพ่อคาบถุงไก่ย่างเคเอฟซีไปฝากลูกน้อยที่รังด้วย แต่เจ้าแม่นกนั่นเล่าปากก็คาบขนมครกไปฝากเช่นกัน สงสัยยังอนุรักษ์ขนมไทยๆ อิอิ

     แม้ความมืดกำลังจะมาเยือน แต่ทว่าที่แห่งนี้ยังคงมีผู้คนชายหนุ่มหญิงสาวต่างก็มานั่งพักผ่อนเป็นกลุ่ม เป็นครอบครัว หรือไม่ก็นั่งเป็นคู่ๆ เช่น เธอกับพี่เมี่ยงคำยังไงล่ะ 

" วา เป็นไรอีก นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ " เมี่ยงคำเอียงหน้าถามยัยวา เมื่อเห็นวานั่งอมยิ้มอะไรแบบขำๆ

" เปล่าคะ อ่ะ เล่ามาๆคะว่าเรื่องราวของนิทานโคมไฟเป็นยังไง " วารุกเร้า

" วารู้ไหม ทำไมพี่บอกว่า วา ทำตัวเหมือนเจ้าโคมไฟ เพราะวาขี้น้อยใจ ขี้งอน ชอบว่าตัวเองว่าไม่เอาไหน ชอบคิดมาก "

      วา นั่งเงียบนิ่งเฉยๆไม่ยอมตอบหรือปฎิเสธ เพราะเธอก็รุ้ตัวดีว่า บางครั้งตัวเองก็เป็นแบบนั้นจริงๆ  แต่คนอย่างยัยวาเหรอ จะยอมรับอะไรง่ายๆ 

" พี่เมี่ยงอ่ะ วาจะฟังนิทานนะ มาวก เรื่องวาทำไมล่ะ แหมๆ "

" เอ้า..นิทาน ก็นิทานจ๊ะ ....

  .....นานมาแล้ว มีโคมไฟอยุ่ต้นหนึ่ง ยืนโดดเดี่ยวเดียวดายท่ามกลางสายลมแสงแดด เขาอยู่อย่างเหงาๆไร้ผู้คนทักทาย เขายืนอยุ่อย่างงั้น ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีเพื่อนคุย เขาเหงา..เขาเศร้า.

..แต่แล้ววันหนึ่งมีคนยกเก้าอี้มาวางใต้โคมไฟดวงนั้น ทำให้เริ่มมีผู้คน ชายหนุ่มหญิงสาวเริ่มมานั่งพูดคุย เจ้าโคมไฟเริ่มมีเพื่อน ไม่เหงาอีกต่อไป  

แต่ทว่า.. แต่ทว่า อะไร วารุ้ไหม ทายซิ ? ... " พี่เมี่ยงหยุดเล่ากลางคัน พลางตั้งคำถามแก่ยิหวา 

" ทำไมเหรอพี่เมี่ยง โคมไฟเขารำคาญหรือคะ หรือว่า เบื่อ หรือว่า..ว๊า เดาไม่ออกคะ " วาเริ่มสนุกกับนิทานของพี่เมี่ยง

" ไม่หรอกวา ..โคมไฟแค่น้อยใจต่างหาก ..เขาจึงดับไฟให้มืดลงไม่ยอมให้แสงสว่างอีก.. " 

" อ้าว ..ทำไมทำแบบนั้นละ นิสัยไม่ดีเลยเนอะพี่เมี่ยงเนอะ เจ้าโคมไฟเนี๊ยะ ..."

" อืม..ใช่ เขานิสัยไม่ดี ขี้น้อยใจเหมือนใครบางคนที่นั่งข้างๆพี่ตอนนี้ไงล่ะ "

     ...บึ๊ก..เสียงทุบหลังอย่างแรง เกิดจากฝีมือยัยวาแน่นอน 

" โห ..วาน่ะมือหนักเป็นบ้า พี่แค่ล้อเล่นน่ะ " นายเมี่ยงคำโอดครวญ

" วาแค่เกาหลังให้เบาๆนะเนี่ยะ เห็นยุงมากัดหลังพี่น่ะ " วาเชิดหน้าลอยหน้าลอยตาทำไม่รุ้ไม่ชี้ตอบพี่เมี่ยง

  " เอ้า..ไหนวา ลองทายซิ เกิดอะไรขึ้นต่อไปกับโคมไฟดวงนั้น "  เมี่ยงคำให้วามีส่วนร่วมสนุกในการเล่านิทานในครั้งนี้

"  ไม่รู้ วาไม่ได้เป็นโคมไฟนี่ อิอิ " วาตอบพลางหัวเราะชอบใจ

" อ้าว..ก็วา ลองคิดซิ หากว่าที่ตรงนี้ ไฟดวงนั่นไม่ส่องแสงสว่าง วาจะนั่งไหมล่ะ "  พี่เมี่ยงพูดพลางก็ชี้นิ้วขึ้นไปยังโคมไฟที่ส่องแสงสว่างแก่พวกเขาทั้งสอง ไฟดวงนั้นสีเหลืองนวลตาชวนมอง 

" เรื่องอะไรจะนั่ง มืดจะตาย ยุงก็เยอะกว่านี้ด้วยแน่ๆ เนอะพี่เมี่ยง " วาตอบ พลางเหลียวมองบรรยากาศรอบตัวอีกครั้งหนึ่ง

"  ..อืม ..นั่นแหละ เมื่อไม่มีคนมานั่งที่เก้าอี้ใต้โคมไฟเพราะความมืด เก้าอี้จึงถูกยกไปวางที่อื่น ทำให้โคมไฟและบริเวณนั้นมีแต่ความมืด ความเงียบเหงาอีกครั้งหนึ่ง "

" แต่ก่อนไปนะ วา นะ  ..เก้าอี้ได้พูดกับโคมไฟว่า...

      " ...แม้ทุกคนที่มานั่งตรงนี้ อาจไม่ได้มานั่งดูแสงสวยๆจากโคมไฟ แม้แสงสว่างจากโคมไฟจะสวยสู้แสงจันทร์หรือแสงดาวไม่ได้  แต่ที่พวกเขาเหล่านั้นมานั่งตรงนี้ เพราะเขารู้ว่า ที่นี่มีเก้าอี้ให้นั่ง มีโคมไฟตั้งอยู่ให้แสงสว่าง...อย่างน้อยคนเขาก็มองเห็นความสำคัญของแสงสว่างจากโคมไฟมากกว่าความสวยงาม .."

 เจ้าโคมไฟได้ยินดังนั้น เริ่มได้คิด...

" วา รุ้ไหม โคมไฟดวงนั้นคิดอะไรอยู่ " เมี่ยงคำถามวา ขณะที่วาตั้งใจฟังอย่างจริงจัง

" วา ก็จะตอบว่า ไม่รุ้ซิ เพราะวา ไม่ได้เป็นโคมไฟ 555 "

" ยัยวาๆ ..เดี๋ยวโดนๆๆ ระวังให้ดีเหอะ .."

" เจ้าโคมไฟ เริ่มคิดได้ว่า ...ของแต่ละชิ้นในโลกนี้ เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองแตกต่างกันไป...ของทุกชิ้นต่างก็มีคุณค่าในตัวเองที่ต่างกันออกไป..เจ้าโคมไฟ คิดได้ดังนั้น ก็เปิดไฟให้แสงสว่างดังเดิม เก้าอี้ถูกยกกลับมาวางที่เดิมอีกครั้ง "

" โห ..เหนื่อยแย่ ยกกันไปยกกันมา เก้าอี้ไม่หนักเหรอคะพี่เมี่ยง " คำถาม(โง่ๆ)ออกจากปากยัยวา 

" อืม..พี่ก็ไม่รู้นะ เพราะพี่ไม่ได้ยกเก้าอี้ตัวนั้นนี่ 555 " เมี่ยงคำพูดจบก็หัวเราะด้วยความสะใจที่สามารถย้อนยัยวาได้สำเร็จ เอาคืนๆ อิอิ

" ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะเค้าเลย เล่าต่อๆ"  วารู้ตัวว่าเดินเกมส์พลาดไปสำหรับหมากกระดานนี้ อิอิ ว่าไปนั่นยัยวา 

" อ้าว.. ก็ในเมื่อมีแสงสว่างจากโคมไฟ มีเก้าอี้ให้นั่ง ผู้คนก็กลับมานั่งที่เดิม เพื่อชมแสงจันทร์ แสงดาวอีกครั้งไง เจ้าโคมไฟก็ไม่เหงาอีกต่อไป "

" ที่สำคัญ โคมไฟดวงนั้นดูท่าทางมีความสุขกว่าทุกคืนที่ผ่านๆมา เพราะว่า เจ้าดวงจันทร์ดวงโตๆนั่นส่งยิ้มทักทายให้เจ้าโคมไฟด้วย ทั้งสองยิ้มให้แก่กันอย่างมีความสุข.."

 " ไงล่ะ นิทานโคมไฟของพี่เมี่ยงคำสนุกไหม หือ ?.." เมี่ยงถามวา หลังเล่านิทานจบลง

"  เชอะ..นิทานหลอกเด็ก " วาทำไม่สนใจ

" ก็เด็กอย่างใครบางคนอยากฟังนี่นา แหมๆ ฟังจบแล้วทำเรื่องมาก เดี๋ยวโดนๆ "

" สนุกซิคะ นิทานที่พี่เมี่ยงเล่ามาสนุก น่ารักดีด้วยคะ วาชอบฟัง"

" วา อยากน่ารักอย่างในนิทานไหมละ วาต้องเชื่อพี่นะ " เมี่ยงคำคุยต่อ เมื่อเห็นสายตาอยากรู้ อยากฟังของยิหวา 

 " วาต้องทำตัวดีๆ อย่างอแง อย่าเอาแต่ใจตัวเอง อย่าขี้น้อยใจ และที่สำคัญอย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่าไม่มีใครสนใจ วา อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ใครจะเป็นอย่างไรช่างเขา ตัวเราเองทำวันนี้ให้ดีที่สุด "

"  เข้าใจไหมน่ะ ที่บอก  วาต้องเป็นตัวของตัวเอง อย่าไปสนใจใคร เฮ้อ ..สอนไม่รุ้จักจำ ยัยวาน่าเบื่อ  สอนแล้วชอบเถียง "

 " วา คิดดูนะ แม้แต่พรมเช็ดเท้าหรือผ้าขี้ริ้ว ยังมีประโยชน์ใช้สอยเลย พี่บอกแล้วของต่างๆในโลกนี้มีค่าต่างกันในตัวของมันเอง วาเข้าใจนะ ที่พี่บอก " เมี่ยงคำพูดๆๆ โดยไม่กลัวว่าจะเหนื่อย

" เจ้าค๊า ..คุณพี่เมี่ยงคำเจ้าขา บ่นๆๆเป็นคนแก่ไปได้ อิอิ.." วาตอบรับเสียงยานคาง อย่างน้อยทำให้พี่เมี่ยงคำได้รับรู้ว่า วาก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาสอน เขากล่าวแนะ

" เฮ้อ..ก็คนไม่แก่นี่ซิ ชอบทำเรื่องให้ว้าวุ่นใจตลอดนี่นา ไม่รู้ว่า พี่ต้องเล่านิทานให้วาฟังอีกสักกี่เรื่อง สักกี่ครั้ง หรืออีกนานแค่ไหน กว่าที่วาจะเข้าใจตัวเองกว่าที่วาจะเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมต่อไป เฮ้อ..." เมี่ยงคำแกล้งบ่นพลางถอนหายใจยาว

   " ..ตลอดชีวิต .." สั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง วาตอบโดยไม่ต้องรอให้พี่เมี่ยงคำถามรอบสอง ทำไม่รุ้ไม่ชี้อีกแล้ว อิอิ

    ความมืดรอบกายคนทั้งสองเริ่มแผ่เข้ามาครอบคลุม แต่รอบข้างยังมีผู้คนอยุ่บ้างแม้ไม่มากนัก แม้ความมืดจะเริ่มเข้ามาเยือน แต่ทว่าข้างในจิตใจของยิหวากลับมีแสงสว่างวิบวับเพราะคำสอนคำบอกกล่าวด้วยความปรารถนาดีจากพี่เมี่ยงคำของเธอ
  วารู้ เขาคนนี้ยืนเคียงข้างวาเสมอมา เป็นกำลังใจที่ดีตลอดมา อย่างน้อยวาก็มีความสุข สุขที่ได้ฟังเรื่องเล่า นิทานต่างๆของพี่เมี่ยง สุขที่ได้นั่งเคียงข้างพี่เมี่ยงของเธอ สุขที่ได้ต่อปากต่อล้อต่อเถียงกับพี่เมี่ยง ...

  ใช่แล้วคะพี่เมี่ยง ต่างคนต่างมีคุณค่าความงามที่แตกต่างกัน ต่อไปวาจะไม่ขี้น้อยใจแล้วน๊า จะไม่เอาแต่ใจตัวเองด้วย จะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอีกแล้วคะ 
อย่างน้อยวา ก็ได้รู้ว่ายิหวาคนนี้ยังเป็นคนดี ที่น่ารักอยู่ในใจพี่เมี่ยง วาก็พอใจแล้วคะ อิอิ  ขอบคุณๆ ที่ยังเคียงข้างและสัญญาว่าจะเดินไปด้วยกันคะ

                     ................................................................

                         ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) 				
9 กันยายน 2551 01:52 น.

เรื่องนี้ ผิดที่ใคร

ฉางน้อย

เช้าวันอาทิตย์ อากาศแจ่มใสพวกเราสามคนพี่น้องมีความตั้งใจจะไปปล่อยนกปล่อยปลาที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

เจ่เจ๊พี่คนโตขับรถไปเอง โดยมีเฮียสืบนั่งเสนอหน้าเป็นตุ๊กตาหน้ารถ 

ส่วนหมวยเล็กนั่งกินขนมอย่างสบายอารมณ์ที่เบาะหลังเพียงคนเดียว

จนเฮียสืบทนไม่ได้ ว่าน้องนุ่ง นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นแหลก  อิอิ

เอาล่ะคะ รถมาจอดเทียบริมฟุตบาธ 

"  เจ๊ๆ หมวยเล็กปวดฉิ๊งฉ่องอ่ะ ห้องน้ำไปทางไหน หู๊ย ปวดเฉ่น๊า บอกเร็วๆ "

หมวยเล็กหาเรื่องให้เจ่เจ๊ปวดหัวเล่นอีกแล้วคะ อิอิ

" เดินตรงไป เลี้ยวซ้าย 500 เมตรนะ ไปทางขวาอีก 350 เมตร เดินวกเข้าไปข้างในอีกราวๆหนึ่งป้ายรถเมล์ แล้วเจอใครก็ถามเขาวา  พี่ๆ ห้องน้ำไปทางไหนอ่ะ 5555  " เจ่เจ๊ พูดแนะนำแบบหน้าตาซื่อๆมากเลยคะ  ฝากไว้ก่องน๊า

"  พอเลยๆ เจ๊ไม่ต้องแระ หมวยเล็กไปนั่งยองๆริมคลองยังจะเร็วกว่าอีกนะเนี่ยะ   ไปถามเองก็ได้ ไม่ง้อหร๊อก "

 หมวยเล็กพูดจบ ก็วิ่งจู๊ดออกไปอย่างไว  5555 สงสัยปวดมาก  อิอิ

ทางด้านฝ่ายเจ่เจ๊อยู่กับเฮียสืบสองคน เป็นเรื่องคะ ......

เจ่เจ๊   " ตี๋น้อย เดี๋ยวเจ๊จะถอยรถนะ ช่วยดูหลังให้หน่อย "

" ฮ่อๆ .. ล่ายๆ หังหลังมา อั๊วลูให้ " เฮียสืบรีบรับปากมั่นเหมาะ

" บ้าซิ เจ๊บอกว่า ให้ช่วยดูทางให้หน่อย ไม่ใช่ให้มาดูหลังชั้นเว้ย .. "  เจ๊ พูดพลางเท้าสะเอว ปากก็แว๊ดๆๆ 

" ฮ่อ.. เข้าใจเลี้ยวๆ คิกว่า ลูหลังเจ๊ดิ  "  เฮียสืบพูดพลางเกาหัวแกรกๆอย่างไม่เกรงใจว่า รังแคจะร่วงหล่นมาหรือไม่ อิอิ

      เจ่เจ๊ย้ำบอก ดูหลังดีๆละ ว่าแล้วเจ๊ก็สตาร์ทรถเดินหน้า ถอยหลังอย่างผู้ชำนาญการซะเต็มประดา(น้ำ)

"  เอ้า..โถยมาๆ โถยมาอีกนิก ๆ อีกโหน่ยๆ  พอเลี้ยวๆ ม่ายต้องโถยเลี้ยว พอๆๆ  "

"  เอาไงแน่ฟ่ะ ถอย หรือ  ให้เลี้ยว งง เฟ้ย  "  เจ๊เริ่มบ่นนิดๆ

"  พอๆ ไม่ต้องโถย แต่ ห่าง  มา ห่างมา ลาวัง ห่าง น่อ  " เฮียสืบของเรายังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม  อิอิ

" อะไรนะ ยังห่าง ไปอีกเหรอ  ต้องถอยหลังอีกเหรอฟร่ะ "  เจ๊เราบ่นไปตามประสา ปากก็บ่นๆ  แต่เจ๊ก็ถอยหลังซะเต็มที่ ปรื๊ด พร้อมๆกับเสียงป๊าบบ ตามด้วยเสียงแปร่ดดดดด

เฮียสืบตาเหลือกทันทีกับภาพที่เห็นตรงหน้า 

"  ไอ๊หย๋า ..มังซี้แหล่ว มังซี้แหง๋แก๋เลี้ยว อั๋วบอกว่า ห่างๆ ห่างมาๆๆ "

"  อะไร เป็นอะไร ร้องโวยวายไปได้  ก็ถอยแล้วไง  "  เจ่เจ๊พูดพลางเดินลงจากรถ เพื่อดูผลงานการถอยรถอันน่าภาคภูมิใจของตนเอง 

พลันสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเหยื่อโชเฟอร์ตีนผีตัวน้อยนอนใต้ล้อรถของเธอ

เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายนี้ เป็น .. ห่าน .. ค่ะ  เจ้าห่านตัวน้อยนอนตายตาเหลือก ขี้แตกขี้แตนอยู่กับพื้นริมฟุตบาธ

"  ว๊าย ตายแล้ว  ก็ไหนบอกว่า ห่างๆๆ ไง  เจ๊ก็ถอยเต็มที่ซิ  ทำไม ไม่บอกว่า มีห่านมา "

"   อั๊วก็บอกเลี้ยว ว่า ห่างมาๆๆ  ห่างๆๆ "เฮียสืบยืนยันคำเดิม ว่า ห่างมาๆๆ 

"   ก็เพราะลื้อบอกว่า ห่างๆ น่ะซิ ใครจะไปคิดว่า ห่านที่ว่ายน้ำ  "

"  แต่อั๊วก็บอกลื้อนา ว่า ห่าง ห่างมาๆๆ "   เฮียสืบก็ไม่ยอมแพ้ อิอิ 

"   เออ.. ห่าง ก็ ห่าง ฟระ "   เจ่เจ๊กุมขมับ เมื่อถึงบางอ้อ  อิอิ 

"  สงสัยนอกจากปล่อยนก ปล่อยปลาแล้วคงต้องหาซื้อ ห่าง เอ๊ย ซื้อห่านไปปล่อยด้วยอีกสักตัวอีกละมั้ง เวงกำ จริงๆ "     เจ่เจ๊ บ่น ไม่เลิก หุหุ

"  เย้ๆๆ หมวยเล็กจะซื้อ ห่าง เอ๊ย ห่านไปปล่อย เนอะ เฮียเนอะ  กรวดน้ำอุทิศแผ่ส่วนบุญให้ตัวเมื่อกี้อ่ะ  . ป่ะๆ ไปซื้อ ห่าง กัง ..."  หมวยเล็กพูดจบก็วิ่งจู๊ดนำหน้าคนทั้งสอง เพราะต้องการหลบฝ่าเท้าอรหันต์ของเฮียสืบ อีกทั้งหลบฝ่ามือพิฆาตของเจ๊ด้วย   

        จบดีกว่า คะ ง่วงนอนแระ  555  อย่าฝันถึง  ห่าง กันนะคะ อิอิ 

ปล. คุณผู้อ่าน อ่านแล้วคิดว่า เรื่องนี้ผิดที่ใครคะ อิอิ  อ่านกันเล่นๆค่ะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฉางน้อย