12 กุมภาพันธ์ 2552 21:27 น.

" ไดอารี่..พี่คนร้าย "

ฉางน้อย

 เนิ่นนานแค่ไหนกันที่เธอ น้องคนดี จากผมไป เธอจากไปพร้อมความเข้าใจผิด
โดยที่ผมไม่มีโอกาสอธิบายหรือปรับความเข้าใจกับเธอเลย

น้องคนดี เธอจะรุ้บ้างไหม มีใครคนหนึ่งเขาคิดถึงเธอเสอม
ก็พี่ชายคนร้าย คนนี้นี่ไง เธอยังจำพี่ชายคนนี้ได้หรือไม่

น้องคนดี เธอไม่ได้ไปตัวเปล่า แต่เธอเอาหัวใจของผมไปด้วย 
เธอจะรู้บ้างไหมว่า หัวใจผม พี่ชายคนนี้มอบให้เธอไปหมดแล้ว

เลิกงานกลับบ้านครั้งใด หัวใจหดหู่ โดดเดี่ยว เหงาๆอ้างว้าง
 บ้านหลังนี้บ้านที่เคยอบอุ่นด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของน้องคนดี

แต่บัดดนี้..ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีแววตาสดใสของเธอ
 ไม่มีอีกแล้วที่เธอจะมาเกาะแขนเคล้าเคลียคลอเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆ
ยามที่มันประจบเข้าของ

น้องคนดี เธอจะรู้บ้างไหมว่า บ้านนี้หลังใหญ่ แต่บัดนี้ใจพี่ชายเหลือนิดเดียว
เหลือเพียงเศษเสี้ยวของหัวใจ

ม้านั่งบนสนามหญ้าหน้าบ้านยังคงตั้งโดดเดี่ยว ม้านั่งที่เราสองคนเคยนั่งดูดาวด้วยกัน
บัดนี้ไม่มีแม้เงาของเธอ 

น้องคนดี เธอเคยถามผมว่า หากเธอจากผมไปไกลสุดลับตาสุดขอบฟ้าฝั่งโน้น
ไกลลิบลับอย่างดวงดาวเหล่านั้น ผมจะตามหาเธอหรือไม่
ผม ยิ้มไม่มีคำตอบให้เธอ นั่นเป็นเพราะว่า แค่คำถามซื่อๆจากเธอ 
ผมฟังแล้วก็เศร้าเหลือเกิน 

  น้องคนดี เธอจะเชื่อหรือไม่ว่า ตั้งแต่น้องจากพี่ไป ชิงช้าตัวเก่าตัวนี้
ยังรอคอยการกลับมาของน้องเสมอ
ชิงช้า ตัวที่พี่เคยไกวให้น้องนั่ง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มีใคร คนไหนมาแทนที่เธอ น้องคนดีของผมเลยสักคน

ยิ่งหัวใจของผมด้วยแล้ว ผมไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนไหนมาแทนที่เธอได้อีกเลย

ชุดนั่งเล่น เก้าอี้ตัวโปรดของเราสองคนยังวางที่เก่า เป็นที่ ที่เธอชอบมานั่งเขียนโน่นนิดนี่หน่อย
ผมรุ้ เธอชอบเขียนบันทึก เขียนไดอารี่ แม้กระทั่งกลอนเปล่า
กลอนเปล่าที่ผมชอบพูดใส่หน้าเธอว่า ไร้สาระ สิ้นดี
(ผมแค่หยอกล้อเธอเล่น )

แต่แล้ววันนี้ ผมขอเป็นคนทีไร้สาระเสียเอง ผมเขียนไดอารี่ฉบับนี้
(จะเรียกว่า ไดอารี่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเป็นแค่สมุดบันทึกเล่มเล็กๆของผม)

ผมเขียนบันทึกฉบับนี้ เพื่อหวังว่า สักวันหนึ่งน้องคนดีคงได้มาอ่านเจอความใน(นัย)ใจของผม พี่ชายคนร้ายบ้าง
ผมยอมให้เธอหัวเราะเยาะผม ยอมให้เธอยิ้มหยันผม 
ยอมให้น้องคนดีมาต่อว่าผมว่า ไร้สาระสิ้นดี เหมือนที่ผมเคยว่าเธอ
ผมยอมเธอทุกอย่างทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้เธอกลับมา

น้องคนดี .. พี่อยากขอโทษเธอสักครั้ง ผู้หญิงคนที่น้องเห็นนั้น
เธอคนนั้นเขาแค่ผ่านทางเข้ามา เธอแค่อ่อนไหว อ่อนแอ
หวังที่พึ่งพักพักกายใจ เธอคงคิดว่า พี่อาจเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เธอได้

แต่เธอคนนั้นหารู้ไม่ว่า พี่ก็เหมือนไม้หลักปักเลน มักจะโอนเอนอ่อนไหวไปตามแรงยึดเหนี่ยว พี่ขอโทษที่พลั้งเผลอใจชั่วคราว
พี่หลงให้เธอเป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจให้เธอคนนั้นในยามท้อ 
พี่หลงเพริศไปกับคารม หลงไปกับสิ่งเร้าใจข้างนอกบ้าน
แต่พี่ก็ลืมเธอคนนี้ น้องคนดีของพี่ชาย ที่รอคอยการกลับมาของพี่เสมอ

...............................................

ผมเขียนได้แค่นี้ก็เหลียวมองสิ่งรอบกายที่เราสองคนเคยนั่งด้วยกัน
นั่นเก้าอี้ตัวโปรดของเธอ ผมมักแกล้งเธอแย่งที่นั่งของเธอเสมอ
ผมยิ้มหยันให้กับตัวเอง สมน้ำหน้าตัวเองที่มีสิ่งที่มีค่าในมือ กลับปล่อยให้หลุดลอย

เหลียวมองสิ่งรอบตัวก็น้ำตารื้น ไม่น่าเชื่อว่า ลูกผุ้ชายจะอ่อนไหวได้มากมายขนาดนี้ ยิ่งคิดถึง ยิ่งโหยหา แต่หมดปัญญาตามหาเธอ

และแล้วผมก็ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอย่างเงียบๆ สมน้ำหน้าตัวเองนัก
น้ำตาลูกผู้ชายของผมหลั่งให้กับน้องคนดีที่คิดถึง 

ผมแหงนหน้าหวังให้น้ำตาไหลย้อนกลับไปข้างใน 
แต่น้ำตาเจ้ากรรมไม่ยอมทำตามใจผม
 เอาน่ะก็ยังดี อาจชะล้างดวงตาจะได้เห็นความสว่างในชีวิตบ้าง 
เผื่อวันพรุ่งนี้คงมองโลกสวยงามขึ้น

ผมหลงคิดเข้าข้างตัวเอง ปลอบใจตัวเอง
 น้องคนดีคงคิดถึงผมบ้าง(หรือเปล่าหนอ?)
 นั่นเป็นคำถามที่ผมไม่กล้าตอบกับใจตัวเอง

...........................................

  บ่ายแก่ๆ ณ.ริมหาดแห่งหนึ่ง
ขอบน้ำขอบฟ้าเบื้องหน้าตัดกับผืนทรายที่ทอดตัวยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา
 ลมทะเลพัดเอื่อยๆคล้ายจะผ่อนคลายความกังวลได้บางส่วน

แต่นั่น หาใช่ทำให้ผมคลายความคิดถึงเธอไม่ 
ความคิดถึงของผม กลับทบทวีหนักเข้าไปอีกเมื่อคิดถึงอดีตวันเก่าๆ
วันเก่าๆที่เราสองเล่นน้ำทะเลด้วยกัน เกี่ยวก้อยริมหาดด้วยกัน

ภาพของน้องคนดีที่วิ่งเริงร่าท้าสายลมแสงแดดและเกลียวคลื่น
ภาพเหล่านั้นผุดพรายเข้ามาตอกย้ำความทรงจำของผม
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับน้องคนดียังตราตรึงฝังแน่นในหัวใจผมเสมอ
ไม่เคยลบเลือนหรือจางหายไปจากใจ

ผมจำได้เสมอ น้องคนดีของผม ชอบทะเล หาดทราย สายน้ำ และ
เกลียวคลื่น ธรรมชาติที่เกี่ยวกับทะเลนั่นคือตัวของน้องคนดีล่ะ

ผมจำได้ ครั้งหนึ่งเรามาเที่ยวหาดทรายแห่งนี้ด้วยกัน
เดินเกี่ยวก้อยด้วยกัน เธอบอกว่า เธอคิดถึงเพลง เพลงหนึ่ง
เป็นแนวเพลงเพื่อชีวิต ที่มีเนื่อร้องว่า...

" หาดทรายขาวๆกับต้นพร้าวที่ชายเล ที่เราเคยนอนไกวเปล
แค่ริมเล น้ำใสๆ เสียงคลื่นซัดสาด ฟังแล้วชาดหวังเหวิดใจ
น้องทุ่มพี่ไปเสียไกล คิดถึงมั่งม่ายหล่าวน้อง "

สุดท้ายเธอบอกว่า ชื่อ เพลง พร้าว ของมาลีฮวนน่า 
เธอยังบอกผมว่า เธอจะไม่ทิ้งผมไปไหนเหมือนคนอย่างในเพลงนี้หรอก
แต่สุดท้าย เพราะความไม่เข้าใจกันของเราสองคน
 ทำให้จากลากันง่ายๆแบบนี้นี่เอง 

หูผมคงแว่วได้ยินเพลงโปรดของน้องคนดีแต่ไกล ผมคิดไปเอง
น้องคนดีคงไม่มาที่นี่หรอกนะ 

" น้องคนดี " แม้เราจะห่างไกลกันแค่ไหน พี่คนนี้ไม่รุ้หรอกนะ
ว่าน้องทำอะไร อยู่กับใคร ที่ไหน ขอเพียงให้น้องได้รับรุ้ว่า..
หัวใจของพี่ชายคนร้ายคนนี้อยู่ที่เธอน้องคนดีหมดแล้ว

และผมก็รุ้ด้วยว่า เธอ ..น้องคนดี คือ หัวใจของผมเช่นกัน
ผมสัญญาว่า วันหนึ่งผมจะตามหัวใจของผมกลับคืนมา

รอพี่หน่อยนะ น้องคนดี อย่าเพิ่งมีใครที่ไหนกันเสียก่อน

............................................................... 

 ดวงตะวันใกล้จะโบกมืออำลาขอบฟ้าในไม่ช้านี้แล้ว 
แสงสีส้มอ่อนๆสาดส่องสะท้อนกระทบกับผิวน้ำ ส่งประกายระยิบระยับทั่วผืนน้ำแห่งนั้น
ผมมองดูทะเล ทะเลยามค่ำคืนก็สวยงามไปอีกแบบ
ผมคิดว่า ทะเลคงเหมือนเหงาๆเศร้าๆเหมือนผมหรือเปล่าหนอ
เพราะผมรู้ตัวเอง ขณะนี้ผมมีแต่ความเหงา เศร้า เกาะกินใจผมมาเนิ่นนานมากนัก

สำหรับผมแล้ว ทะเลตอนนี้จะสวยงามได้ก็ต่อเมื่อมีน้องคนดีมาเดินเคียงข้างกาย พูดคุยหยอกล้อกันเหมือนกัน
ค่ำคืนนี้สำหรับผมแล้ว อยากฟังเพลง รักแท้ในคืนหลอกลวง เหลือเกิน
เราเคยฟังด้วยกันยามค่ำคืน เธอบอกว่า เพลงนี้เหงาๆเศร้าๆ ผมได้แต่ยิ้ม

ผมเดินเล่นริมชายหาดเรื่อยๆเอื่อยๆไม่มีจุดหมายข้างหน้า
น้องคนดี เธอจะรุ้บ้างไหมว่า พี่ชายคนนี้ตอนนี้เหงา เศร้าจับใจ

นักท่องเที่ยวหลายคู่หลายวัยต่างเดินสวนกับผม
 ต่างมองผมด้วยสายตาที่แปลกๆ ประหนึ่งว่า ผมเป็นคนที่อมทุกข์หรือเปล่าหนอ หรือว่า ผมมีสายตาที่เศร้าๆเกินไปที่จะมาเดินคนเดียวยามค่ำคืนแบบนี้หรือเปล่า
หรือว่าผมคิดไปเอง 

อยากจะเดินให้สุดริมหาดทรายขาวแห่งนั้น แต่ผมหมดเรี่ยวแรงเกินจะเดินไหวคล้ายกับหัวใจผมไร้คนประคับประคอง ไม่มีคนให้กำลังใจเช่นวันก่อน

          ฝนเริ่มลงเม็ดพรำๆ ผมไม่มีกำลังใจ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะเดินได้ต่อ
คิดถึงครั้งก่อน เคยมีน้องคนดีอิงแอบแนบชิดในร่มคันเดียวกัน
แต่ตอนนี้ผม ไม่มีอารมณ์โรแมนติกอีกแล้ว

         ผมเดินสวนทางกับหญิงสาวคนหนึ่ง เธอเดินริมฟากถนนของชายหาดแห่งนั้น เธอคงเหงาๆ เศร้าๆเหมือนผมหรือเปล่าหนอ 
ไม่มีร่มสักคันในมือเธอที่จะป้องกันสายฝนอันเย็นฉ่ำนั้นได้
 ถ้าผมคาดคะเนไม่ผิด เหมือนเธอกำลังร้องไห้พร้อมกับสายฝนที่เริ่มพร่างพรูมากขึ้นๆ
ยิ่งเห็นเธอ ทำให้ผมคิดถึงน้องคนดีมากขึ้น

ผมกลับเข้าห้องพักด้วยอาการของคนที่ไร้เรี่ยวแรง หมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง
 เอาน่ะ พรุ่งนี้อีกวันที่ฟ้าต้องสว่าง
ผม ได้แต่ปลอบใจตัวเองเรื่อยไป

................................................. 

  อากาศยามเช้าริมชายหาดแห่งนั้นเหมือนจะสดชื่น
ละลอกคลื่นก็ซัดถาโถมเข้าหาฝั่งดังเป็นจังหวะ ครืนๆๆ
บ้างก็ซัดโขดหินทำให้น้ำทะเลแตกกระเซ็นเป็นฟองฝอย
แล้วก็จางหายไปในที่สุด

ลมทะเลยามเช้าพัดเอื่อยๆ ยอดมะพร้าวสั่นไหวไกวตามแรงลม
สุดขอบฟ้าขอบน้ำของทะเลยามเช้าส่องแสงสีทองบ่งบอกว่า
อรุณเช้าวันใหม่เริ่มมาเยือน
เม็ดทรายละเอียดส่งแสงประกายระยิบระยับดั่งเก็จแก้วแววใสอันล้ำค่า

ผมก้มมองผืนทรายที่ขาวละเอียดระยิบระยับนั่น
ผมกำลังมองหาสิ่งใดเล่า อัญมณีอันล้ำค่าของผมหล่นหายไปเมื่อไหร่หนอ
ผมอาจทำหล่นหายยามที่ใจผมพลั้งเผลอ

พี่อยากขอโทษน้องคนดี พี่ขอสัญญา...
ต่อไปนี้หากพี่ตามหาอัญมณีอันล้ำค่าของพี่เจอแล้ว
 พี่จะเก็บรักษาเธอไว้สุดลึกก้นบึ้งของหัวใจ

แต่ตอนนี้ผมจะตามหาเธอได้ที่ไหนกันเล่า

นี่หรือเปล่าที่เขาเรียก "ความผูกพัน" น้องคนดี เธอหายไปแบบนี้
เธอกำลังจะบอกอะไรพี่ชายหรือเปล่าหนอ

หรือว่า ความห่างไกลและการจากลา มีไว้เพื่อวัดความผูกพันกระนั้นหรือ
แม้ห่างไกลกันแค่ไหน ผมก็ขอตามหาหัวใจของผมให้เจอ
ขอเพียงอย่ามีการจากลาชั่วนิจนิรันดร์
เพราะกว่าที่เราสองคนจะมีวันนี้ได้
กว่าเราสองคนจะมีความรู้สึกดีๆให้กัน เราสองต้องร่วมมือกันถักทอสายใยแห่งมิตรภาพให้มั่นคง แข็งแกร่ง ด้วยความรัก ความเข้าใจกัน

แต่คุณคิดเหมือนผมไหมว่า มิตรภาพและความรุ้สึกดีๆนั้นหาได้ไม่ยากนัก หากเรารู้จักหยิบยื่นไมตรีที่ดีให้กัน 
แต่การรักษาความผูกพันของความรักนี่ซิ ทำอย่างไรถึงจะรักษาได้นานแสนนาน ผมว่า เป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียวเชียวละ

วันนี้ผมเป็นคนที่ทำให้สายใยของความสัมพันธ์เหล่านั้นขาดหายไปอย่างไม่รู้ตัว 
แล้วผมจะทำอย่างไร ถึงจะสานสายใยความสัมพันธ์นั้นให้เหมือนดั่งก่อนเก่า 

...........................................................

  				
6 กุมภาพันธ์ 2552 02:26 น.

ไดอารี่..น้องคนดี

ฉางน้อย

เป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วที่ฉัน(น้องคนดีของใครบางคน)
ได้จำใจจากบ้านหลังนั้นมา บ้านที่เคยกว้างใหญ่
มีรอยยิ้มอบอุ่นของใครบางคน
ฉันจากมาทั้งๆที่ใจนั้นเจ็บปวดพอดู แต่ก็ฝืนยิ้มอ้างงาน
อ้างอิสระ อ้างชอบการเดินทาง

แท้จริงแล้วฉันแค่อยากหนี หนีใครบางคน
ใครบางคนที่ทำให้ฉันสับสนในห้วใจ
ฉันรู้ หนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีใจตัวเองไม่เคยหนีพ้นสักที
แต่จะให้ฉันทำประการใดดีเล่า ในเมื่ออยู่ใกล้ หัวใจก็เจ็บปวด
ยามห่างไกล หัวใจก็คิดถึง

ทำไม เราต้องเฝ้าแต่คิดถึงเขาคนนั้น คนใจร้าย คนใจดำ
ก็สมกันดีแล้วนี่กับฉายาของ " พี่คนร้าย " (แถมใจร้ายด้วย)
ก็ในสมัยเด็กๆเล็กๆเราสองคนเคยหัดจักรยานด้วยกัน
ยามฉันล้มลงร้องไห้ ใครคนนั้นวิ่งเข้ามาปลอบขวัญ
ยามฉันดื้อรั้น เขาก็แกล้งเรียก " น้องคนดี "
เพียงเพื่อเอาใจฉันแค่นั้นใช่ไหม ฉันไม่ยอมเขาชอบแกล้งน้อง
ชอบทำให้ฉันร้องไห้ เลยเรียกเขาว่า " พี่คนร้าย "

......................................

นึกถึงวันเก่าๆอดที่จะนึกถึงเรื่องราวระหว่างเราสองคน 
น้องคนดีกับพี่คนร้ายเสียมิได้ 
คนเรานี่ก็ช่างแปลก ยามเมื่อความรักมาทักทาย
ดวงตาก็สว่างไสว มองอะไรก็สดชื่นไปหมด

นี่กระมัง ที่เขาพูดกันว่า " ดวงตา คือหน้าต่างของหัวใจ "
ใจเราคิดอะไรยังไง ปกปิดกันไม่มิดนักหรอกมั้งคะ
แต่บัดนี้ แววตาที่เคยฉายแววสดใส กลับหมองหม่นลง
อย่างเห็นได้ช้ด ความรัก ความคิดถึงเปลี่ยนแปลงเราได้ขนาดนี้
เชียวหรือนี่....ฉันรำพึงกับตัวเองหน้ากระจกเบาๆ

.....................................

ฉันพาตัวเองออกเดินด้วยเท้าเปล่าหวังเพียงเพื่อย่ำผืนทรายยามค่ำคืน
ไม่อยากหมกมุ่น เก็บตัวในห้องคนเดียวให้เศร้า เหงากว่าเดิม
เสียงคลื่นซัดสาดผืนทรายขึ้นชายฝั่งละลอกแล้วละลอกเล่า
ใครกันนะ เคยบอกว่า ทะเลยามค่ำคืนสงบ แต่ทว่าน่ากลัวอยุ่ในที
ฉันยิ้มให้กับความคิดของคำพูดประโยคนั้น

ฉันว่า นี่แหละ เสน่ห์ของทะเลยามค่ำคืนล่ะ อยุ่ตรงนี้นี่เอง
อยุ่ตรงที่ความเงียบ เหงา เศร้า อ้างว้างหัวใจดีนักล่ะ
ฉันได้แต่แค่นยิ้มให้กับตัวเองยามเหงาๆ

เฮ้อ.. เป็นอะไรไปแล้วนี่ หัวใจเรา สับสนจัง

......................................

เท้าก็พาตัวเองเดินออกไปเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย
รับรู้ถึงความละเอียดของผืนทราย ความรุ้สึกเหมือน
เจ้าเม็ดทรายต่างขนาดจะนวดเท้าช่วยผ่อนคลาย
ความปวดเมื่อยได้เป็นอย่างดี

สายตาเหม่อมองฟ้าไกล นั่นไง ดวงดาว..
ดวงดาวส่องแสงสว่างพร่างพราวกระพริบ
ระยิบระยับนับร้อยพันอยู่บนนั้นไง แต่...
แต่ทำไมใจฉันไม่สว่างดั่งเจ้าดาวดวงน้อยๆเเหล่านั้นบ้างนะ

ป่านนี้ พี่คนร้าย คงนั่งดูดาวอยุ่กับใครสักคนอยุ่ซินะ
สายลมยามดึกพัดผ่านผิวกาย เริ่มหนาวสะท้าน
ทำให้ฉันต้องห่อไหล่ด้วยความหนาวเหน็บ 
ต้องโอบกอดตัวเองด้วยสองมือเอาไว้

หนาวกายไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่หนาวใจนี่ซิเกินทน
น้ำตารื้นไปกับคำว่า คิดถึง คิดถึงนะพี่คนร้ายที่ห่างไกล

" คนใจร้ายยยยย " ...ฉันป้องปากหวังตะโกนให้ทะเลได้รับรุ้
พลางหยิบหินริมทาง ปาเข้าไปในผืนทะเลแห่งนั้น 
เสียงกระทบแผ่นน้ำดังจ๋อม แล้วเงียบหายไป แต่ผิวน้ำทะเลที่เคยเงียบสงบ
กลับมีวงคลื่น แผ่ขยายกระจายเป็นวงกว้างออกไป
แต่สุดท้าย ก็สงบกลับคืนสู่สภาวะปกติดังเดิม
ฉัน จ้องมองวงคลื่นที่แตกกระจายพลางคิดอะไรบางอย่างในใจ

...........................................

" พี่คนร้าย " น้องคนดี อยากบอกจังว่า ....
ถ้าไม่รักก็ไม่ว่า แต่อย่ามาทำลายความรุ้สึกดีๆที่เราเคยมีให้กัน
พี่เป็นผุ้ก่อ เริ่มสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา สิ่งที่เรียกว่า " ความรุ้สึกดีๆ "
แต่แล้ว พี่กลับจะเป็นผู้ที่ทำลายลงด้วยน้ำมือที่พี่สร้างได้เชียวหรือ

คิดถึงจัง..โปรดรับรุ้นะว่า คิดถึง .......
คิดถึงคำพูด น้ำเสียงทุ้ม นุ่มลึก แต่ทว่า ฟังทีไร ก็อบอุ่นในห้วใจเสมอๆ
คิดถึงรอยเศร้าลึกๆในแววตา คล้ายคนช่างฝัน ช่างคิด
คิดถึงแม้แต่รอยยิ้มเล็กๆที่เหมือนเหงาๆตรงมุมปากนั่น

เหมือนในใจพี่คนร้าย คิดอะไรลึกๆ .. 
ไม่ต้องห่วง อย่ากังวล น้องคนดีก็ลาจากแล้วนี่ไง 
รับรอง ไม่เป็นก้างชิ้นโต ให้พี่คนร้ายได้ลำบากใจ

พี่กับน้อง อาจเคยจูงมือเดินด้วยกัน แต่หากถึงเวลานั้น
น้องก็ยินดีปล่อยมือพี่ ให้พี่ได้พบคนดีๆที่พี่หวัง 
ขอเพียงให้เธอคนนั้นเข้าใจพี่ และพี่ก็เข้าใจเธอ
หากพี่คิดว่า เธอคนนั้นดีพอสำหรับพี่ น้องก็ไม่ขอฉุดรั้งพี่ไว้หรอกนะ

น้องคนดี แค่อยากให้พี่รับรู้ และช่วยกันแบ่งปันความรุ้สึกที่ดีๆ
จากน้องคนนี้ไปบ้าง แต่เหมือนพี่ปิดกั้นตัวเอง
เหมือนพี่หนีอะไรสักอย่าง

พี่อย่าหนีความจริง อย่าหนีตัวเอง...
ใช่ซินะ .. แล้วเราล่ะ ยัยน้องคนดี แล้วเราหนีอะไรหรือเปล่าหนอ

ทำไมใจเราสับสน เรากำลังค้นหาอะไรอยุ่ เราโหยหาอะไร 
ความรักหรือ ที่เราไขว่คว้า แท้จริงแล้วใจเรามีความรุ้สึกเช่นไรกันแน่
ทำไม ยังค้นหาใจตัวเองไม่เจอสักครั้ง

.............................................

เกือบสุดชายหาด บรรยากาศรอบตัวเงียบ สงบ 
มีเพียงแสงไฟเล็กๆส่องจากเรือหาปลากลางทะเลอยุ่ลิบๆโน่น
หนุ่มสาวสองสามคนเดินนำหน้าฉันไปอย่างไม่เร่งรีบ
เหลียวมองรอบตัวเอง ข้างกายเราไร้คนเดินเคียงข้าง
ไม่มีใครเดินเกี่ยวก้อยร้อยแขนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

ฝนเริ่มลงเม็ด ทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งกลายเป็นสายฝนที่ตกกระหน่ำลงบนผืนทราย แล้วกลืนหายไปในที่สุด
ทะเล กับ หน้าฝนไม่น่าจะไปกันได้ แต่ฉันเจอมาแล้ว
ฝนยิ่งตกหนักเพียงใด น้ำตาน้องคนดีก็พร่างพรูไหลสู่ร่องแก้ม
เดินกอดตัวเอง ก้มหน้าซ่อนน้ำตา ฝืนเสียงสะอื้นเล็กๆ

ชายหญิงคู่หนึ่ง เดินสวนทางกับฉัน พวกเขาโอบกอดกัน
หลบละอองฝนภายใต้ร่มคันเดียวกัน มองตัวเอง ฉันซิ 
ไม่มีใครเลย เวลานี้ไม่มีใครสักคนที่จะได้อบอุ่นใจ

ร่มสีฟ้าคันเก่า เคยมีสองเรา น้องคนดีพี่คนร้ายตระกองกอดกันเพื่อหลบละอองฝนเช่นกัน
แต่วันนี้ ภายใต้ร่มสีฟ้าาคันเก่า คงมีใครบางคนมาแทนที่น้องแล้วซินะ

ชิงช้าตัวเก่าหน้าบ้านละ ป่านนี้พี่คนร้ายคงยิ้มรื่น 
สองมือคงไกวชิงช้าตัวเดิมตัวนั้นให้ใครสักคนได้นั่งแล้วกระมัง

พี่คนร้ายคงไม่เห็นน้องในสายตา ไม่ชายตาแลแม้แต่เงา
และสุดท้าย เงาของน้องก็จะค่อยๆลบเลือนหายไปในที่สุด
โดยมีเงาของใครอีกคนมาบดบัง ทาบทับแทนที่ ที่น้องเคยนั่ง

...................................

ยิ่งคิดถึง ยิ่งโหยหา จะมีใครสักคนไหม ที่จะเหมือนอย่างฉันตอนนี้
ร้ายกาจนักนะ เจ้าความคิดถึง 

ถ้าใจเราเป็นดั่งวงคลื่นในผืนน้ำก็ดีซินะ
โดนก้อนหินกระทบแตกกระจายเป็นวงกว้าง
แต่สุดท้าย ก็กลับมาเงียบสงบ นิ่งได้เหมือนเดิม

แต่นี่ไม่ใช่ .. ก็ใจฉันเป็นก้อนเนื้อ มีความรัก มีคิดถึง
มีโหยหา ห่วง หวง รอเพียงพี่คนร้าย จะเหมือนเดิมไหมหนอ

14 กุมภา ที่จะถึงนี่แล้วซินะ ที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง
พี่คนร้ายเคยสัญญากับฉันไว้อย่างนี้ 
ฉันไม่แน่ใจว่า เราสองคนยังจะเป็นคนสำคัญของกันและกันหรือไม่

แต่ฉันสัญญา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฉันรอวันนั้นที่จะมาถึง 
รอพี่คนร้ายของน้องคนดีเสมอ รอที่เก่าเวลาเดิม

...... แล้วเจอกันนะคะ พี่คนร้าย ........

...............................................

( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )

 				
2 กุมภาพันธ์ 2552 02:32 น.

...เรื่องของโฆษณา..

ฉางน้อย

 สถานที่ ที่ฉันซุกหัว(และตัว)นอนเป็นประจำๆทุกค่ำคืนนั้นไม่ได้เรียกว่า
" บ้าน " หรอกคะแต่เรียกว่า อาคารพานิชย์มากกว่า
เพราะเป็นตึกแถว3ชั้นครึ่ง อยู่ในแหล่งชุมชุน
มีสถานที่ราชการภายในละแวกเดียวกัน

ในเมื่อเป็นแหล่งชุมชน ก็ต้องมีผุ้คนมากมายด้วยใช่ไหมล่ะคะ
และฉันจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันให้ได้รับทราบกันคะ 
เป็นสิ่งที่ฉันได้พบเจอะเจอบ๊อยบ่อยไม่เว้นแต่ละวัน อิอิ

" โฆษณา " คะ เป็นรถขายสินค้าและบริการต่างๆมากมายที่เข้ามาบริการเราถึงประตูบ้านท่าน
มีทั้งเชื้อเชิญ และ ไม่ได้รับเชิญด้วยซิคะ 
เผลอๆ ในแต่ละวันก็มีคนมาแจกนามบัตรคะ เงินกู้นอกระบบ 
เจ้าพระคุณเอ๊ย ไหนว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่วิกฤต 
อ่อ..สงสัยคงมีคนหัวดี พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสละกระมัง 555

ตื่นเช้ามาราวๆสัก 08.30 น. ยังไม่ทันได้แหกตา เอ๊ย ลืมตา 
มาแล้วครับ พ่อแม่พี่น้องครับ ...

" ผักสด ผลไม้ มะพร้าวเผา น้ำห๊อมมม หอม ผักกาดขาว กะหล่ำปลี
คะน้า กวางตุ้ง มาให้บริการพ่อแม่พี่น้องกันแล้วครับ "
นั่นไง ..เจ้าแรก มาแต่เช้าเชียว รถขายผลไม้ และสารพัดพิษ เอ๊ย สารพัดผักว่างั้นเหอะคะ
พ่อค้ารถผลไม้เจ้านี้ ขับรถช้าๆปากก็ตะโกนใส่ไมโครโฟน เขามักจะย้ำคำว่า ...
" มะพร้าวเผา น้ำห๊อมมม หอม " คือ สรุปว่า หอมตั้งแต่สี่แยกบางนาจนถึงหัวลำโพงมั้งคะนั่น
แต่ฉันก็ฟังแล้ว อดที่จะอมยิ้มเขาไม่ได้ทุกครั้งไป ขำนี่นา
นี่ คงเป็นกลยุทธิ์การขายอย่างหนึ่งของเขาล่ะค่ะ 

เรียกว่า เจ้าแรกเพิ่งจะสบัดตูดไปไม่ทันไหร สินค้าเจ้าใหม่มาอีกแล้วคะ
ขายไก่ทอดอบสมุนไพร เป็นรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆพ่วงข้างๆด้วยตู้อบสมุนไพร

แต่ฉันไม่เคยซื้อกินสักทีคะ ไม่ค่อยชินกะพวกสมุนไพรสักเท่าไหร่นักหรอกคะ
พ่อค้ารายนี้ ไม่ได้พูดผ่านไมโครโฟน เหมือนเจ้าแรกที่ผ่านมา หากว่าเขาแค่ตะโกนดังๆ
ก็สามารถเรียกร้องความสนใจจากผู้คนแถวละแวกนั้นได้เป็นอย่างดีคะ ฟังนะคะ..

" ไก่ทอดอบสมุนไพรมาแล้วคร๊าบบบ...ไก่ทอดดดด "
" ไก่ไหมไก่ ขายถูกๆแถมกระดูกกับไม้เสียบไก่ กระดูกไก่เอาไว้ชิงโชค
ไปเที่ยวรอบโลกกับคนขายไก่ "
พ้อค้าขายไก่เจ้านี้ก็เสียงดังฟังชัดเชียวล่ะค่ะ จะไม่ให้ดังได้ยังไงล่ะคะ
ในเมื่อเขาตะโกนดังลั่นแบบนั้น เสียงจากท่าน้ำนนท์ ได้ยินมายังฝั่งท่าพระจันทร์ 5555

รถขายไก่ทอดสมุนไพร ยังคงจอดสงบนิ่งรอให้บริการหน้าบ้านฉัน มาอีกแล้วคะ
รถปิคอัพสีแดงคันเก่าๆ วิ่งช้าๆอ้อยอิ่ง ผ่านหน้าบ้านฉันอีกแล้ว

" รับซื้อปั๊มน้ำเก่าๆ แอร์เก่าๆ ตู้เย็น พัดลมเก่าๆ ใครสนใจ เอามาขายได้ครับ "

มีใครบางคนปากไว ทะลึ่งถามออกไปว่า..

" พี่ๆแล้วเมียเก่าๆ (อีกทั้งยังแก่ๆ) รับซื้อไหม ไม่ซื้อไม่ว่า ผมยกให้ฟรี " ฮา...
เจอไม้นี้เข้า พ่อค้ารับซื้อของเก่า ได้แต่นิ่งสงบปาก กลัวจะเจอไม้หน้าสามกระมัง อิอิ

นั่นประไร มาอีกแล้ว ตรงเวลาเป๊ะ ตามเคย...

" ขนมกุ๊ยช่าย ไส้เผือก ไส้มะละกอ ไส้หน่อไม้ 3 ชิ้น 10 บาท เชิญชิมได้เลยครับ "

........................................

... ถามว่า รำคาญไหมกับเสียงรบกวนเหล่านี้ ฉันยืดอกพกถุง 
เอ๊ย ยืดอกพกความมั่นใจ ตอบแทนเสียงผู้คนแถวละแวกนั้นเลยว่า "มีบ้างที่รำคาญ "
แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเป็นงานที่เขาต้องทำ
เป็นอาชีพที่พวกเขาเหล่านั้นต้องดำเนินไปทุกวันๆ
ถามว่า เขาทำเพื่อใคร เพื่ออะไร เขาทำเพื่อปากท้อง เพื่อครอบครัวเขา
ถ้าเขาไม่ทำ รัฐบาลสมัยไหนจะหาเลี้ยงพวกเขาได้

ฉันได้แต่ทำใจพร้อมๆกับปลงตกชาชินกับเสียงเดิมๆทุกวันๆ
ขอเพียงแต่ว่า พวกคุณๆขา กรุณาหรี่เสียงสักนิดได้ไหมคะ
ในเมื่อเป็นเขต เป็นสถานที่ราชการ มีทั้งโรงเรียน เป็นที่ตั้งของสำนักงานเขตฯ 
( ฉันได้แต่คิดในใจ ไม่เคยไปต่อว่าเขาสักครั้ง กลัวเขาเอาหนังยางดีดปาก อิอิ )

บริการบางอย่างที่เราไม่ต้องการเชื้อเชิญก็ยังเข้ามา เช่น พนักงานเขายเครื่องกรองน้ำ
หรือ ขายสินค้าเงินผ่อนหรือแม้แต่ขายแผ่นซีดีเพลง
คนที่ขายแผ่นซีดีเพลงก็ใช่ย่อยนะคะ ถามว่า น้องๆต้องการแผ่นเพลงไหม
บอกว่าไม่ล่ะคะ ฟังรุ่นสุนทราภรณ์ พี่ไม่มีหรอก เขาบอกว่ามีซิ อยากได้เพลงไหนล่ะ
บางคนตื้อมากๆ จนฉันต้องแสดงอาการหูตั้ง หางตก น้ำลายหก เขาถึงจะออกจากบ้านไป
ไม่งั้นเขาเล่นไม่เลิก (คงกลัวโดนหมาบ้าโดดงับหู อิอิ )

.........................................

เฮ้อ ..แต่ละวันๆ สมาธิฉันต้องกระเจิดกระเจิงกับโฆษณาผ่านเครื่องขยายเสียงกี่เจ้าต่อกี่เจ้า
บางครั้งนั่งทำงานดีๆ พลันต้องสะดุ้งกับเสียงเหล่านี้ 

นอกจากนั้นยังมีปลีกย่อยอื่นๆอีกมากมาย เช่น รถเข็นขายส้มตำของป้าคนหนึ่ง
ฉันไม่เคยซื้อหรอกคะ แต่เห็นหน้ากันก็ยิ้มทักทายกัน

ตามมาติดๆด้วยรถขายผลไม้ดอง ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ผิวคล่ำ 
ดูท่าทางน่าจะเป็นหนุ่มอิสาน ดูแล้ว เออ เขาก็ขยันดีนะ 

รถขายไอติมของลุงอีกคน นี่ก็แค่ยิ้มทักทาย นานๆซื้อครั้งหนึ่ง
ถามว่า ทำไมไม่ซื้อบ่อยๆ ตอบฟันธงฉับ.. เปลืองตังค์ อิอิ

อ่อ ..เกือบลืมไปคะมีอยุ่รายหนึ่งที่แม้เขาไม่ได้ขอมาให้บริการ 
แต่ฉันก็อยากช่วยเขา " ลุงลับมีด " 

" ลุงลับมีด " ฉันจำได้เลาๆว่าน่าจะเดินผ่านหน้าบ้านฉันอาทิตย์ละครั้ง
และเกือบทุกครั้งที่บ้านฉันมักเรียกใช้บริการจากลุงคนนี้

สงสารลุงเค้าค่ะ อายุน่าจะสัก60กว่า แต่ทำไมต้องหากินด้วยตัวเอง 
อายุขนาดนี้น่าจะอยุ่มีความสุขกับลูกๆหลานๆที่บ้าน

คุณอย่าเพิ่งคิดนะคะว่า งานลับมีด เหมือนงานเบา เงินสบาย
เหมือนไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย แท้จริงแล้ว ก็คิดว่าเหนื่อยเหมือนกัน

ไม่ใช่แค่ถือแกลลอนใส่น้ำ มีหินลับ มีม้านั่ง
แต่ลุงต้องใช้แรงกายที่มีออกแรงเท่าไหร่กันถึงจะทำให้มีดสักอันคมได้ดั่งใจ

ฉันจำได้ว่า ค่าบริการลับมีด อันเล็กๆด้ามละ 10 บาทมั้งไม่แน่ใจ
มีดอันใหญ่หน่อยก็ สัก 15 บาทคะ ประมาณนี้ไม่น่าจะแพงไปกว่านี้

วันนั้น ฉันจำได้ พี่ชายบอกให้เอามีดไปให้ลุงช่วยลับหน่อย
มีดทื่อๆเก่าๆ 3 อัน ที่ไม่ได้ผ่านการใช้งานมานานพอดู แถมมีสนิมขึ้นเขรอะเชียว
ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป
" เท่าไหร่คะลุง ? " ฉันถาม เมื่อเห็นลุงเตรียมพร้อมบ่งบอกว่ากำลังเสร็จงาน
" 40 บาทครับหนู " ลุงตอบเสียงแผ่วเบาเชียว
" ลุง หนูให้ไป 50 เลยแล้วกันคะ ไม่ต้องทอนนะคะ " วันนั้น ฉันสงสารลุงมากๆ
" ขอบคุณครับ ขอให้จำเริญๆนะหนูนะ " ลุงอวยพรให้ฉันด้วยล่ะ
" ไม่เป็นไรคะ " ฉันยิ้ม ด้วยความอิ่มเอิบใจ สบายใจอย่างน้อยลุงคนนี้คงมีค่าอาหาร 
มีค่ารถกลับบ้านละนะ

ฉันมีความรู้สึกที่ว่า อิ่มเอิบใจ สุขใจ ทำบุญโดยไม่ต้องเอาหน้าตาทำใหญ่โต 
ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศว่า ข้ารวย ข้าบริจาคเงินให้วัดเป็นหมื่นเป็นแสน

แม้ครอบครัวฉันเป็นครอบครัวปานกลาง แต่เตี่ยก็สอนเสมอๆว่า
ทำบุญด้วยใจนั้น หากเราทำด้วยความตั้งใจจริง
ผลบุญที่ได้จะสะอาดบริสูทธิ์กว่า บุญที่ทำด้วยการถวายสิ่งของหรือเงินทอง 

อ้าว แล้วกัน เริ่มต้นด้วยรถโฆษณาสินค้า ไหงจบลงดื้อๆด้วยเรื่องทำบุญกันละเนี่ยะ

.......................................................................				
26 มกราคม 2552 19:48 น.

..เรื่องเล่า เจ้าแมวเหมียว..

ฉางน้อย

" ห๋า..พี่วาจะไปเที่ยวเหรอ หลายวันเชียว "
ฉันทำตาโต พลางอุทานเสียงดังลั่นทำให้อาหารเม็ดรสโปรดหล่นลงพื้น
บางส่วนก็ยังคงเต็มปาก แต่ฉันไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว

" นี่แน่ะ..ผั๊วะ..บอกว่า เบาๆ " 
พี่เหมียว แมวรุ่นป้า เพื่อนร่วมชายคาของฉันตบหัวฉันจนหัวแทบคมำโขกกับพื้นปูน
" ก็ป้า เอ๊ย ชั้นน่ะ แอบได้ยินเขาคุยกันนี่นา" พี่เหมียวยังคงพูดต่อไป
" ไม่นะ ไม่..ฉันไม่ให้พี่วาไปนะ " ฉันรู้ พี่วารักฉันมาก
ถ้าพี่วาไปเที่ยว ใครจะมากอดฉัน หอมแก้มฉันล่ะ 
ฉันนั่งคิด นอนคิดแทบทั้งคืน นอนไม่ค่อยหลับ
บางทีก็เผลอนอนเอาเท้าก่ายหน้า(ผาก)ซะด้วยซิ อิอิ 
พี่วาชอบเรียกฉันว่า " เจ้าตัวเล๊ก " 
ขณะเดียวกันพี่วาก็สอนให้ฉันเรียกป้าแมวแก่ๆที่ชายคาเดียวกันว่า 
" พี่เหมียว " ทั้งๆที่ฉันอยากเรียกป้า ใจจะขาด อิอิ

อ่อ คุณผู้อ่านคะ หนู เอ๊ย ฉันเป็นแมวเด็กผู้หญิงค่ะ อายุราวๆ3ขวบกว่านิดๆ กำลังซนเลยทีเดียว
ฉันเป็นแมวสามสีค่ะ ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของตัวเองสักเท่าไหร่นักหรอกคะ
ฉันไม่รู้สายพันธ์เดิมของฉันเป็นพันธ์อะไรกันแน่ 
แต่พี่วาชอบบอกว่า ฉันเป็นพันธ์...พันแข้งพันขาค่ะ อิอิ
ยิ่งถ้าฉันถามย้ำพี่วามากๆว่า ตัวเล็กของพี่วา เป็นพันธ์อะไรกันแน่
พี่วา ก็จะตอบว่า พันธ์ทาง.. ทางใครทางมัน ยังไงล่ะค่ะ ดูพี่วาตอบซิคะ

ฉันชอบดื้อ ชอบซนให้พี่วาปวดหัวเล่นบ่อยๆบ้างก็ปีนที่สูงๆ 
บางทีก็กระโดดขี่หลังพี่วาซะงั้น ฉันชอบอ้อนพี่วา
หากวันไหนพี่วาดุฉัน ฉันก็จะทำงอน น้อยใจ เอาสองเท้าข้างหน้ามาตะกายกางเกงยีนส์พี่วา จนพี่วาต้องยอมคุยกับฉันดีๆ
หรือบางทีพี่วาแกล้งไม่พูดกับฉัน ทำเป็นไม่เห็นฉันในสายตา 
วันนั้นฉันก็จะไปงับๆๆ เอาฟันงับน้องของฉัน 

อ่อ ลืมบอกไปว่า พี่วาซื้อตุ๊กตาน้องมอร์มาเป็นเพื่อนเล่นกับฉันด้วยนะคะ พี่วาบอกให้พาน้องไปนอนด้วย 
แต่ฉันก็แปลกใจ ทำไมน้องไม่ยอมคุยกับฉันสักคำ
 เอาแต่นอน นั่งแล้วก็ยิ้มๆ ฉันชวนคุยด้วย น้องก็เงียบ

ฉันชอบนอนซุกหน้ากับน้องมอร์ บางทีก็งอนพี่วาก็มางับๆน้องมอร์นี่หละคะ
 เธอไม่เถียง ไม่ร้องสักแอะ สะใจฉันล่ะ อิอิ

บางวันฉันซนปีนที่สูงๆ ทำของหล่นบ้างตกบ้าง
 พี่วาก็บอกว่าจะนำฉันไปส่งวัด ไปปล่อยที่วัด

โอ.. ไม่นะ ต่อไปนี้ฉันจะไปเป็นแมววัดแล้วเหรอนี่ 
ไม่นะ พี่วาคงไม่ใจร้ายกับฉันใช่ไหมคะ 

....................................

ตอนเช้าๆเมื่อพี่วาตื่นนอน ฉันก็จะไปนั่งรอพี่วาหน้าห้อง 
หากวันไหนเธออกมาสายนัก ฉันก็จะตะกายสองขาหน้าแกร่กๆๆ อยุ่อย่างงั้น 
จนพี่วารำคาญ เธอจึงยอมเปิดประตูให้ฉันเข้าไปเยี่ยมเยียนเธอได้

ตอนแรกฉันตกใจกะเจ้าตัวอะไรก็ไม่รู้อยู่ในห้องพี่วา
ตาโต ตัวก็โต๊โตกว่าฉันอีกแน่ะ ขนสีน้ำตาลเข้มด้วยล่ะ
เจ้าตัวนั้นจ้องมองฉันตาไม่กระพริบเชียว 
ฉันก็ทำท่าขู่ฟ่อใส่ซิคะ ใครจะยอม 
ท่าทางของฉัน ทำให้พี่วาหัวเราะ เธอบอกว่า 
นั่นเป็นตุ๊กตาที่พี่วากอดนอนทุกคืนๆต่างหาก
 ฉันเลยย่องๆไปด้อมๆมองๆยังไม่ไว้ใจเจ้าตุ๊กตาของพี่วามากนัก 
ก็พี่วาบอกนี่ อย่าไว้ใจอะไรให้มากนัก

เมื่อพี่วาตื่นแล้วทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย 
ฉันก็จะวิ่งจู๊ดไปแย่งที่งประจำของพี่วา 
เก้าอี้ตัวเดิมของพี่วา เพราะฉันรู้ เดี๋ยวพี่วาก็มีขนมให้ฉันได้อิ่มท้องยามเช้าๆ

แต่พี่วาชอบเอาเปรียบฉัน เพราะพี่วา มีแก้วอะไรด้วยก็ไม่รุ้ใบเบ้อเร่อเลย 
ฉันเคยชะโงกหน้ามองดูน้ำข้างในแก้ว เห็นเป็นน้ำสีน้ำตาลๆด้วยล่ะ
ฉันแอบสูดกลิ่นห๊อม หอมด้วย ฉันเหลียวซ้ายแลขวาไม่มีใครมา
เสร็จฉันละ แอบเอาลิ้นเลีย ว๊า..ขมปี๋เลย ไม่เห็นหร่อยตรงไหนเลย

พี่วา บอกฉันว่า นั่นเป็น กาแฟ แต่ก็อร่อยสู้ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ ไม่ได้หร๊อก 
เชื่อฉันซิ ฉันจะประจบพี่วากินหนมปังทุกเช้าๆก็อร่อยนี่นา 
พี่วาก็ใจดี แบ่งกันคนละครึ่งกับฉันด้วยล่ะ
แต่ป้าเหมียวกินของพวกนี้ไม่เป็น เธอจะเมินหน้าหนีเลยล่ะ
แมวอะไรก็ไม่รุ้ เชยเป็นบ้า อิอิ

เอ่ยชื่อป้าเหมียว เอ๊ย พี่เหมียวแล้วขอนินทาเธอสักนิดนะคะ 
เธอชอบกินแล้วนอนๆๆค่ะ ตอนนี้เริ่มลงพุงด้วยซิคะ พุงออก อิอิ 
ถ้าพี่วาเอานิ้วไปจิ้มแหย่พุงป้าเหมียว เธอก็จะถอยหนี 
ถ้าพี่วาไม่ยอมเลิก ป้าเหมียวก็จะเอาฟันงับเบาๆที่นิ้วประมาณปรามว่า
อย่ามายุ่งกับเอวของชั้นนะ ชั้นจั๊กจี้ อิอิ 

หรือถ้าป้าเหมียวรำคาญมากๆเธอจะกระโดดหนีขึ้นไปนอนบนคานสูงๆของตัวบ้านคะ (เมื่อก่อนฉันเคยได้ยินแค่ว่า สาวใหญ่ขึ้นคาน 
แต่มาวันนี้ฉันเห็นกับตาตัวเองแล้วว่า แมวก็ขึ้นคานได้เหมือนกันนะ อิอิ )
ฉันรู้.. พี่วาไม่กล้าตามป้าเหมียวไปบนนั้นหรอก 
พี่วา กลัวความสูง เอ๊ย พี่วา กลัวขึ้นคาน อิอิ 55555

......................................

วันหนึ่งมีเจ้าแมวหนุ่ม(เหลือ)น้อยจากต่างถิ่นมายื่นไมตรีให้ฉัน
ฉันเหรอก็ตอบรับท่าทีของหนุ่มนั้นด้วยท่าทางเอียงอาย อิอิ
ตัวฉันเองเริ่มทอดสะพาน(ไม้หมากหรือเปล่า)แต่เป็นสะพานคอนกรีต
เสริมใยเหล็กอย่างดี อิอิ 
ฉันเผลอทอดสะพานให้เจ้าแมวหนุ่มนั้นเข้ามาทักทายอย่างง่ายดาย
แต่พี่วา ไม่วายที่จะแขวะฉันว่า เป็นแมวใจง่าย แมวใจแตก อ้อร้อตั้งแต่เล็กๆ อิอิ 

ฉันเพียงแต่จะบอกพี่วาว่า พี่วาอาจเลี้ยงฉันให้โตได้ด้วยกายด้วยอาหารแต่พี่วาจะรู้ไหมหนอ ว่าฉันก็ต้องการมีหนุ่มๆมาเหลียวมองบ้างนี่นา

ฉันก็มีหัวใจนะพี่วา ถึงแม้พี่วาจะซื้อตุ๊กตามาให้ฉันเล่นเคียงข้างกาย 
แต่หารุ้ไม่ว่า แมวอย่างฉันก็ต้องการใครสักคน เอ๊ย สักตัวมาเคียงข้างใจด้วยนี่นา ( อิอิ คำคมไม่เบาเลยวุ้ยเรา )

เจ้าแมวหนุ่มน้อยในฝันของฉันชื่อ ฮีโร่ ด้วยละ ขนนุ่มสะอาด
 กินอาหารเม็ดเหมือนฉันเลย เขาชอบมาหยอกล้อเล่นกับฉันบนหลังคาบ่อยๆ

บ่อยครั้งที่เรากระหนุงกระหนิงด้วยกันบนดาดฟ้า ทั้งที่ร้อนแสนร้อนแต่รักเข้าตาอะไรๆก็หวานแหวว อิอิ 
มีบ่อยครั้งที่เราหยอกเล่นกันแรงๆ ก็ฉันเป็นแมวสาวๆนี่
 เขินแต่ละทีถีบเจ้าฮีโร่ตกหลังคากันเลยทีเดียว
 นี่หรือเปล่าหนอที่เขาเรียก รักทรหด อิอิ

.....................................

วกเข้าเรื่องที่พี่วาจะไปเที่ยวต่อกันดีกว่าไหมคะ .....
และแล้วพี่วาก็ไปจริงๆค่ะ เธอฝากป้าข้างบ้านให้ดูแลยามที่เธอไม่อยู่
ให้นำอาหารมาวางให้สามเวลาทุกมื้อ

แต่วันนี้อาหารที่ป้าข้างบ้านนำมาวางให้ฉันไม่อร่อยเหมือนทุกวันที่มีพี่วาอยุ่ด้วย รสชาติจืดชืดไปหมด ทั้งๆที่ยี่ห้อเดียวกัน บรรจุถุงชนิดเดียวกัน

พี่วาจะรู้บ้างไหมว่า ..ฉันเหงา..ฉันเศร้า..ฉันคิดถึงพี่วาอย่างจับใจ
ทุกๆเช้าฉันยังคงนอนรอพี่วาที่เก้าอี้ตัวเดิม รอขนมของพี่วา 
รอหอมกลิ่นกรุ่นกาแฟของพี่วา 

2 วันผ่านไปพี่วายังไม่มา ฉันได้แต่เพ่งมองตรงประตูทางเข้าออกที่พี่วาเดินผ่านเสมอ.. อยากบอกว่า " คิดถึงจัง "

กริ๊ก.. เสียงไขกุญแจบ้านดังขึ้นอีกแล้ว ฉันก็ได้แต่ลืมตามองเฉยๆ
ฉันเฝ้าภาวนาให้เป็นพี่วาของฉัน
ปรากฏว่า ไม่ใช่ ฉันเดินไปหลบมุมในซอกเล็กๆแห่งหนึ่งใต้หลังคาบ้านหลังนี้ กำลังใจฉันเริ่มหดหายไปทีละน้อยทีละน้อย
อาหารมื้อนั้นฉันก็ไม่สนใจอีกต่อไป เดินทำหน้าเชิดใส่ป้าคนข้างบ้าน

นี่หรือเปล่าหนอ อาการของคน เอ๊ย ของแมวที่ตรอมใจยามเจ้าของทิ้งขว้างไม่ดูแล สัตว์ตัวอื่นๆคงมีอาการเดียวกับฉันแหละ
 คิดถึงเจ้าของยามที่เจ้าของทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว เอ๊ย ตัวเดียว

4 วันผ่านไป ไม่มีแล้วตักพี่วา ได้นอนอบอุ่น 
ไม่มีแล้วแก้มพี่วาที่ฉันได้เคล้าคลอออดอ้อน
 ไม่มีแล้วสายตาดุๆแต่ใจดีของพี่วา

พี่วาจะรุ้ไหม เจ้าตัวเล็กของพี่วาคิดถึงขนาดไหน
กลับมาเถอะพี่วา ต่อไปฉันจะไม่ซน 
ไม่ป่ายปีนที่สูงๆให้พี่วาได้รำคาญใจอีกแล้ว

ต่อไปฉันจะยอมให้พี่วาดุ ยอมให้พี่วาทำตาเขียวใส่ก็ได้
ขอเพียงพี่วากลับมาเล่นกับฉันเหมือนเดิมนะ

อ่อ ลืมไปอีกข้อ ฉันก็จะไม่หาจิ้งจก แมลงสาปมาฝากพี่วาอีกต่อไปแล้ว 
ฉันสัญญา.....ด้วยเกียรติ์ของลูกแมวตัวน้อยๆ

...............................

และแล้ว วันแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลง
ที่เก่า.. เวลาเดิม.. ประตูแห่งแสงสว่างได้ถูกไขดังขึ้นอีกครั้ง
ฉันยังคงนอนสงบนิ่งในมุมส่วนตัวของฉัน

ฮึ.. นี่คงถึงเวลาที่ป้าคนนั้นนำอาหารมาให้ฉันอีกแล้วซินะ
ฉันทำเพียงแค่ หรี่ตามองนิดหนึ่งแล้วนอนต่อ
" ตัวเล็กเอ้ย " หูฉันกระดิกรับ ไม่แน่ใจว่าใครเรียกฉันกันแน่
นิ่งเงียบ รอฟังอีกหน่อย เชอะ คงไม่ใช่พี่วาหรอก 
พี่วาคงทิ้งฉันไปแล้วล่ะ พี่วาใจร้าย

" ตัวเล็กเอ้ย หนูอยู่ไหนคะ กลับมาแล้วน๊า "
หือ.. ฉันคงหิวจนตาลายได้ยินเป็นเสียงพี่วา
มองเห็นภาพลางๆเป็นพี่วามายืนตรงหน้าฉัน
แต่เอ.. พี่วาชอบเรียกฉันว่า หนูไปไหนคะ 
หนูหิวไหมคะ พี่วาพูดบ่อยกับฉันนี่นา 

ใช่..ต้องใช่พี่วาของฉันแน่ๆเลย
" เมี๊ยววววว....." ฉันขานรับ ตาโตด้วยความดีใจ
วิ่งเคล้าคลอพันแข้งพันขาให้วุ่นวาย 
ฉันตะกายสองขาหน้าให้พี่วาอุ้มฉันอีกให้สมความคิดถึง

" มาตัวเล็ก อุ้มหน่อยฺซิ คิดถึงหนูจังเลยน๊า "
 พี่วาพูดพลางก้มลงอุ้มฉัน กอดรัดซะแน่นเชียว
" ฮื่อ..ชื่นใจจัง กอดหน่อยๆ หอมแก้มด้วยๆ " 
ฉันได้ที เอาแก้มของฉันไปเคลียคลอข้างแก้มพี่วา ฉันมีความสุขที่สุดเลย

ในที่สุด พี่วาก็กลับมา กลับมากอดฉัน อุ้มฉัน
 หอมแก้ม เล่นกับฉันเหมือนเดิม 
ฉันไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว

ฉันมองหน้าพี่วา จ้องลึกไปในดวงตาของเธอ เพื่ออยากสื่อความใน 
อยากบอกพี่วาเหลือเกินว่า ถึงฉันจะเป็นเพียงแมวตัวเล็กๆ 
แต่ฉันก็เป็นแมวที่มีหัวใจ เจ้าแมวตัวนี้คิดถึง โหยหาเจ้าของตลอดเวลา
ขอเพียงพี่วาอย่าทิ้งขว้างฉันไปอีกเลย แค่นี้ฉันก็สุขใจแล้ว

แต่ฉันเชื่อว่า พี่วารักฉันไม่น้อยเลยทีเดียว 
แม้เธอจะดุฉันไปนิดหรือทำตาเขียวไปหน่อย
 แต่พี่วาก็รักฉัน อุ้มกอดฉันเล่นกับฉันเหมือนเดิม

อยากจะบอกว่า รักพี่วาจังเลย ฝากบอกพี่วาด้วยว่า

สัตว์ทุกตัวก็ต้องการการเอาใจใส่จากเจ้าของ
ไม่ใช่ว่า ดูแลให้ความสุขแค่ทางกาย
 แต่เจ้าของบางคนอาจไม่ได้คิดถึงจิตใจของสัตว์เลี้ยง
ที่อยู่ในความดูแลในอุ้งมือท่าน

กรุณารักเราให้เหมือนคนในสมาชิกคนหนึ่งในบ้านของท่าน 
แค่นี้พวกเราสี่ขาก็อบอุ่นใจแล้วล่ะค่ะ 

...........................................................

          ( ฉ า ง น้ อ ย   ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น )				
19 มกราคม 2552 01:04 น.

..ป่าชายเลนกับปลาตีน..

ฉางน้อย

 " พี่เมี่ยง เร็วๆซิคะ เดี๋ยวไม่รอเลยนี่ แหมๆๆ "
เสียงยัยวาตะโกนเรียกพี่เมียงอยู่หน้าบ้าน
" มาแล้วๆจ้า ตกลงว่าไปไหนกันน่ะ แม่ไกด์สาวคนเก่ง " พี่เมี่ยงกระเซ้ายิหวา

" ก็พอดีว่า พี่ชายเค้าจะออกไปแถวหาดใกล้ๆนี่แหละคะ จะติดรถพี่เค้าไปซะหน่อย
ไปป่าวพี่เมี่ยง สวยน๊า หาดไม่ใหญ่แต่ก็สวยน่ะค่ะ " 
" อ้าว แล้วขากลับล่ะวา เราจะกลับกันยังไง ? " พี่เมี่ยงสงสัย
" แหมๆๆ ก็ให้พี่ชายมารับซิ ใกล้ๆกันนี่เอง จะยากอะไร แหมๆๆ " 
วาตอบพลางส่งค้อนให้นิดนุงเอ๊ย นิดหนึ่ง พองาม อิอิ

...................................

" อ้าว เฮ้ยๆ หาดทรายตรงนี้หายไปไหนหมดเนี่ยะ " 
นั่นละ คำอุทานของวาเขาล่ะ อิอิ
" ทุกทีที่วามาแถวนี้น่ะนะพี่เมี่ยง หาดที่นี่จะมีน้ำทะเลเป็นสีคราม ท้องฟ้าใสเชียวล่ะคะ
แต่วันนี้ ทำไม วันนี้น้ำลดหายไปเยอะเลย 
" โห กลายเป็นดินโคลนไปเลยนะเนี่ยะ เสียชื่อไกด์หมด แหะ..แหะ.." วา ไม่วายบ่นกะปอดกะแปด

" พี่เมี่ยง วาขอโทษนะคะ ทำให้พี่อดดูหาดสวย ฟ้าใส น้ำทะเลสีครามเลย " 
วา มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย หน้าง้ำนิดๆเหมือนคนที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจต้องการ
(ความสามารถเฉพาะตัว ห้ามลอกเลียนแบบ อิอิ )

วาก็บ่นๆร่ายยาวไปเรื่อย เพราะเธอคาดหวังไว้มาก 
หวังจะได้ดูหาดทรายสวยๆเจ้าคลื่นลูกน้อยๆที่ถาโถมกระหน่ำซัดสาดเข้าสู่ชายฝั่งครั้งแล้วครั่งเล่า
เธอหวังจะได้เห็นสิ่งเดิมๆที่เธอเคยมาเล่นน้ำครั้งเก่าก่อน
สุดท้าย วาก็ถอนใจด้วยไม่รู้จะทำประการใดดี เฮ้อ.....

พี่เมี่ยงมองสีหน้าวาแล้วหัวเราะหึๆอย่างนึกขำนิดๆเมื่อเห็นใบหน้าที่งอง้ำนิดๆน่ารักหน่อยๆ อิอิ
" น่านะ ไม่เป็นไรหรอกวา พี่ไม่ได้ผิดหวังอะไรเลยสักนิดเดียว อย่าคิดมากซิ " 
พี่เมี่ยงพูดปลอบใจวาพลางจับหัววาโยกเบาๆเหมือนผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กๆ อิอิ
" แต่การมาเที่ยวในครั้งนี้ ก็ถือเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งนะวา เชื่อพี่ซิ "
" นั่นวา เห็นอะไรนั่นไหม เดินไปดูใกล้ๆดีกว่าไหม ? " พี่เมี่ยงพลางชี้นิ้วให้วามองตาม
พลางกึ่งลากกึ่งจูงไปยังสถานที่ข้างหน้า
" โห อะไรน่ะพี่เมี่ยง โคลนชัดๆเลย มีรากอไรไม่รุ้เต็มไปหมดเลย
ไม่เห็นมีอะไรน่าสนุกตรงไหนเลยนะ " วา แย้งพลางขืนตัวต้านแรงดึงของพี่เมี่ยง
" วา วาดูดีๆซิ นี่แหละธรรมชาติของป่าชายเลนละ ธรรมชาติแบบนี้มีอะไรให้วาศึกษา 
มีอะไรให้วาได้สนุกๆเยอะแยะเลยนะวานะ " พี่เมี่ยงพูดอธิบายอย่างใจเย็น

พี่เมี่ยงพยายามอธิบายถึงความสำคัญของป่าชายเลนให้วาฟังอย่างไม่รู้เบื่อ 
วาก็ฟังหูซ้าย ทะลุหูขวา ฟังมั่งไม่ฟังมั่ง อิอิ 
บริเวณที่วาเห็นรอบๆตัวเธอนั้น เมื่อก่อนเป็นหาดทราย มีน้ำทะเลท่วมสูง
แต่บัดนี้ สิ่งที่วาเห็นตรงหน้าไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป 

สอบถามชาวบ้านละแวกนั้นได้ความว่า ธรรมชาติของหาดที่นี่เป็นอย่างงี้นี่เอง ฤดูนี้เป็นฤดูที่น้ำกำลังลด 
น้ำทะเลก็ลดน้อยอย่างที่เห็น เมื่อน้ำทะเลลด พื้นที่ตรงนี้ก็กลับกลายเป็นผืนป่าชายเลน 
มีต้นโกงกางเยอะแยะ มีรากของโกงกางพร้อมใจกันโผล่หน้าออกมาดูโลกภายนอก อิอิ
ต้องรอให้ถึงเดือน 12 ฤดูน้ำหลาก ถึงจะมีน้ำทะเลให้เล่นเต็มหาดเหมือนเดิม


วา ได้รับฟังสิ่งที่ชาวบ้านอธิบายให้ฟัง ก็ถึงกับบางอ้อ
" เป็นไรล่ะวา เข้าใจแล้วซิ เดี๋ยวหาอะไรสนุกๆให้วาทำดีกว่า " พี่เมี่ยงพูดพลางอมยิ้ม
พร้อมกลับสอดส่ายสายตาเหมือนหาอะไรบางสิ่งบางอย่างบนพื้นทรายแห่งนั้น
" อะไรล่ะพี่เมี่ยง " วาทำสีหน้าฉงน
" ก็วาดูดีๆซิ เห็นอะไรไหมน่ะ บนพื้นทราย? "
พี่เมี่ยงตอบโดยไม่ละสายตาจากพื้นทรายแห่งนั้น

" เฮ้ย.. แมงอะไรน่ะพี่เมี่ยง ทำไมวิ่งไวจัง แต่เอ.. เหมือนปูนะพี่เมี่ยงเนอะ "
วา มองตามสายตาพี่เมี่ยงยังพื้นทรายนั่น ประกายตาวับแววตื่นเต้นกว่าแรกเห็น
" นั่นละวา เขาเรียก ปูลม ล่ะ ตัวเขาจะนิดเดียว วิ่งไว เพรียวลม ที่มาของปูลมล่ะ "
" อ้าว .. แล้วนี่รอยอะไรน่ะพี่เมี่ยง เห็นลากเป็นทางยาวๆปรุๆๆบนพื้นทรายด้วย" 
วา ยังคงตั้งคำถามต่อไปกับพี่เมี่ยงของเธอ
" รอยเท้าปูลมมั้งวา ลองสังเกตเวลาเขาวิ่งบนพื้นทรายซิ
เหมือนเขาวิ่งแล้วเอาเท้าเขี่ยๆลากไปบนพื้นทรายด้วยนี่ " 
พี่เมี่ยงคำออกความเห็น แต่ยังไม่กล้าฟันธง หรือคอนเฟริ์ม อิอิ 
" อ๋อ...ใช่ๆ ใช่จริงๆด้วยพี่เมี่ยง ดูซิน่ารักจังเลย " วาเผลอยิ้มกับเจ้าปูลมตัวน้อยๆ
นี่น่ะเหรอ ธรรมชาติป่าชายเลนน่ารักน่าสัมผัสอย่างงี้นี่เอง วาคิดในใจ

....................................

" วาๆ จุ๊ๆๆ.. อย่าเอ็ดไป ดูนี่ซิ เบาๆนะ " พี่เมี่ยงกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับยิหวาเบาๆ
พลางชี้ให้ดูสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งตรงหน้า
" อะไรน่ะพี่เมี่ยง ปลาเหรอคะ แต่ทำไมเดินได้ " วา แปลกใจกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้าอีกครั้ง
" เฮ้ยๆ .. พี่เมี่ยงดูซิ ทำไมปลาบินได้ด้วย " 
วาตกใจเผลออุทานออกมาด้วยความเชยชิน เมื่อเห็นสิ่งนั้นลอยไปในอากาศ
ไม่มีเสียล่ะคนอย่างยิหวา ที่จะอุทานว๊ายๆ เหมือนคนอื่น นั่นซิผิดปกติสำหรับวา 55555
" ปลาตีนต่างหากล่ะวา ไม่ใช่ปลาบินได้หรอก " พี่เมี่ยงหัวเราะเบาๆด้วยความขบขัน
ก่อนที่จะอธิบายต่อ พร้อมๆกับสาวเท้าก้าวตามไปดูพฤติกรรมของเจ้าปลาตีนตัวนั้น 
" ปลาที่วาเห็นน่ะ เขาเรียกว่า ปลาตีน เขาจะอาศัยตามป่าชายเลนที่มีต้นโกงกางเยอะๆ "

" วา เห็นอะไรไหม เขาจะเดินด้วยครีบเล็กๆข้างหน้า ทำให้ดูเหมือนปลามีขา "
" เวลาปลาตีนเขาตกใจนะ เขาก็แผล๊วไปได้ไกลๆ และก็สูงพอสมควร " 
พี่เมี่ยงคำอธิบายอย่างผุ้รุ้ พี่เมี่ยงของยิหวาเก่งเสมอสำหรับเรื่องวิชาการ 
แต่สำหรับวาแล้ว เก่งด้านวิชาเกิน อิอิ 

" นั่นๆ วาดูๆ ปลาตัวนี้กำลังอารมณ์ดีด้วยนะ ดูดีๆซิ "
พี่เมี่ยงชี้นิ้วให้วาดูปลาอีกตัวหนึ่งที่ลื่นไถลตัวเองไปกับโคลนเลนข้างหน้า
เหมือนคนที่กำลังเล่นเจ๊ตสกี อิอิ 
พี่เมี่ยงเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่ายิหวาเพราะแม้ว่าเขาจะเก่ง หรือ
ชำนาญด้านวิชาการ แต่เขาก็ไม่ค่อยมีโอกาสบ่อยมากนัก
ที่จะได้มาสัมผัสธรรมชาติป่าชายเลนได้ใกล้ชิดขนาดนี้

" แหมๆ ทำเป็นรุ้ดีนะคะพี่เมี่ยง " วา ไม่วายที่จะแหย่ แซวพี่เมี่ยง
" พี่ก็บอก พูดตามที่รุ้แหละวา .. แต่ก็เป็นธรรมชาติเรื่องจริงนะวา 
หากปลาตีนอารมณ์ดี เขาจะเล่นกับพื้นโคลน ด้วยการสไลด์ตัวเองเล่นไปแบบนี้แหละ "
" เพราะปลาเหล่านี้ไม่ชอบอยุ่ใต้น้ำนะวา ถ้าเวลาน้ำขึ้นเยอะๆ
พวกเขาก็จะออกมาเกาะต้นไม้ หรือรากโกงกาง หรือไม่ก็อกมาเล่นน้ำเฉยๆ "
พี่เมี่ยงอธิบายซะยืดยาวทังๆที่ไม่ได้เป็นเจ้าถิ่น 
ในขณะที่เจ้าถิ่นเองอย่างยิหวา พยักหน้าช้าๆอย่างนึกทึ่งคำอธิบายของพี่เมี่ยงคำ 

" ปลาตีนตัวใหญ่ๆเขาเรียกว่า ปลากระจัง ลักษณะเด่นของปลาตีนก็คือ ตาจะโปนปูดบนหัว "
"อ่อ .. ป.ปลา ตาโปน อิอิ " วา อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความขำขัน 
"แหมๆ เรื่องแบบนี้ละ วาเก่งนัก เนอะ " ไม่แน่ใจว่า พี่เมี่ยงแดกดันหรือประชด 5555
" อ่อ..ลืมถาม จะถามว่า ปลาตีนกินอะไรเป็นอาหารล่ะคะ ?" วาเริ่มสงสัย
" ฟิชซ่ามั้ง ฟิชซ่าหน้าแมวน้ำด้วยนะวา "
พี่เมี่ยงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยทำหน้าตายได้เนียนมากๆ อิอิ

... พลั่ก .. ได้ผลนี่แหละ ผลของการตอบยียวนนักล่ะ
มือน้อยๆแต่ทว่าหนักพอดูทุบกลางหลังพี่เมี่ยง อิอิ
" นี่แน่ะๆ อีกทีไหม ฟิชซ่าหน้าแมวน้ำ แหมๆ " คนทุบถามต่อ
" แหะ.. แหะ.. ล้อเล่นจ๊ะ ปลาตีนกินสาหร่าย ลูกกุ้ง ปลาตัวเล็กๆเป็นอาหารซิ " 

" พอถึงฤดูผสมพันธ์ ปลาตีนตัวผู้จะมีสีที่ลำตัวเข้มขึ้นกว่าเดิม 
เขาจะใช้ปากขุดหลุม โดยนำดินมากองวางบนปากหลุม
ความลึกของหลุมประมาณ 40-50 เซนมั้งวา ไม่แน่ใจประมาณนี้แหละ "
" ชาวบ้านเรียกกันง่ายๆว่า หลุมปลาตีน ไง เข้าใจยัง ? " 

" เจ้าคะ คุณพี่... เล่าต่อๆ กำลังน่าสนุก " วาเร่งให้พี่เมี่ยงเล่าต่อด้วยความอยากรุ้
" จากนั้น ตัวผู้จะม้วนหาง เป็นมุมฉากกับลำตัว ยกครีบหลังเป็นรูปเรือใบ "
" แล้วกระโดดสูงๆ ราว 15 เซนติเมตร พี่เมี่ยงตอบพลางมองหน้าวาถามกลับ
" วา รุ้ไหม ปลาตีนตัวผู้ทำแบบนั้นเพื่ออะไร ?"
" ไม่ทราบคะ วาไม่ใช่ปลาตีน " วาตอบหน้าตาย
" อ้าว ก็เขาทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมียไง " 

วาถึงบางอ้อ เมื่อพี่เมี่ยงเฉลย
" แล้วถ้าปลาตัวเมียสนใจ เขาก็จะยกครีบหลังตั้งขึ้นแล้วรี่เข้าใกล้ตัวผู้ "
" จากนั้นปลาสองตัวก็จะจูงมือ เอ๊ย จูงครีบ เดินกระหนุงกระหนิงลงหลุมไป "
" 5555 จริงหรือเล่นที่พี่พูดน่ะ " วา ยังสงสัย คิดว่าพี่เมี่ยงพุดเล่น 
" เรื่องจริงซิ แหมๆ ล้อเล่นได้ไง " พี่เมี่ยงไม่ยอม
" เฮ้อ.. วานี่เป็นไกด์ที่ไม่ได้เรื่องเลย เนอะ " วาทำหน้าเศร้า รุ้สึกผิด
" อย่าคิดมาก วาเป็นคนในท้องถิ่นที่นี่ก็จริง แต่วาก็ไม่ได้เติบโตมากับธรรมชาติของที่นี่ นี่นา "
พี่เมี่ยงปลอบใจวาอีกครั้งที่เขาจับมือโยกหัวเหมือนเด็กคนหนึ่ง

" ธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณค่าในตัวของมันเอง เมื่อถึงกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป สิ่งแวดล้อมก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองไปด้วย "
" เขาถึงบอกไงล่ะวา ว่า ..ธรรมชาติอยู่ได้ถ้าไม่มีมนุษย์ แต่มนุษย์จะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมชาติ "
" ทำไมล่ะคะพี่เมี่ยง ? " วาเอ่ยถามพี่เมี่ยง 
" ก็มนุษย์ชอบไง ชอบทำลายธรรมชาติน่ะซิวา โลกแปรเปลี่ยน อากาศแปรปรวนทุกวันนี้เพราะไม่ใช่ฝีมือมนุษย์หรอกหรือวา คิดซิ "
" อ๋อ.. วา เข้าใจแล้วค่ะพี่เมี่ยง ธรรมชาติอยุ่ได้ ถ้าไม่มีมนุษย์
แต่มนุษย์อยุ่ไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมชาติ "

วา ทวนคำพูดเหล่านั้นอย่างช้าๆราวกับให้คำพูดนั้นซึมซับเข้าไปในสมองของเธอ
" เข้าใจไหม ที่พี่บอกให้ฟัง ? " พี่เมี่ยง ถามยิหวา 
" เข้าใจค๊า .. เจ้าคุณปู่ ...."
วา ยื่นหน้าลอยหน้าลอยตาตอบ พร้อมออกวิ่งหนีมะเหงกของเจ้าคุณปู่ เอ๊ย ของพี่เมี่ยงอย่างรู้ทัน
ทำให้พี่เมี่ยงตอบยิ้มขำๆกับความทะเล้นของยิหวา 
ปูลมตัวหนึ่ง กำลังจะวิ่งลงรู กลับหยุดชะงักมองหน้าพี่เมี่ยงคำ 
ราวกับสงสัยว่า เจ้าคุณปู่อมยิ้มอะไรกันน๊า อิอิ ........

.................................

( ฉ า ง น้ อ ย ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น ) 

  				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฉางน้อย