20 กรกฎาคม 2545 14:17 น.
ฉันทลักษณ์
สายฝนหลงฤดูกำลังซาเม็ดลง ท้องฟ้าที่มืดครึม ณ.ตอนนั้นแปรเปลี่ยนกลับมาสู่สภาวะปกติ ชายในร่างผอมเกร็งเดินจูงลากเจ้าพาหนะคู่ใจออกมาจากศาลาริมทางที่เอียงกระเท่เล่เจียนพัง พร้อมกับข้าวอีกกล่องที่ดูจะห่างหายไปแล้วจากความสดใหม่ พื้นดินที่ชุ่มน้ำเวลาที่ย้ำลงไป ก็ผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน พากันติดตามซอกเท้าของชายคนนั้นจนแทบจำรูปลักษณ์เดิมไม่ได้ ความยากลำบากเวลาเดินไม่ต่างกับการหาสตางค์มาซื้อข้าวเพื่อกินประทังชีวิต เขาเหยียดขาออกและพยายามสลัดโดยไม่สนใจทิศทางว่ามันจะกระเดนไปทางไหน แต่มันก็ยากลำบาก เรี่ยวแรงที่มีก็หายไปเพราะในท้องที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรตกถึงท้องมานานหลายวันแต่สีหน้า ชายคนนั้นยังสดชื่นแจ่มใสเหมือนกับการประชดชีวิต ชีวิตที่ไม่มีอะไรสักอย่าง ข้าวของ เงินทอง ชื่อเสียง วงศ์ตระกูลและทุกสิ่งเขายังคงสลัดมันอยู่อย่างนั้นแต่ดินโคลนก็ยังเกาะติดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาละความพยายามที่จะเอามันออก แปรเปลี่ยนเป็นยอมรับสภาพอย่างที่เขาควรจะทำตั้งแต่แรก
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ากรอกลูกตาไปมายังต้นไม้รอบๆที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนละออง น้ำที่ติดบนใบไม้รวมตัวหยดลงสู่พื้นดินเม็ดแล้วเม็ดเล่า กลิ่นไอดินโชยขึ้นมาปะทะจมูกที่เรียบแบนไร้ส่วนนูนโด่ง ทำให้เขาอดที่จะคิดถึงอดีตไม่ได้ ตาที่เคยแจ่มใสกลับหม่นหมองลงไปอย่างรวดเร็วเขาก้มหน้าลงมองพื้นดิน มองต้นหญ้า และอดที่จะเสียน้ำตาไม่ได้กับสิ่งที่ผ่านมา สิ่งที่เขาเคยทำ เขาเงยหน้าเอามือที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำปาดไปมาที่ตาทั้ง 2 ข้างแล้วก้มหน้าเข่นรถคู่ใจเพื่อทำสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ มันเกี่ยวกับข้าวกล่องที่คล้องอยู่ในมือของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พักใหญ่กับการลากจูงเจ้ารถคันเก่งออกจากศาลามาสู่ถนนลาดยางสีดำ เป็นมันเงาเมื่อมันโดนราดด้วยน้ำที่หล่นมาจากฟ้า เขามองดูโคลนที่ติดที่รถของเขาอย่างไม่ สนใจจะทำอะไรกับมันแล้วพรางยกขาขึ้นค่อมอย่างฉับไวเท่าที่แรงกายเขาจะทำได้แล้วออกตัวอย่างช้าๆ สิ่งที่เขาคิดอยู่ตอนนี้คือกลับไปให้ถึงที่พักของเค้า
พอฝนซาอะไรทุกอย่างกลับเป็นปกติ รถยนต์ที่เงียบหายไปก็กลับมาวิ่งหนาแน่นเหมือนเดิมผู้คนจอแจมีการสัญจรกันวุ่นวาย สิ่งที่เขาคอยระวังไม่แค่รถยนต์หรือคนเท่านั้นยังมีน้ำที่ขังอยู่ในถนนที่ยุบตัวเป็นแอ่งอีกแต่ไม่เป็นไรมันน่าจะดีเพราะมันคง จะทำให้รถของเขาดูเหมือนรถขึ้นมาคอยระวังอย่างเดียวว่าน้ำที่ขังมันจะไม่สาดมาโดนข้าวกล่องที่เค้าเฝ้าประคองมันไว้ตั้งแต่ได้มันมา กลิ่นข้าวในกล่องพร้อมกับอีก 2 ย่างลอยขึ้น มาปะทะจมูกอย่างกลั้นแกล้ง กลิ่นหอมของมันทำให้ท้องที่เคยเงียบเฉยกลับส่งเสียงระรัว และเรียกร้องโหยหาไม่ได้ เขานึกในใจสายตามองถนนเบื้องหน้าพรางอมยิ้มเมื่อภาพ เบื้องหน้าที่เค้าเห็นมันทำให้เขาสุขใจอย่างแปลกประหลาด ขาที่อ่อนแรงยังคงทำ หน้าที่ปั้นจักรยานคันเก่าอย่างรีบเร่งจนไม่เกรงที่มันจะหลุดออกจากร่าง เสียงรถยนต์คันใหญ่ที่แบกบรรทุกสินค้ามาเต็มตู้ มันแผดเสียงคำรามจนน่ากลัวทำให้เขาอดที่จะระแวงไม่ได้ ถึงมันจะแล่นผ่านตัวเขาไปไม่ได้ข้องเกี่ยวกับตัวเขาเลยก็ตาม เศษดินโคลนที่เกาะล้อรถมันค่อยๆ สลัดหลุดไปตามระยะทางที่มันวิ่งไปบางส่วนเริ่มแห้งเพราะแดดหลังฝน พื้นถนนที่ชุ่มเย็นเริ่มร้อนระอุจนเขารู้สึกได้เสื้อผ้าเก่าๆที่เค้าสวมใส่มันเริ่ม ลดความเปียกชื้นจนเกือบกลับสู้สภาพปกติเหมือนเมื่อตอนที่เค้าสวมใส่มัน เค้าก้มมองดูเสื้อผ้าของเค้าแล้วอมยิ้มอย่างภูมิใจในที่มา ถึงแม้มันจะไม่ทำให้เค้าดูดีแต่มันก็ไม่ทำให้เค้าดูแย่ไปกว่านี้อีก เค้ายังคงอยากจะสวมใส่มันต่อไปเพราะมันทำมาจากความตั้งใจและความรักมันย่อมมีค่าต่อเค้าเสมอ....
ปรี๊นๆๆ ปี๊นนนนนน เสียงบีบแตรลากยาวจากรถยนต์คันหนึ่งซึ่งไล่หลังเค้ามาติดๆ ชายวัย กลางคนหันไปมองแว๊บนึงก็บ่นพึมพัมอยู่คนเดียว ก่อนที่จะหลบลงข้างทางปล่อยให้รถที่ไล่หลังเค้ามา ขับผ่านไปพื้นถนนที่ขรุขระมีแต่กรวดทรายมันทำให้ตัวเค้าและรถจักรยานคันเก่งต้องกระเด้งกระดอนเหมือนติดสปิง มือทั้ง 2 ข้างที่บีบจับแฮนด์ก็กระชับแน่นจนต้องเกร็งข้อมือไว้โชคดีที่มันแค่ทำให้เค้ารู้สึกสั่นไปทั้งตัวเท่านั้น ไม่ถึงกับต้องล้มลงข้างทางไปเสียก่อน สายตาของเค้ามองตามรถคันนั้นไปจนลับตา เค้ารอเวลาจนมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว เค้าจึงหักแฮนด์รถจักรยานเพื่อให้รถของเค้าขึ้นมาจากไหล่ทางที่มันขรุขระมาวิ่งบนพื้นลาดยางที่เรียบๆแทน อาการสั่นของเค้าเมื่อครู่ก็หายไปจนเค้ารู้สึกได้ เค้ายังคงปั่นมันต่อไปอย่างเดิมเค้าปั่นมันนาน จนอาการเหมื่อยล้าเริ่มถาโถมใส่เค้าจนเค้าเริ่มปั่นมันช้าลงจนเกือบหยุดวิ่งเค้าถึงได้เริ่มปั่นมันใหม่
ผ่านต้นสนต้นใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ริมทางนั่นคือ สัญญาณบ่งบอกว่าอีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายของเค้าแล้ว ทำให้เค้ากระชุ่มกระชวยเรี่ยวแรงที่หดหายก็เริ่มมีขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเค้าเป็นประกายความเหน็ดเหนื่อยจางหายเหมือนถูกเค้าโยนมันทิ้งไว้ข้างทาง เค้ามองถนนแต่สายตาของเค้าก็เหลือบมองข้าวกล่องที่คล้องอยู่ มันยังคงสงบนิ่งแม้มันพึ่งเต้นกระเดนกระดอนตอนที่เค้าหักรถจักรยานลงไปวิ่งอยู่ข้างทางเมื่อตอนที่หลบรถยนต์คันสวย สายตาของเค้าเริ่มเหม่อลอยและอมยิ้มที่ริมฝีปาก จนลืมนึกไปว่าเค้ายังอยู่บนรถจักรยานคันเก่งและลืมไปว่ามันวิ่งอยู่บนถนนที่มีแต่อันตราย ถ้าไม่ระวัง ปรื้นๆๆๆ เสียงบีบลากยาวทำให้เรียกสติกลับคืนมา แต่มันก็ทำให้เค้าตกใจด้วยเช่นกันเค้าหักแฮนด์รถคันนั้นจนทำให้มันเสียหลัก วิ่งลงแอ่งถนนที่ชำรุดจนทำให้รถของเค้าถลาออกมากลางถนนที่มีรถยนต์คันใหญ่ เจ้าของเสียงแตรคันนั้นวิ่งมาอย่างเร็ว
ปรี๊นๆๆๆๆ เสียงบีบแตรถี่ๆ มันยิ่งทำให้ชายคนนั้นยิ่งตกใจจนทำอะไรไม่ถูกจนรถ บรรทุกคันใหญ่คันนั้นพุ่งเข้าใส่เค้าเต็มแรงหมดทางที่จะหลบได้ ชายคนนั้นถูกชนอย่างจังจนทั้งคนทั้งรถกระเดนไปไกล เค้ากลิ้งไปหลายตลบแล้วก็สลบแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นตามร่างกายมีแผลถลอกเต็มตัว มีเลือดออกจากปากของเค้าศีรษะกระแทกพื้นจนแตก เลือดไหลเป็นทางตามแรง รถจักรยานพังบุบแบนไม่มีสภาพความเป็นรถหลงอยู่ มันไถล เลยตัวเค้าไปไม่ไกลและข้าวกล่องที่เค้าเฝ้าถนอมก็แตกกระจายเต็มถนน เสียงหวีดร้องจากคนข้างทาง ทำให้ผู้คนค่อยๆ ทยอยกันมามุงดู ไม่สนใจที่จะช่วยกันจับคนขับรถ บรรทุกจึงทำให้รถคันนั้นขับหนีไปอย่างง่ายดาย มีเสียงเล็ดลอดจากกลุ่มคนที่มุ่งดูหลากหลาย แต่ไม่สนใจที่จะช่วยคนเจ็บที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น เกิดอะไรขึ้น เค้าตายหรือยัง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องการจะทำหรอก ภารกิจของเค้าจะมาจบลงตรงนี้หรือ สิ่งที่เค้าต้องการคืออะไร เกี่ยวกับข้าวกล่องนั้นหรือเปล่า ไม่มีคำตอบใดๆจะดีไปกว่าคำตอบจาก ชายคนนั้นที่จะเป็นคนบอกให้เราฟังอย่างแน่นอน.....????
20 กรกฎาคม 2545 14:12 น.
ฉันทลักษณ์
น้องหญิง (นามสมมุติ) นักเรียนชั้นม.6 ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ทุกวันเสาร์ เธอจะออกมาเรียนกวดวิชาแถวสยาม จนถึง 6 โมงเย็น กว่าเธอจะถึงบ้านก็ค่อนข้างมืดแล้วซอยบ้านเธอก็ลึกและเปลี่ยวมาก แต่ทุกครั้งเธอจะโทรเข้าไปตามพี่ชายออกมารับ วันหนึ่งหลังเลิกเรียนน้องหญิงก็กลับบ้านตามปกติแต่รู้สึกได้ว่าวันนั้น ท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปกติและดูเหมือนว่าอาจจะมีฝนตกเมื่อน้องหญิงลงจากรถเมล์เธอก็โทรเข้าบ้านเพื่อที่จะให้พี่ชายออกมารับตามปกติ แต่ปรากฏว่าวันนั้นพี่ชายของเธอไม่สบายจนลุกไม่ขึ้น จึงบอกให้น้องหญิงนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าไปเองและให้แวะซื้ออาหารเข้าไปกินด้วย
เมื่อน้องหญิงซื้อของเรียบร้อยแล้วเธอก็มาที่วินมอเตอร์ไซค์เพื่อเรียกรถเเข้าบ้าน ทั้งที่ใจจริงแล้วไม่อยากนั่งเลยเพราะน้องหญิงรู้ดีว่าวันนั้นเธอแต่งกายไม่มิดชิด กระโปรงก็ค่อนข้างสั้น สายตาของคนขับมอเตอร์ไซค์ที่มองเธอก็ไม่น่าไว้วางใจ วันนั้นฟ้ามืดเร็วมาก เพราะฝนกำลังจะตก ระหว่างเข้าซอยน้องหญิงมองหน้าคนขับรถจากกระจกข้าง เธอเห็นสายตาของคนขับก็มองมาที่เธอเช่นกัน แววตาดุดัน เธอกลัวมากรีบเลื่อนกระเป๋ามาปิดที่ขาไว้ แต่ สายตาของคนขับรถก็ยังคงจ้องมาที่เธอสีหน้าเริ่มผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ รถก็ขับช้าลง..ช้าลง น้องหญิงเริ่มใจไม่ดีแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงและแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นคนขับหักรถเข้าข้างทางที่เป็นที่รกร้างว่างเปล่าฝนเริ่มตก ซ้ายขวาไม่มีคน ทุกอย่างเงียบมากคนขับลงจากรถและกระชากน้องหญิงลงมาอย่างแรงยังไม่ทันที่น้องหญิงจะร้องของความช่วยเหลือคนขับรถก็กระชากมือเธอที่ถือของอยู่ขึ้นแล้วตะคอกใส่หน้าเธอ
"อยากตายรึไง"
"เมื่อไหร่จะเอาถุงน้ำเต้าหู้ออกจากหลัง Ku .....Ku ร้อนโว้ย ....."
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเวลาซ้อนมอเตอร์ไซค์อย่าเอาถุงน้ำเต้าหู้ไปไว้ที่หลังคนขับมิฉะนั้น อาจเจอเรื่องระทึกขวัญเช่นนี้นะ...