27 กรกฎาคม 2545 16:35 น.
ฉันทลักษณ์
เช้าวันหนึ่ง พี่ชายอายุ 15 น้องสาวอายุ 13 อยู่ในบ้านตามลำพัง 2
คนในวันหยุด "พี่ชายค่ะ พี่ชาย"
น้องสาวเข้ามาในห้องพี่ชายด้วยความกระวนกระวาย
"เกิดอะไรขึ้น" พี่ชายร้องทักด้วยความเป็นห่วงน้องสาว
น้องสาวเอ่ยปากบอกพี่ชายด้วยความกังวลไปว่า
"พี่ชายค่ะ เออ...คือว่า
น้องรู้สึกว่ามีบางอย่างอะไรในตัวน้องเปลี่ยนไป"
"มันเป็นงัยเหรอ" พี่ชายถามด้วยความสงสัย
"น้องรู้สึกว่ามันกำลังจะใหญ่ขึ้นทุกวันๆ"
"ใหญ่ขึ้นเหรอ"
พี่ชายพูดพร้อมทำตาเบิกโพลงด้วยความสนใจแล้วเอ่ยปากว่า
"ขอพี่ดูหน่อยได้ไหมจ๊ะ"
พี่ชายดึงตัวน้องสาวลงมานั่งที่ขอบเตียง
แต่น้องสาวได้เลื่อนมือมาปิดไว้เสียแล้ว
"น้องเอามือออกซิ พี่ชายจะดูว่ามันใหญ่ขึ้นจริงมั๊ย"
น้องสาวเลื่อนมือออกด้วยความเขินอาย
"ทำไมใหญ่จัง" พี่ชายร้องด้วยความตกใจ
พร้อมเอื้อมมือจะไปสัมผัส "พี่ชายจะทำอะไรน้อง"
"พี่ชายแค่อยากสัมผัส ขอพี่จับได้ไหม"
พี่ชายเอ่ยปากด้วยสายตาที่วิงวอน
ด้วยความสงสารพี่ชาย น้องสาวจึงตอบไปด้วยความเต็มใจ
"ได้ซิพี่ชาย" "สีชมพู เต่งตึง"
พี่ชายพูดพร้อมคลึงไปพร้อมกัน
เกินที่น้องสาวจะเก็บความรู้สึกไว้ได้จึงพูดโพลงออกมาว่า
"อือออ......อาว.......พี่ชายจ๋า น้องทรมานเหลือเกิน"
เมื่อพี่ชายได้ยินเช่นนั้นพี่ชายดึงร่างน้องสาวมานอนบนเตียง
"นอนลงซิจ๊ะพี่ชายจะช่วยให้น้องหายทรมาน"
"โอ๊ย...พี่ชายพอก่อน น้องเจ็บ"
น้ำตาของน้องสาวไหลออกมาด้วยความเจ็บ
ด้วยความสงสารพี่ชายจึงเอานิ้วคลึง
เพื่อบรรเทาความเจ็บให้น้องสาว "หายเจ็บหรือยังจ๊ะ พี่ก็เพิ่งจะทำครั้งแรกนิ " พี่ชายถาม "ดีขึ้นแล้วจ๊ะ" น้องสาวตอบไปพร้อมเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม
"งั้นพี่ทำเบา ๆ ก่อนน่ะ"
น้องสาวพยักหน้าพร้อมรับสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น
พี่ชายออกแรงกดช้า ๆ "อืออ....โอวววว...."
น้องสาวร้องฟังไม่เป็นศัพท์ "อืออ....อูยย..ดีจังค่ะ
พี่จ๋าของน้องจะแตกแล้ว แรงๆเลยจ๊ะ โอวว..."
พี่ชายออกแรงกดตามเสียงร้องน้องสาว
"โอวว...อูยยย... พี่จ๋าน้องไม่ไหวแล้ว จะแตก แตก....แตก..แตกแล้ว"
พี่ชายพลิกตัวมานอนด้วยความเหนื่อยหอบ
"พี่ชายดูซิ เลอะหน้าน้องหมดเลย แสบด้วย"
น้องสาวตัดพ้อพี่ชาย พี่ชายหันมายิ้มพร้อมพูดว่า
"ครั้งแรกไม่ใช่เหรอ มันก็ต้องเจ็บ ต้องแสบเป็นธรรมดา"
"มีเลือดออกด้วย" น้องสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ
พี่ชายจึงพูดออกไปด้วยความรำคาญ
"มันก็ต้องมีเลือดออกซิ สิวหัวช้างเม็ดใหญ่ขนาดนี้
ไม่ดูแลหน้าตาตัวเองเลยปล่อยให้เป็นสิวหัวช้างได้"
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ล้างหน้าทุกเช้าและก่อนนอน
จะไม่เป็นสิวน่ะจ๊ะ"
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า...เหอ เหอ เหอ เหอ...ฮิ้ววววววว!...
27 กรกฎาคม 2545 16:28 น.
ฉันทลักษณ์
>>>>> ปอ. 10 (พระประแดง-รังสิต)
>>>>> รถเมล์ สายที่ "หยิ่ง" ที่สุดในประเทศไทย
>>>>> คาดว่าคนขับทั้งหลายคงเป็น คนรวย
>>>>> แอบมาขับรถเล่น แก้เซ็งไปวัน ๆ ไม่ง้อผู้โดยสาร
>>>>> ยิ่งรถตัวเองโล่งเท่าไรยิ่งชอบ
>>>>> ไม่จอดป้ายรับผู้โดยสาร ต่อให้โบกจนมือหัก
>>>>> มีวิธีป้องกันผู้โดยสารจะแอบขึ้น
>>>>> โดยการแอบไปจอดเลยป้ายไกล ๆ
>>>>> เพื่อให้ผู้โดยสารลงแล้วรีบชิ่งทันทีต่อให้
>>>>> คนจะขึ้นมันวิ่งไปถึงประตูแล้วก็เหอะ แถมเป็นรถหายาก นาน ๆ มาสักคนนึง
>>>>> ถ้าพลาดแล้วละก็ ไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกินรอคันต่อไปได้เลย ...
>>>>> สาย 8 (ปากคลองตลาด-แฮปปี้แลนด์)
>>>>> รถเมล์สายที่ซิ่งเร็วที่สุดในประเทศ คาดว่าคนขับส่วนใหญ่
>>>>> จะเป็นพวกนักแข่งรถ
>>>>> มือสมัครเล่น ที่ตกงาน หรือสอบตกจากการ Turn Pro)
>>>>> เลยหันเหชีวิตมาขับรถเมล์
>>>>> แทน แต่มองหน้าแล้วนึกว่าเพิ่งหนีออกมาจากคุก
>>>>> ขอแนะนำสำหรับผู้โดยสารหน้าใหม่ว่า
>>>>> อย่านั่งเบาะหน้า (ยาว ๆ ) เด็ดขาด หัวคุณอาจโขก หรือ
>>>>> พุ่งชนกระจกหน้ารถได้
>>>>> พึงจับราวให้มั่น ก้าว ขึ้น-ลงให้ไว
>>>>> เวลาคนโบกให้จอดมันไม่ค่อยจอดตรงที่คนยืนคอย
>>>>> มันจะวิ่งเลยไปให้คนวิ่งตาม พอคนที่วิ่งเร็วที่สุดตามไปถึงแล้วก้าวขาจะขึ้นไป
>>>>> มันจะกระตุกรถทีนึง บังเอิญว่าคนโดยสารกระโดดขึ้นไปได้
>>>>> มันจะกระชากรถอีกที
>>>>> ให้หน้าคะมำไปข้างหน้า แล้วคนขับมันจะหันมามองอย่างสะใจ
>>>>> แล้วกระตุกรถไปเรื่อย ๆ ให้คนโดยสารคนต่อไปได้รู้รสชาติอย่างทั่วถึง.....ที่นี้อีตอนขาลง
>>>>> ผู้โดยสารกดกริ่งครั้งแรก มันยังวิ่งตะบึงอย่างเมามัน ผู้โดยสารกดกริ่งอีก
>>>>> มันจะตะคอกว่า กดครั้งเดียว..รู้แล้ว..
>>>> > >
>>>>> เดี๋ยว (เซ็นเซอร์) ไม่จอดซะนี่...แล้วเบรคอย่างแรง
>>>>> ผู้โดยสารทั้งคันต่างพากันหาหลักจับยึด
>>>>> บ้างที่จับไม่ทันก็หน้าคะมำคว่ำเค้เก้.....รถยังไม่จอดสนิทดี
>>>>> กระเป๋า (ซึ่งหน้าเหี้ยมพอกัน) มันจะรีบบอก..ลงเร็ว ๆ..ลงเร็ว ๆ
>>>>> ผู้โดยสารคนต่อไปเพิ่งก้าวขาซ้ายลงไป
>>>>> คนขับมันจะ
>>>>> กระชากรถไปเรื่อยๆ ใครลงทันก็โชคดีไป
>>>>> ใครไม่ทันก็หน้าจ๋อยยอมรับสภาพไปลงป้ายหน้าเอา
>>>>> ปอ.44 (แฮปปี้แลนด์-ท่าเตียน)
>>>>> เป็นรถเมล์ปรับอากาศที่ร้อนที่สุดในกรุงเทพฯยุค2000ก็ว่าได้
>>>>> ความเก่าแก่ของรถคงรุ่นๆปู่ของ ขสมก.
>>>> > >แบบว่าประตูรถยังอยู่ด้านหน้าประตูเดียว
>>>>> พี่แกคนที่ยืนอยู่หลังรถ กว่าจะออกจากรถช่วงเช้า ๆ คนแน่น ๆ
>>>>> ได้ล่อเข้าไปเกือบ 10 นาที
>>>>> พอลงจากรถแล้ว คนที่ยืนแถวป้ายนึกว่าฝนตกหนัก
>>>>> เพราะเสื้อเปียกกันออกมาแต่ละคน
>>>>> ไอเสียของรถสายนี้ก็ใช่ย่อยดำกว่าถ่านแถวบ้านเสียอีก
>>>>> ความถี่การมาของรถสายนี้ บอกได้เลยว่า
>>>>> มึงขึ้นสายอื่นเถอะ กว่าจะมาคงเลิกงานไปแล้ว
>>>>> เชื่อไหมว่าเขาปล่อยรถ ชั่วโมงละ 1 คัน
>>>>> นี่ยังดีนะที่ขสมก.ไม่เอารถสายนี้เข้าร่วม ISO9000 กับเขา
>>>>> ไม่งั้นคนคงหัวเราะกันทั้งบาง
>>>>> สาย ปอ.126
>>>>> คันนี้ สนับสนุนโดย the mall เพราะวิ่งผ่านเดอะมอลล์ ถึง 3 แห่ง คือ
>>>>> ตั้งแต่ งามวงศ์วาน บางกะปิ แล้วก้อ รามคำแหง
>>>>> ส่วนสปอนเซอร์อีกรายคาดว่าจะเป็นเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ ตอนนี้
>>>>> ผ่าน 2 เมเจอร์ คือ เมเจอร์ราม กะ รัชโยธิน
>>>>> แล้วก้ออีกนิดนึงจะผ่านเมเจอร์เอกมัย โชคดีที่มาทะลุตรงพระโขนง
>>>>> ความเด่นความดังของรถสายนี้ก็ไม่แพ้สายอื่น ๆ ชาติมาคัน
>>>>> ไอกระเป๋ารถเมล์มันตะโกน แล้วก้อจิง ๆ ยืนรอจนเหงือกแห้ง
>>>>> ปอ. 6 (พระประแดง-ปากเกร็ด)
>>>>> รถเมล์สายที่วิ่งยาวที่สุด เริ่มต้นสายจากจังหวัดสมุทรปราการ
>>>>> พาเที่ยวชมรอบเมืองกรุงเทพฯ อาทิเช่น พระปรางค์วัดอรุณฯ
>>>>> สะพานพุทธฯ วัดโพธ์ ท่าเตียน
>>>>> ท่าช้าง ท่าพระจันทร์ สนามหลวง วัดพระแก้ว ฯลฯ
>>>>> ไปจนสิ้นสุดสายที่จังหวัดนนทบุรี
>>>>> ด้วย แพ็คเกจราคาสุดประหยัด (สมุทรปราการ-กรุงเทพฯ-นนทบุรี) เพียง 16
>>>>> บาท
>>>>> ตลอดการเดินทาง (กรุณานำอาหารมาเอง)
>>>>> เหมาะกับพาคนแก่และเด็กเดินทางเล่น
>>>>> เพราะจำกัดความเร็วเพียง 40 กม./ชม.ปลอดภัยแน่ ๆ สนใจ ติดต่อ
>>>>> ขสมก. ได้ 5.30 ถึง 21.00 น.ปล. เนื่องจาก เราใช้ Air ระบบ Hottest First
>>>>> ป้องกันผู้โดยสารหนาวจนแข็งตาย ไม่จำเป็นต้องเตรียมเสื้อหนาวมาแต่ประการใด
>>>>> ปอ.4
>>>>> ซึ่งผมว่าเป็นรถที่แน่นสุดในประเทศไทยแล้วมั้ง ทุก ๆ วัน
>>>>> เราต้องพบนักห้อยโหนกายกรรมออกมาจากตัวรถ จนหวาดเสียวว่าน
>>>>> จะเกิดอันตรายกับเขาเหล่านั้นหรือเปล่ากระเป๋ารถเมล์ทุกคนได้รับการอบ
>>>>> รม
>>>>> ให้พูดเหมือนกันคือ "ขึ้นบนมาหน่อยสิค่ะ" เดินหน้าชิดในหน่อย
>>>>> คนหน้าคนหลังช่วยเดินหน่อยสิค่ะ บางทีก็ไม่เคยดูเลยว่าสภาพในรถเป็นไง
>>>>> ประมาณว่าโดนโปรแกรมให้พูดยังไงก็พูดตาม
>>>>> โดนกระเป๋ารถถามว่า..ให้ชิดในหน่อย..ที่ข้าง ๆะ
>>>>> จะเอาไว้เตะตระกร้อเหรอ ...???
>>>>> ป้าก็ตอบไปว่า...
>>>>> เอาลูก(ตะกร้อ)มาให้เดะ...!!
>>>> > >
>>>>> เดะจะเตะให้ดู .. บางคนเกาะไปด้วยมือเดียวเท้าเดียวเท่านั้น
>>>>> เก่งเจงๆ
>>>>> วันไหนโชคดีขึ้นได้ จะไปถึง office
>>>>> ในสภาพหัวเหอเสื้อผ้ายับเยินจนเพี่อน
>>>>> มันเคยทักว่าไปโดนข่มขืนมาเหรอ ?
>>>>> 113 (มีนบุรี-หัวลำโพง)
>>>>> รถสภาพโทรมชะมัด ประตูปิดไม่ได้ซักกะคัน
>>>>> ในชั่วโมงเร่งด่วนคนอัดแน่นยังกะปลากระป๋อง
>>>>> แถมไม่ชอบจอดรับคนขึ้นด้วยขากลับจากหัวลำโพง
>>>>> แทนที่จะวิ่งเข้าพญาไทมันดันมุดซอยบ้าอะไรไม่รู้ไปโผล่บรรทัดทอง
>>>>> คนที่รอขึ้นตรงสามย่านก็คอยไปเถอะ ชาตินึงกว่าจะโผล่มาทางพญาไทซักคัน
>>>>> ปอ.1
>>>>> วิ่งมีนบุรี ผ่านหน้าราม ผ่านพระโขนง สุขุมวิท ผ่านสยาม
>>>>> แล้วก็ไปปากคลอง
>>>>> ด้วยความที่จากหน้ารามวิ่งไปสุขุมวิทมีสายเดียว (แต่ก่อนมี 40) ด้วย
>>>>> แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ผ่านรามแล้วไอ้40)ทำให้คนแน่นมากถึงมากกว่าแน่นที่สุด
>>>>> แน่น จนเวลาขึ้นนี่กอดคนข้าง ๆ ได้สบายมากยิ่งวันเสาร์
>>>>> หรือวันธรรมดาตอนชม.เร่งด่วนนะฮึ่มฯ
>>>>> หรือวันธรรมดาตอนชม.อย่าฝันเลยจะได้นั่ง
>>>>> แต่พอถึงสุขุมวิท 24 (เอมโพเรียม-สวนเบญฯ) คนลงเกือบหมดรถเลย
>>>>> สาย 33 (ปทุมธานี - สนามหลวง)
>>>>> ที่จริงน่าจะเปลื่อนเป็น นรก - อเวจี ดีกว่าครับ
>>>>> เร็วสุด ๆ เคยนั่งช่วงเช้า
>>>>> 6 โมงจากปากเกร็ด ถึงสนามหลวง 25 นาที
>>>>> ตื่นไปเรียนไม่เคยนั่งหลับบนรถสายนี้เลยครับ
>>>>> เพราะเคยมีคนนั่งหลับแล้วรถเข้าโค้งหน้าวัดสร้อยทอง
>>>>> ไม่รู้ว่าเจ้าที่แรงหรือเหตุอันใดชายผู้นั้นได้กระเด็นตกจากเบาะมาอยู
>>>>> ่ที่พื้นรถ
>>>>> โดยไม่รู้ตัว แต่สามารถกลับขึ้นไปนั่งหลับต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
>>>>> เคยขึ้นสะพานแล้วลอยตัวอยู่ประมาณ 3 วินาที
>>>>> พอตกลางมากระจกข้าง ๆ เราร้าวหมดทั้งแผ่นนึกว่า มอเตอร์ครอส
>>>>> เด็กและสตรีมีครรภ์ ไม่ขอแนะนำครับ
>>>>> คนในรถนั่งมองหน้ากันแบบสงสัยว่าตูจะมีชีวิตลอดมั้ยนี่
>>>>> ปอ.356 ครับ (ปากเกร็ด-รังสิต)
>>>>> ถ้าคิดจะทำหนังย้อนยุคสัก 30 ปี แนะนำให้ใช้ประกอบฉากได้
>>>>> ความเร็วไม่เกิน 40 กม. ขับไม่เกินเกียร์ 3
>>>>> วิ่งจากปากเกร็ด-หลักสี่ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงะ
>>>>> แม้ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนเวลาเย็นรับสาวโรงงานกลับบ้าน
>>>>> จะจอดรอกันหน้าโรงงานเหมือนประหนึ่งเป็นอู่รถ แถมซ้อนกัน 3
>>>>> คันอีกต่างหาก
>>>>> จากสภาพรถไม่น่าเชื่อว่าจะเคลื่อนที่ไปถึง
>>>>> ม.ธรรมศาสตร์รังสิตได้ เคยเสียกลางทางคนขับบอกให้ช่วยเข็นหน่อย
>>>>> สาย 57 (ตลิ่งชัน-คลองสาน)
>>>>> เนื่องจากสายนี้ต้องผ่านสถานที่หลายแห่ง ซึ่งเป็นที่เก่ามีประวัติ
>>>>> และมีอุบัติเหตเคยเกิดขึ้น เช่น
>>>>> เมื่อผ่านโพธิ์สามต้นคนขับจะถูกผีมอเตอร์ไซค์วินเข้าสิง
>>>>> ซอกเล็กซอกน้อยพี่แกจะมุด เบียด ปาด แซงซ้าย เป็นที่หวาดเสียวับ
>>>>> ครั้นออกถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี จะถูกผีรถบรรทุกเมายาบ้าเข้าสิง
>>>>> แข่งกันไล่บี้ชนิดไม่กลัวอุบัติเหตุจะจอดก็ตอนชนท้ายกับรถเก๋งหรือรถพังจ้ะ
>>>>> และเคยไหม ขึ้นไปนั่งรบนรถแล้วมองเห็นล้อวิ่งอยู่เพราะใต้ท้องรถมันทะลุ
>>>>> ปอ. 157 ( ปอ.32 เดิม) บางปะกอก - หมอชิต
>>>>> เราคิดว่าเป็นรถเมล์สายที่ผ่านหน้าโรงพยาบาลมากที่สุดเลยก็ว่าได้
>>>>> ทั้งศิริราช รามา พระมงกุฎ ราชวิถี เด็ก ศูนย์วิจัยมะเร็ง โรคปอด
>>>>> เปาโล
>>>>> และอีกมากมายที่จำไม่ค่อยจะได้
>>>> > >(นับแล้วผ่านบ้านกี่สายเอ่ย???)
25 กรกฎาคม 2545 18:53 น.
ฉันทลักษณ์
คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป.5 ของครูทั้งชั้นซะแล้ว
ตั้งแต่วันแรกเลยด้วย
คุณครูบอกเขาว่าครูรักเด็กๆ เท่ากันหมดเลย แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้
เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนนึงชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์
ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและสังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็กคนอื่นเท่าไหร่
ว่าเสื้อผ้าของเขาสกปรกและเค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละ
และบางทีเท็ดดี้ก็เกเรด้วยถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจของเท็ดดี้ด้วยหมึกสีแดง
กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ
ที่โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน
คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย
และครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย
แต่ทันใดนั้นเมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่เลยครับ
เมื่อพบว่าครูชั้น ป.1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า
"น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี
เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว"
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.2 เขียนว่า
"เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน
แต่กำลังมีปัญหาเพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนัก
และชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ"
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.3 เขียนว่า
"เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไปเขาพยายามเต็มที่แล้วแต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรักความสนใจเขาเท่าไหร่
และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งพลกระทบต่อเขาแน่ๆ
ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ"
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า
"เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควรไม่ค่อยมีเพื่อนและหลับในห้องเรียน
ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว และอับอายในการกระทำของตนเองมาก
ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกเมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้
ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้ณแต่ของเท็ดดี้
ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ
ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว
ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้ดูกลางกองของขวัญอื่น ๆ
เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น
และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ
แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ
เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้นสวยเพียงใด สวมมันไว้ที่ข้อมือ
และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย เท็ดดี้
สต๊อดดารด์อยู่เย็นให้นานพอที่จะพูดว่า
"ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ"
หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้านครูทอมป์สันก็ร้องไห้อย่างนั้นเป็นชั่วโมง
วันนั้นเอง คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียนและเลิกสอนเลขคณิต
คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ
เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น
ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง
และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น
"ศิษย์โปรด" ของครู
หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้
บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี
หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียนจบม.ปลายแล้ว
ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต
สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้าง
เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ
นี้ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง (เหรียญทอง)
และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่าคุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดของเขาในชีวิตเขา
จากนั้นสี่ปีผ่านไปแต่จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา
ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว
เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด
จดหมายนั้นอธิบายว่าคุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี
แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์
เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ คือว่า ฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก
เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอสาวคนนึงและก็จะแต่งงานกัน
เขาอธิบายว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อนและเขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน
จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อเจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่
แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันก็มา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น
คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก
และต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่าแม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน
ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า
"ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม
ขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญและแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
ได้"
ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า "หมอเท็ดจ๊ะ
เธอเข้าใจผิดแล้วแหละ
เธอต่างหากที่สอนครูว่าครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้
ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้พบได้รู้จักเธอนั่นแหละ"
เติมเต็มหัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่วันนี้...........ส่งต่อเรื่องนี้ไปให้
คนอื่นได้อ่านด้วยและโปรดจำว่า ไม่ว่าคุณจะไปไหน หรือทำอะไร
คุณจะมีโอกาสที่จะสัมผัสและ/หรือเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นเสมอ
ขอให้คุณสัมผัสและเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นในทางทีดีด้วยล่ะ
แหล่งที่มา : Mail จาก เพื่อน .... เป็นเรื่องที่ดีมากๆ อีกเรื่องนึงเลยครับ
25 กรกฎาคม 2545 18:29 น.
ฉันทลักษณ์
คืนหนึ่งของlong weekend ที่เด็กกลับบ้านเกือบหมดหอ
ในปีใดไม่ปรากฎ...........
มีนักศึกษาที่มีอาการทางประสาทคนหนึ่ง
เครียดเรื่องเรียนจนคลุ้มคลั่ง
และฆ่าตัวตายโดยการกรีดข้อมือ.............
รูมเมทพบศพหลังจากกลับจากบ้าน
สภาพศพ : กำลังอืด โกนหัวออกหมด
นิ้วมือซ้ายถูกตัดกองอยู่แถวๆนั้น
ทางมหา'ลัยสั่งปิดหอ ปิดเรื่องทุกอย่าง
และนิมนต์พระมาสวดหลายครั้ง.............
ยังมีแต่เสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องยามดึกที่ไม่รู้จะปิดยังไง......
.... หลายปีผ่านไป........... หอ
5เปิดให้นักศึกษาเข้าพักอีกครั้ง
มีข่าวลือเริ่องผีเหมือนกับทุกหอแต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนกระทั่ง.........
คืนlong weekend ที่เด็กกลับบ้านเกือบหมดหอ
ณ.ห้องที่เกิดเหตุตามที่กล่าวมาตอนต้น เวลาประมาณตี3
บรรยากาศเงียบสงัดเหมาะแก่การอ่านหนังสือในความคิดของบางคน
นักศึกษาคนหนึ่งนั่งหลังพิงเตียงอ่านหนังสือฆาตกรรมสยองขวัญอยุ่คนเดียว
รูมเมทกลับบ้านหมดแล้ว.......
เป็นคืนที่เงียบจริงๆ.........
เงียบจนใด้ยินเสียงแปลกๆ เป็นเสียงกุกกักน่ารำคาญ
เขาเริ่มหาที่มาของเสียง
เสียงนั้นตังขึ้นเรื่อยๆจากโต๊ะของเขา
คล้ายกับมีอะไรบางอย่างพยายามดันออกมา
จากในลิ้นชักโต๊ะ ที่ล้อกอยู่!!!!
"มัน"เริ่มดันแรงขึ้นทุกที!!!!!!!
เขาใด้แต่นั่งตะลึงมองลิ้นชักที่สะเทือนตามแรงที่ดันออกมา
จนในที่สุดก็เปิดออก!!!!!!
มือที่ไม่มีนิ้วเกาะอยู่ที่ขอบลิ้นชัก
แล้วหัวที่ไม่มีผมและร่างที่พองกลมก็โผล่ตามมา!!!!!!!
แล้ว" มัน"ก็พูดว่า
" โนบิตะ นายล็อกลิ้นชักทำไม"
อั๊ง อัง อัง โตะเตะโมะดาอิสึกิ โดราเอม่อน .....
.................... หึหึหึ ...........
25 กรกฎาคม 2545 18:17 น.
ฉันทลักษณ์
....ในหลายๆ ความเชื่อเกี่ยวกับความรัก และคู่ชีวิต
.. มีความเชื่ออันนึงที่เชื่อว่า.. คู่ชีวิตที่แท้จริงจะมีด้ายสีแดงผูกที่นิ้วก้อยข้างซ้าย เชื่อมกันไว้ รอจนวันนึง..ด้ายสีแดงนี้จะนำให้เขาทั้งสองมาพบกัน และรักกันในที่สุด..
.....หลายๆ คนอาจจะเชื่อ แต่คงไม่เชื่อมากเท่าผมแน่ๆ.. เพราะผมเห็น..
. เห็นด้ายสีแดงที่นิ้วก้อยข้างซ้ายของผม..
ด้ายที่ผูกติดตัวมาตั้งแต่จำความได้..
ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าปลายอีกข้างนึงของมัน จะผูกติดกับใครนั่นแหละคือสาเหตุที่ผมเดินทางหาปลายอีกด้านนึงของมัน.. .....เด็กหนุ่มคนนึงที่ต้องการตามหาสิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตของเขา.. ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เค้าตามหาจะอยู่ไกลขนาดไหน..
และไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่.. แต่เค้าก็เริ่มเดินทาง.. การเดินทางไปตามด้ายสีแดงตรงปลายนิ้วก้อย..การเดินทางที่รู้ทางเดิน..
แต่ไม่รู้จุดหมาย.. .....ผมเดินทางไปตามเมืองต่างๆ ที่ด้ายสีแดงของผมพาดผ่าน..
ได้พบ ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างที่ไม่มีทางจะได้เจอในเมืองของผม
ใจนึงก็คิดว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดี.. แต่มันก็ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง.
เป้าหมายของผมคือ.. ปลายด้ายสีแดง...
.....และแล้วผมก็ได้เพื่อนร่วมเดินทาง..
เมื่อวันนึงผมพบกันผู้หญิงที่ตามหาปลายอีกด้านนึงของด้ายแดงเหมือนกัน.. แต่เธอคงไม่ใช่ปลายด้ายแดงของผมหรอก..
เพราะด้ายแดงของผมยังไปอีกไกล...
....เราพบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
และก็ไม่ได้เป็นการพบกันที่ทำให้ผมพอใจมากนัก..
บอกตรงๆ เธอไม่ใช่ผู้หญิงในสเปคของผมเลย..
แถมเราทะเลาะกันตั้งแต่เจอกันครั้งแรก แต่เราก็ร่วมเดินทางด้วยกัน
เพราะด้ายสีแดงของเธอกับของผมมันไปทางเดียวกันน่ะสิ..
.....ก็ยังดีนะ ที่ผมไม่ได้เดินทางคนเดียว อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทาง ที่เห็น และตามหาปลายอีกข้างนึงของด้ายแดงเหมือนกัน..
....การเดินทางร่วมกันของเราทำให้ ผมเห็นตัวจริงของผู้หญิงคนนี้มากขึ้น..
เป็นตัวจริงที่น่าเคารพ น่าให้เกียรติในฐานะผู้หญิงคนนึง..
จะว่าไปเธอก็นิสัยดีนะ ตอนที่ทะเลาะกันครั้งแรกคงเป็นการเข้าใจผิดซะมากกว่า ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอเริ่มดีมากขึ้นเรื่อยๆ..
มีอยู่ครั้งนึงที่ผมคิดว่าถ้าปลายด้ายแดงอีกข้างนึงของผมไปหยุดอยู่ที่นิ้วก้อยของเธอก็คงจะดี..
มันก็ไม่แน่นะ..ถ้าเป็นจริงผมก็คงมีความสุข..
แต่ถ้าไม่ใช่ .. ผู้หญิงคนนั้นคงเป็นผู้หญิงที่วิเศษกว่าเธอคนนี้แน่ๆ .. ยิ่งผมได้รู้ว่าเพื่อนร่วมเดินทางของผมเป็นผู้หญิงที่วิเศษเพียงใด
ผมก็ยิ่งอยากให้ผมเจอปลายด้ายแดงของผมไวๆ ..
ผู้หญิงที่ดีกว่าผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงที่เป็นเนื้อคู่ของผมจะเป็นยังไงน๊า..
.....นานขนาดไหนก็ไม่รู้ที่เราร่วมเดินทางด้วยกัน..
ผมยอมรับว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่ดีที่สุด..
เราช่วยเหลือกันมาตลอด.. แต่มันก็คงจะสิ้นสุดแล้วล่ะ..
เพราะด้ายแดงของผมกับเธอ มันแยกกัน.. ตรงทางแยกพอดี..
ทางแยกนี้มันแยกไปสู่เมืองสองเมือง
.. ด้ายของผมแยกไปทางขวา.. มุ่งสู่เมืองบนยอดเขา
ซึ่งผมเชื่อว่าคงเป็นปลายด้ายของผมแล้วล่ะ ..
เพราะเมืองนี้อยู่ยอดเขาพอดี.. ส่วนของเธอแยกออกไปที่เมืองข้างล่าง..
.....เรายืนคุยกันตรงทางแยกซักพักนึง เพื่อกล่าวคำอำลา และแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน เราจะได้เจอจุดหมายของเราซักที.. ข้อตกลงสุดท้ายของเราก่อนจะแยกจากกันคือเราจะกลับมาเจอกันที่ตรงทางแยกนี้
ไม่ว่าจะเจอ หรือไม่เจอปลายด้ายแดงก็ตาม.. เราตกลงกันตามนี้..
แล้วเราก็แยกทางกัน.... .....ผมรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องกลับมาเดินทางคนเดียว ทำให้ผมไม่ดีใจมากนักที่รู้ว่าปลายด้ายของผมจะไปสุดตรงที่เมืองตรงยอดเขา
ผมเดินแยกจากเธอไปช้าๆ.. ในหัวมีแต่เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นตอนที่เราเดินทางด้วยกัน..
ความประทับใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทาง..
ความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้กัน..
.....และแล้วผมก็หยุดเดิน .. หยุดห่างจากทางแยกไม่ไกลเท่าไหร่..
แล้วผมก็วิ่งกลับไปยังทางแยกนั้นอีกครั้ง..
ไม่มีเหตุผลที่ผมทำแบบนี้เลย.. แต่ก็ทำ..
ผมกลับไปถึงทางแยกนั้นอีกครั้ง.. ซึ่งเธอก็นั่งอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว..
....เรานั่งคุยกันซักพัก..
ผมบอกเธอไปว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงกลับมา..
ส่วนเธอ..เธอบอกว่าเธอกลัว
.. กลัวว่าจะไม่มีใครตรงปลายด้ายแดงของเธอ
แล้วเธอก็ร้องไห้.. เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอร้องไห้..
.....สิ่งที่ผมภูมิใจมากกว่าติดสินใจการออกเดินทางตามหาคู่ชีวิตของผม.
.คือการตัดสินใจครั้งนี้แหละ.. ผมเช็ดน้ำตาให้เธอ
.. ตัดด้ายแดงของผม และเธอออก แล้วผูกเข้าด้วยกัน...
ผมไม่รู้หรอกว่าเธอจะโกรธผมรึเปล่าที่ผมทำแบบนี้..
อยากจะถามเธออยู่หรอก แต่เธอก็ร้องไห้ไม่หยุด.. และกำลังกอดผมอยู่...
ผมเชื่อในบุพสันนิสวาสนะครับ ผู้คนตั้งมากมายบนโลกนี้ ทำไมต้องเป็นเธอ
โดย :maismj; E-mail maismj@hotmail.com