1 มีนาคม 2550 20:46 น.
จันทร์เพ็ญ จันทนา
โอ้โอ๋ ปลอบขวัญ...วันแล้งล้า
แม้วัยย่างเจ็ดสิบห้า เป็นกล้าใหญ่
วิถีแห่งต้นกล้า ประชาธิปไตย
บนแนวทาง ไทย-ไท ยังต้องทน
ทนกับความผันผวน แห่งความคิด
ทนกับความ พลาด-ผิด ไร้เหตุผล
ทนกับความ ไม่จริงใจ ของหลายคน
ทนกระแส ความสับสน จากหลายทาง
ทั้งน้ำแรง ปุ๋ยเลือด เคยหลั่งรด
เพื่อให้เจ้า ยังเขียวสด ไม่รู้สร่าง
หลายครั้งที่อุดมการณ์มันเจือจาง
ก็อยากวางทิ้งเจ้าไว้ ไม่เหลียวดู
แต่ก็ทิ้ง ไม่ลง ปลงไม่ตก
เมื่อเสียงเพรียกในอก ยังก้องกู่
ฆ่าไม่ตาย ขายไม่ขาด ก็ต้องชู
และต้องอยู่ ต้องเลี้ยง เคียงกันไป
เจ้าเองก็ ต้องเรียนรู้ อยู่อย่างกล้า
กล้าฟันฝ่ามรสุมที่โถมใส่
กล้ารองรับปรับตัวปรับหัวใจ
ให้เข้าได้ และอยู่ได้ เป็นอย่างดี
ทุนนิยม คนนิยม อาจยุ่งยาก
ต้องปรับตัวกันอีกมาก ตามหน้าที่
เชื่อเถอะ! วันผลิบาน...มันต้องมี
เพียงแต่ไม่ใช่วันนี้...เท่านั้นเอง!
.............................................
เชื่อเถอะ! วันผลิบาน...มันต้องมี
ถ้าวันนี้ เราพร้อมกล้า...ฝ่าด้วยกัน!
15 มกราคม 2550 17:56 น.
จันทร์เพ็ญ จันทนา
เคลื่อนไหวแต่ละที มีชีวิต
ประจงแต่ง วิจิตร งามสง่า
หวานหู หวานคำ จำนรรจา
ท่วงทำนองลีลา น่ายล-ยิน
เป็นชีวิต ที่เกิด มาเชิดหุ่น
มาเชิดชู ค้ำจุน คุณค่าศิลป์
ให้คนเรียกขานว่า ศิลปิน
จรรโลงจินต์ เสริมส่ง จรรโลงใจ
มหรสพ แห่งชีวิต ประสิทธิ์ประสาท
เคยประกาศ ศักดิ์ศรี ที่ยิ่งใหญ่
สืบทอด สายธาร วิญญาณไทย
หวังสืบเนื่องต่อไป อีกเนานาน
ย่างขยับ ขับขาน ผ่านสมัย
ก็หวังว่า ปัญญาไทย ยังส่งผ่าน
ออกโรงแต่ละหน คนต้องการ
ยิ่งฝึกฝน จนเชี่ยวชาญ ชำนาญมือ
"มีชีวิต" ที่ "มีหวัง" อยู่หลังหุ่น
เกียรติ-ศรัทธา ยังเป็นทุน ที่ยึดถือ
โลกจะปรับ คนจะเปลี่ยน ยังฝึกปรือ
เพื่อสร้างสื่อ "ละครเล็ก" เอกลักษณ์
แต่ความจริงนอกโรง มักโหดร้าย
หุ่นรำร่าย คล้ายเป็นสุข คนทุกข์หนัก
ท่าอ่อนช้อย แต่ใจช้ำ ตรากตรำนัก
เมื่อคนเขา ไม่รักไม่อยากดู!
ศิลป วิถีไทย เคยได้ปลื้ม
เดี๋ยวนี้คนเขาลืม น่าอดสู
หรือถึงคราวโรงชีวิต ปิดประตู
เพราะว่าการดำรงอยู่ ช่างยากเย็น
สะพานศิลป์ที่สร้างสรรค์ มันสั่นไหว
สั่นไปถึงหัวใจ ในยุคเข็ญ
ความแน่วแน่ แพ้กรรม ความจำเป็น
ต้องทนเห็น หุ่นเดียวดาย ในตู้โชว์
อนุรักษ์ ชีวิตไว้ในตู้โชว์!
20 ตุลาคม 2549 23:08 น.
จันทร์เพ็ญ จันทนา
เม็ดทราย
งดงามความหมายในโลกหล้า
แม้เป็นเพียงกรวดทรายในสายตา
เจ้าก็ยังสูงค่าถ้า "รอคอย"
เมื่อความหมายอาจไม่มีเพียงที่เห็น
เมื่อความเด่นอาจซ่อนงามในความด้อย
เมื่อคุณค่าอยู่ที่ค่าแห่งการคอย
ทรายเม็ดน้อยจึงตระหนักรักค่าตน
กาลเวลาอาจเลวร้ายทำลายล้าง
กาลเวลาก็อาจสร้างใหม่อีกหน
กาลเวลาพิสูจน์ค่าราคาคน
กาลเวลาพิสูจน์ผลแห่งเม็ดทราย
กี่คลื่นสาด กี่ลมซ้ำ กี่น้ำซัด
ทรายก็ยังยืนหยัดไม่เสื่อมสลาย
กี่รอยเท้าที่เหยียบย่ำที่กล้ำกราย
ยิ่งเหมือนสร้างร่างทรายให้ชัดเจน
จากทรายน้อยจึงค่อยกลายเป็นหินกล้า
เพิ่มคุณค่าอย่างเด็ดเดี่ยวและโดดเด่น
เมื่อเจ้าเคยผ่านพ้นผลลำเค็ญ
เจ้าจึงเห็นและเข้าใจในชีวิต
จากหินกล้า เติบกล้า เป็นผาแกร่ง
ด้วยเรี่ยวแรงแห่งศักดิ์ศรี อันศักดิ์สิทธิ์
เจ้าสูงค่าแม้เจ้ามาจากน้อยนิด
"รางวัลชีวิต" แห่งภูกล้าที่มาจากทราย
ปล. แด่ทุกเม็ดทราย ที่กำลัง
จะกลายเป็นหินกล้า และผาแกร่ง.
19 ตุลาคม 2549 13:56 น.
จันทร์เพ็ญ จันทนา
ในเมืองแห่งแสงสีที่สดใส
ข้าหม่นหมอง ข้าร้องไห้ ตั้งหลายหน
ในเมืองแห่งความหลายหลากมากผู้คน
ข้าอ่อนแรง ดิ้นรน...จนอ่อนใจ
คิดถึงข้าวเต็มนา ปลาเต็มน้ำ
คิดถึงคลองเคยว่ายดำ น้ำใสใส
คิดถึงบ้านที่ลาร้างมาห่างไกล
คิดถึงใครบางคนที่เฝ้าคอย
ทั้งดินทั้งฟ้า
เจ้าจะรู้ไหมว่า ข้าเหงาหงอย
ชีวิตที่เป็นอยู่ดูล่องลอย
ตัวข้าเล็กกระจ้อยร่อยอยู่กลางกรุง
อยากจะคืนภูมิลำเนา แหล่งกำเนิด
ผืนแผ่นดินถิ่นเกิด และท้องทุ่ง
กลิ่นจำปี มะลิลา หอมจรุง
ฝากความมุ่งหวังไป กับสายลม
ฝากคิดถึงแม่พ่อและน้องพี่
อยู่ทางนี้ ใจจะขาดด้วยขื่นขม
ยังไม่ลืมทุกถ้อยร้อยคำคม
สอนสั่งสมสูงค่ากว่าเงินทอง
ฝากคิดถึงเถาตำลึงที่ริมรั้ว
ทั้งสายบัวสันตะวาในนาหนอง
ฝากห่วงแม่โสนน้อยที่ริมคลอง
ฝากปกป้อง ผักบุ้งน้ำ ตามคันนา
ภาพเจ้าทุยลุยลายยังไม่ลบ
เสียงเขียดกบยังเจื้อยแจ้วให้แว่วหา
หอมควันไฟจากเตาฟืนยังไม่ซา
ยังหวังว่ายังมีหวัง.จึงยังทน
ในเมืองแห่งแสงสีที่สดใส
ข้าหม่นหมองข้าร้องไห้ตั้งหลายหน
ในเมืองแห่งความหลายหลากมากผู้คน
ข้าอ่อนแรง ดิ้นรนจนอ่อนใจ
มีภาพของพ่อแก่ และแม่เฒ่า
คอยปลอบใจให้คลายเศร้าพร้อมก้าวใหม่
ข้าฝากตัวไว้เมืองกรุงที่ศิวิไลซ์
ข้าฝากรักและห่วงใยไว้บ้านนา
18 ตุลาคม 2549 17:34 น.
จันทร์เพ็ญ จันทนา
ภุชงคประยาตฉันท์ 12
อยุธย์ยิ่งชะลอหล้า กระจ่างฟ้าอนรรฆนันท์
สลายราบริปูพลัน ทะลายไทย พิลาปไทย
เพราะเราเองมิร่วมจิต สมานมิตรสมัครใจ
ธำรงชาติพิทักษ์ชัย อธิปัตย์ประเทศปรวน
กาพย์สุรางคณางค์ 28
สู่ยุคกรุงแก้ว ตำนานขานแล้ว
เรียนรู้คู่ควร
ไร้รักล่มชาติ พินาศทั้งมวล
รักชาติเชิดชวน คืนสามัคคี
โคลงสามสุภาพ
เสียกรุงสองครั้งผ่าน เราลูกหลานรุ่นนี้
อย่าปล่อยชาติป่นปี้ ร่วมกู้ใจกรุง
ฝันเห็นขอบฟ้าคราม งดงามเรืองเรื่อรุ้ง
ขจรเกียรติเกริกชื่อฟุ้ง เฟื่องด้าวแดนไทย
กลอนแปดสุภาพ
พลังแห่งสามัคคีที่สามารถ
จักเชื่อมชาติชูชนจนเติบใหญ่
อีกช่วยหมุนกงล้ออธิปไตย
ให้ก้าวไปสู่เบื้องหน้า สง่างาม
จากหนึ่งมือสู่มือกระชับมั่น
สานสัมพันธ์เรืองรองเป็นสองสาม
สู่ร้อยมือร้อยใจไทยทั่วคาม
เพื่อยังความยิ่งใหญ่...ให้แผ่นดิน