23 มิถุนายน 2554 09:23 น.
จะเด็ด
พบรอยยิ้ม อิ่มละไม ในวันนั้น
พี่อกหวั่น พรั่นใจ ให้ผวา
เสียงสดใส ใช้ถ้อยคำ จำนรรจา
ตาต้องตา มาประสาน หวานอารมณ์
โอ้น้องหญิง พริ้งพักตร์ ทักทายพี่
เอ่ยวจี ไถ่ถาม เจ้างามสม
พี่ลอบมอง น้องนาง พลางชื่นชม
ใจที่ตรม เมื่อวันวาน พลันลุกวาว
ใจเอ๋ยใจ เผลอใจ ได้อีกครั้ง
มิอาจรั้ง ยั้งหยุด ฉุดใจหนาว
ใจก็อยาก ฝากรัก อีกสักคราว
ลบรอยร้าว แห่งความหลัง ที่ฝังใจ
ใจอยากบอก ใจบางบาง อย่างพี่นี้
ยังไร้ที่ ฝากรัก พักอาศัย
อยากมีคน ร่วมถักทอ ก่อสายใย
สานรักไว้ เป็นตำนาน วิมานดิน
18 มิถุนายน 2554 11:55 น.
จะเด็ด
ดื่มสุรา ที่ใครใคร ว่าไม่ดี
สูบบุหรี่ ที่ใครใคร ก็ไม่สน
ทั้งมัวเมา เรื่องรัก ปักกมล
อีกกลอนกล คนอย่างฉัน นั้นก็เมา
จะให้ฉัน เว้นว่าง สักอย่างนั้น
เพียงคืนวัน ผันผาย ใจต้องเศร้า
ก็หัวใจ ในมนุษย์ สุดคาดเดา
โลกหยอกเย้า เล่นบ้าง ก็บางคราว
โอ้วันคืน ผ่านมา พาหวนคิด
เพ่งพินิจ คิดไป ดวงใจหนาว
กาลเวลา ดำเนิน เดินเรื่องราว
เท้าย่างก้าว ฝ่าฟัน ล่าฝันมา
ทั้งชีวิต ที่ผ่านสุข แลทุกข์โศก
เส้นทางโลก ทางธรรม ก็ล้ำหน้า
ด้วยว่าเห็น ดังเช่น เกณฑ์ชะตา
เมาอักขรา เมาเหล้า เมานารี
ภาพคืนฝัน วันเก่า เข้าตรองตรึก
มานั่งนึก กาพย์กลอน อักษรศรี
อยากจะเป็น เช่นท่านภู่ ครูกวี
ถ้อยวลี ตราตรึง ซึ้งใจตน
จึงร่ำเรียน เพียรอ่าน ขานจำจด
อีกท่องบท แรมนิราศ ขาดฉงน
ด้วยตัวท่าน นั่นหนอ พอชอบกล
เล่าเรื่องคน เรื่องรัก ปักดวงใจ
ยามวัยเยาว์ เฝ้าอ่าน ผ่านสมอง
จึงลอยล่อง ท่องจำ ทุกคำได้
กลอนนิราศ ขาดร้าง จากนางใกล
พระอภัยฯ ถ้อยวจี ที่ตรึงตรา
บางครั้งเล่น เป็นบ้า พาให้คิด
ด้วยประดิษฐ์ คิดฝัน นั่นแหละหนา
ดังต้องเล่ห์ เสน่ห์กล ดลชักพา
ให้ต้องมา เมาเหล้า เมาบังอร
อนึ่งมนุษย์อุตริติต่างต่าง
แล้วเอาอย่างเทียบทำคำอักษร
ให้ฟั่นเฟือนเหมือนเราสาปในกาพย์กลอน
ต่อโอนอ่อนออกชื่อจึงลือชา (นิราศพระประทม สุนทรภู่ )
แจ้งประจักษ์ แห่งใจ ในตัวฉัน
ทุกคืนวัน ฝันไป ใจผวา
ต้องเขียนกลอน อ้อนนารี มีสุรา
ประหนึ่งบ้า เช่นคำสาป ในกาพย์กลอน