26 พฤศจิกายน 2547 01:00 น.
คุณภูมิ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู หนึ่ง
เป็นเถิดดาวก่องฟ้า ปักษ์แรม
เพียงส่องเพียงทอฉาย แก่พื้น
เป็นเถิดกลีบสุมาลย์แซม สีสาด
เพียงแต่งโลกให้ชื้น แก่ตา ฯ
เป็นเถิดเม็ดน้ำค้าง ก่องพราว
เอื้อร่างร่วง โรยพนา เท่านั้น
เป็นเถิดเศษเมฆขาว ฟายฟ่อง
เพียงเก็บน้ำไว้คั้น แก่คน ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู สอง
เป็นเถิดเยี่ยงซับน้ำ อาบไพร
ไป่พบผู้ยินยล สักน้อย
ถมร่าง ณ แดนไกล หวังก่อ
คือก่อแม่น้ำย้อย แตกยวง ฯ
เป็นเถิดเม็ดน้ำน้อย แต่งทะเล
รองรับสรรพสิ่งปวง เพื่อสร้าง
เอื้อร่างดั่งหนึ่งเปล แกว่งเด็ก
เร้นชอบไป่รู้อ้าง แบ่งบุญ ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู สาม
เป็นเถิดเกร็ดหมอกฟ้า เวี่ยระบาย
เพียงแต่งเพียงเจือจุน ร่างรุ้ง
ฝนซา-ตะวันฉาย ก็สร่าง
ไป่ครอบครองโค้งคุ้ง คคนานต์ ฯ
เป็นเถิดเพียงดอกหญ้า ไร้นาม
บานแต่งทุ่งแต่งลาน เท่านั้น
เอื้อตาแก่คนยาม เมื่อยาก
ไร้ศักดิ์ไร้ค่าชั้น ค่าลวง ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู สี่
เป็นเถิดเสียงนกร้อง ยามงาย
เพียงร่วมปลุกสิ่งปวง ตื่นฟื้น
เพียงขานรับตะวันสาย อันส่อง
อันส่องเอื้อให้พื้น เบิกระบำ ฯ
เป็นเถิดจั๊กจั่นน้อย เรไร
กรีดปีกเพื่อเริงรำ กล่อมหล้า
ขานเพลงแห่งดวงใจ ธรรมชาติ
ให้สรรพสิ่งใต้ฟ้า ฝึกยิน ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู ห้า
เป็นเถิดลมล่องน้ำ ในวาร
เพียงโบกปีกนกบิน ท่องฟ้า
เพียงอยู่คู่เคียงกาล อันผลัด
อันผลัดมาเอื้อหล้า ก่อคุณ ฯ
เป็นเถิดแสงหิ่งห้อย พริบวาว
กระจิริด ดั่งจุล จ่อแต้ม
กาฬปักษ์จึ่งรู้พราว วิบพร่าง
ไป่แข่ง-เพียงเยื้อนแย้ม ช่วยดาว ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู หก
เป็นเถิดกรวดกึ่งก้อน ถมทาง
ร่วมก่อหนทางยาว เที่ยงแท้
หยัดอุทิศตนวาง ใจวาด
ใจวาดแจ่มจ้าแม้ ทุกข์ทน ฯ
เป็นเถิดไม้ใหญ่น้อย ในภู
ชอนรากยึดเมทะนีดล มั่นไว้
เก็บน้ำซ่อนอักขู ในป่า
เพียงเพื่อเมื่อแล้งใช้ แจกเมือง ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู เจ็ด
เป็นเถิดดั่งดักแด้ เดียวดาย
กินเศษไม้ไป่เปลือง เปล่าปลี้
แต่แต่งโลกให้พราย สีสด
คือปีกผีเสื้อที่ แต่งตา ฯ
เป็นเถิดเพียงเศษปล้อง ไผ่ซาง
ทำขลุ่ยกล่อมคนอา- เทวษไหม้
ไป่งามเลิศสำอาง ดั่งหยก
แต่แต่งเสียงพริ้งได้ ดุจกัน ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู แปด
เป็นเถิดดั่งแท่งไต้ ส่องทาง
ไร้ค่าเมื่อตาวัน ส่องสร้าน
เมื่อมืดจึ่งรางชาง เปลวเด่น
สาดส่องแสงจ้าจ้าน แก่คน ฯ
เป็นเถิดดั่งร่องน้ำ รางธาร
ไหลอาบไปทุกหน แห่งพื้น
ให้สรรพสิ่งบรรสาน ลงสู่
เพื่อแต่งโลกให้ชื้น ชุ่มวาว ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู เก้า
เป็นเถิดจันทร์แหว่งเสี้ยว คืนแรม
รวมแผ่นฟ้าร่วมดาว เพื่อเอื้อ
เพื่อเอื้อค่ำสว่างแปม ปนมืด
เพื่อกล่อมคนร้อนเรื้อ กลับเย็น ฯ
เป็นเถิดดั่งเหล็กกล้า ในไฟ
หลอมร่างแปรตนเป็น เครื่องใช้
แข็งแต่อ่อนอยู่ใน ความนิ่ง
ให้ทื่อ-คม คล้ายคล้าย ดั่งกัน ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู สิบ
จง-เกลาจิตเพื่อแจ้ง โดยตน
รู้-เหตุรู้สิ่งอัน จิตรู้
เถิด-เพื่อดิ่งในหน อันถูก
ว่า-ชีพมีเพื่อกู้ ศักดิ์คน ฯ
ธรรม-คือทางแต่งแล้ว โดยธรรม
ชาติ-ภพเป็นเพียงผล ประจักษ์ใกล้
เป็น-คนหากมืดดำ ในจิต
กวี-ภพจักแจ้งได้ ไป่มี ฯ
คุณภูมิ
ภูสอยดาว,๒๕๔๗
25 พฤศจิกายน 2547 13:07 น.
คุณภูมิ
ย่ำรุ่ง ดาวร่วง-ดวงพุ่งก่ำแสงเปล่ง
วาบหาวราวเหินเกินกะเก็ง ไป่เล็งจุดทอดที่ปลายทาง
ขีดฟ้า โลมทาบดวงทาเป็นลำพร่าง
แต้มมืดให้จ้าให้รางชาง เพียงวูบจึงร่างก็ร้างรา
ถามใจ ดาวร่วงดวงเท่าใด-ยิ่งหมดฟ้า
แล่ล้านดวงเคยร่วงมา แลร่วงเพื่อหาความหมายใด
จึงเห็น สิ่งเล็กอันเร้นความยิ่งใหญ่
แสดงกฎแก่ตาโดยฟ้าไกล แสดงกฎแก่ใจให้จดจำ
จำได้ ว่าผีพุ่งไต้แห่งคืนค่ำ
ไม่เรียกร้องสิ่งใดจากฟ้าดำ ยามร่วงร่างก่ำแต้มค่ำคืน
25 พฤศจิกายน 2547 12:23 น.
คุณภูมิ
สุมทุมพุ่มไม้ในคืนมืด
ขึงพาดเป็นพืดในฟ้าค่ำ
กาฬปักษ์คืนนี้มีฝนพรำ
ผสานเสียงงึมงำ-ฟ้าครวญคราง
แต่ฟ้ามืดเคยเปล่าไร้ดาวดก
เพียงเมื่อฝนหยุดตกก็พริบพร่าง
รวงดาววาวรวงขึ้นรางราง
พร้อมก่อทางช้างเผือกพรรณราย
เกิดเป็นดึกเดือนดับดาววับแสง
ก่อม่านสานแผงวิบวิบว่าย
เพิงเคยมืดงำก็อุ่นอาย
และตาเคยเปล่าดาย-ก็ได้ดาล
25 พฤศจิกายน 2547 12:06 น.
คุณภูมิ
มากมาย โดยนัย-โดยเหตุ
บ่งเลศบ่งลึกบ่งตื้น
ทุกข์-สุข หวาน-ขม กลมกลืน
มีหลับ มีตื่น-โดยตน
ใดใฝ่พึงใฝ่โดยใฝ่
โดยใจ-เพราะใจคือผล
หากก่อเป็นกล-คือกล
เป็นทุกข์เป็นท้นต่อตาม
โดยแต่งจึงแต่งใจต่อ
โดยรอ-จึงรู้เพียงถาม
โดยแท้-โดยธรรมงำงาม
อยู่ท่ามกลางธรรมใกล้ตัว
25 พฤศจิกายน 2547 11:57 น.
คุณภูมิ
เมื่อวิบวิบแสงแวมเริ่มแต้มฟ้า
ม่านความมืดที่ทา ก็ถดถอย
เมื่อหมอกน้ำล่วงลาสลายรอย
เขียวม่วงครามก็ค่อยคลี่ม่านคลุม
เหนือคุ้งฟ้าคุ้งโค้ง-เป็นวงฟ้า
ขาวเมฆฝอยจับฝ้า เป็นกลุ่มกลุ่ม
เรี่ยเรี่ยรายรายระบายรุม
แต่งแต้มสุมทุมขึ้นทาบทา
หัวคลื่นนั้นเคลื่อนอยู่ครึกครึก
แรงหวนลมดึก-ลมเดือนห้า
กำหนดท่วงทีแห่งลีลา
ให้น้ำ ให้ฟ้า-ให้ทะเล