ในท่ามกลางฤดูหนาววันหนึ่ง อากาศรายรอบเหน็บหนาวเย็นยะเยือก หิมะกำลังตกโปรยปราย นับเป็นภาพ
ที่งดงามตราตรึงเพียงใด ขณะที่ทุกคนกำลังหลับใหล ดร.มาซารุ เอโมโตะ นักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่กำลังเหม่อมอง
หิมะที่ส่องประกายแวววาวด้วยความเพลิดเพลินอยู่นั้น พลันบังเกิดความคิดขึ้นว่า เกล็ดหิมะส่องประกาย
ไม่มีเกล็ดใดที่เหมือนกัน
ถึงแม้หิมะจะร่วงหล่นบนพื้นโลกมานับพันนับหมื่นปี แต่ละเกล็ดนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน
ถ้าเป็นอย่างนี้ หากนำน้ำมาทำให้แข็งตัวและศึกษาผลึกของมัน บางทีอาจจะพบโฉมหน้าที่แตกต่างกัน
ของน้ำก็ได้ เขารำพึงรำพันกับตัวเอง โดยนิสัยของเขา เขาเป็นคนที่คิดแล้วต้องลงมือทำเลย และได้เริ่ม
การทดลองที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาเริ่มต้นด้วยการเช่ากล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูง จากนั้นก็นำน้ำไปแช่แข็งในตู้เย็นเพื่อให้แข็งตัว
เป็นน้ำแข็ง แต่เพราะต้องถ่ายรูปกันในอุณหภูมิห้อง น้ำแข็งจึงละลายเร็วมาก ผลก็คือเขาไม่สามารถถ่ายภาพ
ผลึกน้ำได้เลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงหมั่นเชิญเพื่อนนักวิจัยมาทานข้าวที่บ้านทุกวันปลุกเร้าไม่ให้ท้อ ไม่ว่าอย่างไร
เขาก็จะต้องทำให้สำเร็จ หลังจากพยายามอยู่สองเดือน ในที่สุดก็สามารถถ่ายภาพผลึกน้ำภาพแรกได้
มันเป็นผลึกน้ำหกแฉกที่สวยงามมาก ทั้งตัวเขาและเพื่อนนักวิจัยต่างตื่นเต้น
คราวนี้เพื่อความสะดวกในการสังเกตผล เขาจึงทำห้องเย็นขนาดใหญ่ไว้ในห้องทดลอง ตั้งอุณหภูมิไว้ที่
ลบ 5 องศาเซลเซียส มีอุปกรณ์ติดตั้งพร้อมทุกอย่างสืบเนื่องมาจากผลสำเร็จครั้งแรกโดยแท้ ความพยายาม
นำมาซึ่งผลสำเร็จ ทุกอย่างล้วนขึ้นกับความตั้งใจของเขาและเพื่อนๆ หลังจากนั้นการถ่ายภาพผลึกน้ำ
ไม่เพียงแต่อธิบายความเป็นไปของโลกทั้งมวล แต่ยังแฝงด้วยปรัชญาอันลึกซึ้ง ผลึกน้ำที่คงรูป เมื่อพบกับ
อุณหภูมิที่สูงขึ้น มันจะละลายไปภายในไม่กี่สิบวินาที ภายในห้วงเวลาสั้นๆ นั้นเอง สัจธรรมของจักรวาล
ที่ปรากฏให้เห็นกับตา ก็ค่อยๆ เลือนหายไปด้วย ในชั่วพริบตา เราจะได้เห็นโลกที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
วิธีการถ่ายภาพผลึกน้ำของเขามีขั้นตอนดังนี้ เริ่มแรกนำตัวอย่างน้ำประเภทเดียวกันมาหยดแบ่งใส่จานแก้ว
ที่มีฝาปิด 50 ใบ จากนั้นก็เอาไปแช่ในห้องแช่แข็งอุณหภูมิลบ 20 องศาเซลเซียสเป็นอย่างน้อย
ใช้เวลา 3 ชั่วโมง หยดน้ำในจานแก้วจะเกิดแรงตึงผิว เห็นเป็นแผ่นน้ำแข็งกลมๆขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
ราว 1 เซนติเมตร เมื่อใช้แสงส่องไปที่ผลึกน้ำแข็งแล้วใช้กล้องจุลทรรศน์ขยายภาพดู ก็จะเห็นภาพผลึกน้ำ
แน่นอนว่า น้ำในจานทั้ง 50 ใบไม่เกิดผลึกแบบเดียวกันทั้งหมด ในบางตัวอย่างก็ไม่พบผลึกเลย เมื่อทำสถิติ
ไว้ว่า มีกี่ใบที่เกิดผลึกได้ กี่ใบที่ไม่สามารถเกิดผลึก และมีกี่ใบที่ให้ผลึกไม่สมบูรณ์ แล้วนำมาสรุปเป็นกราฟ
ก็จะทำให้เข้าใจคุณสมบัติของน้ำมากขึ้น
ตอนแรกเขานำน้ำประปาจากเมืองใหญ่มาทดลอง ปรากฏว่าน้ำประปาจากโตเกียวนั้นแย่ที่สุด แทบจะถ่ายภาพ
ผลึกน้ำสวยๆ ไม่ได้เลย นั่นอาจเป็นเพราะน้ำในญี่ปุ่นใช้คลอรีนฆ่าเชื้อ ทำให้ไม่สามารถเกิดผลึกสวยงาม
ตามธรรมชาติได้ ตรงกันข้าม ขอเพียงเป็นน้ำจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใดผลึกของน้ำจะออกมา
สวยงามแปลกตา เช่น น้ำพุ น้ำบาดาน ธารน้ำแข็ง แม่น้ำช่วงต้นน้ำ (แม่น้ำช่วงปลายซึ่งเป็นน้ำเสียที่ชาวบ้าน
ปล่อยออกมา มักจะไม่เห็นผลึกน้ำ) ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากส่วนใดของโลก ขอเพียงให้เป็นน้ำตามธรรมชาติ
ที่ไม่มีการเจือปน ก็จะสามารถเห็นผลึกได้ ด้วยเหตุนี้เอง การถ่ายรูปและการวิจัยผลึกน้ำจึงเริ่มต้นขึ้น
อย่างเป็นเรื่องเป็นราว นำไปสู่การถ่ายภาพผลึกน้ำที่ได้ฟังเพลงประเภทต่างๆ
หลังจากลองผิดลองถูกหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ใช้วิธีวางขวดที่มีน้ำไว้ตรงกลางระหว่างลำโพง
สองตัว และเปิดเพลงให้น้ำฟัง เสียงดังเท่ากับที่คนฟังโดยปกติ และน้ำที่นำมาใช้ในการทดลองแต่ละครั้ง
ต้องเป็นน้ำจากแหล่งเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจใช้น้ำกลั่นที่ขายตามร้านขายยามาทดลอง
ให้ฟังเพลงผลที่ได้นั้นน่าอัศจรรย์มาก น้ำที่ได้ฟังเพลง Pastoral ของบีโธเฟ่นผลึกจะใสเป็นประกาย
สวยงามและสมบูรณ์มาก ส่วนน้ำที่ได้ฟังซิมโฟนีหมายเลข 40 ของโมสาร์ท จะได้ผลึกที่งดงามอย่างวิจิตร
ที่สวยที่สุดคือเพลง Farewell Song (เพลงลาจาก) ของโชแปงผลึกที่ได้จะเล็กๆ น่ารัก เผยให้เห็นความรู้สึก
ของการลาจาก (ซึ่งต่อมาภายหลัง เขาเพิ่งทราบว่าที่จริงแล้ว Farewell Song ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม
ดูเหมือนว่าสิ่งที่น้ำรับรู้จากท่วงทำนองเพลงนั้นจะตรงกับความรู้สึกของคนที่ตั้งชื่อเพลงนี้) น้ำที่ได้ฟังเพลง
คลาสสิคที่ไพเราะจะให้ผลึกออกมาสวยงามมีรูปลักษณ์แตกต่างกันออกไป ตรงกันข้าม หากให้น้ำฟังเพลง
เฮฟวี่เมทัล ที่เต็มไปด้วยความความกราดเกรี้ยว อีกทึก ผลึกที่ได้จะออกมาขาดๆ เกินๆ ไม่สมบูรณ์
ต่อมาเขาก็เกิดความคิดแผลงๆ ขึ้นอีกว่า น่าจะลองให้น้ำอ่านตัวหนังสือดูบ้าง เขาเริ่มทดลองโดยเทน้ำ
ใส่ในขวด เขียนตัวอักษรที่ต้องการลงบนกระดาษและนำด้านที่มีตัวอักษรปะติดแนบกับขวด สิ่งที่เขาต้องการ
รู้ก็คือ หากน้ำได้เห็นคำว่า “ขอบคุณ” กับ “ไอ้บ้า” ผลึกน้ำจะออกมาแตกต่างกันอย่างไร การให้น้ำอ่านตัว
หนังสือ โดยเชื่อว่าน้ำจะเข้าใจความหมายและเปลี่ยนรูปผลึกได้ หากพูดกันโดยตรรกะแล้ว เรื่องนี้อาจฟังดู
เพ้อเจ้อไร้เหตุผลสิ้นดี แต่หลังจากที่ทดลองให้น้ำฟังเพลงแล้ว เขาไม่สงสัยในความคิดนี้ของเขาเลย
แม้แต่น้อย เขารีบทำการทดลองทันที การทดลองครั้งนี้เหมือนการเดินหลงเข้าไปในป่าลึก เขารอคอยผล
การทดลองอย่างใจจดใจจ่อ ผลที่ออกมานั้นเหนือความคาดหมายอย่างมาก น้ำที่อ่านคำว่า “ขอบคุณ”
จะปรากฏเป็นผลึก 6 แฉกที่งดงามแปลกตา ตรงกันข้าม น้ำที่อ่านคำว่า “ไอ้บ้า” จะให้ผลึกคล้ายกับน้ำ
ที่ฟังเพลงเฮฟวี่เมทัล คือเป็นผลึกที่ไม่สมบูรณ์ ผิดรูปผิดร่าง เช่นเดียวกัน เมื่อน้ำอ่านคำว่า
“พวกเรามาร่วมมือกันนะ!” ผลึกน้ำจะออกมาสดใสและสมบูรณ์ แต่เมื่ออ่านคำว่า “อย่ามายุ่ง!”
กลับไม่เกิดผลึกใดๆ เลย
การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า คำพูดที่เราพูดๆ กันในชีวิตประจำวันนั้นมีความสำคัญมากเพียงใด
คำพูดดีๆ จะมีพลัง ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี หากเป็นคำที่เลวร้าย ก็จะนำทุกสิ่งไปสู่
ความเลวร้ายเช่นกัน การศึกษาเรื่องน้ำให้ลึกซึ้งเป็นการท้าทายพอๆ กับการตามหาที่มาของจักรวาล
ผลึกน้ำนำทางไปสู่ข้อมูลที่ไม่เคยมีมาก่อน จากการได้ถ่ายรูปผลึกน้ำออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า หลายครั้งที่
ทำให้เขาได้ก้าวเข้าไกล้สัจธรรมที่ลึกลับของจักรวาลโดยไม่รู้ตัว มีภาพผลึกน้ำภาพหนึ่งที่ทำให้เขา
ถึงกับตะลึง เพราะเขาไม่เคยพบอะไรที่สวยงามเท่านี้มาก่อน นั่นคือผลึกของน้ำที่ได้อ่านคำว่า
“รักและขอบคุณ” ที่ให้ความรู้สึกราวกับว่า น้ำมีความสุขเบิกบานอย่างเต็มที่และเผยตนออกมาเป็นผลึก
ที่งดงามราวกับดอกไม้ผลิบาน งามมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาทั้งชีวิต จากผลึกน้ำที่อ่านคำว่า
“รักและขอบคุณ” น้ำบอกเราว่า ใจของคนเรานั้นมีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลกได้
ตั้งแต่โบราณ ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า ภาษามีวิญญาณสิงสถิตอยู่ กล่าวคือ ภาษาโดยตัวมันเองมีพลัง
สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ภาษามีอิทธิพลต่อความรู้สึก ดังนั้นเราจึงควรจะพยายามสื่อภาษา
ที่มีความหมายดีๆ ออกมา เพื่อเรื่องราวทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยดี จิตใจก็จะเบิกบาน
ดังมีคำกล่าวว่า “จิตใจดีจะทำให้ร่างกายดีไปด้วย” ภาษาคือการแสดงออกของจิตใจ และความรู้สึก
ในจิตใจสามารถเปลี่ยนน้ำที่มีอยู่ 70% ในร่างกายคนได้ (ร่างกายประกอบด้วยน้ำ 70%) และมีผลโดยตรง
ต่อร่างกาย คนที่มีร่างกายแข็งแรงแสดงว่าจิตใจต้องแข็งแรงด้วย
ตอนที่เริ่มวิจัยเรื่องน้ำช่วงแรกๆ เขามีแรงบันดานใจที่ต้องการหาวิธีทำให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี จากการวินิจฉัย
โรคให้กับหลายๆ คนที่ประสบโรคภัยที่ร้ายแรง เขาเริ่มเชื่อว่าโรคภัยต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะบุคคล
แต่เกิดจากสังคมที่บิดเบี้ยว เขามีความเชื่อว่า หากเราไม่เปลี่ยนแปลงโลกที่บิดเบี้ยวนี้ ไม่เพียงแต่คนที่พบ
โรคภัยไข้เจ็บจะไม่ลดน้อยลง คนที่เจ็บป่วยทางใจก็จะมากขึ้นด้วย โลกที่บิดเบี้ยวเกิดจากอะไร? คำตอบก็คือ
เกิดจากใจคนเรานี่เอง จิตใจที่บิดเบี้ยวมีผลต่อทั้งจักรวาล เช่นเดียวกันน้ำเพียงหยดเดียวที่หยดลงบนผิวน้ำ
ย่อมทำให้เกิดระลอกคลื่นแผ่ขยายออกไปอย่างไมจำกัด เพียงจิตใจคนๆ เดียวที่บิดเบี้ยว ก็จะทำให้สิ่งรอบข้าง
ทั้งหลายทั้งปวงบิดเบี้ยวไปด้วย และจะส่งผลต่อโลกทั้งโลก แต่ขอให้ทุกคนจงวางใจ สิ่งที่เป็นไปเหล่านี้
มีทางแก้ไข ด้วยคำว่า “รักและขอบคุณ” โลกของเรากำลังรอคอย เพื่อจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นโลกที่สวยงาม
เฝ้ารอคอยวันที่งดงามที่สุด
ขอให้เรากลับไปคิดที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า คนเราเกิดมาจากน้ำ เมื่อได้เห็นผลึกของน้ำ น้ำในร่างกาย
จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงที่งดงามที่สุดนั้น เกิดขึ้นเมื่อเราเห็นผลึกน้ำที่รับรู้คำว่า
“รักและขอบคุณ” นี่กระมังที่เป็นที่มาของศาสนาทุกศาสนา หากสามารถมี “ความรักและขอบคุณ”
ในใจทุกคนได้ กฎหมายก็จะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ตอนนี้เราคงรู้คำตอบแล้วว่า “ความรักและขอบคุณ”
จะเป็นหัวใจสำคัญที่จะชี้นำโลกแห่งอนาคต น้ำนำทางชีวิตเรา ตำนานทุกบทที่พรรณนาถึงน้ำล้วนแต่
เป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกันกับจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด...
ขอบคุณผู้แปล ดาดา สำนักพิมพ์โลกสวย และผู้เขียน ดร.มาซารุ เอโมโตะ
มาซารุ เอโมโตะ เกิดที่โยโกฮาม่าในปี ค.ศ. 1943 จบการศึกษาทางด้านมนุษยศาสตร์และวิทยาศาสตร์
จากมหาวิทยาลัยโยโกฮาม่า ในปี ค.ศ. 1986 ได้ก่อตั้งสถาบันวิจัย IHM ขึ้นที่กรุงโตเกียว
และในปี ค.ศ. 1992 ได้รับประกาศนียบัตรแพทย์ทางเลือกจาก Open International University
ผลงานวิจัยเรื่องน้ำในระดับอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม นำไปสู่ความเข้าใจน้ำในมิติใหม่
ทำให้รู้ว่าที่จริงน้ำมีพลังชีวิตที่สามารถรักษาโรคได้....