ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า...คำกล่าวที่ว่า "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" ด้วยการปฏิสัมพันธ์กันของคนในสังคม จึงมีการถ่ายทอดความเชื่อ ค่านิยมต่างๆ ทางความคิด ทางถ้อยคำ ทางการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ กัน ตามแต่จารีต วัฒนธรรม การศึกษา หรือพื้นเพปูมหลังของคนเหล่านั้น ได้ก่อให้เกิดค่านิยม ทัศนคติ แนวความคิดหรือมุมมองต่างๆ ในรูปแบบองค์รวม จนถูกหล่อหลอมให้เกิดเป็น "สังคม" โดยรวมที่มีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละมุมโลกไม่น่าแปลกที่คนในสังคมเดียวกันจะมีแนวความคิดในมุมมองต่างๆ ที่ใกล้เคียงกันและแตกต่างจากสังคมอื่นๆ แม้ระบบโซเชี่ยลจะมีอิทธิพลสูงมากขึ้นในปัจจุบันที่ดูเหมือนจะหล่อหลอมให้ไปสู่สิ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสังคมเดียว ในทางตรงกันข้ามกลับมีผลกระทบยิ่งทำให้สังคมเพิ่มความขัดแย้งกันมากขึ้นไปอีก เมื่อพบว่าความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ ต่างๆ เหล่านี้ของสังคมหนึ่ง แตกต่างไปกับอีกสังคมหนึ่ง นั่นเกิดจากสาเหตุใด? แน่นอนถ้าพิจารณาระดับปัจเจกชน แล้วพบว่าปัจเจกชนเป็นพวกที่ไม่รู้หรือรู้ผิดเกี่ยวกับความจริงแท้แห่งเป้าหมายที่คนในสังคมคาดหวังจะให้เป็นไป จริงๆแล้วคนในสังคมต้องการสิ่งใดกันแน่? ความอยู่ดีกินดี ความสุข หรือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน? ปัจเจกชนเหล่านี้ก็ย่อมจะสร้างสถาบันครอบครัวจนถึงสังคม ประเทศชาติในแบบเดียวกัน นั่นคือสังคมแห่งอวิชชา สังคมแห่งความมืดบอดสิ่งที่ปรากฏให้เห็นสะท้อนในสังคมมาจากหน่อยย่อยเหล่านี้ หากรากฐานของตึกไม่แข็งแรง ทั้งตัวตึกก็ตกอยู่ในอันตราย พร้อมจะเสื่อสลายลงได้ในทุกเวลานาที ผู้รู้กล่าวว่าปัญญานั้นมีอยู่แล้วเต็มเปี่ยมในแต่ละปัจเจกชน แม้เขาเหล่านั้นจะไม่เคยผ่านระบบการศึกษาใดๆ เลยจากสังคม การตระหนักรู้ในตนเองจะทำให้เขาได้รับปัญญากลับคืนมา และเข้าใจจุดมุ่งหมายของการได้ถือกำเนิดเกิดมาอีกครั้ง สังคมก็มีจุดมุ่งหมายดุจเดียวกัน สังคมแห่งปัญญาจึงเป็นสังคมแห่งความสุขโดยแท้ เนื่องเพราะปัญหาทั้งหลายเกิดจากการด้อยซึ่งปัญญา และความทุกข์ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันการตลาดในยุคปัจจุบันมุ่งเน้นให้มองหาความต้องการของคนในสังคมและพยายามตอบสนองต่อความต้องการนั้น มากกว่าจะรับผิดชอบความเสื่อมทรามของสังคมที่ตามมา การผลิตสินค้าและบริการจึงมีทิศทางไปสู่ทางนั้น นั่นคือตอบสนองความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของคนในสังคม จนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า "มุ่งสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า"หรือไม่ก็ "ลูกค้าคือพระเจ้า" การแข่งขันกันแบบรุนแรงดุเดือดทางธุรกิจจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามคือใครจะเป็นผู้มารับผิดชอบความเสื่อมทรามของสังคม? เมื่อผู้ชนะได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้สำเร็จ ส่วนผู้พ่ายแพ้พบแต่ความทุกข์ ในเมื่อการผลิตและบริการยังคงพยายามตอบสนองความต้องการของปัจเจกชนที่ขาดปัญญา ผลที่ตามมาก็คือความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความยากจน ภาระหนี้สิน อาชญากรรม ยาเสพติด คอรัปชั่น และความไม่ยุติธรรมต่างๆ มากมายในสังคม แล้วท้ายที่สุดสังคมจะมีสภาพเป็นเช่นใด?การตลาดที่แท้จริงจึงควรมุ่งไปในเรื่องความเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ มากกว่าเปลือกภายนอก หรือทำเพียงแสวงหาผลกำไรเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้แก่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นเท่านั้น โดยหลงลืมเป้าหมายสูงสุดของการสร้างสังคนตลอดจนสร้างโลกใบนี้ เมื่อทุกคนเอาแต่กอบโกยก็ย่อมไม่มีใครจะแบ่งปัน รัฐจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการรักษาสมดุจ และเข้าใจถึงเป้าหมายของการสร้างสังคมอย่างแท้จริง...
ในบ้านอันเปล่าเปลี่ยวหลังหนึ่ง ชายหนุ่มในวัยต้นแห่งชีวิตคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ ประเดี๋ยวเขาก็มองลอดหน้าต่างไปดุท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดาว ประเดี๋ยวก้หันมาดูภาพของหญิงผู้หนึ่งในมือของเขา ภาพนั้นเองที่สะท้อนเอาเส้นและสีลงในใบหน้าของเขา ภาพใบหน้าของหญิงนั้นกำลังพูดกับเขาและทำให้ดวงตาของเขากลายเป็นโสตซึ่งรับรู้และเข้าใจในภาษาของดวงวิญญาณที่โฉบเฉี่ยวอยู่ในห้องนั้น ให้กำเนิดแก่หัวใจที่สว่างไสวด้วยความรักและบรรจุเต็มด้วยความใฝ่ฝันหาดังนั้นชั่วโมงก็ผ่านไปเหมือนนาทีแห่งความฝันที่เป็นสุขหรือเสมือนขวบปีหนึ่งจากอนันตกาล แล้วชายหนุ่มก็เอาภาพตั้งไว้ข้างหน้าเขาและหยิบกระดาษปากกาขึ้นมาเขียนว่า "เธอที่รักแห่งวิญญาณของฉัน ความจริงอันยิ่งใหญ่และสูงส่งมิได้ผ่านจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งโดยคำพูดของมนุษย์ดอก เขามักเลือกเอาความเงียบเป็นถนนแห่งวิญญาณ ฉันรู้ว่าความสงัดในคืนนี้จะเป็นสื่อระหว่างดวงจิตของเราทั้งสองอันอ่อนโยนเสียยิ่งกว่าสายลมที่ลิขิตอยู่บนผิวน้ำจะสื่อข้อความในหัวใจของเราสู่กันและกัน เพราะพระผู้เป็นเจ้ามีพระประสงค์จะให้ดวงวิญญาณของเราต้องถูกขังอยู่ในคุกแห่งร่างกาย ดังนั้นความรักจึงกำหนดให้ฉันต้องเป็นนักโทษแห่งถ้อยคำ"ที่รักของฉัน เขาพูดกันว่าความรักที่มาจากความบูชานั้นจะกลายเป็นไฟที่กลืนกินตัวเรา ฉันได้พบว่าชั่วโมงแห่งการจากกันนั้นหากีดกั้นความสัมพันธ์ของตัวตนเหนือโลกของเราได้ไม่ ฉันได้ทราบมาตั้งแต่เราพบกันครั้งแรกว่าดวงจิตของฉันนั้นเป็นคู่ของเธอมาเป็นเวลาที่มิอาจประมาณได้ และการมองครั้งแรกของเธอนั้นแท้ที่จริงหาใช่การมองครั้งแรกไม่"โอ้ที่รักของฉัน แท้จริงแล้วชั่วขณะที่เชื่อมหัวใจทั้งสองของเราซึ่งมาจากโลกอื่นนั้นคือสิ่งหนึ่งในจำนวนหลายสิ่งที่ทำให้ฉันปักใจเชื่อในอนัตภาพแห่งจิตวิญญาณและความอมตะของมัน ในชั่วขณะเช่นนั้นเองธรรมชาติได้ดึงม่านคลุมทิ้งไปจากใบหน้าของความยุติธรรมอันไร้กาลเวลาซึ่งผู้คนมักคิดว่าเป็นความยุติธรรม "ที่รัก เธอจำได้ไหมถึงสวนที่เราเคยยืนอยู่ด้วยกัน เฝ้าจ้องมองดูใบหน้าผู้ที่เป็นที่รัก? และสายตาของเธอบอกฉันว่าความรักที่เธอมีต่อฉันนั้นมิได้เกิดจากความสงสาร สายตานั้นสอนฉันให้ประกาศแก่ตัวฉันและแก่โลกว่าของขวัญที่ได้มาจากความยุติธรรมนั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่ได้มาจากการขอทาน และความรักซึ่งเกิดจากเหตุแวดล้อมก้เหมือนน้ำที่ในหนอง"ที่รัก เบื้องหน้าฉันคือชีวิตซึ่งจะทำให้ฉันเป็นคนยิ่งใหญ่และงดงามชีวิตซึ่งจะเป็นที่รักแห่งความทรงจำของผู้คนในอนาคตละได้รับความรักและนับถือจากพวกเขา ชีวิตซึ่งมีจุดเริ่มที่การพบครั้งแรกของเธอ ผู้ซึ่งฉันแน่ใจในความเป็นอมตะเพราะฉันเชื่อว่าตัวเธอนั้นสามารถนำพลังซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้เอาไปจากฉันกลับมาได้เช่นเดียวกับที่ดวงอาทิตย์นำกลิ่นดอกไม้ขจรไปในทุ่งนา และดังนั้นความรักของฉันก็คงอยู่แก่ตัวฉันและแก่กาลเวลาทั้งหลายและดำรงอยู่โดยไม่มีความเห็นแก่ตน เพื่อว่ามันจักได้ขจรขจายไปและอยู่เหนือสิ่งเล็กน้อยทั้งมวลในการอุทิศตนแด่เธอ"ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินข้ามห้องไปช้าๆ แล้วก็หันไปมองดูที่หน้าต่างอีกและเห็นดวงจันทร์กำลังขึ้น สาดแสงอันอ่อนละไมไปทั่วท้องฟ้าเขากลับมาที่จดหมายและเขียนต่อไปว่า"อภัยให้ฉันด้วยเถิดที่รัก ในการที่ฉันพูดกับเธอเหมือนเป็นอีกคนหนึ่งทั้งๆ ที่เธอคือส่วนครึ่งของฉันที่หายไปเมื่อเราออกมาจากหัตถ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าในขณะเดียวกันนั้น โปรดยกโทษให้ฉันด้วย" Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontac-thai.org