8 มีนาคม 2558 00:38 น.
คีตากะ
อาจารย์เล่านิทาน
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
นานมาแล้วในอินเดีย มีกษัตริย์ที่เป็นคนดีมากและใจดี พระองค์รักพสกนิกรของพระองค์มาก ดังนั้นพระองค์จึงปกครองประชาชนของพระองค์ด้วยความรัก ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ แต่ทุกครั้งที่พระองค์เห็นหนึ่งในพวกเขา พระองค์ก็มักจะสังเกตที่เท้าของพวกเขา นั่นเป็นในสมัยโบราณตอนที่คนยังไม่มีรองเท้าใส่ เท้าของพวกเขาจึงถูกหินและหนามตำเจ็บอยู่เสมอ หนามจากต้นไม้บางครั้งก็จะตกลงมาบนถนนเพราะฉะนั้นพอเดินไปบนถนน หนามก็จะทิ่มตำเท้าของพวกเขา พวกเขาก็จะเจ็บ บางครั้งก็จะเลือดไหลและติดเชื้อ
กษัตริย์รู้สึกปวดร้าวใจเป็นอย่างมากในเรื่องนี้ จึงสั่งให้กองทัพของพระองค์ไปเอาขนสัตว์และหนังของสัตว์ที่ตายแล้วมาปูลงบนถนนทุกสายเพื่อว่าพสกนิกรของพระองค์จะได้เดินบนสิ่งนั้นและไม่เจ็บเท้า ไม่เพียงเฉพาะถนนเท่านั้น พระองค์ได้สั่งให้ประชาชนของพระองค์ปูหนังสัตว์ไปทั่วพื้นแผ่นดินทั้งหมดของประเทศของพระองค์
มีรัฐมนตรีคนหนึ่งที่แก่มากและฉลาดมาก เขาบอกกษัตริย์ว่าเขามีความคิดที่ดีกว่า เขาพูดว่า "แทนที่จะปูหนังสัตว์ไปทั่วพื้นแผ่นดินซึ่งนับว่าไม่สะดวกและต้องใช้เงินและเวลามาก พระองค์ก็เพียงแต่สวมมันลงไปบนเท้าของแต่ละคน แล้วพวกเขาก็จะสามารถเดินไปที่ไหนก็ได้ที่พวกเขาต้องการ"
เรื่องนี้ฟังดูแล้วเหมือนกับเป็นเรื่องที่ตลกมาก แต่มันสื่อความหมายอะไรบางอย่าง ก็เหมือนกับคนเป็นจำนวนมากหรือตัวเรา บางครั้งเราต้องการทำให้โลกเสมอภาคมีสันติสุข มีความเจริญรุ่งเรือง มีความเป็นมิตร มีความรักและอื่นๆ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ก็เหมือนกับหนามหรือก้อนหิน มันจะตกลงบนถนนตลอดเวลา บางครั้งแม้กระทั่งตกลงมาจากท้องฟ้า ลงมายังโลก ไม่ว่าเธอจะปิดพื้นแผ่นดินมากเท่าไร ก็จะยังคงมีก้อนหินและหนามที่ตกลงมาอีกอยู่เสมอ แม้กระทั่งตกลงมาบนหนังสัตว์ ดังนั้นการที่เราดูแลเท้าของเราเองจึงเป็นการดีกว่า
ธรรมวิถีกวนอิมก็เหมือนกับรองเท้าสำหรับเท้าของเธอ แม้ว่าโลกจะยังคงเต็มไปด้วยปัญหาที่มีหนามและก้อนหิน เราก็สามารถเดินย่ำบนมันได้ และเราก็รู้สึกปลอดภัย ตราบใดที่คนเป็นจำนวนมากไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม โลกก็จะยังคงมีปัญหา ดังนั้น ถ้าเราต้องการเป็นอิสระจากความยุ่งยาก เราก็เพียงแต่ปกป้องตัวเราแต่ละคน แล้วก็จะไม่มีปัญหา บางทีปัญหาอาจจะยังคงมีอยู่ก็ได้ แต่สำหรับเราแล้วก็ไม่มากมายนัก เธอรู้สึกว่าได้รับผลกระทบน้อยลงๆ จากความยุ่งยากของโลก บางครั้งถ้าเรารู้สึกว่าได้รับผลกระทบ มันก็เป็นเพราะเรามีความรักความเมตตาต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ
Be Veg, Go green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org
8 มีนาคม 2558 00:40 น.
คีตากะ
อาจารย์เล่านิทาน
โดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ในอินเดียมีเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์ พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ดีมาก มีความรักพสกนิกรของพระองค์
วันหนึ่งพระองค์ก็ได้จัดการให้มีการแจกจ่ายทรัพย์สมบัติของพระองค์ให้กับประชาชน ใครก็ตามที่ต้องการอะไรก็มาได้และทำความพึงพอใจให้กับตนเองได้โดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากพระองค์ไม่มีพระโอรส พระธิดา และไม่มีครอบครัว พระองค์จึงรักประชาชนของพระองค์เหมือนเป็นครอบครัวของพระองค์เอง
ทุกคนก็มาและเลือกสิ่งของที่ต้องการ แต่มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง หล่อนมาและตรงไปยังด้านหลังของบริเวณที่กษัตริย์จัดวางทรัพย์สมบัติของพระองค์ หล่อนวางมือของหล่อนลงบนบ่าของพระองค์และถามว่า "เอาพระองค์ได้ด้วยใช่ไหม?"
กษัตริย์รู้สึกประหลาดพระทัยและตรัสว่า "ทำไม?" เธอไม่ชอบของสักอย่างที่ฉันวางไว้ข้างนอกหรอกหรือ?"
หญิงสาวนั้นพูดว่า "ไม่ชอบ หม่อมฉันชอบแต่เพียงพระองค์เท่านั้น" (ท่านอาจารย์หัวเราะ)
แน่นอน กษัตริย์ก็รู้สึกมีความสุขมากที่มีใครชอบพระองค์ ชอบเพราะความที่เป็นพระองค์ ไม่ใช่เพราะทรัพย์สมบัติของพระองค์ กษัตริย์ก็ตกลง ทั้งสองก็ได้แต่งงานกันและมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตลอดมาตามที่ควรจะเป็น
หญิงสาวนั้นไม่ต้องการอะไร แต่ตอนนี้ทั้งประเทศก็เป็นของหล่อน รวมทั้งพสกนิกรทั้งหมดของพระองค์และวัตถุทั้งหลายเหล่านี้
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org
8 มีนาคม 2558 00:39 น.
คีตากะ
คฤหาสน์สง่างามตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้ปีกของรัตติกาลอันเงียบสงัด เปรียบดังชีวิตที่ยืนหยัดอยู่ภายใต้ผ้าคลุมแห่งความตาย ในคฤหาสน์นั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือทำด้วยงาช้าง เอาศีรษะอันงดงามของเธอไว้บนมือที่อ่อนนุ่ม ดูราวกับดอกบัวที่เหี่ยวเฉาเอนอยู่บนกลีบของมัน เธอมองไปรอบๆ รู้สึกราวกับเป็นนักโทษที่แสนทุกข์ ดิ้นรนพยายามที่จะแทงทะลุกำแพงคุกมืดไปด้วยสายตาของเธอ เพื่อจะมองดูชีวิตซึ่งเดินอยู่ในขบวนแห่แห่งอิสรภาพ
โมงยามผ่านไปประดุจปีศาจแห่งราตรี ดุจดังขบวนแห่ที่ร่ายบทเพลงสวดแห่งความเศร้า แล้วหญิงสาวก็รู้สึกปลอดภัยด้วยการหลั่งน้ำตาอยู่ในความเปล่าเปลี่ยวอันปวดร้าว เมื่อเธอมิสามารถต่อต้านความกดดันแห่งความทุกข์ของเธอได้ต่อไปแล้ว และขณะที่เธอรู้สึกว่าเธอมีความลับอันมีค่าอยู่ในหัวใจอย่างเต็มเปี่ยม เธอก็หยิบปากไก่ขึ้นและเริ่มผสมน้ำตากับน้ำหมึกลงบนแผ่นหนังแห้ง และแล้วก็ลิขิตไปว่า
“น้องสาวที่รักของฉัน
“เมื่อหัวใจแน่นขนัดไปด้วยความลับ ดวงตาเริ่มจะไหม้เกรียมจากหยาดน้ำตาที่ร้อนผ่าว ซี่โครงก็กำลังจะระเบิดออกด้วยการขยายขอบเขตแห่งหัวใจ เราย่อมไม่อาจแสดงความรู้สึกในเรื่องอันวกวนเช่นนั้นได้ เว้นเสียแต่โดยแรงดันของการปลดปล่อยมันออกมา
“ผู้คนที่โศกเศร้าย่อมพบความปีติในการคร่ำครวญ คู่รักจะพบความปลอบใจและเห็นใจในความฝัน ผู้ถูกกดขี่ปลาบปลื้มยินดีในเมื่อได้รับความเมตตา บัดนี้ฉันกำลังเขียนถึงเธอเพราะฉันรู้สึกเหมือนดั่งเป็นกวีผู้คำนึงถึงความงามของสรรพสิ่ง ซึ่งเขาได้ร้อยกรองความประทับใจไว้ในขณะที่ถูกครอบครองด้วยพลังอันเป็นทิพย์... ....ฉันนี้เป็นเหมือนเด็กจนๆ ที่อดอยากผู้ร้องไห้หิวอาหาร ถูกกระตุ้นด้วยความขมขื่นแห่งความหิวโหย มิได้คำนึงถึงสภาพของมารดาผู้ยากแค้นและเมตตาหรือความพ่ายแพ้ในชีวิตของหล่อนเลย
“จงฟังเรื่องราวอันน่าปวดร้าวของฉันเถิด น้องสาวที่รัก และจงร่ำไห้ไปกับฉันด้วย เพราะสะอื้นไห้ก็เป็นเหมือนการสวดมนต์ และน้ำตาแห่งความเมตตาก็เป็นดังการกุศลเพราะผลุดพุ่งออกมาจากดวงวิญญาณที่ดีงาม มีความรู้สึกอ่อนไหวและมีชีวิตชีวา มิได้หลั่งไหลออกมาโดยเปล่าประโยชน์ เป็นความประสงค์ของบิดาฉันที่จะให้ฉันสมรสกับชายผู้ร่ำรวยตระกูลสูง บิดาของฉันก็เหมือนกับคนมั่งมีส่วนมากซึ่งความปีติยินดีอย่างเดียวในชีวิตก็คือการทำให้ทรัพย์สินเพิ่มพูนขึ้นโดยการบรรจุเงินทองเข้าในหีบสมบัติตนด้วยเกรงความยากจน และประจบประแจงพวกผู้ดีมียศศักดิ์ด้วยคาดว่าจะถูกรุกรานในวันที่มืดมน - บัดนี้ฉันจึงได้พบตัวเองว่าความฝันและความรักทั้งปวงกลายเป็นเหยื่ออยู่บนแท่นทองและมีเกียรติอันได้รับมรดกตกทอดมาซึ่งฉันเหยียดหยามและชิงชัง
“ฉันนับถือสามีของฉันเพราะเขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเมตตาต่อทุกคน เขาพยายามหาความสุขให้ฉันและใช้จ่ายเงินทองของเขาเพื่อทำให้หัวใจฉันปลาบปลื้ม แต่ฉันได้พบว่าความประทับใจในสิ่งเหล่านี้หาได้มีค่าเท่าความรักที่แท้จริงและเป็นทิพย์แม้สักน้อยไม่ ขออย่าได้หัวเราะเยาะฉันเลยแม่น้องสาว เพราะบัดนี้ฉันเป็นคนที่รอบรู้ที่สุดเกี่ยวกับความต้องการในหัวใจของอสตรี....หัวใจอันเต้นตุบอยู่เสมือนนกที่โบยบินไปในท้องฟ้าอันไพศาลแห่งความรัก...เสมือนดังถ้วยอันเปี่ยมไปด้วยเหล้าองุ่นแห่งยุคสมัยที่ถูกคั้นไว้สำหรับดวงวิญญาณที่จักดื่มกิน เป็นดังหนังสือที่เราจักได้อ่านบทแห่งความสุขและความทุกข์ ความปีติและรวดร้าว เสียงหัวเราะและร่ำไห้จากหน้าต่างๆ ของมัน ไม่มีผู้ใดสามารถอ่านหนังสือนี้ได้นอกเสียจากมิตรที่แท้จริงผู้เป็นส่วนกึ่งหนึ่งของสตรีผู้ถูกสร้างมาสำหรับเธอนับตั้งแต่เริ่มสร้างโลก
“ถูกแล้ว ฉันกลายเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่หญิงว่าเป็นผู้หยั่งรู้ถึงความมุ่งมั่นแห่งวิญญาณและความหมายของหัวใจ เพราะฉันได้พบว่าอาชางามสง่าและพาหะที่สวยงาม หีบทองคำซึ่งส่องแสงเป็นประกายและยศศักดิ์อันสูงส่งของฉันนั้นมิมีค่าเทียบได้กับสายตาชำเลืองแลมาครั้งหนึ่งของชายหนุ่มผู้ยากจนซึ่งเฝ้ารออย่างอดทนและทนทุกข์ต่อเขี้ยวเล็บของความขมขื่นและความทุกข์เข็ญผู้นั้นไม่ – ชายหนุ่มผู้นั้นซึ่งถูกข่มเหงด้วยความโหดร้ายอำมหิตและความประสงค์ของบิดาฉัน จนถูกจำขังอยู่ในคุกแห่งชีวิตซึ่งคับแคบและอ้างว้าง...
“ได้โปรดเถิด น้องสาวที่รักของฉัน จงอย่าได้แสร้งปลอบประโลมฉันเลย เพราะความหายนะซึ่งทำให้ฉันได้รู้ซึ้งถึงพลังแห่งความรักของฉันก็คือผู้ปลอบใจที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว บัดนี้ฉันกำลังมองออกไปจากเบื้องหลังม่านน้ำตาและเฝ้ารอการมาเยือนแห่งความตายอันจักนำฉันไปสู่ที่ซึ่งฉันจะได้พบคู่เคียงใจและดวงวิญญาณของฉัน และโอบกอดเขาไว้เหมือนก่อนหน้าที่เราเข้ามาสู่โลกอันแสนประหลาดนี้
“จงอย่าได้มองฉันไปในแง่ร้าย เพราะว่าฉันได้ทำหน้าที่ของฉันในฐานภริยาผู้ซื่อสัตย์และทำตามกฎหมายและข้อบังคับของมนุษย์อย่างสงบและอดทน ฉันให้เกียรติสามีฉันด้วยเหตุผลและนับถือเขาด้วยหัวใจ อีกทั้งเคารพเขาด้วยดวงวิญญาณของฉันเอง แต่ก็ยังมีข้อยับยั้งอยู่อย่างหนึ่ง เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบส่วนหนึ่งของฉันให้แก่ผู้เป็นที่รักของฉันก่อนที่ฉันจะรู้จักเขาเสียอีก
“สวรรค์ประสงค์ให้ฉันใช้ชีวิตร่วมกับชายที่มิได้เกิดมาเพื่อฉันและกำลังเปลืองเวลาเปล่าอยู่เงียบๆ ตามเจตนารมณ์ของสวรรค์ ถ้าหากว่าทวารแห่งนิรันดรภาพมิได้เผยออก ฉันก็จะคงอยู่กับดวงวิญญาณส่วนที่งดงามของฉันและมองย้อนหลังไปสู่อดีต และอดีตนั้นก็คือปัจจุบันนี้เอง...ฉันจะมองดูชีวิตเช่นเดียวกับที่ฤดูใบไม้ผลิมองดูเหมันตฤดู และคิดถึงอุปสรรคของชีวิตเช่นเดียวกับผู้ที่ป่ายปีนไปตามทางอันขรุขระจนถึงยอดแห่งภูเขา”
ในขณะนั้นหญิงสาวก็หยุดเขียนและซบหน้าลงกับฝ่ามือร่ำไห้อย่างขื่นขม หัวใจของเธอปฏิเสธไม่ไว้วางใจมอบความลับอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของมันให้แก่ปากกา แต่หันมาพึ่งพิงการหลั่งน้ำตาแห้งๆ ซึ่งกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว ระคนไปกับอากาศธาตุอันนุ่มนวล ร่มไม้ชายคาแห่งดวงวิญญาณทั้งหลายของคู่รักและดวงจิตของเหล่าบุปผามาลี หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็หยิบปากไก่ขึ้นมาเขียนเพิ่มเติมว่า
“เธอจำชายหนุ่มผู้นั้นได้ไหม? เธอจำรัศมีที่เปล่งออกมาจากดวงตาของเขาและริ้วรอยอันเศร้าสร้อยบนใบหน้าของเขาได้ไหม? เธอนึกถึงเสียงหัวเราะที่แสดงถึงน้ำตาของมารดาที่ถูกพรากจากบุตรคนเดียวของนางได้หรือไม่? เธอจำน้ำเสียงอันสงบเรียบที่เหมือนเสียงสะท้อนของหุบเขาอันไกลโพ้นได้หรือไม่? เธอจำเขาคิดใคร่ครวญและจ้องมองอย่างใฝ่ฝันและเยือกเย็นไปยังสิ่งต่างๆ และพูดถึงมันด้วยถ้อยคำแปลกประหลาด ครั้นแล้วก็ก้มศีรษะลงถอนใจราวกับว่าหวาดกลัวที่จะเปิดเผยความลับแห่งหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของเขาออกมานั้นได้ไหม? เธอจดจำความฝันและศรัทธาของเขาได้มิใช่หรือ? เธอระลึกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในตัวชายหนุ่มผู้ที่มนุษยชาตินับว่าเป็นบุตรผู้หนึ่งของมัน แต่ผู้ที่บิดาของฉันมองดูด้วยสายตาแห่งผู้ที่เหนือกว่า เพราะเขาสูงส่งกว่าคนละโมบในทางโลกและดีงามกว่ายศศักดิ์อัครฐานที่ได้รับมรดกตกทอดมานั้นได้ไหม?
“เธอก็คงทราบดีนี่นะ น้องสาวที่รัก ว่าฉันนั้นเป็นผู้พลีชีพในโลกอันน่าดูแคลนนี้และเป็นเหยื่อแห่งความโง่เขลาเบาปัญญา เธอจะเห็นใจพี่สาวผู้นั่งอยู่ในความเงียบจองราตรีที่น่ากลัว รินหลั่งเนื้อหาของตัวตนภายในของหล่อนออกมาแล้วเปิดเผยให้เธอได้รู้ถึงความลับในหัวใจของหล่อนไหม? ฉันแน่ใจว่าเธอคงต้องเห็นใจฉันเพราะฉันรู้ว่าความรักได้เข้ามาเยือนหัวใจของเธอแล้ว”
เมื่อรุ่งอรุณมาถึง หญิงสาวก็มอบกายยอมจำนนต่อความหลับใหลโดยหวังว่าจักได้พบกับความฝันอันหวานชื่นและนุ่มนวลกว่าที่เธอได้ประสบในยามตื่น
รหัสย์แห่งหัวใจ
คาลิล ยิบราน เขียน
กิติมา อมรทัต แปล
8 มีนาคม 2558 00:41 น.
คีตากะ
มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งในอินเดียดูเหมือนว่าพวกเราคนจีนก็มีเรื่องคล้ายๆ กัน วันหนึ่งพญายมได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โตมาก เขาได้เชิญผี เทพเจ้าและเทพยดาทั้งหลายให้มากินอาหารร่วมกัน พญายมนั้นมีนิสัยชอบแกล้งมาก (อันนี้เป็นลักษณะของเขา) เขาจงใจวางอาหารอันอร่อยมากมายไว้ตรงกลางโต๊ะ ส่วนเก้าอี้ก็ตั้งอยู่ไกลมากจากโต๊ะ และวางทัพพีที่ยาวมากในจานอาหาร อาหารอร่อยๆ ทั้งหลายที่สรรหามาจากภูเขาและท้องทะเล ลูกพีชจากสวรรค์ เหล้าองุ่นและทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอนึกได้ก็วางอยู่ที่นั่น มันเป็นอาหารที่น่ากินที่สุดและดีที่สุด ทำให้ทุกคนน้ำลายไหล
อย่างไรก็ตามพญายมมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งคือ ในระหว่างที่กินห้ามงอปลายแขน ปกติเราจะงอปลายแขนเวลากิน ทัพพีก็ยาวแบบนั้น โต๊ะก็อยู่ห่างออกไปมาก ปลายแขนก็งอไม่ได้ กระนั้นพวกเขาก็ได้รับการบอกมาว่าพวกเขาสามารถกินได้ทุกอย่าง พวกผี อสุรกายเหล่านั้นก็บ่นกันใหญ่และทะเลาะถกเถียงกัน ด่าพญายมแล้วก็จากไปกันหมดเลย! เหลือแต่พวกเทพยดาเท่านั้นที่อยู่ต่อและคิดหาวิธีกิน ในชั่ววินาทีเดียวพวกเขาก็เข้าใจ! พวกเขาเริ่มป้อนอาหารให้กันและกัน ดังนั้นจึงไม่มีการฝ่าฝืนกฎ ไม่จำเป็นต้องงอแขน แต่พวกเขาก็ยังสามารถกินได้ มีความแตกต่างกันระหว่างเทพยดาที่รู้แจ้งกับพวกผี
สำหรับพวกเราคนธรรดา ถ้าเรากินไม่ได้เราก็จะสร้างความเสียหายเพื่อคนอื่นจะพลอยกินไม่ได้ไปด้วย ผลที่เกิดขึ้นก็คือทั้งสองฝ่ายต่างก็กินไม่ได้ นี่คือลักษณะของมาร แม้ว่าเราจะมีร่างกายที่เป็นมนุษย์ พวกเราบางคนก็เป็นมาร ถ้าการกระทำของเราเหมือนมาร เช่นนี้แล้วเราก็คือมาร โดยปราศจากจิตใจที่เสียสละ คือสิ่งใดที่เรามีไม่ได้ คนอื่นก็มีไม่ได้เช่นกัน ก็จะมีแต่เพียงการทำลายล้างเท่านั้น ก็เหมือนกับพวกผีที่สร้างความกดดันให้แก่กัน แต่ไม่ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
เมื่อเราดูแลคนอื่น พระเจ้าก็จะดูแลเราด้วย เรื่องนี้ฉันรับประกันได้ ระหว่างที่บำเพ็ญ อย่ากลัวว่าจะขาดทุน เราควรจะเรียนจากสปิริตของเทพยดาเหล่านั้น ทัพพีก็ยาวแบบนั้นแล้วการที่จะป้อนอาหารให้กันจะต้องง่ายมากและสนุกมากด้วย พวกเทพยดาคงได้เล่นกันอย่างมีความสุข ทุกคนต่างก็หัวเราะเฮฮา แต่พวกผีเหล่านั้นกลับไปแบบท้องว่าง โกรธมากและกินอะไรไม่ได้เลย
บุคคลผู้รู้แจ้งมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายมาก เพราะเราสามารถมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและคิดอะไรได้อย่างแจ่มแจ้ง ถ้าเราไม่รู้แจ้ง รักษาอารมณ์ของเราไว้ตลอดเวลาและคิดว่า “ฉันเป็นคนที่สำคัญที่สุด” เช่นนี้แล้วก็จะมีความยุ่งยากมากมาย! การที่คิดว่าไม่มีใครอื่นในโลกนี้ มีเพียง “ตัวฉัน” คนเดียวเท่านั้น เราก็จะต้องทนรับความทุกข์ด้วยตัวเราเองและรับความสุขด้วย “ตัวฉัน” คนเดียวด้วย อย่างนี้แล้วก็จะเป็นเรื่องเหลวไหล
อาจารย์เล่านิทาน
โดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org
8 มีนาคม 2558 00:42 น.
คีตากะ
ท่านคือผู้เบิกทางของตัวท่านเอง และหอคอยที่ท่านสร้างขึ้นก็คือรากฐานแห่งอัตตาอันยิ่งใหญ่ของท่าน และอัตตานั้นก็จักกลายเป็นรากฐานเช่นเดียวกัน
และฉันคือผู้เบิกทางของฉันเองเช่นกัน เพราะเงายาวซึ่งทอดอยู่ตรงหน้าฉันในยามอรุณรุ่งจักหดเข้ามาใต้เท้าฉันในยามเที่ยง แต่รุ่งอรุณอีกยามหนึ่งจักย่อมจะทอดเงาอีกอันหนึ่งไว้เบื้องหน้าฉันอีก และเงานั้นก็จักหดลงมาอีกในยามเที่ยงอีกครั้งหนึ่งด้วยเหมือนกัน
เราเป็นผู้เบิกทางของเราเองและเราจะเป็นดังนั้นอยู่เสมอและทั้งหมดที่เราได้เก็บเกี่ยวและจักเก็บเกี่ยวก็จะเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์สำหรับทุ่งนาที่ยังมิได้หว่านไถ เราคือทุ่งนาและผู้ไถหว่าน เราคือผู้เก็บเกี่ยวและสิ่งที่ถูกเก็บเกี่ยว
เมื่อท่านคือความปรารถนาที่สัญจรอยู่ในละอองหมอก ฉันเองก็เป็นความปรารถนาที่สัญจรอยู่ ณ ที่นั้นเช่นกัน ครั้นแล้วเราก็แสวงหาซึ่งกันและกัน ความฝันก่อกำเนิดขึ้นจากความกระตือรือร้นของเรา และความฝันคือกาลเวลาอันมิจำกัด ความฝันคืออวกาศที่มิอาจหยั่งวัดได้
และเมื่อท่านเป็นวจีที่เงียบงันอยู่บนริมฝีปากอันสั่นไหวของชีวิต ฉันเองก็อยู่ที่นั่นด้วย เป็นถ้อยคำที่เงียบงันอีกคำหนึ่ง ครั้นแล้วชีวิตก็ร้องเรียกเรา เราจึงก้าวลงมาตามขวบปีที่สั่นระริกไปด้วยความทรงจำของวันวานและความใฝ่ฝันสำหรับวันพรุ่ง เพราะวันวานก็คือมรณภาพที่ถูกพิชิตแล้ว และวันพรุ่งคือวันก่อกำเนิดซึ่งถูกติดตามไป
และบัดนี้เราอยู่ในอุ้งหัตถ์แห่งพระผู้เป็นเจ้า ท่านคือดวงตะวันในหัตถ์ขวาส่วนฉันคือโลกในหัตถ์ซ้ายชองพระองค์ แต่กระนั้นท่านก็มิได้มีแสงรุ่งโรจน์มากกว่าฉันซึ่งทอแสงอยู่เช่นกัน
และเรา-ดวงตะวันและโลก-ก็คือการเริ่มต้นของดวงตะวันที่มหึมากว่าและที่ไพศาลกว่าเท่านั้น และเราจักเป็นผู้เริ่มต้นอยู่เสมอ
ท่านคือผู้เบิกทางของท่านเอง ท่านคือคนแปลกหน้าผู้สัญจรไปข้างประตูสวนของฉัน
และฉันคือผู้เบิกทางของฉันเองเช่นกัน ถึงแม้ว่าฉันจะนั่งอยู่ในเงาไม้ของฉันและดูคล้ายจะมิได้ไหวติงเลยก็ตาม