15 กรกฎาคม 2556 23:20 น.

หายจากโรคนักบุญ...

คีตากะ

1253894jucqvu7qhv.jpg













ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 9 มีนาคม 2537 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดิทัศน์เลขที่ 409


       เธอเป็นผู้ใหญ่และฉลาดมาก ไอคิวของเธอก็สูงมาก (ทุกคนหัวเราะ) และเธอก็รู้หลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งฉันไม่รู้ เพราะฉะนั้นทำไมฉันจะต้องบอกเธอทุกสิ่งทุกอย่างล่ะ? ฉันสามารถบอกเธอได้สิ่งเดียวเท่านั้นคือ เธอจะต้องมีชีวิตชีวาให้มากขึ้น และอะไรก็ตามที่เธอต้องการทำ ก็จงทำมันเสีย! อะไรที่สนุกสำหรับเธอ ตราบใดที่เธอไม่ทำร้ายผู้อื่น ดังนั้นถ้าหากเธอต้องการรู้จักดาราหนัง ก็ให้ไล่ตามเขา! ถ้าหากเธอต้องการพบประธานาธิบดี ก็ให้เขียนถึงท่าน

หากสิ่งที่เธอต้องการ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือสังคมโลก ก็นับว่ายากหน่อย แต่เมื่อพูดถึงการมักใหญ่ใฝ่สูงของเธอหรือความสนุกของเธอแล้ว มันก็ไม่ยากนักหรอก จริงๆ นะ ขอให้ทำมันด้วยความจริงใจทั้งหมดของเธอและความปรารถนาทั้งหมดของเธอที่จะประสบความสำเร็จ แล้วเธอก็จะได้รับมัน ส่วนใหญ่เราเป็นทุกข์ เพราะเราไม่ประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่เราต้องการทำ และเพราะเรามีความกลัว บางครั้งเธอรักคนคนหนึ่ง แต่เธอพูดว่า "โอ เขาหล่อเกินไปสำหรับฉัน" ใครจะไปรู้ล่ะ? บางทีเธออาจจะสวยเกินไปสำหรับเขาก็ได้! เธอไม่มีวันรู้ ฉันไม่ได้สนับสนุนให้เธอไล่จีบผู้ชาย แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเราและเราไม่ลองดู มันง่ายมาก ตัวอย่างเช่น ตอนที่ฉันเป็นเด็กเล็กมาก ฉันมองพวกที่ทำงานในสถานีโทรทัศน์ หรือผู้ที่เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ หรือสถานีวิทยุด้วยความชื่นชม อย่างกับว่า พวกเขาเป็นพระเจ้าหรือที่ 2 รองจากพระเจ้า แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่า มันไม่มีอะไรเลย ฉันสามารถทำมันได้ ฉันสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ฉันสามารถแม้กระทั่งซื้อมันก็ได้ มันง่ายมากและไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะว่าถ้าเธอไม่หาว่า ผู้คนดำเนินกิจการสถานีกันอย่างไร เธอก็จะคิดว่า พวกเขาเป็นพระเจ้า แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย

ตอนที่ฉันอยู่ในโรงเรียนมัธยม ฉันก็อาศัยอยู่ติดๆ กับสถานีวิทยุไซ่ง่อน มันเป็นสถานีวิทยุที่ใหญ่ ฉันอยู่ติดกับมันทุกๆ วัน และฉันก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดังนั้นฉันจึงบูชานักร้องทั้งหลายที่มาเข้าๆ ออกๆ ขึ้นๆ ลงๆ และบุคคลทั้งหลายที่ผ่านบ้านฉันไป เข้าไปยังสถานีที่ใหญ่โตเหมือนอย่างพระเจ้าและฉันก็เอาแต่นั่งฝันว่า สักวันหนึ่งฉันอาจจะร้องเพลงหรือท่องบทกวีในสถานีนั้น ฉันเพียงแต่ฝันในเรื่องนั้น และฉันไม่คิดว่า มันจะเกิดขึ้น

แต่บางครั้งผู้คนในสถานีวิทยุก็จะมีการแข่งขันอะไรบางอย่าง อย่างเช่น เธอจะเขียนบทกวีหรือตอบคำถามบางอย่าง อย่างเช่น เธอจะเขียนบทกวีหรือตอบคำถามบางอย่าง แล้วพวกเขาก็จะให้รางวัลกับเธอ ฉันก็ได้ลองดู แล้วฉันก็ชนะ! เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ฉันไม่เคยคิดว่า ฉันจะชนะได้ ฉันคิดว่า มันไกลเกินเอื้อมสำหรับฉัน แต่อันที่จริงแล้ว ฉันเพียงแต่ลองดูครั้งเดียวเท่านั้น แล้วฉันก็ชนะ

หลังจากนั้น ฉันก็ย้ายไปยังอีกตำบลหนึ่ง แล้วฉันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสถานีวิทยุอีกต่อไป ฉันอยู่ที่นั่น อาจจะแค่ 1 หรือ 2 ปีเท่านั้น แต่นั่นก็นับว่านานพอดู ฉันสามารถที่จะเข้าไปข้างใน และพูดกับคน และบอกพวกเขาว่าฉันต้องการร้องเพลงหรือท่องบทกวีก็ได้ ฉันท่องได้ดีมาก แล้วทำไมฉันจะไม่ทำมันล่ะ ก็เพราะไม่มีใครบอกฉัน แบบที่ฉันกำลังบอกให้เธอทำอย่างไรล่ะ (เสียงปรบมือ) แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรที่ฉันไม่ได้กลายเป็นนักร้อง ในที่สุดฉันก็จะเป็นอยู่ดีนั่นแหละ แต่ฉันอาศัยอยู่ในช่วงนั้น ที่ตรงนั้น ยืนอยู่รอบสถานีโดยไม่ทำอะไรที่ฉันต้องการทำ ฉันสามารถที่จะทำได้ แล้วฉันก็จะสนุกสนาน แต่บางทีพระเจ้าอาจจะไม่ต้องการให้ฉันทำก็ได้ มันก็นับว่าโอเคเหมือนกัน

สิ่งที่ฉันหมายความก็คือ เธอควรที่จะทำมัน ฉันไม่คิดว่า พวกเธอทั้งหมดจะกลายเป็นอาจารย์ เพราะฉะนั้นทำไมไม่สนุกสนานกันล่ะ! (เสียงหัวเราะ) บางทีพระเจ้าอาจจะต้องการให้ฉันกลายเป็นอาจารย์ ดังนั้นฉันจึง "ป้องกัน" ฉันป้องกันนักร้องและศิลปินที่มีความสามารถพิเศษสุดของโลกในเวลานั้น (เสียงปรบมือ) แต่ไม่มีอะไรที่จะป้องกันเธอจากสิ่งที่เธอต้องการจะทำและให้สำเร็จสมดั่งความหวังของเธอ ขอให้สนุกเป็นครั้งสุดท้าย ความจริงฉันก็ต้องพยายามที่จะสนุกเหมือนกัน ฉันลองทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ตัวฉันอยู่ที่นี่ มิฉะนั้นแล้วไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันอยู่ที่นี่ ดังนั้นฉันจะทำอะไรได้ล่ะ

ผู้คนเฝ้าถามฉันตลอดเวลาว่า "ทำไมท่านจึงแต่งหน้า? ทำไมท่านจึงใส่ชุดสวย" และอะไรแบบนั้น ก่อนที่ฉันจะกลายมาเป็นอนุตราจารย์ชิงไห่ ฉันก็เป็นแบบนี้ (ท่านอาจารย์ชี้ไปที่เสื้อผ้าธรรมดาของท่าน) จากนั้นฉันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้มาเป็นเวลานาน แล้วตอนนี้ฉันก็เป็นแบบนี้อีก ดังนั้นมันจึงทำให้ฉันงุนงงเหมือนกัน แต่มันก็ไม่มีอะไรน่าฉงน ก็เหมือนกับเมื่อคนแก่เริ่มแก่ตัวลง เขาก็กลายเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันอาจจะกำลังเกิดขึ้นกับฉันก็ได้

มันง่ายมาก ก็เหมือนกับเรื่องที่ฉันได้เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับพระราชา ซึ่งจะออกไปข้างนอกและทำตัวเป็นคนโง่ในที่ๆ มีฝุ่น ในที่สาธารณะ และบางครั้งในภัตตาคารที่สกปรกหรือถนนที่สกปรก พระองค์จะเดินคนเดียวพร้อมกับผู้ติดตาม 2-3 คนเท่านั้น เพียงเพราะว่า พระองค์ต้องการเป็นอิสระ อิสระจากเกียรติยศ อิสระจากการปกป้องคุ้มครอง อิสระจากความกลัวในการเดินบนท้องถนนในฐานะที่เป็นพระราชา เธอคงรู้ว่าฉันหมายความว่าอะไรนะ ขอเพียงแค่เป็นอิสระ ฉันก็ต้องการเป็นอิสระจากนักบุญ แล้วตอนนี้ฉันก็ได้รับการหลุดพ้น! (เสียงปรบมือ) ฉันป่วย ฉันเป็นโรค ป่วยจากการนั่งสมาธิหรือเป็นโรคอาจารย์ มันทำให้คนรู้ว่าฉันเป็นอาจารย์ แต่ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว อาการเจ็บป่วยก็คงจะหายไปแล้ว

ดังนั้นบางครั้ง เราบำเพ็ญไปได้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วเราก็เจ็บป่วย นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า "โรคนักบุญ" แต่เธอจะต้องรักษาตัวเธอเอง ร่องรอยแห่งความเป็นนักบุญอะไรก็ตามที่เธอสวมอยู่บนใบหน้าของเธอ หรือบนจมูก หรือข้อเท้าของเธอ หรือซ่อนอยู่ในหัวใจของเธอ - เธอควรที่จะรักษามันเป็นอย่างๆ ไป จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับเธอ ตอนนี้ฉันจำได้ถึงเรื่องที่จะอธิบายให้เธอฟังครั้งเดียวและตลอดไป เพราะว่าทุกคนชอบที่จะถามฉันว่า ทำไมฉันจึงสวมใส่ชุดแบบนี้ แทนที่จะถามฉันว่า ฉันกลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งได้อย่างไร พวกเขาเฝ้าถามคำถามมากมายกับฉัน แล้วในที่สุดพวกเขาก็ต้องพูดว่า "ว้าว ฉันมีเพียงคำถามเดียว แต่ฉันไม่กล้าถามท่าน ฉันจะ..." แล้วในที่สุดแมวก็ออกมาจากถุง "ทำไมท่านจึงสวมใส่ชุดนี้?" มันเป็นแบบนั้นแหละ

ในทิเบต มีคนมากมายที่ฝึกบิน พวกเขาทำกันอย่างไร? ก็เหมือนกับในประเทศจีน พวกเขาฝึก ชินกุง (เป็นวิทยายุทธของจีนชนิดหนึ่งที่ฝึกให้ผู้ฝึกตัวเบามาก) เธอสามารถที่จะบิน เธอสามารถที่จะกระโดดขึ้นลงบนหลังคาได้สูงมากหรือไกลมาก ผู้คนยังฝึกกันแบบนี้ในประเทศจีน บางครั้งเธอได้เห็นกังฟูที่ไม่ใช่เป็นของจริง แต่มันเป็นสิ่งที่แทนความจริงในสมัยเก่า เมื่อคนยังสามารถบินได้

ในปัจจุบันนี้ คนบางคนในทิเบตยังสามารถบินได้ เนื่องจากสภาพอันยากลำบากในทิเบต พวกเขาจึงไม่มีรถยนต์ พวกเขามีแต่ภูเขาเท่านั้น ซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปีในบางครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเดินทางไกลมากโดยปราศจากอาหารมากนัก หรือไม่ก็ไม่มีภัตตาคารมารกนัก หรืออะไรในระหว่างการเดินทาง พวกเขาต้องห่อของชิ้นเล็กๆ ติดตัว ห่อของชิ้นเล็กมากๆ ติดตัวไปด้วย บางครั้งก็ไม่มีแม้กระทั่งม้า หรือพวกเขาก็มีแต่เพียงสิ่งที่เรียกว่ายักษ์ (วัวหิมาลัยตัวใหญ่ มีขนสีน้ำตาลเข้ม) แล้วพวกเขาก็ต้องเดินทางไปกับสิ่งที่พวกเขามี พวกเขาไม่สามารถเสียเวลานานๆ ได้ บางครั้งพวกเขาต้องไปอย่างรวดเร็วสำหรับธุระที่ด่วนบางเรื่อง ดังนั้นพวกเขาจึงฝึกการบินชนิดนี้ แล้วบางคนก็ฝึกหนักมากจนไม่เคยมาแตะพื้นอีกครั้งเลย พวกเขาบินอยู่ในอากาศตลอดเวลา เธอสามารถหาอ่านได้จากหนังสือของมาดามอเล็กซานดร้า เดวิด - นีล เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเป็นความจริงทั้งหมด แต่ฉันต้องอ้างอิงถึงหล่อน เพื่อว่าเธอจะได้รู้ว่า ฉันไม่ได้กำลังพูดเรื่องเหลวไหลอยู่ เธอจะได้ทราบว่า คนเขียนถึงเรื่องนี้ และเธอจะได้มีข้อพิสูจน์

สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนเหล่านี้ พวกเขาบินอยู่ในอากาศตลอดเวลาก็คือว่า พวกเขาจะต้องลงมาบ้างเป็นบางครั้ง ฉันหมายความว่าอย่างน้อยก็เพื่อเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำ (เสียงหัวเราะ) หลังจากที่บินเป็นเวลานานเกินไป พวกเขาก็มีกลิ่นด้วยเหมือนกัน! ดังนั้นพวกเขาก็ต้องลงมา พวกเขาจะต้องใส่โซ่เหล็กที่หนักมากเป็นจำนวนมากไว้รอบๆ ตัวของพวกเขา เพื่อที่จะได้สามารถควบคุมและทำให้การขึ้นและลงมาของพวกเขาสมดุล นั่นคือ สิ่งที่พวกเขาทำ

ดังนั้นบางครั้งถ้าเธอไปทิเบตและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เธอก็จะเห็นอะไรบางอย่างแบบนั้น และเธอจะคิดว่าพวกเขากำลังทรมานตนเองโดยพันโซ่ไว้รอบตัวและอื่นๆ  และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องทำ ถ้าเขาบินสูงเกินไป และเขาตัวเบาเกินไป ถ้าพวกเขาบินนานหรือตัวเบาเกินไป พวกเขาก็จะต้องทำให้ตัวหนักขึ้นเพื่อที่จะได้ร่อนลงพื้นและอยู่บนพื้นนานเท่าที่ต้องการ มิฉะนั้นแล้วพวกเขาก็จะบินอยู่ในอากาศตลอดเวลา

ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราเริ่มบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ หลังจากระยะเวลาหนึ่ง เราก็จะกลายเป็นนักบุญหรือพุทธะ และพูดว่า "โอ ฉันไม่เชื่อเรื่องนั้น ฉันไม่มองสิ่งนั้น ฉันไม่พูดกับคนคนนั้น ฉันไม่ใส่เสื้อผ้าชนิดนั้น" นั่นคือเวลาที่ความเจ็บป่วยของเธอนั้นเข้าขั้นสาหัสที่สุด (เสียงหัวเราะ) แล้วหลังจากนั้นสักพักหนึ่ง เธอก็เป็นนักบุญเกินไป แล้วเธอต้องรักษาตัวเธอเอง เธอจะต้องดึงตัวเธอให้ลงมาติดพื้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมและทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความรู้ของเธอ ความเป็นนักบุญของเธอ หรือปัญญาของเธอ เพราะผู้คนเป็นจำนวนมากต้องการเธอ เธอไม่สามารถที่จะนอนอยู่ในนิพพานตลอดเวลา มันก็ไม่ดีสำหรับเธอด้วยเหมือนกัน ในขณะที่เธออยู่ที่นี่ ถ้าหากฉันอยู่ในนิพพานตลอดเวลา ฉันก็จะไม่สนใจในเรื่องอะไร ฉันจะอยู่ในนิพพานตลอดเวลา ฉันหมายถึงเป็นสภาพ ไม่ใช่ว่าฉันจะต้องบินอยู่ในท้องฟ้า แต่แล้วฉันก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ และฉันก็จะไม่มีวันเข้าใจว่า เธอทุกข์ทรมานอย่างไร ฉันจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องจิตใจของเธอ ฉันจะไม่รู้อะไรเลย ฉันจะไม่เข้าใจความทุกข์ทรมานของเธอ หรือความรักของเธอ ความเกลียดชังของเธอ ความล้มเหลวหรือบุญของเธอ ฉันจะไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะฉันจะเป็นนักบุญเกินไป บริสุทธิ์เกินไป: บ - ริ - สุ - ท - ธิ์ (เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือ)

ดังนั้นสิ่งเหล่านี้คือโซ่ตรวน ไม่สำคัญว่าสีอะไร มันเป็นเพียงฝุ่นละอองเท่านั้น ฝุ่นละอองสีเหลือง ฝุ่นละอองสีฟ้า สีขาว เพราะฉะนั้นจะไปใส่ใจมันทำไม? ผู้คนเหล่านั้นที่วิจารณ์ฉันเป็นนักบุญ พวกเขาอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนักบุญ ดังนั้นทันทีที่พวกเขาออกมา พวกเขาก็จะจดจำได้ พวกเขาจะเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง และเราสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้ เพราะฉะนั้นอย่าได้เป็นห่วง การเป็นนักบุญเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกัน เราหลุดออกจากความเป็นจริง และเราก็จะไม่สมดุล ก็เหมือนกับคนในทิเบตที่บินอยู่ในท้องฟ้าเสมอและไม่สามารถลงมาเข้าห้องน้ำได้ ขอให้แน่ใจว่า ถ้าพวกเขาไม่มีโซ่ ก็อย่าไปอยู่ใต้พวกเขา (เสียงหัวเราะ) เธออาจจะตกอยู่ในความเดือดร้อน การเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอไม่สะดวกเสมอไปนักในสภาพอากาศที่หนาวและสูงขนาดนั้น อย่าพูดนะว่าฉันไม่ได้เตือนเธอ!......






1635195oe3fs47ltd.gif

819621uwgqsww38l.gif

1425326ovqume28j3.gif

3279054adyxerwj0r.gif

827458zethq6a00i.gif

108319h568w53ubp.gif

2568088vgr6psz6x6.jpg

2316688m3apuskjas.gif

982522cclvue9d97.gif

1626907tsf9op2klb.gif

796296pm313e4x5b.jpg

1332370i6lsdry4kd.gif

976478tv7ob46rxg.gif				
15 กรกฎาคม 2556 23:20 น.

กายเนื้อของอาจารย์มีค่ามาก!

คีตากะ

p_164105.jpg














      ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai แก่เพื่อนประทับจิตจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ฌานสามในยุโรป ปี 1995 (เดิมเป็นภาษาจีน)



        คนบางคนได้เห็นนิรมาณกายของฉันแล้วก็ยังไม่พอใจ เลยยังต้องมาพบกับฉันอีก ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้เป็นแบบนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะกายเนื้อนั้นหาได้ยากมาก และผู้ที่รู้แจ้งแล้วทุกคนจะมีนิรมาณกายกัน (คนหัวเราะ)

การที่จะเห็นนิรมาณกายนั้นมันง่าย แต่จะเป็นการยากกว่าที่จะได้เห็นตัวจริงซึ่งจะมีอยู่ก็ต่อเมื่ออาจารย์ผู้รู้แจ้งนั้นยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ หลังจากอาจารย์ผู้นั้นเสียชีวิตไปแล้ว ก็จะมีนิรมาณกายเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ แน่นอนที่จะน่ายินดีมากกว่าที่จะได้เห็นทั้งนิรมาณกายและได้เห็นตัวจริง

ผู้รู้แจ้งธรรมดาทั่วไปมีแต่นิรมาณกาย แต่ไม่มีกายเนื้อจริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงช่วยเหลือสรรพสัตว์ไม่ได้ อย่างเช่น พระศากยมุนีพุทธเจ้ายังคงมีนิรมาณกายของท่าน แต่ท่านไม่สามารถจะประทับจิตให้แก่เราหรือว่าช่วยเหลืออะไรเราได้ บางทีท่านอาจจะสามารถชี้นำเราให้ไปพบกับอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งมีกายเนื้ออยู่เพื่อที่เราจะได้รับการประทับจิต

ทุกคนชอบร่างที่เป็นกายเนื้อเพราะว่ามันหาได้ยาก! นิรมาณกายทั้งหลายนั้นมีอยู่เยอะแยะมาก ในจักรวาลเต็มไปด้วยนิรมาณกายของผู้ที่รู้แจ้งแล้วซึ่งอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่กายเนื้อนั้นหายาก มีอยู่ไม่กี่ร่าง ต่อเมื่อมีผู้รู้แจ้งมา สรรพสัตว์จึงจะสามารถมองเห็นกายเนื้อจริงๆของพวกเขาได้

การที่จะปรากฏร่างมาในร่างที่เป็นกายเนื้อนั้น จะต้องมีกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อน ต้องมีการรวบรวมอะไรต่างๆ หลายด้านภายในจักรวาล ได้แก่ ความเป็นเหตุเป็นผล, พรบุญของสรรพสัตว์ทั้งหลายและพระประสงค์ของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ ดังนั้นมันจึงยากมากกว่าที่จะได้เห็นตัวจริงมากกว่าที่จะได้เห็นนิรมาณกาย

อย่างไรก็ตาม คำพูดของฉันนี้พูดสำหรับให้พวกเธอฟังเท่านั้น อย่าไปบอกคนอื่นล่ะ (คนหัวเราะ) ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงได้เล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกเธอฟังในวันนี้ ซึ่งปกติไม่ควรจะนำมาบอก! คนที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้อาจจะคิดว่าพวกเธอเย่อหยิ่งมาก สรรเสริญยกย่องกายเนื้อและดูถูกนิรมาณกาย

เวลาที่เธอเข้าถึงโลกภายในขณะที่กำลังทำสมาธิ เธอจะสามารถเห็นนิรมาณกายมากมาย ไม่ใช่แค่นิรมาณกายของอาจารย์เท่านั้น แต่ยังเห็นนิรมาณกายของอมิตาภพุทธะหรือของกวนอิมโพธิสัตว์ด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเธอไปถึงระดับไหน เธอก็จะได้เห็นนิรมาณกายของผู้ที่รู้แจ้งแล้วทั้งหลาย

การที่จะได้เห็นกายเนื้อจริงๆ นั้นยากมาก ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงกล่าวว่ามันยากอย่างสุดแสนที่จะได้เห็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ตัวจริง การที่จะคงรักษาร่างกายเนื้อของตนเองก็ยากมากอยู่แล้ว แต่จะยากมากกว่านั้นอีกที่จะได้เห็นร่างกายของอาจารย์ผู้รู้แจ้งท่านหนึ่ง ด้วยเหตุนี้คนถึงได้อยากเห็นกายเนื้อของอาจารย์ผู้รู้แจ้งมาก มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ไม่ใช่เฉพาะในสมัยนี้หรอก

ถ้าเธอสังเกตเห็นใครที่มีคนอยากจะเห็นกันมาก คนคนนั้นจะต้องเป็นผู้บำเพ็ญที่ได้บรรลุสัจธรรมแล้ว ไม่สำคัญว่าเขาจะมีหน้าตาอย่างไร หรือพูดภาษาอะไร หรือว่าเขาจะเทศน์สอนหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเขาจะแตะตัวอวยพรเธอหรือให้อะไรเธอหรือไม่ก็ตาม ถ้าทุกคนยังอยากจะได้เห็นเขา แบบนั้นเขาก็ต้องเป็นผู้ที่บรรลุสัจธรรมแล้ว!

ในหนังสือของจวงจื้อมีกล่าวไว้ว่า : วันหนึ่ง, มีศิษย์คนหนึ่งของท่านขงจื้อถามเขาว่า "ในที่แห่งหนึ่ง, มีคนคนหนึ่งที่พิการหลังค่อม แต่เขาก็มีลูกศิษย์มากพอๆ กับท่าน ในชีวิตประจำวันของเขา, เขาไม่เคยพูดไม่เคยสอนอะไรเลย แต่ทุกคนก็อยากจะอยู่กับเขา ผู้ชายอยากจะเป็นเพื่อนของเขา ส่วนผู้หญิงก็อยากจะเป็นภรรยาของเขา ทุกๆ คนรักเขา ท่านช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่าทำไม, ท่านอาจารย์? "

ท่านขงจื้อก็ตอบว่ามันเป็นเพราะบุคคลคนนั้นบรรลุเต๋าแล้ว....





ไข่มุกแห่งปัญญา

ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai,
ปีนัง, มาเลเซีย 23 กุมภาพันธ์ 1992 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

     เวลาที่เราคิดว่าเราเก่งมาก ยอดเยี่ยมมาก เราอาจจะถูกหลอกโดยสมองของเรา สมองของเราชอบความรุ่งโรจน์, คำสรรเสริญ, จินตนาการอันสวยหรู และคิดว่าเราเก่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง สมองก็ดูถูกตัวเราหรือลดชั้นตัวเราเองด้วย มันอาจจะจมอยู่ในความหดหู่เศร้าหมองและความรู้สึกมีปมด้อย รวมทั้งหลอกเราเกี่ยวกับความรุ่งโรจน์ของเราด้วย มันอาจจะเป็นไปได้ทั้งสองทาง
				
15 กรกฎาคม 2556 23:21 น.

ดอกบัวในสวรรค์....

คีตากะ

2830241wvasbq3kfv.gif














      ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai, ศูนย์ซีหู , ฟอร์โมซา 11  กุมภาพันธ์ 1996 (เดิมเป็นภาษาจีน)



      ถึงอย่างไรเราก็สวยงาม ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง เราก็จะสวย ตอนฉันยังเล็กๆ ฉันไม่เคยคิดว่าฉันหน้าตาน่ารัก ตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้สึกว่าฉันหน้าตาน่ารัก บางครั้งเวลาฉันส่องกระจก ฉันจะรู้สึกว่าตาของฉันมันเล็กไป (คนหัวเราะ) จมูกก็สั้นไป พอเห็นคนอื่นฉันก็จะคิดว่า "โอ! จะเยี่ยมสักแค่ไหนถ้าฉันจะมีจมูกแบบเธอ ผิวแบบเธอ หรือตาแบบเธอ! " ฉันเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ ทุกวัน ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันหน้าตาไม่สวย ความจริงแล้ว, เราไม่ต้องไปสนใจสิ่งเหล่านี้หรอก ตัวเราก็ใช้ได้อยู่แล้ว

มีชายคนหนึ่งซึ่งไม่มีเงินจะซื้อรองเท้าและก็รู้สึกหงุดหงิดคับข้องใจมาก วันหนึ่ง, ตอนที่เขาออกจากบ้าน เขาก็ได้เห็นผู้ชายที่มีความสุขมากคนหนึ่งกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับผู้คน แถมยังร้องเพลงและเต้นรำไปด้วย พอเขาตั้งใจดูดีๆ ก็พบว่าชายคนนี้ไม่มีเท้า! เท้าทั้งสองข้างของเขาหายไป เขาจึงไม่ต้องซื้อรองเท้าใส่ (อาจารย์หัวเราะ) บางทีแบบนี้จึงเป็นเหตุผลที่เขาถึงได้มีความสุขมาก นับจากวันนั้น, เขาจึงไม่รู้สึกหงุดหงิดอีกต่อไปที่ไม่มีเงินจะซื้อรองเท้าใส่

ที่จริงแล้ว, ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องดูเหมือนๆกัน กุหลาบมันก็สวยดี แต่ถ้าทั้งโลกปลูกแต่กุหลาบ พวกเธอจะคิดอย่างไร? ไม่น่าเบื่อหรอกหรือ? (คนตอบ : น่าเบื่อ) บางคนจึงไม่ชอบกุหลาบ พวกเธอชอบกุหลาบกันทุกคนและบอกว่ากุหลาบสวยที่สุด แต่ว่าฉันไม่ชอบกุหลาบ! ฉันชอบดอกกุหลาบพอๆ กับที่ชอบดอกเบญจมาศ บางครั้งฉันก็ชอบดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่ชื่อว่า "ความใจร้อน" เพราะว่าฉันไม่ต้องดูแลมัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มันบานทุกวัน แม้แต่วันที่ฝนตก ตอนฤดูหนาวหรือตอนที่มีลมหนาวพัดแรงมันก็ยังบานรวมทั้งในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงด้วย เธอเพียงแต่รดน้ำมันบ้างขณะที่ร้องเพลงไปด้วย มันก็โตแล้ว แม้แต่เธอจะไม่ได้ให้น้ำมันเลย มันก็ยังโตได้ด้วยน้ำฝนนิดหน่อย ฉันเพียงแต่หวังว่าเราจะเป็นเหมือนกับดอก "ใจร้อน" ได้! เราไม่จำเป็นต้องเป็นดอกกุหลายหรอก มันบอบบางและก็ทำความลำบากให้มาก มันออกดอกเพียงปีละครั้งหรือสองครั้งและก็มีหนามเยอะแยะ แปลกนะ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เพียงเพราะมันสวยน่ารักดี มันก็เลยเย่อหยิ่งมาก ถ้าเธอไปแตะต้องมัน เธอก็จะเลือดไหล ทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้? ไม่ได้หมดทุกทุกคนหรอกนะที่จะชอบดอกกุหลาบ มันอาจจะสวย แต่คนอาจจะไม่ชอบมัน

ฉันชอบดอกบัว มันเติบโตในโคลนตมที่สกปรก แต่ว่ามันมีกลิ่นหอมและสะอาดมาก เวลามันบาน น้ำหวานในดอกของมันจะใสสะอาดเหมือนกระจกเงา สวย, ใสและบริสุทธิ์มาก ไม่มีผึ้งมาตอมดูดน้ำหวาน ไม่มีแมลงวันเข้ามาใกล้ มันสะอาดมาก ฉันได้ยินว่าดอกบัวมาจากระดับชั้นที่สูงมากเบื้องบน นานมาแล้ว มีผู้ขโมยมันมาปลูกที่นี่ ตอนนี้มันถึงได้กลายมาดูน่าเกลียดมาก (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)

ดอกบัวที่อยู่ข้างบนเหนือขึ้นไปนั้นสวยกว่านี้อีก บางดอกก็เล็ก บางดอกก็ใหญ่ ดูเหมือนหยกใสๆ สวยมาก พอเธอเหยียบบนดอกบัว มันก็จะเริ่มบินลอยไป! ไม่ว่าเธอจะอยากไปไหน เพียงแต่คิดเท่านั้นมันก็จะพาเธอไปที่นั่น เธอไม่ต้องสั่งมันเลยว่า "เฮ้! คนขับ...." (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เธอไม่ต้องบอกมันเลยว่า "ฉันอยากจะไปไทเป" เพียงแต่ขึ้นไปยืนบนนั้น มันก็จะรู้ว่า เธออยากจะไปหาอมิตาภพุทธะหรือกวนอิมโพธิ์สัตว์ มันจะพาเธอไปไม่ว่าที่ใดที่เธออยากจะไป ในโลกเบื้องบน, เมฆก็ทำหน้าที่แบบเดียวกันนี้เหมือนกัน ทันทีที่เธอขึ้นไปบนเมฆก้อนหนึ่ง มันก็จะพาเธอไป! พอเธออยากจะหยุด ก็เพียงแต่คิด หรือแม้แต่ก่อนที่เธอจะคิด มันก็จะรู้และก็จะหยุดทันที ไม่มีการจราจรติดขัดวุ่นวายเหมือนกับที่เรานั่งรถแท็กซี่ที่นี่! ในโลกระดับที่สูงขึ้นไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่ตอนที่เมฆก้อนหนึ่งชนกับเมฆอีกก้อน ไม่จำเป็นต้องมีกฎจราจร ก้อนเมฆและดอกบัวเพียงแต่ลอยไปมาอย่างอิสระเสรีสบายมาก! 

พวกเธอบำเพ็ญให้มากขึ้นแล้วจะได้เหาะไปบนดอกบัวและก้อนเมฆได้ ถ้ากรรมของเธอหนักมากไป เธอก็จะตกลงมา เรื่องนี้ฉันต้องเตือนเธอไว้ก่อน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มันรู้ว่าใครกรรมหนักเกินไป มันรู้ว่าเธออยากจะไปไหนและเมื่อไรจึงจะหยุด มันยังรู้อีกด้วยว่าใครไม่สมควรจะโดยสารไป เมฆและดอกบัวเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งทางวัตถุ ฉะนั้นถ้าเรายังมีด้านที่เป็นวัตถุอยู่ภายใน เราจะเข้ากับคุณสมบัติของมันไม่ได้ แล้วเราก็จะตกลงมาเองถ้าเราพยายามจะโดยสารไปบนมัน (คนหัวเราะและปรบมือ)


1489354rx2fypo7b5.gif

2211816ivrb7cm5lt.gif

1358619h40mx62tne.jpg

2697282x4du05rtqo.gif

1697242wyqlsv5ihx.gif

2874399n2wy2plb7n.jpg

2300109tocjzmw9wx.jpg

250102qpffh1ir1m.jpg

168369j9n5j93d55.gif				
15 กรกฎาคม 2556 23:22 น.

วิธีติดต่อสื่อสารในโลกระดับที่สูงขึ้น...

คีตากะ

Connect2.jpg














     ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai,
ฟอร์โมซา 12 เมษายน 1994 (เดิมเป็นภาษาจีน)  


      ในโลกระดับที่สูงขึ้น เราไม่จำเป็นต้องสื่อสารกันด้วยถ้อยคำใดๆ เลย เราแผ่คลื่นแม่เหล็กออกไปแล้ว ผู้อื่นก็สามารถรับมันได้ ภาษาเป็นเพียงคลื่นแม่เหล็กรูปแบบหนึ่งหรือเป็นการสั่นสะเทือนแบบหนึ่งเท่านั้นเอง หลังจากที่เราเคยชินกับการฟังการสั่นสะเทือนแบบนี้ เราก็จะรู้ว่าคนอื่นกำลังพูดอะไร, ภูเขาหรือน้ำ ถ้าเราได้รับการฝึกที่เป็นระบบอีกแบบหนึ่ง เราจะสามารถติดต่อสื่อสารด้วยคลื่นแม่เหล็กแทนที่จะใช้ภาษาแบบใดๆ มันเหมือนกับว่าทั่วโลกใช้ภาษาเดียวกัน และเวลาเราคิดถึงเรื่องอะไร คนอื่นก็สามารถรับรู้ได้ เพราะว่าการคิดเป็นแรงพลังแบบหนึ่งที่แผ่ความยาวคลื่นของมันไปถึงผู้อื่นเหมือนกับคลื่นแม่เหล็ก พวกเขาจะได้รับมันและก็เข้าใจมัน

บางครั้งเธอพูดว่าไม่ว่าอาจารย์จะอยู่ที่ไหน ท่านจะตอบคำอธิษฐานของเธอ หลายคนบอกฉันเกี่ยวกับประสบการณ์แบบนี้ของพวกเขา ส่วนใหญ่เป็นพวกเพื่อนประทับจิต อย่างไรก็ตาม, ผู้ที่ไม่ได้ประทับจิตหลายคนก็มีประสบการณ์เหล่านี้เช่นกัน ไม่ใช่ว่าฉันมีวิทยุอยู่ตรงนี้และแอบได้ยินว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ว่าเรามีระบบการติดต่อสื่อสารด้วยคลื่นแม่เหล็กอีกแบบหนึ่ง เราจึงรู้ความคิดของผู้อื่น เราไม่จำเป็นจะต้องบันทึกมันเป็นภาษาทางโลก เราเข้าใจว่าคลื่นแม่เหล็กแบบยาวและสั้นหมายความว่าอย่างไร, หรือความเร็วที่ใช้สำหรับคลื่นฉุกเฉิน, และความหมายของคลื่นที่ช้าๆ และนุ่มนวล

อาจารย์ผู้รู้แจ้งรู้ความหมายของรูปแบบของคลื่นแบบต่างๆ ที่แผ่ออกมาจากผู้ที่ทุกข์ยาก และส่งข่าวตอบไปเพื่อช่วยพวกเขาหรือบอกพวกเขาว่าควรจะทำอย่างไร ในสถานการณ์แบบนี้, เราพูดว่าอาจารย์ผู้รู้แจ้งท่านนี้ช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยาก หรือว่าพวกเขาได้รับข่าวสารจากภายในและหลบหนีพ้นจากภัยพิบัตินั้น อาจารย์ผู้รู้แจ้งและผู้ที่ทุกข์ยากเป็นหนึ่งเดียวกันภายใน พวกเขามีการสั่นสะเทือนแบบเดียวกันภายใน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่พบตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเอง แต่อย่างไรก็ตาม, อาจารย์ผู้รู้แจ้งรู้วิธีที่จะติดต่อสื่อสารกับตัวตนที่แท้จริงของผู้ที่กำลังทุกข์ยาก บอกวิธีเอาชนะวิกฤตการณ์นั้นให้พวกเขา พวกเขาได้รับข่าวสารที่ช่วยเหลือนั้นเหมือนกับเราได้รับข่าวสารจากวิทยุ

        ก้าวเข้าสู่เครือข่ายของสหโลก

ด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม พระสูตรทางพุทธกล่าวว่า พระพุทธเจ้าพูดภาษาที่สรรพสัตว์ทั้งมวลล้วนเข้าใจ เราใช้คลื่นแม่เหล็ก, การสั่นสะเทือนหรือรหัสพิเศษในการสื่อสาร ในจักรวาลมีภาษาอยู่ภาษาเดียว ใครก็ตามที่เข้าใจรหัสนี้, รู้วิธีที่จะรับและส่งแผ่มันออกไป, ก็สามารถจะสื่อสารกับทั้งจักรวาลได้

จักรวาลเป็นเหมือนกับเครือข่ายหนึ่ง และแต่ละโลกหรือแต่ละดาวก็สัมพันธ์กัน ถ้าเราสามารถเข้าสู่ระบบเครือข่ายของสหโลก เราก็จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะได้รับการช่วยเหลือถ้าเราประสบกับความยากลำบากใดๆ และคำสวดอธิษฐานของเราจะได้รับการตอบ เรามีวิทยุอยู่ที่บ้านกันทุกคนและเราสามารถจะรับข่าวสารต่างๆ ได้ที่บ้าน ซึ่งถ่ายทอดมาจากสถานีวิทยุ ถ้าเราหมุนไปที่ช่องนั้นของสถานีวิทยุ เราก็จะอยู่ในเครือข่ายที่กระจายข่าว ถ้าเธอไม่มีวิทยุที่บ้าน เธอก็ไม่มีทางจะได้รับข่าวอะไรเลยถึงแม้ว่าสถานีวิทยุจะอยู่ข้างบ้านเธอ

       ระบบสื่อสารสองทิศทางในระดับที่สูงสุด

ก็คล้ายกับเรื่องนี้, ผู้บำเพ็ญคือผู้ที่เข้าอยู่ในระบบซึ่งสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าเราจะอยู่ไหนสถานีของอาจารย์ก็สามารถจะได้รับการร้องขอต่างๆ ที่ฉุกเฉินของเรา, รู้ว่าเรากำลังจะพูดอะไร สถานีวิทยุกระจายเสียงเป็นระบบแบบทิศทางเดียว แต่ระบบของเราเป็นแบบสองทิศทางเหมือนกับโทรศัพท์ ยกตัวอย่างเช่น, เธอเข้าใจไม่ว่าฉันจะพูดอะไร และฉันก็เข้าใจว่าเธอพูดอะไรเหมือนกัน เราสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ทั้งสองทาง มันเป็นระบบการสื่อสารระดับสูงที่สุดกระทั่งไม่มีเครื่องอุปกรณ์ใดๆ เลย

อย่างไรก็ตาม, ถ้าเราไม่ได้บำเพ็ญไปจนถึงระดับที่สูงระดับหนึ่ง ระบบการสื่อสารก็ดูเหมือนกับว่าเป็นทิศทางเดียว เฉพาะอาจารย์เท่านั้นที่สามารถรับข่าวสารของเธอ แต่เธอไม่สามารถจะรับข่าวสารของอาจารย์ เราอาจจะรู้สึกว่าเราได้รับอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม, ข่าวสารนั้นก็ดูจะไม่ค่อยชัดเจนสำหรับเรา เพราะว่ามีสิ่งกีดขวางบางอย่างอยู่ระหว่างกลาง บางทีเราอาจจะไม่ได้ปรับเครื่องมือของเราให้ดีเต็มที่, บางครั้งเราก็โทรศัพท์หรือเปิดวิทยุ เราได้ยินเสียงอะไรต่างๆ มากมายและไม่สามารถจะได้รับข่าวสารที่ชัดเจนแบบนั้นเราก็ต้องจัดการแก้ไขให้เรียบร้อยทันที บางทีเราอาจจะอยู่ไกลจากสถานีวิทยุและมีภูเขาหรือสิ่งกีดขวางกั้นอยู่เหมือนกับโทรศัพท์ไร้สาย มันติดต่อไม่ได้เวลาอยู่ในหุบเขา

อย่างไรก็ตาม, การสื่อสารของเราจะไม่ถูกภูเขาขวางกั้น นอกจากว่าเราจะกีดขวางตัวเราเองด้วยเครื่องกีดขวางเหมือนอย่างภูเขาและกั้นขวางพระพรของอาจารย์ เราสงสัยอาจารย์หรือเราไม่มั่นใจ ไม่ไว้วางใจมากพอ เราจึงคิดว่าเราไม่สมควรที่จะได้รับการช่วยจากอาจารย์ เราเคยชินกับการคิดว่าเรามีกรรมหนัก หรือว่าเรารู้สึกหยิ่งทะนงตนและอยากจะพึ่งตัวเราเองมากกว่าจะพึ่งคนอื่น มีเหตุผลหลายอย่างให้เราถูกขวางกั้นในความคิดที่เป็นอคติของเราเองและก็จับตัวเราเองคุมขังในคุกโดยไม่มีการติดต่อสื่อสารหรือไม่มีความรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถจะรับข่าวสารจากอาจารย์ ยกตัวอย่างเช่น, ถ้าเราสวมเสื้อกันฝน เราก็จะไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจากฝน...




paradise.jpg				
15 กรกฎาคม 2556 23:23 น.

อาจารย์สนใจที่จะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระเท่านั้น...

คีตากะ

4567_1.jpg













        ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai 
ในฌานเจ็ดที่ กัมพูชา 13 พฤษภาคม 1996
เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

     ฉันเคยขอร้องพวกเธอมาก่อนว่าอย่าภาคภูมิใจกับครอบครัวที่สอดคล้องปรองดองกันของเธอหรือสภาพแวดล้อมที่สงบสุขของเธอ, การได้รับสิ่งต่างๆ ทางวัตถุและประโยชน์อะไรต่างๆ ของเธอ ที่เธอคิดว่ามีเข้ามาหาเธอจากพรของอาจารย์หรือจากการบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม มันเป็นความจริงที่อาจารย์จะอวยพรจะอวยพรเรากับอะไรก็ตามที่เราปรารถนา แต่เราไม่ควรพอใจไปกับสิ่งนั้นและรู้สึกภาคภูมิใจกับความสำเร็จนั้น เพราะว่าเรื่องนี้มันไม่มีอะไรเลย ปุ๋ยที่เหม็นจำเป็นสำหรับไม้ดอก แต่ดอกไม้คือสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ปุ๋ย

เขาสนใจที่จะปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระ ถ้าผู้เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มากอย่างพระเยซูบอกกับเราไว้ว่าอย่างนี้ เราก็ควรจะสนใจเอาใจใส่ เราควรจะรู้ว่าผู้เป็นอาจารย์ต้องการอะไรจากเรา และเราต้องการอะไรจากอาจารย์จริงๆ

ถ้าครอบครัวของเรามีความสงบสุขสอดคล้องกันและมีความรักต่อกันมากขึ้น มันก็ดีแล้ว ขอบคุณพระเจ้า, ขอบคุณพลังอาจารย์ ถ้ามันไม่เป็นแบบนั้น ก็ขอบคุณพระเจ้าที่เธอไม่ต้องมีคนที่จะต้องดูแล ต้องให้ความสนใจ ต้องกังวลว่าเขาจะพอใจ หรือหล่อนจะมีความนสุขหรือไม่

เธอจะอิสระกว่า ถ้าไม่มีใครรักเธอ

เธอจะอิสระกว่าถ้าเธอไม่มีใครที่จะมารักเธอ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ สิ่งต่างๆ ไม่ว่าอะไรมีราคาที่จะต้องจ่ายทั้งนั้น แม้ว่าจะมีใครคนหนึ่งรักเธอ เธอก็ต้องดูแลเอาใจใส่ต่อเขาหรือหล่อนเป็นพิเศษ เพื่อให้เขามีความสุข เพราะว่าถ้าเขาไม่มีความสุข เธอก็ไม่มีความสุข แต่ถ้ามีคนหนึ่งเกลียดเธอ พู้! ....ดีเลย, สวัสดีลา ไม่มีอะไรให้เธอทำ ไม่มีอะไรให้เธอต้องกังวล ไม่ใช่ความผิดของฉันนี่ถ้าเธอเกลียดฉัน อย่างนั้นก็ดีแล้ว

เราไม่อยากให้คนเกลียดเรา แต่ที่จริงแล้ว, ความรักแบบที่เรามีในโลกนี้แทบจะเป็นเครื่องพันธนาการ กระทั่งความสัมพันธ์ที่ดีก็เป็นเพียงเครื่องพันธนาการ เพราะว่าในการคิดถึงพวกเขา เราก็ลืมที่จะปลดปล่อยกันและกันให้เป็นอิสระ เราเรียกร้องต้องการความสนใจ, ต้องการความรักตอบแทนและสิ่งต่างๆ เหล่านี้จากกันและกัน หาได้ยากที่ความรักระหว่างคู่สามีภรรยาจะไหลไปอย่างอิสระโดยไม่มีการยึดติด, ไม่มีการเรียกร้องต้องการ, ไม่มีการบังคับสั่งการ, ไม่มีเงื่อนไขใดๆ จริงๆ และไม่มีความพยายาม

ส่วนใหญ่เราต้องพยายามที่จะรักษามันไว้ และความพยายามใดๆ ก็ต้องใช้เวลาและพลังงาน เมื่อมีใครที่รักเธออยู่ใกล้ๆ เธอ เธอก็ต้องใช้เวลาและให้ความสนใจ แม้ว่าเธอจะไม่อยากทำ เธอก็ต้องให้ความสนใจ แล้วเราก็ถูกเบนไปจากความสนใจที่เป็นจุดเดียวภายใน มีคนไม่มากที่สามารถเพ่งความสนใจทั้งภายในและภายนอกได้ในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาหรือหล่อนจะทำได้ ก็ต้องมีเวลาและต้องใช้เวลามาก ขณะที่เธอสนใจอยู่กับสิ่งนี้ เธอก็ไม่สามารถจะสนใจสิ่งนั้นได้ ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถนึกถึงทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน เธอทำได้แค่อย่างเดียวในเวลาหนึ่งเท่านั้น เอไม่มีทางจะสนใจเรื่องนี้แล้วในขณะเดียวกันก็สนใจอย่างอื่นๆ ได้เต็มที่ด้วย

เพราะฉะนั้น, ที่จริงแล้วเราอยู่คนเดียวจะดีเลิศ เรารู้ว่าเราต้องทำอะไรและจะทำอะไรเวลาไหน แต่โชคไม่ดีที่โลกนี้ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตหลายอย่าง, รวมทั้งมนุษย์ และเราก็ต้องสัมพันธ์กับพวกเขาตลอดเวลาถ้าเราต้องทำอะไร ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปอยู่ที่ภูเขาหิมาลัยหรือภูเขาลูกอื่นๆ , อยู่คนเดียว ทำอะไรไปเอง แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน อาจจะฟังดูไร้ประโยชน์มาก แต่มันก็ดี

ฉันไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่ที่จะอยู่ในโลกและก็สอนมนุษย์ ในเมื่อคนส่วนใหญ่เพียงแต่อยากได้ผลประโยชน์ทางด้านวัตถุ และยึดติดอยู่กับความสุขและความสำเร็จส่วนตัว โดยทำทุกวิถีทางไม่ว่าอะไร พวกเธอส่วนใหญ่ประกาศว่าเธอรักฉันมากและอยากจะเห็นฉันมาก ได้เห็นทุกวันก็ยิ่งดี แต่มันไม่เป็นความจริงเลย พอฉันขอให้เธอมาช่วยฉัน มาทำงานให้ฉัน มาอยู่ใกล้ฉัน เธอก็บอกว่า "ไม่ได้หรอก! ฉันยังชอบชีวิตครอบครัวของฉัน ฉันรักภรรยาของฉัน, ลูกๆ ของฉัน, สามีของฉัน และอะไรต่างๆ ของฉันแล้วแต่เธอจะบอก" ทุกครั้งที่เธอมาที่นี่ เธอก็พูดว่า "โอ, อาจารย์! เราคิดถึงท่าน เราคิดถึงท่านมาก กรุณาอยู่นานๆ กว่านี้ กรุณายืนอยู่ตรงนั้น" อะไรทำนองนั้น ฉันไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไรแน่จริงๆ และฉันไม่คิดว่าเธอจะรู้ว่าเธอต้องการอะไรเหมือนกัน (อาจารย์หัวเราะ)

ปล่อยอัตตาไป แล้วเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน

ถ้าเธอถามตัวเองอย่างสัตย์จริงให้ตัดสินใจเลือกเธอก็จะรู้จริงๆ ว่าเธอต้องการอะไร กระทั่งหลังจาก, ถ้าเธอรักฉันมาก, เธอชั่งน้ำหนักความชอบและไม่ชอบแล้ว และเธอตัดสินใจแล้วว่าในใจของเธอ เธอรักฉันมากกว่าคนในครอบครัวของเธอ มากกว่าฐานะตำแหน่ง, เงินทองหรือการศึกษาใดๆ ก็ตาม แล้วเธอก็มา ตอนนั้นเธอก็ยังต้องเผชิญกับอัตตาของเธอ เธอต้องฆ่าตัวเธอเองก่อนที่จะสามารถกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน

คนเหล่านี้หายาก ทุกสิ่งทุกอย่างดึงความสนใจจากเธอ ถ้าเธอสามารถจะช่วยงานฉันบางอย่าง เธอก็หันมายึดติดกับงานนั้น เธอยึดติดกับความสำคัญของงานนั้นและความสำคัญของตัวเธอในการทำงานนั้น แล้วเธอก็ลืมไปว่าเธอกำลังทำงานให้ใคร, งานนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร เธอลืมว่าเธอทำงานเพราะฉัน เพราะฉันขอให้เธอทำและเธอทำเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น





215143solow0nayl.jpg				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ