แสงนำทางสำหรับยุคใหม่ พระผู้มาโปรดพระองค์ใหม่นำทางแห่งสันติสุขและความเจริญรุ่งเรือง โลกก่อนและหลังปี 2012 ตามคำทำนายของนอสตราดามุส ในหนังสือรวมบทกวี Les Propheties (คำทำนาย) ที่มีชื่อเสียงของผู้มีญาณทิพย์ ไมเคิล เดอ นอสเตรอดาม ชาวฝรั่งเศส ได้พยากรณ์ถึงการเกิดเหตุการณ์สำคัญๆ ในโลกมากมาย ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาบทกวีดังกล่าวกล่าวว่า นอสตราดามุสได้ทำนายการเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่กรุงลอนดอน การปฏิวัติที่ฝรั่งเศส สงครามโลกครั้งที่ 2 และโศกนาฏกรรม 11 กันยายน 2001 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ตามที่โลกกำลังเข้าสู่ยุคอควอเรียนอย่างรวดเร็ว และ 21 ธันวาคม 2012 ซึ่งคือวันเปลี่ยนวัฏจักรบัคตัน (Baktun) บนปฏิทินมายา งานเขียนของนอสตราดามุส กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ผู้ที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับผลงานอื่นๆ ของนอสตราดามุสได้ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนสิงหาคม 2002 หนังสือพิมพ์ซันของประเทศสหรัฐ ได้พิมพ์บทความซึ่งเขียนโดย กร้านท์ บอลโฟร์ นอสตราดามุส ฉันรู้อนาคตของอเมริกา! เกี่ยวกับจดหมายที่ถูกค้นพบในประเทศฝรั่งเศส คุณบอลโฟร์ รายงานว่า ผู้มีชื่อเสียงทางการศึกษา นำโดย ดร.เจนีน ลาโฟบรัส สรุปว่า จดหมายฉบับนี้ มีบันทึกของการรู้ล่วงหน้าของนอสตราดามุสเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตที่สำคัญๆ ในประเทศสหรัฐและประเทศอื่นๆ ในจดหมายของเขา ไม่เพียงนอสตราดามุสบรรยายได้อย่างถูกต้อง ถึงความตกต่ำทางเศรษฐกิจในระดับนานาชาติ และเหตุการณ์ในปัจจุบันที่สำคัญอื่นๆ ของโลก เขายังบรรยายถึงผู้นำคนใหม่ที่จะนำโลกไปสู่ ยุคแห่งการค้นพบและความเจริญรุ่งเรืองที่ไม่มีขีดจำกัด ที่จะคงอยู่นานกว่า 1,000 ปี ต่อไปนี้คือบางตอนของบทความของหนังสือพิมพ์ซัน หนังสือพิมพ์ซัน 6 สิงหาคม 2002 นอสตราดามุส : ฉันรู้อนาคตของเมริกา! โดย กร้านท์ บอลโฟร์ นอสตราดามุส นักพยากรณ์ที่ถูกต้องที่สุดของโลก ได้ทำนายอย่างชัดเจนถึงสงครามผู้ก่อการร้ายในปัจจุบันและอนาคตของอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า คำทำนายที่น่าสะพรึงเหล่านี้ มีอยู่ในจดหมายที่ค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ ในที่เก็บเอกสารโบราณแห่งชาติฝรั่งเศส เมื่อลายมือเอกสารได้รับการวิเคราะห์และระบุผู้เขียนแล้ว เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสได้ติดต่อกรุงวอชิงตัน พร้อมกับแจ้งการค้นพบที่สะเทือนโลกดังกล่าว จดหมาย....ประกอบไปด้วยความฝันหรือนิมิตทั้งเจ็ด แต่ละนิมิตเกี่ยวกับอเมริกาโดยตรงหลังจากเริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ไม่กี่ปี กล่าวโดย ดร.เจนีน ลาโฟบรัจ ผู้นำแห่งคณะวิจัยริบบิ้นสีน้ำเงิน ผู้ศึกษาจดหมายของนอสตราดามุส มันดูเหมือนว่า นอสตราดามุส สะเทือนใจอย่างมากกับนิมิตที่เข้มข้นเหล่านี้ ในทันใด เขาหยิบปากกาและกระดาษ และเขียนจดหมายถึงเพื่อนสนิทและไว้ใจได้ ซึ่งอาจเป็นภรรยาหรือพระในท้องที่ของเขา เมื่อเวลาผ่านไป งานเขียนได้รับการอนุรักษ์ไว้ แต่ความสำคัญที่แท้จริงของมันได้ถูกลบเลือนไป โชคดีที่เอกสารฉบับนี้มีชีวิตรอด ฉันบอกว่า โชคดี อย่างจงใจ แม้ว่ามันอาจจะเป็นมากกว่าโชค การศึกษาของเราได้แสดงว่า ความฝันทั้งเจ็ดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับปัจจุบันโดยตรง กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น หรือกำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้ จนถึงบัดนี้ การทำนายของเขา การเกิดไฟป่าเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา มหาอุทกภัยที่ซาน อันโตนิโอ เท็กซัส และภัยแล้งในสหรัฐตั้งแต่เนวาด้า ไปจนถึงฟลอริดา ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว บางที มันไม่ใช่อุบัติเหตุที่จดหมายของนอสตราดามุส เลือกที่จะถูกค้นพบในยุคปัจจุบัน เพื่อเป็นการเตือนจากเบื้องบน ถึงภยันตรายที่กำลังรออยู่ สงครามผู้ก่อการร้าย สถานการณ์ที่นอสตราดามุสกล่าวว่าเป็น สงครามที่ไม่มีประเทศ ศัตรูเป็นดังทราย นักพยากรณ์ผู้มีพรสวรรค์ได้มองเห็นสองปีแห่งเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงโลก เริ่มต้นด้วยความตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ความตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ ภาพแรกคือ ยักษ์ชุบทอง ที่มีศรีษะเน่า ร่วงหล่นบนสู่คนจนจำนวนมหาศาล ลาโฟบรัจกล่าว นอสตราดามุสอธิบายอย่างชัดเจนว่า มันเป็นภาพหายนะทางเศรษฐกิจ การล่มสลายของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง เอนรอน เวิร์ลคอม อิมโคลน และไทโค จะดำเนินต่อไปในอัตราเร็วที่น่าตกใจ จนกระทั่ง คลื่นแห่งความสิ้นหวังท่วมท้นตลาดหุ้น นำการค้าไปสู่ความตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุด คนนับล้านจะไม่มีแม้แต่สตางค์แดงเดียว เงินออมของพวกเขา และการวางแผนสำหรับการเกษียณอายุจะไร้ความหมาย กระบวนการจะไปถึงจุดที่ไม่มีการหวนคืนในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ เมื่อผู้บริหารคนหนึ่งผู้มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองจะหนีความผิด และลี้ภัยไปที่อิรักหรือลิเบีย เมื่ออยู่อย่างปลอดภัยกับศัตรูของอเมริกาแล้ว เงินที่เขาได้มาอย่างผิดๆ จะซื้อชีวิตที่หรูหราและสะดวกสะบาย เมื่อตลาดโลกพังทลายทีละแห่งอย่างโดมิโน ความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บจะมีอยู่ทั่วไป มีแต่ผู้ที่ดำรงชีวิตได้บนผืนดิน จะรอดจากช่วงเวลาแห่งปัญหาเหล่านี้ อย่างไร้รอยขีดข่วน สงครามกับผู้ก่อการร้ายครั้งที่สอง อัล เคด้า ไม่ได้รับผลกระทบจากความลำบากทางเศรษฐกิจ ที่กำลังมีผลกระทบต่อทั้งโลก จะใช้ความได้เปรียบของภัยพิบัตินี้ ทำการจู่โจมที่เลวร้ายทางทะเล ลาโฟบรัจกล่าว เมืองตามชายฝั่ง อาจจะเป็นลอสแองเจลลีส ซานฟรานซิสโก และพอร์ตแลนด์ จะทุกข์ทรมานจากโรคระบาดร้ายแรง เมื่อพิษจากทะเลคร่าชีวิตปลานับล้านตัว และสร้างมลภาวะตามชายฝั่งเป็นไมล์ ๆ ท่าเรือและอ่าวต่างๆ จะไม่สามารถใช้การได้ และซากศพจำนวนมากจะเป็นที่เพาะเชื้อโรคทางอากาศที่ถึงแก่ชีวิต กลุ่มที่ทำการจู่โจม จะเสียชีวิตจากยายพิษของตัวเอง พวกเขามากมายจะเกิดที่แคนาดา หรือสหรัฐอเมริกา ทำให้กองทัพอเมริกา ไม่มีเป้าหมายการตอบโต้ที่ชัดเจน เรื่องอื้อฉาวของประธานาธิบดี บนส้นสูงแห่งชัยชนะ อย่างไรก็ดี ผู้สืบสวนนานาชาติจะค้นพบความลับที่เลวร้าย ดร.เจนีน ลาโฟบรัจกล่าว อาณาจักรต่างๆ จะถูกโค่นลง นอสตราดามุสเขียนว่า แต่นกอินทรีย์จะได้รับบาดเจ็บ ในมงกุฎทองของมัน คณะวิจัยเห็นพ้องว่า นิมิตของเขา บรรยายถึง เรื่องฉาวที่น่าตกใจ ที่เชื่อมโยงทางการเงินกับเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของรัฐบาล และผู้นำในเครือข่ายผู้ก่อการร้าย ความสัมพันธ์ที่ปฏิเสธไมได้ จะนำไปสู่ความวุ่นวายครั้งใหญ่ในรัฐบาล ซึ่งจะนำไปสู่การปลดประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดี ในที่สุด การจบสิ้นของสงครามผู้ก่อการร้าย ในความโกลาหลทางการเมือง ตามด้วยการเปิดเผยที่น่าตกใจ ผู้ก่อการร้ายจะจู่โจมอีกครั้ง โดยใช้ ไฟจากท้องฟ้า และเผาไหม้เมืองหลักๆ ในยุโรป แต่ไม่นานหลังจากคริสมาสต์ปี 2003 กองทัพผู้ก่อการร้ายจะถูกค้นพบใกล้กับเมืองเมกิดโด สถานที่โบราณแห่งสงครามอาร์มาเกดอน การจู่โจมครั้งเดียว อย่างจงใจ โดยผู้นำใหม่ชาวอเมริกัน ผู้ที่นอสตราดามุสขนานนามว่า เจ้าชายชั่วคราว จะสั่นสะเทือนองค์กรผู้ก่อการร้าย ลาโฟบรัจ กล่าว สันติภาพในอนาคต อย่างไรก็ดี จะขึ้นอยู่กับ แผนมาร์แชล ระยะยาวของตะวันออกกลาง ที่จะให้ความช่วยเหลือ และโอกาสทางเศรษฐกิจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามของฝ่ายที่พ่ายแพ้ ตามจดหมายฉบับนี้ เฉพาะเมื่อผู้ชนะยกผู้ที่ร่วงหล่นจากฝุ่น สันติสุขก็จะสามารถไหลอย่างสายน้ำ ทำความสะอาดโลกนี้ การมาเยือนครั้งที่สอง การปฏิรูปใหม่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมืองที่ถูกวางระเบิดในยุโรป และตะวันออกกลางที่ถูกทำลายโดยสงคราม จะเกิดขึ้น เนื่องด้วยผู้นำเพียงคนเดียว ที่นอสตราดามุสเรียกว่า ฟาโร (1) ท่านจะมาจากภูเขาไปยังตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย อาจจะเป็นทิเบต และที่ซึ่งท่านเดินผ่าน ความเจริญรุ่งเรืองจะปรากฏ ลาโฟบรัจ กล่าว องค์กรของท่านจะรวมองค์ประกอบที่ดีที่สุดของโบสถ์และรัฐ ด้วยการเลี้ยงดูผู้หิวโหย (2) และสอนเทคนิคการสวดภาวนาแบบใหม่ (3) แม้ว่าจะทำงานตั้งแต่ก่อนตอนจบของสงครามผู้ก่อการร้าย มันคือหลังชัยชนะครั้งสุดท้าย ที่ตัวตนที่แท้จริงของผู้นำโลกท่านนี้จะได้รับการเปิดเผย สำหรับนิมิตสุดท้ายของเขา สิ่งที่นอสตราดามุสเขียนก็คือ ขณะที่ระฆังสั่นที่ลอนดอน (4) ในช่วงเวลาของแมงป่อง พระเยซูพระองค์ใหม่จะแสดงพระพักตร์ของพระองค์ให้กับทุกเมืองของโลกใหม่ (5) มหาสมุทรร้องเพลง ปาฏิหาริย์! (6) เพื่อมองดูพระองค์ลุกขึ้น ดร.เจนีน ลาโฟบรัจ กล่าว นิมิตนี้ระบุอย่างชัดเจน หลายๆ สิ่งเกี่ยวกับวีรบุรุษชาวทิเบตผู้ลึกลับ เขาจะอยู่ที่ฮาวาย หรือเปอร์เตอริโก้ อาจจะในช่วงการทัวร์รอบโลก จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ที่จะได้เห็นโดยชาวโลก และมันจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2004 สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ปาฏิหาริย์นี้จะไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่า ชายผู้นี้ ฟาโร มิใช่ใครอื่น นอกจาก พระคริสต์ผู้มาเยือนเป็นครั้งที่สอง ความอ่อนวัยนิรันดร เมื่อได้รับการยอมรับดั่งผู้นำโลกแล้ว พระผู้กอบกู้พระองค์ใหม่จะแทนที่ทุกรัฐบาล ด้วยผู้มีความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ผู้ที่ความรับผิดชอบเดียวที่มีก็คือการแก้ไขปัญหาของมนุษยชาติ ปัญหาแรกที่ถูกกำจัดโดย สภาของผู้รู้ (7) ก็คือ การแก่วัยของมนุษย์ ดร.เจนีน ลาโฟบรัจ กล่าว ภายในปี 2006 พวกเขาจะแก้ไขปัญหานี้ และไม่มีใครจะต้องแก่ชราอีก (8) ต่อจากการค้นพบอันน่าทึ่งนั้น ก็คือยุคแห่งการค้นพบและความเจริญรุ่งเรืองที่ไร้ขีดจำกัดเป็นเวลา 1,0000 ปี สิ้นสุดของบทคัดลอก ...................................................................................... หมายเหตุ (มุมมองต่อไปไม่จำเป็นว่าจะมาจากหนังสือพิมพ์ซันหรือ คุณบอลโฟร์) การบรรยายของนอสตราดามุสเกี่ยวกับการกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ และการอธิบายของ ดร.เจนีน ลาโฟบรัจเกี่ยวกับภารกิจของพระผู้กอบกู้ มีความเหมือนกับวิถีชีวิตที่สูงส่งอย่างชัดเจนของผู้นำทางจิตวิญญาณระดับโลก นักมนุษยธรรม และศิลปินอย่างท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ และงานของสมาคมของท่าน ต่อไปนี้คือตัวอย่างเกี่ยวกับคำทำนายที่อ้างอิงในบทความ 1. การปฏิรูปของรัฐบาลอเมริกา เมืองที่ถูกวางระเบิดในยุโรป และตะวันออกกลางที่ถูกทำลายโดยสงคราม จะเกิดขึ้นเนื่องด้วยผู้นำเพียงคนเดียวที่นอสตราดามุสเรียกว่า ฟาโร เขาจะมาจากภูเขาไปยังตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย อาจจะเป็นทิเบต และที่ซึ่งท่านเดิน ความเจริญรุ่งเรืองจะปรากฏ ฟาโรในภาษาสเปนหมายถึง ประภาคาร หรือ แสงนำทาง ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่บรรลุการรู้แจ้งที่สมบูรณ์ที่หิมาลัย และอยู่ที่ทิเบตและอินเดียก่อนที่ท่านจะออกมาแบ่งปันคำสอนของท่านให้กับสาธารณะ ท่านได้รับรางวัลผู้นำทางจิตวิญญาณของโลก ที่มอบโดยผู้ว่าการรัฐของสหรัฐ 6 แห่งในปี 1994 ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ได้เป็นแสงนำทางทางจิตวิญญาณที่โดดเด่นที่สุดมาเป็นเวลานาน ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ยังคงทำงานเพื่อนำพาสันติสุขมายังทุกส่วนของโลก และทำความฝันแห่ง สวรรค์บนโลก ให้กับทุกสรรพสิ่งให้เป็นความจริง 2. องค์กรของท่านจะรวมองค์ประกอบที่ดีที่สุดของโบสถ์และรัฐ ด้วยการเลี้ยงดูผู้หิวโหย... สองทศวรรษที่ผ่านมา ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่และสมาคมของท่านได้จัดความช่วยเหลือในเหตุการณ์ฉุกเฉิน การบรรเทาภัยพิบัติ และงานการกุศลซึ่งกำลังดำเนินอยู่ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและความทุกข์ของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั่วทั้งโลก กิจกรรมบางอย่างของพวกเขารวมถึง การมอบสิ่งของที่จำเป็นในเหตุการณ์ฉุกเฉินหลังการเกิดภัยพิบัติ เช่น สึนามิที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2011 แผ่นดินไหวที่เฮติ เมื่อปี 2010 แผ่นดินไหวที่เสฉวนที่จีน เมื่อปี 2008 ไซโคลนนากีสที่พม่า และประเทศในเอเชียอื่นๆ เฮอร์ริเคนแคทรีน่าที่สหรัฐ และแผ่นดินไหวที่แคชเมียร์ในปี 2005 และสึนามิและแผ่นดินไหวที่มหาสมุทรอินเดียในปี 2004 และเหตุการณ์ 11 กันยายน ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ท่านอาจารย์และกลุ่มของท่านได้ช่วยเหลือผู้ลี้ภัย เด็กกำพร้าและองค์กรมากมายที่ทำงานเพื่อมวลมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม บ่อยครั้งที่ท่านให้อย่างไม่ออกนาม ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ช่วยเหลือในทุกวิถีทางใดก็ตามที่ท่านสามารถทำได้ ในเวลาไหนก็ได้ หรือในสถานที่ใดก็ตามที่จำเป็นตลอดเวลา 3. ....สอนเทคนิคการสวดภาวนาแบบใหม่ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่บำเพ็ญและแบ่งปันเทคนิคการนั่งสมาธิที่เรียกว่า ธรรมวิถีกวนอิม ซึ่งคนคนหนึ่งสามารถเข้าถึงการรวมกับพระผู้สร้างอย่างลึกซึ้ง ผ่านการเพ่งแสงและเสียงภายใน แสงภายในหรือแสงแห่งพระเจ้า คือแสงเดียวกันกับที่กล่าวไว้ในคำว่า การรู้แจ้ง ซึ่งส่องสว่างปัญญาและความเมตตา การสั่นสะเทือนของจักรวาลที่รู้จักในนามของเสียงภายในนั้นทรงพลังทั้งมวลและดำรงอยู่ตลอดเวลาและยังรับรู้ได้อย่างเป็นทำนองภายในแห่งความรักอันสูงส่ง และสามารถรักษาความเจ็บป่วยทั้งหมด เติมเต็มทุกความปรารถนา และดับกระหายความต้องการทางโลกทั้งมวล เทคนิคการนั่งสมาธินี้เป็นรูปแบบของการภาวนาที่แท้จริงที่ลึกซึ้งและมีประสิทธิภาพที่สุด ได้ถูกสอนโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ทำให้ผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณที่จริงใจ ได้ถูกพาไปยังอาณาจักรแห่งการดำรงอยู่ที่สูงกว่า ผ่านการติดต่อกับคำสอนของพระเจ้าโดยตรง 4. ระฆังสั่นที่ลอนดอน... ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ใช้เวลามากมายที่ประเทศอังกฤษ เมื่อสมัยยังเป็นวัยรุ่น ในช่วงที่ท่านศึกษาในมหาวิทยาลัย และต่อมาได้กลายเป็นประชาชนสัญชาติอังกฤษ เมื่อไม่นานมานี้ ท่านได้เดินทางและพำนักที่นั่นบ่อยครั้ง กลับไปยังลอนดอนหลายครั้งเพื่อเทศนา และมอบการประทับจิตให้กับผู้แสวงหาสัจธรรม ในช่วงการทัวร์บรรยายที่ยุโรปในปี 1999 การเดินทางไปยังอังกฤษของท่านสอดคล้องกับการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพแห่งโคโซโว ระฆังสั่นที่ลอนดอนอาจจะแสดงถึงสันติภาพแห่งดินแดนนี้ และการยินดีต้อนรับการมาถึงของผู้นำแห่งแสง ฟาโร ดังนิมิตของนอสตราดามุส ซึ่งก็คืออดีตนักเรียนแห่งนครอันยิ่งใหญ่ ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็น อาจารย์ เหตุผลสำหรับการฉลองที่แท้จริงโดยทุกคน 5. ....พระเยซูพระองค์ใหม่จะแสดงพระพักตร์ของพระองค์ให้กับทุกเมืองที่เป็นเกาะของโลกใหม่... นิมิตนี้ระบุอย่างชัดเจนถึงสิ่งต่างๆ มากมายเกี่ยวกับวีรบุรุษชาวทิเบตผู้ลึกลับ ท่านจะอยู่ที่ฮาวาย หรือเปอร์เตอริโก้ อาจจะในช่วงการทัวร์รอบโลก ตามคำร้องของผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณ ท่านอนุตราจารย์ได้เดินทางไปรอบโลก เพื่อเทศนาในเกือบทุกทวีป ทั้งในปี 1989 และ 1993 เมืองที่ท่านแวะประกอบด้วย ลอสแองเจลลีส ซีแอทเทิ้ล วอชิงตันดีซี และอื่นๆ ที่ตั้งอยู่บนหรือใกล้เกาะทั่วอเมริกาเหนือและใต้ การเทศนาของท่านยังมีขึ้นที่กรุงนิวยอร์ค เกาะของแมนฮัทตัน และแม็กซิโกซิตี้ ซึ่งเดิมทีถูกสร้างขึ้นโดยชาวแอชเท็คพื้นเมืองบนเกาะในทะเลสาบเท็คซโคโค้ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ยังได้รับเชิญให้กล่าวสุนทรพจน์ที่ฮาวาย รัฐที่เป็นเกาะในสหรัฐอเมริกาในปี 1993 และต่อมาจัดฌานนานาชาติที่นั่น การอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวของท่านที่มีให้กับมนุษยชาตินั้น ได้รับการรับรู้โดยนายกเทศมนตรีผู้ทรงเกียรติ แฟรงค์ ฟาซิ แห่งฮอนโนลูลูฮาวาย ในปี 1993 ตอนที่ท่านได้รับการยกย่องให้เป็นประชาชนสหรัฐผู้ทรงเกียรติ และได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติสันติภาพสากล ท่านยังพำนักอยู่เป็นเวลานานที่เกาะโคโคนัทที่ฮาวาย และต่อมาเกาะซานมาริโน ในเมืองแห่งชายหาด ไมอามิ ฟลอริดา และฟลอริด้าตอนใต้ ซึ่งนักเรียนแห่งธรรมวิถีกวนอิมมากมายโชคดีพอที่ได้เข้าร่วมฌานกับท่าน 6. มหาสมุทรร้องเพลง ปาฏิหาริย์! ให้กับพระเจ้าผู้ที่กำลังลุกขึ้น ชื่อของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ชิงไห่ หมายถึง มหาสมุทรอันบริสุทธิ์ หรือ ทะเลสะอาด ในภาษาจีน นอกจากพระพรและปาฏิหาริย์ที่มอบให้อย่างการเป็นอาจารย์ทางจิตวิญญาณเพื่อช่วยกอบกู้จิตวิญญาณนับไม่ถ้วน ตลอดหลายปีแห่งการแบ่งปันสัจธรรมแล้ว ท่านอนุตราจารย์ยังเป็นศิลปินและนักดนตรีผู้มีความสามารถหลายด้าน ท่านเป็นอาจารย์ทางจิตวิญญาณที่หาได้ยาก ที่สามารถเปลี่ยนจิตสำนึกของผู้คน ผ่านความสามารถพิเศษอันยกระดับของท่าน ซึ่งรวมถึง การร้องเพลง บทกวี และดนตรี เพลงและดนตรีของท่านมีพลังแห่งคลื่นสั่นสะเทือนอันเปี่ยมไปด้วยความรัก ที่นำพาการรักษา การทำให้บริสุทธิ์ และการยกระดับทางจิตวิญญาณ ที่น่าอัศจรรย์ การปลอบโยน การถวิลหาของจิตวิญญาณนับไม่ถ้วน ให้กลับสู่สวรรค์ การปลุกทางจิตวิญญาณทั่วโลกกำลังเกิดขึ้น เหมือนตอนที่ มหาสมุทรร้องเพลง พระพรแห่งสวรรค์ไหลผ่าน และปฏิหาริย์เกิดขึ้น 7. เมื่อได้รับการยอมรับดั่งผู้นำโลกแล้ว พระผู้กอบกู้พระองค์ใหม่จะแทนที่ทุกรัฐบาล ด้วยผู้มีความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ผู้ที่ความรับผิดชอบเดียวที่มีก็คือการแก้ไขปัญหาของมนุษยชาติ... สภาของผู้รู้ ในปี 2006 ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ เป็นแรงบันดาลใจในการเปิดตัวของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ สถานีโทรทัศน์ออกอากาศทั่วโลก 24/7 รับชมโดยผู้คนนับล้านทั่วโลกผ่านดาวเทียม และมากกว่า 90 เคเบิ้ล และเครือข่ายไอพีทีวี ในภาษามากมาย สถานีที่เป็นเอกลักษณ์นี้มุ่งที่จะเสนอข่าวที่สร้างสรรค์และรายการที่ส่งเสริมสันติภาพ ด้วยตัวอย่างที่โดดเด่นของความดีเลิศในมวลมนุษย์ และวิถีชีวิตอันสูงส่ง โดดเด่นที่สุดก็คือการถ่ายทอดของสถานี ถึงทางออกที่มีประสิทธิภาพและนำไปปฏิบัติได้ ในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหาหลักของโลกในปัจจุบัน การออกอากาศรวมถึงการถ่ายทอดสดการสัมมนาสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง การสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลและจากนาซ่า ผู้นำรัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมชั้นนำ ตลอดการออกอากาศห้าปีของสถานีนี้ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้พูดบ่อยครั้ง ผ่านการถ่ายทอดสดการสัมมานาวิดิทัศน์ กับผู้นำรัฐบาล นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ แพทย์ ศิลปิน กลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อม และองค์กรพิทักษ์สัตว์ โดยเสนอทางออกที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ และข้อคิดทางจิตวิญญาณ ในการแก้ไขปัญหาโลกที่เร่งด่วน ฟอรั่มการออกอากาศที่เป็นเอกลักษณ์นี้ อยู่เหนืออาณาเขตของประเทศและทุกรัฐบาล แบ่งปันข่าวสารแห่งสันติภาพและปัญญาของผู้เชี่ยวชาญผู้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ทำให้มันเป็น สภาแห่งผู้รู้ อย่างแท้จริง 8. ....ไม่มีใครแก่ชราอีกต่อไป พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่กล่าวถึงการ เยาว์วัยตลอดกาล หรือ การมี ชีวิตนิรันดร ว่าเป็นระดับของการบรรลุทางจิตวิญญาณระดับหนึ่ง ซึ่งหมายถึง คนหนึ่งได้ขึ้นไปเหนือวัฏจักรของการเกิด ชราภาพ และตาย ที่ผูกมัดมนุษย์ทุกคน การนั่งสมาธิเพ่งแสงและเสียงที่ถ่ายทอดโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ได้สัญญา การฟื้นคืนของการตระหนักรู้แห่งธรรมชาตินิรันดรของจิตวิญญาณ และการหลุดพ้นจากวัฏจักรการเกิดและตายทางกายภาพโดยสมบูรณ์ ....................................................................... คำทำนายของนอสตราดามุสโดยส่วนใหญ่เขียนในกลอนสี่วรรค ทำให้มันยากสำหรับนักแปล เพราะบ่อยครั้ง ได้ใช้สัญลักษณ์และการสับเปลี่ยนพยัญชนะ เพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษจากเจ้าหน้าที่ในยุคของเขา บางที มันอาจจะไม่ใช่เหตุบังเอิญที่ความหมายของชื่อในภาษาฝรั่งเศสของนอสตราดามุส ไมเคิล เดอ นอสเตรอดาม คือ ไมเคิล เทวดา แห่งสุภาพสตรีของเรา หนึ่งในหนังสือของเขา นอสตราดามุส กล่าวถึงตนเองว่า อยู่ถัดจากนามสกุลของพระศาสดาองค์สุดท้าย (Le penultiesme du surnom de prophete) ผู้ที่จะมอบสิ่งที่เป็นไปได้ให้กับคนจำนวนมหาศาล สี่ตัวอักษรสุดท้ายของชื่อลาตินของนอสตราดามุส ตอนที่เขียนย้อนกลับ คือ SUMA คำที่มักใช้เรียกท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ในอดีต (SU : Supreme; MA: Master) ในหนังสือรวมบทกวี # 3-94 เขาได้บรรยายถึงความรุ่งโรจน์ของภารกิจแห่งสวรรค์นี้ ในอีก 500 ปี พวกเขาจะเทิดทูนท่าน ผู้ที่ส่องสว่างดั่งอัญมณีแห่งช่วงเวลาของท่าน แล้วการระเบิดออกของการรู้แจ้งจะเกิดขึ้น ซึ่งในเวลานั้น จะ (ให้ฉัน) มีความพอใจอย่างมาก ในจดหมายถึงบุตรของเขา นอสตราดามุสกล่าวว่า คำทำนายของเขานั้นสำหรับตั้งแต่ยุคของเขา ไปถึงปี 3797 เขาอธิบายว่า สิ่งนี้อาจรบกวนบางคน เมื่อพวกเขาเห็นช่วงเวลาที่นานเช่นนี้ (แต่) สิ่งนี้จะเกิดขึ้น และเข้าใจอย่างสมบูรณ์โดยสาธารณะ สิ่งเหล่านี้จะถูกเข้าใจอย่างเป็นสากลบนโลก ลูกชายของฉัน ตั้งแต่เริ่มต้นของการเทศนาของท่านอาจารย์ ในปี 1988 ท่านอนุตราจารย์มักพูดถึงการมาเยือนของยุคทอง ซึ่งเป็นช่วงเวลา 1,000 ปี แห่งการค้นพบและความเจริญรุ่งเรืองไม่มีที่สิ้นสุด ดังที่นอสตราดามุสได้มองเห็นไว้ ตลอดปีที่ผ่านมา ท่านได้ทำงานอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย ทั้งในด้านจิตวิญญาณและกายภาพ เพื่อยกระดับจิตสำนึกของสรรพสัตว์ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ขณะที่ส่งเสริมการทานวีแก้น ความเมตตาเพื่อสรรพสิ่ง ในวิถีการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง ในปี 2004 ในช่วงการเข้าฌานอย่างเข้มข้นที่นานกว่าสองปี ท่านได้ส่งข่าวสารมากมายให้กับสมาชิกสมาคม เพื่อแจ้งให้พวกเขาทราบถึงยุคทองใหม่ และแจ้งถึงพระพรจากสวรรค์ที่มีให้กับทุกสรรพสิ่งบนโลก ในจดหมายฉบับหนึ่ง ท่านเขียนว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายในวิถีทางที่ดีขึ้น การทำให้บริสุทธิ์และพระพรมากมายได้ถูกมอบให้กับโลกนี้ในทุกด้าน จงชุ่มโชกตัวเองในความรักที่มีโอกาสที่จะเกิดคือหนึ่งในชั่วกัปชั่วกัลป์ เพราะมันคือที่หลบภัยที่แท้จริงของคุณ เพราะการทำความสะอาดนี้กำลังมีผลกระทบรอบตัวคุณ การนั่งสมาธิ ศีลอันสูงส่ง และความรักอันไร้เงื่อนไข จะดึงคุณสู่สนามแห่งพระพรที่เป็นบวกมากยิ่งขึ้น หลายเดือนต่อมา ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2005 ท่านได้พูดกับเพื่อนบำเพ็ญที่ฮังการี ท่านได้พูดอีกครั้งถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีนี้ ของโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ในช่วงการเปลี่ยนแปลงนี้ ตอนที่โลกกำลังเข้าร่วมกับกาแล็กซี่ที่พัฒนาแล้ว ทุกสิ่งได้รับพร และเปิดสำหรับผู้มีศรัทา ท่านยังแนะนำให้ทุกคนใช้เวลาในการทำสมาธิลึกให้มากขึ้น ในช่วงเวลาที่พิเศษนี้ ชีวิตของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่คือพระพรแห่งสวรรค์ อย่างแท้จริง ไม่เคยในประวัติศาสตร์ที่จะมีอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่สามารถรวมคนจำนวนมากมายให้เป็นหนึ่ง จากประเทศ วัฒนธรรม และศาสนาต่างๆ ตามความเห็นของ ฯพณฯ นายกเทศมนตรี แฟรงค์ ฟาซิ แห่ง ฮอนโนลูลู ท่านนำความรักไปทั่วโลก ไปยังที่ซึ่งมีความเกลียดชัง ท่านนำความหวังไปยังที่ที่หมดหวัง และท่านนำความเข้าใจ ไปยังที่ซึ่งมีความเข้าใจผิด ท่านคือแสงแห่งผู้ยิ่งใหญ่ และนางฟ้าแห่งความเมตตากรุณาสำหรับเราทุกคน เมื่อจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกยกระดับสูงขึ้น ตามการวิวัฒนาการตามธรรมชาติของทั้งจักรวาล มาร่วมกันฉลองข่าวเกี่ยวกับอรุณรุ่งแห่งการรู้แจ้งอันยิ่งใหญ่นี้ และนิมิตอันสูงส่งแห่งสันติภาพและความกลมเกลียวของทุกสรรพสิ่งบนโลก ขอให้ผู้คนมากยิ่งขึ้นได้รับแรงบันดาลใจจากแสงนำทางแห่ง ฟาโร และเลือกที่จะใช้ชีวิตแห่งความรักและความเมตตา เราภาวนาให้ลูกๆ แห่งสวรรค์ทุกคน มนุษย์ สัตว์ พืช และสรรพสิ่งอื่นๆ อยู่ในสันติและความสุขด้วยกันในสวรรค์ที่เรียกว่าโลก ดังพระประสงค์ของพระเจ้าและตามที่ได้ถูกทำนายเอาไว้โดยนักพยากรณ์ผู้เป็นที่รัก ไมเคิล เดอ นอสเตรดาม! www.suprememastertv.com
ทุกสิ่งที่พวกเรากระทำในชีวิตประจำวันมีผลกระทบต่อคะแนนทางจิตวิญญาณของเรา เราได้กำไร(+)หรือขาดทุน(-) บนโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี นั่นเป็นเหตุผลที่เธอถามฉันว่าเพราะเหตุใดเธอจึงจำเป็นต้องได้รับบุญกุศล ก็เพื่อว่าเราต้องปกป้องตัวของเราเอง ปราศรัยโดยท่านอนุตตราจารย์ชิงไห่, จากการเทเลคอนเฟอร์เรนท์และวีดีโอคอนเฟอร์เรนท์พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์, ลอสแองเจลิส, แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา ,วันที่ 7 กรกฎาคม , 1 สิงหาคม , 30 สิงหาคม 2010 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ) การใช้จ่ายและการกิน ออกไปเที่ยวซื้อของ : -200 คะแนน ไปร้านขายอาหารประเภทเนื้อสัตว์ : -300 คะแนน กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ 1 มื้อ : -700 ถึง -1,000 คะแนน กินอาหารที่คนอื่นทำให้คุณ : -50 คะแนน ทำอาหารให้ตัวคุณเอง : -20 คะแนน ทำอาหารให้คนอื่น : +40 คะแนน ดื่มน้ำผลไม้ 1 กล่อง/กระป๋อง : -0.5 คะแนน ดื่มน้ำผลไม้คั้นโดยคนอื่น (1 ลิตร) : -0.7 คะแนน กินข้าวกล้อง(ข้าวซ้อมมือ) ,น้ำมันปาล์ม, ซอสถั่วเหลืองและผลไม้ : -1 คะแนนต่อวัน กินขนมปังปอนด์(ก่อนตัดเป็นแผ่น) 1 อัน : -0.3 คะแนน กินลูกพีช 1 ผล : -0.004 คะแนน กินกล้วย 1 ผล : -0.004 คะแนน กินเชอรี่ 1 กำ : -0.002 คะแนน กินองุ่น 1 พวง : -0.001 คะแนน กินอาหารเจแบบสดๆดิบๆ(พืชผักดิบ) : -10 คะแนน กินอาหารเจแบบปรุงสุก : -20 คะแนน มนุษย์กินแต่น้ำ, มนุษย์กินอากาศ , มนุษย์กินแสงอาทิตย์ : +/-0 คะแนน กินอาหารมังสวิรัติ สร้างภาระต่อร่างกายและจิตใจ : 30% กินแต่เพียงผลไม้ สร้างภาระต่อร่างกายและจิตใจ : 10% ดื่มน้ำผลไม้ (น้ำ 50% & น้ำผลไม้ 50%) สร้างภาระต่อร่างกายและจิตใจ : 5% ทำอาหารให้ตัวคุณเอง จะถูกหักคะแนนโดยอัตโนมัติจากบุญกุศลทางจิตวิญญาณของคุณเอง : 20% ถึง 40% ออกไปกินหรือดื่ม ยังคงถูกหักคะแนน : 10% (เนื่องจากพวกเราอาศัยอยู่ในโลกนี้) การกล่าวคำนินทาและการแสดงความโกรธ พูดจาเลวร้ายเกี่ยวกับคนอื่น : -500 คะแนน พูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศหรืออะไรก็ได้ โดยไม่ทำความเสียหายหรือมีเจตนาร้ายต่อคนอื่น : -200 คะแนน เมื่อคนๆ หนึ่งโกรธหรือมีความรู้สึกเกลียดชังต่อคนอื่น ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความเกลียดชังของคุณว่ามีแค่ไหนต่อคนๆ นั้นและตัวคุณเองที่เป็นผู้เกลียดชัง คุณสามารถสูญเสียได้ถึง : -10,000 คะแนน การเล่นการพนัน เป็นเจ้าของบ่อนการพนัน : -500,000 ถึง -1,000,000,000 คะแนนต่อปี ทำงานในบ่อนการพนัน : -50,000 ถึง -500,000 คะแนนต่อปี เล่นการพนันเพื่อให้ได้เงินในบ่อนการพนัน : -30,000 ถึง -100 ,000 คะแนนต่อชั่วโมง เล่นไพ่ (เพื่อความบันเทิง, ไม่ใช้เงิน) : -10,000 ถึง -30,000 คะแนนต่อชั่วโมง ขายยาผิดกฎหมาย, บุหรี่, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, เนื้อสัตว์, ปลา, ไข่ ,ขายบริการทางเพศ, ค้ามนุษย์ ขายสารเสพติด, ยาผิดกฎหมาย,มอร์ฟีน, ฝิ่น, โคเคน : -200,000,000 ถึง -1,000,000,000 คะแนนต่อปี ขายบุหรี่ : -100,000,000 ถึง -500,000,000 คะแนนต่อปี ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : -200,000,000 ถึง -1,000,000,000 คะแนนต่อปี ขายเนื้อสัตว์, ปลา, ไข่ : -100,000,000 ถึง -500,000,000 คะแนนต่อปี ขายบริการทางเพศ, ค้าทาส : -600,000 ถึง -900,000,000 คะแนนต่อปี เป็นเจ้าของร้านขายเนื้อสัตว์หรือปลา : -500,000 ถึง -1,000,000,000 คะแนนต่อปี เป็นเจ้าของบาร์ที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ร้านขายเหล้าและเบียร์ หรือบาง สิ่งที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ : -100,000 ถึง -400,000 คะแนนต่อปี เป็นเจ้าของซ่องโสเภณี : -500,000 ถึง -500,000,000 คะแนนต่อปี เป็นเจ้าของโรงฆ่าสัตว์ : -500,000,000 ถึง -6,000,000,000 คะแนนต่อปี เป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อขายเนื้อ : -1,000,000,000 ถึง -3,000,000,000 คะแนนต่อปี เป็นเจ้าของหรือทำงานบนเรือประมง : -500,000,000 ถึง -3,000,000,000 คะแนนต่อปี ทำงานเป็นชาวประมง (หรือเป็นคนทำงานเพื่อสิ่งนั้น) : -300,000,000 ถึง -1,000,000,000 คะแนนต่อปี บุคคลเหล่านี้จะไม่สามารถไปสวรรค์ได้ พวกเขาจะต้องกลับมาเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากเขาเก็บสะสมความขาดทุนบุญกุศลทางจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก แม้ว่าเขาจะมีห้างร้านจำนวนมาก แต่ก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น การฆ่า ฆ่าคน 1 คน : -1,000,000,000 ถึง -4,000,000,000 คะแนน ฆ่าสัตว์หรือนก 1 ตัว : -800,000 ถึง -3,000,000,000 คะแนน(ขึ้นอยู่กับขนาดและอื่นๆ) ครั้งหนึ่งในสมัยก่อนในโลกของเรา การฆ่าสัตว์ถือว่าเป็นอาชญากรรมที่จะต้องชดใช้เหมือนกับการฆ่าคน อาจมากกว่าหรือน้อยกว่า ช่วงเวลาแบบนั้นจะบังเกิดขึ้น การทำลายหรือการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ตัดหรือทำลายต้นไม้โดยทั่วไป 1 ต้น : -100,000 ถึง -500,000 คะแนน เป็นสาเหตุให้เกิดมลพิษทางน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร : -100,000 ถึง -400,000 คะแนน สร้างมลพิษทางอากาศ 1 ลูกบาศก์เมตร (จากการสูบซิการ์, บุหรี่หรือจากรถยนต์ซึ่งเหมือนกัน) : -100,000 ถึง -400,000 คะแนน การทำความสะอาดและการซักผ้า ทำความสะอาดบ้านให้อาจารย์ที่รู้แจ้ง : +20,000 คะแนนต่อปี ซักเสื้อผ้าให้อาจารย์ที่รู้แจ้ง : +5,000 คะแนนต่อปี ใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นซักให้ : +/-0 คะแนน การดูทีวีหรือภาพยนตร์ ดูทีวีหรือภาพยนตร์ที่เลวและรุนแรง : -300 คะแนนต่อชั่วโมง ดูทีวีสุพรีมมาสเตอร์ 1 ชั่วโมง : +800 คะแนนต่อชั่วโมง ทำงานให้ทีวีสุพรีมมาสเตอร์ : +3,000 คะแนนต่อชั่วโมง แนะนำทีวีสุพรีมมาสเตอร์ให้คนอื่น 1 คน : +20,000 คะแนน เขียนฮาร์ทไลน์ (Heart Lines)ในทีวีสุพรีมมาสเตอร์ : +3,000 คะแนน ดูวิดีโอคอนเฟอร์เรนท์ที่มาใหม่(ทีวีทางไกล)หรือมาชุมนุมพร้อมกับอาจารย์ : +10,000 คะแนนต่อนาที (โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นลูกศิษย์หรือไม่) ขณะเดียวกันอาจารย์จะสูญเสีย -10,000,000 คะแนนต่อนาที ดูวิดีโอของอาจารย์ที่ออกมาก่อนแล้ว(เก่า) : +5,000 คะแนนต่อนาที อาจารย์จะยังคงสูญเสีย -3,000,000 คะแนนต่อนาที การฝึกสมาธิ เริ่มเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิม (ประทับจิต)(ธรรมวิถีแห่งแสงและเสียง ; แสงและเสียงเป็นเหมือนกัน) : +100,000 คะแนนต่อชั่วโมง (มีใจจดจ่อระดับปานกลาง) ลูกศิษย์อยู่ในภาวะสมาธิ : +500,000 คะแนนต่อชั่วโมง ลูกศิษย์นั่งสมาธิเพียงลำพัง : +40 คะแนนต่อชั่วโมง(ถึงแม้ไม่มีใจจดจ่อหรือไม่สามารถจดจ่อได้) ลูกศิษย์นั่งสมาธิพร้อมกับอนุตตราจารย์ชิงไห่ : +300,000 คะแนนต่อชั่วโมง อนุตตราจารย์ชิงไห่สัมผัสลูกศิษย์ 1 คน : -100 คะแนน (อาจารย์) ; ลูกศิษย์ : +1,000 คะแนน อนุตตราจารย์ชิงไห่มองไปที่ใครบางคน : -500 คะแนน (อาจารย์) บุคคลนั้น : +5,000 , +10,000 ถึง +30,000 คะแนน อนุตตราจารย์ชิงไห่มองผ่านห้องนั่งสมาธิไปยังทุกคน : +50,000 คะแนนต่อนาที ; อาจารย์จะเสีย -200,000 คะแนนต่อนาที ลูกศิษย์นั่งสมาธิที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม (ทุกแห่ง) : +200,000 คะแนนต่อชั่วโมง ลูกศิษย์นั่งสมาธิในท่ามกลางเส้นพระพรแห่งจิตวิญญาณที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม : +200,000 ถึง +8,000,000 คะแนนต่อชั่วโมง พลังพระพรอย่างต่ำในทุกศูนย์ปฏิบัติธรรม : 20% ถึง 70% มากกว่าที่บ้าน นั่งอยู่ในเส้นพระพรแห่งจิตวิญญาณ : +10% ถึง +60% มากกว่าศูนย์ปฏิบัติธรรมโดยทั่วๆไป นั่งอยู่ในสถานที่อันสงบพร้อมกับอาจารย์ : +30,000,000 ถึง +250,000,000 คะแนนต่อชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความจริงใจและการมีใจจดจ่อทางจิตวิญญาณของบุคคลที่นั่งสมาธิ) การฝึกสมาธิและกิจกรรมภายใต้ดวงอาทิตย์ ผู้ปฏิบัติธรรมระดับชั้นที่ 3 ของวิถีแห่งแสงและเสียงที่กินเจ (ไปฝึกสมาธิด้วยการนั่งภายใต้ดวงอาทิตย์) :สูงถึง +30,000,000 คะแนนต่อชั่วโมง ชาวพุทธ (ไม่ได้เป็นมังสวิรัติหรือเป็นมังสวิรัตินานๆ ครั้ง)นั่งภายใต้ดวงอาทิตย์และท่องนามพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ : +200,000 คะแนนต่อชั่วโมง ไม่ว่านิกายศาสนาใด (ชาวคริสต์, ชาวมุสลิม, ชาวฮินดู, ชาวพาสี(Zoroastrian), ชาวพุทธ) นั่งภายใต้ดวงอาทิตย์และสวดอธิษฐาน : ประมาณ +200,000 คะแนนต่อชั่วโมง นักบวช(พระ)นิกายเซนที่เป็นมังสวิรัติปฏิบัติธรรมแบบเซนภายใต้ดวงอาทิตย์ (เช่น การนั่งสมาธิแบบกำหนดลมหายใจ พวกเขาจะนับ เช่น 1, 2 จนกระทั่ง 10 และจากนั้นก็จะเริ่มต้นนับใหม่กลับไปกลับมา) : อย่างมากที่สุด +5,000,000 คะแนนต่อชั่วโมง (ไม่ได้เป็นมังสวิรัติเป็นอย่างน้อย) คนกินเจท่องนามพระพุทธเจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ : อย่างมากที่สุด +5,000,000 คะแนนต่อชั่วโมง ชาวเซนธรรมดาทั่วไป (ที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณหรือไม่ได้เป็นมังสวิรัติ) : +500,000 คะแนนต่อชั่วโมง คนกินเจ (ไม่ได้ฝึกปฏิบัติสมาธิ พวกเขากินเจเพราะความเมตตา) อาบแดด ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ชายหาด : +6,000,000 คะแนนต่อชั่วโมง คนที่ไม่ได้เป็นมังสวิรัติอาบแดดภายใต้ดวงอาทิตย์ (ในช่วงชั่วโมงสูงสุดที่ดีที่สุด บนชายหาดหรือบนระเบียง) : +100,000 คะแนนต่อชั่วโมง คนกินเจฝึกสมาธิแบบใดก็ได้ภายใต้ดวงอาทิตย์ (ระหว่างชั่วโมงสูงสุด) : +10,000,000 คะแนนต่อชั่วโมง มนุษย์กินอากาศฝึกสมาธิภายใต้ดวงอาทิตย์ (ระหว่างชั่วโมงสูงสุด) : +13,000,000 คะแนนต่อชั่วโมง ชาวนาทำงานในช่วงชั่วโมงสูงสุดภายใต้ดวงอาทิตย์ : +2,000,000 คะแนนต่อชั่วโมง (แต่จะถูกหักคะแนนบ่อยครั้งเพราะว่าเขาไม่กินเจ หรือเขาอาจจะฆ่าพวกตัวหนอนหรือแมลงเพื่อประโยชน์ของคนอื่นและเหตุผลอื่นๆ) คนสร้างถนนทำงานภายใต้ดวงอาทิตย์ในช่วงเวลาสูงสุด : +2,000,000 คะแนนต่อชั่วโมง (แต่ก็อาจจะถูกหักคะแนนคล้ายๆ กัน ถ้าเขาไม่กินเจ) การเลี้ยงดูและการดูแลสัตว์ เลี้ยงสุนัขที่เป็นมังสวิรัติ 1 ตัว : +4,000 ถึง +6,000 คะแนนต่อชั่วโมง ช่วยทำอาหารและดูแลสุนัขที่เป็นมังสวิรัติ 1 ตัว : +1,000 ถึง +2,000 คะแนนต่อปี เลี้ยงนกด้วยอาหารมังสวิรัติ 1 ตัว : +3,000 ถึง +10,000 คะแนนต่อปี ช่วยดูแลนกด้วยอาหารมังสวิรัติ : +2,000 ถึง +3,000 คะแนนต่อปี ช่วยเหลือสัตว์หรือนกจากอันตราย : +200,000 ถึง +900,000 คะแนนต่อปี ช่วยเหลือสัตว์ , ซื้อยารักษาและดูแล (แต่ไม่ได้เลี้ยง) : +50,000 ถึง +800,000 คะแนนต่อปี ความแตกต่างของอาชีพ ทำร้านอาหารมังสวิรัติตามปกติทั่วไป : +5,000 คะแนนต่อปี ทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์แบบมังสวิรัติ(ปลอดสารเคมี) : +30,000 คะแนนต่อปี ทอผ้าด้วยมือ 1 เมตร : +100 ถึง +500 คะแนน เป็นเจ้าของบริษัททอผ้าโดยใช้เครื่องจักร 1 แห่ง : +20,000 ถึง +100,000 คะแนนต่อปี เย็บเสื้อผ้าหรือกางเกง 1 ตัว : +500 ถึง +2,000 คะแนน ทำรองเท้าที่ไม่ได้มีส่วนประกอบจากอวัยวะของสัตว์ 1 คู่ : +200 ถึง +1,000 คะแนน เป็นเจ้าของร้านขายผ้า 1 แห่ง : +20,000 คะแนนต่อปี ช่วยสร้างบ้านที่ทำจากอิฐ 1 หลัง : +10,000 คะแนน ช่วยสร้างรถ 1 คัน (รถครอบครัวขนาดกลางสำหรับ 4 ที่นั่ง : +10,000 คะแนน ช่วยสร้างเรือ 1 ลำ (ผู้โดยสารประมาณ 100 คน) : +10,000 คะแนน ช่วยสร้างบ้านแบบเคลื่อนที่ (สำหรับอาศัยได้ 4 คน) : +8,000 คะแนน ช่วยสร้างรถไฟฟ้าด้วยวิธีการใดก็ตาม 1 คัน : +2,000 คะแนน ช่วยสร้างเครื่องบินขนาด 100 ที่นั่ง (หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง) : +20,000 คะแนน เป็นเจ้าของโรงพยาบาล : +700,000 คะแนนต่อปี ทำงานในโรงพยาบาล เป็น แพทย์ : +500,000 คะแนนต่อปี (โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นมังสวิรัติหรือไม่) ทำงานในโรงพยาบาล เป็น พยาบาล : +300,000 คะแนนต่อปี(โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นมังสวิรัติหรือไม่) ทำงานในร้านขายยาเป็นเภสัชกร : +300,000 คะแนนต่อปี ทำงานในร้านขายยาเป็นผู้ช่วย : +100,000 คะแนนต่อปี นักบินอวกาศ : +200,000 คะแนนต่อปี ทำงานเป็นช่างเครื่องและนักวิทยาศาสตร์ให้ดาราศาสตร์ : +100,000 คะแนนต่อปี เป็นเจ้าของบริษัทสายการบิน : +400,000 ถึง +700,000 คะแนนต่อปี นักบิน : +200,000 ถึง +600,000 คะแนนต่อปี ขับรถยนต์ให้บางคนหรือขับแท็กซี่ หรือรถส่วนบุคคลเพื่อให้ได้เงิน : +200,000 ถึง +400,000 คะแนนต่อปี กัปตันเรือ (เรือสำหรับ 100 คน) : +50,000 ถึง +200,000 คะแนนต่อปี คนเก็บขยะ (เป็นคนเก็บขยะเพื่อให้ได้เงิน) : +100,000 ถึง +200,000 คะแนนต่อปี สร้างถนน 1 เมตร : +1,000 ถึง +5,000 คะแนน สร้างสะพาน 1 เมตร : +2,000 ถึง +7,000 คะแนน เลี้ยงบุตรของตัวเอง 1 คน : +50,000 ถึง +300,000 คะแนนต่อปี เลี้ยงบุตรบุญธรรม 1 คน : +70,000 ถึง +600,000 คะแนนต่อปี Spiritual merits are not to be spent. Its better to keep them. Even material merit, we should do it more, so we can keep more, because some of the so-called material merit will be translated into spiritual merit as well, or so many certain points of material merit will be translated into spiritual merit also, or maybe influence the spiritual level of practice as well. The Best Time for Meditation During an August 30, 2010 teleconference with Supreme Master Ching Hai, Supreme Master Television staff members were able to ask various questions about meditation and spiritual practice. During the conference, Master revealed that the best time of day for meditation is from 10:00 AM to 3:00 PM, to receive the greatest benefit and the most spiritual blessing. The numbers on the following chart are the millions of points per hour earned by Supreme Master Ching Hai when She is meditating at the best place in the world. www.suprememastertv.com
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai, ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา 20 กุมภาพันธ์ 1996 (เดิมเป็นภาษาจีน) การกระทำของเธออาจจะมองดูเหมือนกับการกระทำของอาจารย์มาก แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างมากจริงๆ เราไม่ได้กำลังทำการทดลองกับคนที่ขัดสนยากจน หรือว่ากำลังเล่นกับพวกเขาเหมือนเล่นของเล่น ต่อเมื่อเธอทำออกมาจากความรักเท่านั้น เราจึงจะสามารถทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติ แม้กระนั้นเราก็ไม่ได้บุญอะไร ไม่ต้องพูดถึงเวลาที่เราเกลียดชังคนอื่น หรือใช้พวกเขาเพื่อทำให้อัตตาของเราพอใจและให้เป็นไปตามความคิดผิดๆ ของเรา ทำแบบนี้เราจะไม่ได้บุญ แต่กลับสร้างกรรมไม่ดีขึ้นมาแทน มีชายคนหนึ่งซึ่งธุรกิจของเขาเจริญรุ่งเรืองดีมาก เขาปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของอาจารย์ของเขา ดังนั้นธุรกิจของเขาจึงดีขึ้นๆ เนื่องจากเขาร่ำรวยขึ้นมาเหลือเฟือแล้ว เขาจึงไปขอบคุณอาจารย์ของเขาและถามว่า "อาจารย์, ตอนนี้ฉันมีเงินมากแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร ฉันอยากจะช่วยเหลือคนอื่น แต่ว่าฉันไม่รู้วิธีช่วย อาจารย์จะกรุณาแนะนำฉันได้ไหม?" เขาก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากอาจารย์ของเขาสักคำ แต่ว่าถูกบอกให้กลับบ้านไป เมื่อเขามาหาอีกในครั้งต่อไป เขาก็ถามคำถามเดิมอีก และก็ไม่ได้รับคำตอบอีก ครั้งที่สามเขาพูดว่า "โอ, กรุณาพูดอะไรบ้างเถอะอาจารย์! ไม่ว่าท่านจะบอกอะไร ฉันก็จะทำตามนั้น" อาจารย์ของเขาถูก "ผลักดันไปจนหลังชนฝาแล้ว" ไม่มีทางเลี่ยงอื่น จึงถอนหายใจสามหน แล้วบอกเขาว่า "ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะบอกให้เธอทำอะไร ถ้าฉันบอกเธอให้ถวายเงินแก่วัดหรือโบสถ์ ฉันก็กำลังขอให้เธอเลี้ยงพวกพระที่ละโมบ ถ้าฉันบอกให้เธอให้เงินญาติพี่น้อง มันก็เป็นอันตราย.... ไม่ได้ช่วยอะไรกับการบำเพ็ญของเธอเลย ถ้าฉันบอกให้เธอใช้เงินเพื่อช่วยคนยากจน อัตตาของเธอก็จะโผล่ออกมา... มันไม่มีประโยชน์ต่อเธอเลยจริงๆ เพราะเธอจะคิดว่าเธอยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่ามันก็ยังเป็นการดีกว่าสำหรับเธอที่เธอจะช่วยเหลือคนยากจน เพราะว่าอย่างน้อยพวกเขาก็จะได้ประโยชน์จากมัน คนที่ขัดสนก็จะได้ประโยชน์" เธอเข้าใจนะว่า การช่วยคนที่ขัดสนไม่ได้เป็นการดีสำหรับเรา เธอเข้าใจคำพูดของฉันไหม? อย่านึกว่าเรากำลังทำบุญทำกุศลแล้วเราจะได้รับผลบุญเป็นรางวัลตอบแทน มันยากมาก หายากมากที่จะมีใครที่มีเจตนาอันประเสริฐที่สุดในการให้ เวลาคนให้อะไรออกไป ก็มักจะมีการเรียกร้องอะไรนิดๆ หน่อยๆ เสมอ พวกเขารู้ว่าเขากำลังให้และคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะได้รับบุญใดๆ ก็กลับติดกับดักของมารหรือปีศาจแห่งความเย่อหยิ่งแล้ว! ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับสำหรับเรามากในการที่ช่วยเหลือคนอื่นๆ แม้แต่เวลาที่ฉันช่วยเหลือคน ฉันก็กลัวเหมือนกันว่าอัตตาของฉันมันอาจจะโผล่ออกมา (ทุกคนหัวเราะ) แต่ฉันบอกตัวเองว่า "ไม่เป็นไร, ไม่สำคัญ แม้หากว่าฉันจะทำร้ายตัวฉันเอง ตราบใดที่คนยากจนได้รับประโยชน์ มันก็ดีแล้ว! " ดังนั้น ฉันจึงไม่สนใจมากว่าอัตตาของฉันมันจะโผล่ออกมาหรือไม่ หรือว่าฉันกำลังทำร้ายตัวเองหรือสร้างกรรมขึ้นมาหรือเปล่า ฉันไม่สนใจ เราต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นผลที่ได้มันจะแตกต่างไป! ฉันไม่เคยบอกเธอว่าเธอควรจะทำทานเพื่อให้ได้บุญ ใช่หรือเปล่า (ทุกคนตอบ : ไม่เคย!) ฉันเคยหลอกลวงเธอบ้างไหม? (ทุกคนตอบ: ไม่เคย!) ฉันเคยเล่าเรื่องของขอทานอยู่บ่อยๆ ไม่กี่วันมานี้ ฉันเล่าอะไรให้คนต่างชาติฟังบางเรื่อง เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งคือ มีคนอยู่คนหนึ่งถวายเงินเหรียญสองอันให้แก่พระพุทธเจ้า ปรากฏว่าชาติแล้วชาติเล่าเป็นเวลาหกสิบเอ็ดกัลป์ เขาก็เกิดมามีเงินมากมายเสมอ ทุกครั้งที่แบมือออกมาก็จะมีทองสองชิ้นอยู่ในมือ ดังนั้นเขาจึงมีความสุขกับชีวิตที่ร่ำรวยอยู่เป็นเวลาถึงหกสิบเอ็ดกัลป์ บางครั้งเวลาฉันออกไปข้างนอก คนขายกะหล่ำปลีอยากจะให้กะหล่ำปลีฉัน แต่ฉันไม่กล้ารับ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ฉันกลัวว่าคนขายจะต้องกลับมาเกิดมีกะหล่ำปลีอยู่ในมือสองหัวอีกเป็นเวลาถึงหกสิบเอ็ดกัลป์ และไม่ได้เลิกจากธุรกิจขายกะหล่ำปลีนี้เสียที ดังนั้นฉันจึงไม่กล้ารับ เมื่อก่อนนี้บางครั้ง เวลาฉันออกไปนอกศูนย์ในวันอาทิตย์ ฉันเห็นพวกเขากำลังขายผักกันอยู่ข้างถนน เวลาพวกเขาเห็นฉัน ฉันจะบอกว่าผักบางอย่างดูสวยดี พวกเขาก็จะพูดว่า "ฉันอยากจะให้ผักท่าน อาจารย์! กรุณารับมันไปด้วยเถอะ!" ฉันก็รับไมตรีจิตของเขาจริงเพื่อให้พรบุญตอบแทนพวกเขา แต่ว่าฉันก็ยังคงจ่ายเงินด้วย วิธีนี้ทำให้เราทั้งสองฝ่ายจะไม่เกิดมามีกะหล่ำปลีหรือแคร็อทอยู่ในมือสองหัว (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เราไม่มีวันจะกินมันได้หมดสักที! แม้หากว่าเราจะขายมัน มันก็น่าเบื่อมากที่จะมาขายผักอยู่หกสิบเอ็ดกัลป์! ขอทานคนหนึ่งเคยถวายผ้าเก่าๆ ให้พระพุทธเจ้าผืนหนึ่ง ปรากฏว่าเขาก็มีผ้าเช็ดปากผืนหนึ่งอยู่ใต้คางเขาทุกครั้งที่เกิดมา สิบผืนฉันก็ไม่อยากจะได้ ไม่ต้องพูดถึงผืนเดียวหรอก (ทุกคนหัวเราะ) การที่ต้องอยู่ในโลกมายาเป็นเวลาชาติแล้วชาติเล่า เธอก็ไม่อยากได้หรอก แม้ว่าจะได้รับผ้าเช็ดปากเป็นหมื่นผืนก็ตาม ไม่ต้องพูดถึงแค่ผืนเดียวหรอก ไม่ถูกหรือ? เมื่อมีเหตุ ก็ต้องมีผล อย่างไรก็ตาม เรื่องกรรมนี้บางครั้งมันก็ตลกจริงๆ.....
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ บริสเบน ออสเตรเลีย วันที่ 22 มีนาคม 2536 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) ถ: ท่านอาจารย์ มีอยู่คำถามหนึ่งที่ทำให้ผมกังวลใจมาเป็นเวลานานแล้ว คือเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ผมมีความรู้เพียงจำกัดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ จึงไม่ทราบว่าจะตอบคำถาม ของนักเรียนซึ่งเรียนกับผมมาเป็นเวลาหลายปีแล้วว่าอย่างไร คำถามของผมคือว่า ชีวิตบนโลกเคยมีมาเป็นหลายรูปแบบและวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน หรือว่า พระเจ้าได้สร้างทั้งหมดขึ้นในเวลาเดียวกัน? ผมรู้สึกสับสนมากระหว่างความรู้ทางศาสนากับทางวิทยาศาสตร์ ถ้าผมยืนหยัดอยู่กับความเชื่อทางศาสนาผมก็จะบอกว่า พระเจ้าสร้างขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เราก็จะกลับบ้านไปนอน ไม่มีคำถามใดอีก แต่ถ้าผมอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ ผมก็จะบอกว่า เราทั้งหมดมีบรรพบุรุษเดียวกันแล้วแตกสาขาออกมาดั่งเช่นที่ชาร์ล ดาร์วิน ได้เสนอไว้ ดังนั้นด้วยความรู้อันจำกัดของผม ผมมิอาจจะตอบได้ ผมได้บอกนักเรียนของผมว่า ผมจะต้องรอให้อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีความรู้แห่งสวรรค์มาเสียก่อน บางทีเมื่อนั้นครูจะสามารถอธิบายให้พวกเธอฟังได้ในภายหลัง อ: คือว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์ไม่ได้ขัดแย้งกันเพียงแต่ใช้ศัพท์ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง และบางครั้งวิทยาศาสตร์ มิได้ชี้แจงหรือยังไม่ค้นพบหลักการที่เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น วิทยาศาสตร์จะบอกว่าจะมีอณูแบบเดียวกันอยู่ในตัวเธอ ตัวฉัน และทุกสิ่งทุกอย่าง ในพืชและไม้และทั้งหลายเหล่านั้น ในทางศาสนา ตัวอย่างเช่น ศาสนาคริสต์จะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาจากสสารเดียวกันคือจากพระเจ้า และศาสนาพุทธก็จะบอกว่า ตัวตน ทุกอย่างมีธรรมชาติแห่งพุทธะ และทางเต๋าจะบอกว่า เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียว แต่นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับการที่ทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่า อณูต่างๆ ในตัวฉันและตัวเธอก็มีปรากฎในพืชและต้นไม้ ทั้งหลายเหล่านั้น แต่แล้วอะไรทำให้อณูของเราเคลื่อนไหว พูด แล้วคิดได้เล่า? อณูเหล่านั้นมิได้ทำให้พืชและต้นไม้พูดได้ และถ้าหากเรามีอณูที่เหมือนกันอยู่ในทุกสิ่ง เมื่อนั้นแน่นอน เราจะต้องใช้พลังอันเดียวกันเพื่อความเคลื่อนไหวนี้ ถูกต้องไหม? ใช่แล้ว! ดังนั้นแท้จริงแล้วเราทุกคนถูกสร้างจากพระเจ้า เธอสามารถเรียกมันว่าพระเจ้าหรือพลังจักรวาล ไม่มีปัญหาอะไร ในเบื้องต้นมีเพียงพลังจักรวาล อย่าเรียกว่าพระเจ้า หรือธรรมชาติพุทธะเลย มันทำให้คนจำนวนมากเกินไปสับสน เราจะคุยในศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ เดิมทีพลังจักรวาล พักอยู่อย่างสงบพร้อมกับเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา และเมล็ด พันธุ์แห่งมวลสารทั้งหลายซึ่งสามารถขยายออกไปและเติบโต ครั้นเมื่อพลังจักรวาลคล้ายกระตุ้นภายในตน เมื่อนั้นเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายก็ผลิออกมาและกลายเป็นทุกสิ่งที่มีอยู่ทุกวันนี้ ดังนั้นเราสามารถเรียกสิ่งนั้นว่าพระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะ หากเราไม่ทราบต้นกำเนิดตัวตนของเรา เมื่อนั้นเราจะมิได้ใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของจักรวาล ซึ่งนั่นจะก่อปัญหาให้กับเรา ดังนั้นเราจะต้องทำสมาธิและไตร่ตรอง พยายามค้นหาแหล่งของเชาว์ปัญญาทั้งหมดนี้ แล้วเมื่อเรากลับเข้าหามันหรืออย่างน้อยตั้งคลื่นให้ตรงกับมัน ชีวิตของเราจะกลมกลืนกับจักรวาลทั้งหมดมากขึ้นและด้วยเหตุนี้เราจะมีความสุข! เราไร้สิ่งใดมาขัดขวาง เราจะไม่ขับรถฉวัดเฉวียนทั่วไปหมด แต่จะขับในเลนที่ถูกต้อง ด้วยความเร็วที่ถูกต้อง ซึ่งการนี้มิได้ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด หากแต่บางทีวิทยาศาตร์ มิได้เน้นถึงพลังที่ขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่าง วิทยาศาสตร์เพียงกล่าวถึงสสาร ถึงอณูซึ่งอยู่ในเธอและอยู่ในฉัน และอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ในเรื่องนี้พวกเขาได้ค้นพบมากมายหลายอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่เขาจะใช้กรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์เพื่อค้นพบสิ่งซึ่งไร้มวลสารได้อย่างไร? มันก็คือพลังจักรวาลนั่นเอง ซึ่งเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่าง และเราซึ่งเรียกกันว่าวิญญาณทั้งหลาย ก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน ส่วนหนึ่งของพลังจักรวาลนี้ สิ่งทั้งปวงซึ่งเกิดมีตัวตนขึ้นมาจะแตกต่างกัน ตามแต่ว่ามันห่างจากจุดกึ่งกลาวงของวังวนพลังจักรวาลนี้มากเพียงใด ณ เวลาที่เกิดการกระตุ้นการเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นเราจึงแตกต่างกันในรูปทรง ขนาด พลังงาน ปัญญา และความสามารถที่จะเคลื่อนไหวและใช้ความคิด (เสียงปรบมือ) ดังนั้น ทุกสิ่งจะกลับสู่ศูนย์กลางพลังนั้น และจากนั้นก็จะวิวัฒนาการ หากพวกเขาประสงค์จะมาใกล้เข้าพวกเขาจะต้องมีปัญญามากขึ้น เพราะ ณ จุดกึ่งกลางคือปัญญา ดังนั้นเขาจึงวิวัฒน์ขึ้น นั่นคือสาเหตุให้เกิดวิวัฒนาการ เข้าใจไหม เขาจะต้องวิวัฒน์ มีปัญญามากขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น มีปัญญามากขึ้น แล้วเมื่อนั้นเขาจะสามารถเข้าใกล้ศูนย์กลางมากขึ้น เพราะศูนย์กลางมีพลังแม่เหล็กมหาศาล เพื่อดึงดูดทุกสิ่งกลับเข้าไปและหลังจากนั้น ก็ผลักมันออกไปอีกครั้ง วิวัฒนาการตลอดเวลา แต่บางครั้งพลังจักรวาลนี้ก็จะพักผ่อนและทุกสิ่งก็จะหยุดลง แล้วจากนั้นมันก็จะตื่นขึ้นอีกครั้ง ทุกสิ่งก็จะเริ่มทำงาน นั่นเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในช่วงเวลามากมายหลายชั่วกัปกัลป์ เป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับฉันที่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้ แต่ลองพยายามเข้าใจที่ฉันพูดดูก็แล้วกัน ถ: หากพระเจ้าได้สร้างจักรวาลและโลก จักรวาลเกิดขึ้นก่อนหรือ ณ เวลาเดียวกันกับโลก? อ: ในจักรวาลมีตั้งมากมายหลายโลก เรามิได้เป็นโลกเพียงใบเดียว เธอสามารถหาเวลาไปเยี่ยมได้! ดังนั้นเราจึงเห็นจานบินและอะไรเหล่านั้นมากมาย เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีจริง ยังมีอยู่หลายโลกซึ่งดูคล้ายโลกเรา มีผู้คนและมีชีวิต บางแห่งนักวิทยาศาสตร์ได้เห็นสักแวบหนึ่ง แต่พวกเขาไม่ได้นำมันมาเปิดเผย เพราะขาดหลักฐานเพียงพอ และดวงดาวเหล่านั้นไกลเกินไป พวกเขาไม่แน่ใจว่า อะไรคืออะไร บางดาวก็คล้ายโลกมากกว่า มีผู้คนเช่นเดียวกับเรา พร้อมทำการเกษตรมากมายและทั้งหลายเหล่านั้น ยังมีดาวอื่นๆ ที่ไม่เหมือนโลกเหล่านี้เป็นดาวที่พัฒนาทางจิตวิญญาณมากกว่า ที่นั่นมีคน แต่พวกเขาเสมือนเทวดาและมิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ด้วยตาของนักวิทยาศาสตร์ และด้วยตาของกล้องส่องทางไกลทั้งหลาย ดังนั้นเราจะต้องไปเยี่ยมเขาในร่างทางจิตวิญญาณของเราและใช้ตาปัญญาเพื่อติดต่อหรือเห็นพวกเขา สิ่งเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์มิอาจจะทำได้ ดังนั้นตัวอย่างเช่น เมื่อวานนี้และเมื่อวานซืน คนจำนวนมากกล่าวว่า พวกเขาเห็นสถานที่สวยงาม มีปราสาท และมีผู้คน แต่มิใช่อยู่บนโลก เราสามารถเดินทางในพริบตาสู่ดาวดวงใดๆ หากเราฝึกฝนเพียงพอ อย่างไรก็ตาม นั่นมิใช่จุดมุ่งหมายอันแท้จริงของเรา อะไรก็ตามเราไม่มีความต้องการในสิ่งใดๆ เป็นพิเศษ ถ: เราจะทราบจุดมุ่งหมายของเราได้อย่างไร จะแน่ใจได้อย่างไรว่า จุดหมายของเราคืออะไร? หากมีผู้อื่นถามเรา สามารถช่วยให้เขาทราบจุดมุ่งหมายในชีวิตของพวกเขาได้หรือไม่? เรามีงานหน้าที่ใดเป็นส่วนตัวให้ต้องทำที่นี่หรือ? อ: ฉันเคยเอ่ยไว้แล้วที่ใดที่หนึ่งว่า เรามาที่นี่เพื่อให้พรกับโลกและเพื่อทราบความยิ่งใหญ่ของเรา เมื่อเราทราบความยิ่งใหญ่ของเรา เราจะเป็นหนึ่งเดียวกับพลังจักรวาลทั้งมวลแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาติดต่อกับเราก็จะได้รับพรจากพลังจักรวาลนี้ โลกนี้ก็จะพัฒนาขึ้น เมื่อมีคนเช่นเราจำนวนมากขึ้นบำเพ็ญและอวยพรโลกอย่างเงียบๆ ด้วยบุญ และปัญญาทางจิตวิญญาณของเรา นั่นคือจุดมุ่งหมายของเรา มิฉะนั้นแล้วเธอคิดว่าจะเป็นอะไรเล่า? เรามาที่นี่เพียงเพื่อรับประทานอาหารวันละ 2 - 3 มื้อ มีลูกสัก 2 - 3 คน จากนั้นก็ตายไปเช่นนั้นหรือ? นั่นมิใช่จุดมุ่งหมายแท้จริงอยู่แล้ว! มันไม่เป็นเหตุเป็นผลสักเท่าใด ถ้าพระเจ้าต้องรับความวุ่นวายมากมายเพื่อสร้างเรา จากนั้นจับเรามาที่นี่เป็นเวลาไม่กี่ 10 ปีแล้วปล่อยให้เราตายในความทุกข์ บางครั้งก็ตายด้วยโรคมะเร็ง ด้วยความทรมาน ด้วยภัยพิบัติ ด้วยแผ่นดินไหว และอื่นๆ นี้ไม่เป็นเหตุเป็นผล ดังนั้นจุดมุ่งหมายของชีวิตมนุษย์คือเพื่อรู้จักพระเจ้า การรู้จักพระเจ้าหมายความว่า รู้จักความยิ่งใหญ่ของเราเอง รู้จักพลังจักรวาลทั้งหมดซึ่งเราเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ถึงแม้ว่าเราจะกล่าวว่าเป็นส่วนหนึ่ง มันก็เป็นทั้งหมดเข้าใจไหม ตัวอย่างเช่น หากนิ้วฉันถูกตัดทิ้งไป มันเป็นเพียงนิ้วหนึ่ง แต่เมื่อมันถูกนำมาติดกับร่างกายฉัน มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายฉัน มันเป็นของร่างกายฉัน ถึงแม้ว่าฉันกล่าวว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายฉัน แท้จริงแล้วมันก็เป็นทั้งส่วนของร่างกายฉัน ดังนั้นเราเป็นส่วนหนึ่งของพลังจักรวาล แต่ก็เป็นทั้งหมดด้วย หากเราถูกติดต่อกับมันอีกครั้งช่องว่างเล็กๆ ระหว่างเรากับพลังนี้ได้นำกลับมาเชื่อมต่อ ณ เวลาการประทับจิต เราหันกลับเข้าภายใน เราตั้งคลื่นเข้าภายในเราเสียบปลั๊กแล้ว จากนั้นเราจะเป็นทั้งส่วนกับจักรวาล ดังนั้นเราจะให้พรใครก็ตามที่มารายรอบเราโดยไม่ต้องเอามือวางลงบนตัวเขาหรือทำอะไรก็ตามกับเขา ใครก็ตามที่เราเห็นอกเห็นใจหรือเกี่ยวดองกันทางสายเลือด เขาจะได้รับการช่วยเหลือหรือ ได้รับพรในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ขึ้นอยู่กับกรรมของเขาและความรักที่เรามีต่อเขา...
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai, สมาธิกลุ่มที่อาศรมออสติน สหรัฐอเมริกา 14 สิงหาคม 1994 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ) เรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งอาจจะเป็นคนญี่ปุ่น เขาไปมีความสัมพันธ์ลับๆ กับภรรยาของท่านเจ้าเมืองหรืออะไรทำนองนี้ และแล้วเรื่องราวก็ถูกเปิดเผย เขาจึงถูกสถานการณ์บังคับให้ฆ่าผู้เป็นสามี และพาภรรยาหลบหนีไป ตอนนี้ทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นคนร้ายไป แต่หญิงที่เป็นชู้กับเขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยความละโมบ จึงทำให้ชายผู้นี้เกิดความรู้สึกรังเกียจเธอและผละจากไปในที่สุด เขาไปยังที่แห่งหนึ่งโดยไม่ได้ลักลอบทำความผิดสิ่งใดอีก แต่กลายเป็นเพียงแค่ขอทานคนหนึ่ง ในตอนกลางวันเขาก็จะออกไปขออาหารบางอย่างนอกบ้าน และในตอนกลางคืนเขาก็จะกลับบ้าน และเริ่มลงมือขุดเจาะภูเขา เนื่องจากมีทางผ่านเพียงสายเดียวซึ่งอันตรายมาก ผู้คนมากมายต้องตายลงที่นั่น เขาพยายามที่จะทำในสิ่งที่ดีๆ บ้างก่อนที่เขาจะตาย เพราะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ตนได้ทำลงไป เขาคิดว่าเขาเป็นคนที่เลวมาก บัดนี้ไม่เพียงแต่เขาจะสำนึกถึงความผิดของตนเองเท่านั้น แต่ยังพยายามที่จะชดเชยความผิดเหล่านั้นด้วยการทำในสิ่งที่ดีกว่า ไม่ใช่แค่เพียงพูดว่า "โอ ฉันเสียใจ... ฉันจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว" แล้วก็จบ แต่เราจะต้องแสดงออกมาแทนเพื่อชดเชยในสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นชายผู้นี้จึงลงมือขุดทางผ่านภูเขาหามรุ่งหามค่ำคนเดียวตามลำพัง และแล้ววันหนึ่งบุตรชายของเจ้าเมืองซึ่งถูกฆ่าก่อนหน้านี้ ได้ตามมาพบเขาและต้องการที่จะฆ่าเขาเสีย ชายผู้กำลังทำการขุดจึงจึงพูดขึ้นว่า "ฉันเต็มใจที่จะมอบชีวิตให้กับท่าน ท่านจะฆ่าฉันก็ได้ แต่ขอให้ฉันทำสิ่งนี้ สิ่งที่ดีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตของฉัน เสร็จสิ้นลงก่อน แล้วท่านค่อยฆ่าฉัน" เด็กหนุ่มตอบว่า "ตกลง" แล้วเขาก็หยุดพักอยู่บริเวณนั้น เตร็ดเตร่ไปมาแล้วก็รอคอย แต่เขาก็เกิดเบื่อขึ้นมา ในเมื่อไม่มีอะไรจะทำ เขาจึงช่วยชายคนนั้นขุดทางผ่านภูเขาด้วยกัน หลังจากเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง อุโมงค์ลอดภูเขาก็แล้วเสร็จ และทุกคนก็สามารถข้ามผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ชายผู้เป็นมือสังหารพูดกับบุตรเจ้าเมืองว่า " เอาล่ะ ตอนนี้ท่านก็ฆ่าฉันได้แล้ว" แต่บุตรชายของผู้เป็นศัตรูกลับคุกเข่าลง ร่ำไห้และพูดกับชายคนนั้นว่า "ฉันจะฆ่าท่านได้อย่างไร ท่านได้กลายเป็นครูของข้าพเจ้าไปแล้ว" เพราะในระหว่างช่วงเวลาหลายปีที่พวกเขาทำงานขุดอุโมงค์ด้วยกันนั้น บุตรเจ้าเมือง เด็กหนุ่มได้กลับกลายเป็นเกิดความประทับใจต่อคุณสมบัติที่ดีของชายผู้ที่เขาต้องการที่จะฆ่า และเป็นผู้ที่น่าจะเป็นศัตรูของเขาเมื่อก่อนนี้ แต่บัดนี้เขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เขาคิดถึงแต่เพียงในสิ่งที่ดีและสิ่งที่เป็นบวกเท่านั้น คิดถึงการให้ การเสียสละ โดยที่ไม่คิดถึงสิ่งอื่นใดเลย เป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้ เดิมทีเดียวเขาอาจจะเป็นคนดี แต่อาจจะเป็นเพราะถูกล่อลวงโดยหญิงชั่วคนนั้น และเป็นเพราะนาง เขาจึงได้ทำสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ลงไป และเนื่องจากเขาเป็นคนดี ดังนั้นเขาจึงรูว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีจึงได้ผละจากนาง และได้กลับกลายมาเป็นตัวของตัวเองดังเดิม ฉะนั้นไม่สำคัญว่าเขาจะเคยเลวมาขนาดไหน ไม่สำคัญว่าเขาจะเคยเลว หรือว่าแรกเริ่มเดิมทีเขาจะเป็นคนดี แต่เป็นเพราะว่าเขาสำนึกเสียใจ และปรารถนาอย่างที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองและต้องการที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้กับส่วนรวม ทำเพื่อผู้อื่น ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำให้ศัตรูของเขา ผู้ที่ประสงค์จะฆ่าเขาเกิดความประทับใจ และไม่เพียงแต่จะมีผลต่อความคิดเห็นของศัตรูเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงให้ศัตรูกลายเป็นผู้ที่อหิงสาอีกด้วย ไม่สำคัญว่าบุตรเจ้าเมืองจะเป็นคนดีเพียงใด แต่หากว่าเขาต้องการที่จะฆ่าชายคนนั้น เขาก็จะต้องตกอยู่ในความลำบาก เขาจะมีความรู้สึกผิดของการฆ่าติดอยู่ภายในใจตลอดเวลาและมันก็จะไม่เป็นการดีต่อผู้ใดเลย ฉะนั้นเขาได้เปลี่ยนแปลงคนผู้นั้นให้กลายเป็นคนดีอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงตนเองเท่านั้น แต่เขาเปลี่ยนแปลงศัตรูและแปรเปลี่ยนความเกลียดชังระหว่างสองตระกูลให้เป็นความสัมพันธ์อันดีงามและมิตรภาพ นี่จึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นเธอก็เห็นแล้วว่าการพัฒนาฝึกฝนตนเองเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก และเป็นวิธีเดียวเดียวอย่างแท้จริงถ้าหากว่าเราต้องการที่จะสร้างสรรค์โลกนี้ หากว่าเราต้องการที่จะช่วยเหลือโลกนี้ เราก็จะต้องอุทิศตนฝึกฝนและพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง ไม่มีหนทางอื่น ดังนั้นวิธีที่เราปฏิบัติต้องไปด้วยกันทั้งภายนอกและภายใน ภายในเราติดต่อกับพลังอันยิ่งใหญ่โดยผ่านทางธรรมวิถีกวนอิม โดยผ่านทางแสงและเสียงทุกๆ วัน แล้วเราก็จะสามารถมีพลังเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยภายนอกและความเคยชินภายนอกซึ่งเราสะสมเอาไว้ ไม่ใช่แค่เพียงตั้งแต่แรกเกิดเท่านั้น แต่สะสมมาตั้งแต่ที่เรามาเกิดเป็นหลายร้อยหลายพันครั้ง นี่เป็นสิ่งที่แข็งแกร่งอย่างมากจริงๆ ดังนั้นเราจึงต้องใช้พลังจากภายในและความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก ฉันรู้ แต่เราก็ต้องทำ ถ้าเราไม่ลงมือทำในชาตินี้ เราก็จะต้องกลับมาและก็ทำมันอีกในชาติต่อไป ชาติต่อไปยังไม่ลงมือทำ ก็จะต้องกลับมาอีก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ทนทุกข์ทรมานต่างๆ นานา ถ้าตอนนี้เธอขี้เกียจและไม่อยากที่จะปฏิบัติบำเพ็ญกับฉันกับวิธีการที่ฉันได้สอนเธอไปก็ดี มันก็แล้วแต่เธอ เธอจะกลับมาอีกหลายๆ ครั้งก็ได้ไม่เป็นไรด้วยความยินดี ฉันไม่ต้องการที่จะกลับมาอีก ฉันมีสิ่งอื่นที่จะต้องทำ...