4 ตุลาคม 2556 23:00 น.

จากวิกฤติสู่สันติสุข วิถีแห่งวีแก้นออแกนิกคือคำตอบ

คีตากะ

book.jpg











โดยอนุตราจารย์ชิงไห่


เนื่องด้วยกรรมดีของผู้อยู่อาศัยทั้งหมดของโลก
โลกที่งดงามใบนี้จึงได้ถูกสร้างขึ้น แต่ถ้ามันปกคลุม
ไปด้วยกรรมเลวที่เกิดขึ้นใหม่แล้วละก็ โลกนี้และ/หรือ
ผู้อยู่อาศัยของมันจะมลายไป




สร้างกรรมดี :
มีเมตตา
เป็นวีแก้น
รักษ์สิ่งแวดล้อม


~อนุตราจารย์ชิงไห่~



สารบัญ



คำนำ
ชีวประวัติอย่างย่อของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
คำขอร้องจากท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ที่มีต่อผู้นำของโลก

ทางออกวีแก้นเพื่อช่วยโลกเรา
1. ภาวะฉุกเฉินของโลก
2. ทางเลือกอาหารของเราคือประเด็นชีวิตและความตาย

สัญญาณเตือนภัยเพื่อปลุกมนุษยชาติ
1. เลวร้ายกว่าสมมุติที่เลวร้ายที่สุด
2. เรากำลังหมดเวลาแล้ว
3. สู้กับปัญหาที่ต้นตอเดี๋ยวนี้

วีแก้นออแกนิกเพื่อเยียวยาโลกของเรา
1. ทำให้โลกเย็นลงและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
2. เป็นทางออกที่รวดเร็วที่สุดและสีเขียวที่สุด
3. ให้ชีวิตเพื่อรักษาชีวิต

ออกกฎหมายและนโยบายวีแก้น
1. ผู้นำโลกควรเป็นตัวอย่าง
2. รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน
3. ความสำเร็จของการเปลี่ยนมาทำอาชีพทางเลือกของคนเลี้ยงสัตว์
4. ตัวอย่างการบริหารจัดการที่ดี
5. วีแก้นออแกนิกเป็นการเคลื่อนไหวทางจิตวิญญาณ

การเปลี่ยนแปลงของโลกสู่อาหารจากพืชในทันที
1. โลกต้องการความช่วยเหลืออันสูงส่งและความเป็นผู้นำจากสื่อมวลชน
2. ผู้นำทางศาสนานำทางผู้คนสู่การดำรงชีพอย่างมีคุณธรรม
3. การศึกษาที่ดีงามสอนให้รู้จักวิถีชีวิตที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
4. องค์กรเอกชนส่งเสริมการเคลื่อนไหววีแก้น
5. จงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุณต้องการจะเห็น

การก้าวกระโดดของมนุษยชาติสู่ยุคทอง
1. จุดเปลี่ยนผันในการวิวัฒนาการของมนุษย์
2. โลกกำลังขึ้นสู่อารยธรรมกาแลคซี่ที่สูงกว่า
3. ทำให้ฝันแห่งอีเดนเป็นความจริง

ภาคผนวก
หมายเหตุ
บรรณานุกรรมการบรรยายโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
สื่อสิ่งพิมพ์ของเรา




คำนำ

     ณ งานสัมมนาต่างๆ และในการสัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว รวมถึงในการพบกับลูกศิษย์เมื่อเร็วๆ นี้ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้กล่าวถึงความเร่งด่วนเกี่ยวกับวิกฤติสภาวะอากาศในโลกปัจจุบัน ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ “โลกเราคือบ้านที่กำลังไฟไหม้ หากเราไม่ทำงานด้วยกันในจิตวิญญาณที่เป็นหนึ่งเพื่อดับไฟ เราจะไม่มีบ้านให้อาศัยอยู่อีกต่อไป” แต่ท่านก็ได้เสนอทางออกที่เปี่ยมไปด้วยความหวังให้กับมวลมนุษย์ ทางออกซึ่งทุกคนสามารถทำได้อย่างง่ายดาย: “เป็นวีแก้น เพื่อช่วยโลกเรา”
ดังที่วิกฤตินี้กำลังทวีความรุนแรงขึ้น ภัยธรรมชาติกำลังคร่าชีวิตนับหมื่น และโยกย้ายคนนับล้านไปจากบ้านเรือนของพวกเขา พร้อมกับการสูญเสียทางการเงินที่สูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ได้ทำให้ประเทศที่เป็นเกาะมากมายจมลงและกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของอีกหลายประเทศ นอกจากนี้ฝนที่ตกไม่เป็นปกติ และความแห้งแล้งที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น กำลังส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ ซึ่งทำให้สภาวะการขาดแคลนอาหารและน้ำยิ่งเลวร้ายลง และผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศได้เตือนถึงสภาพอากาศที่ยิ่งรุนแรงที่กำลังจะมาถึง พร้อมกับความเป็นไปได้ของ “ภาวะโลกร้อนที่ไม่อาจหวนคืน”
ในหนังสือเล่มนี้ อนุตราจารย์ชิงไห่ได้นำเสนอตัวแปรหลักๆ ที่เกี่ยวโยงกับภาวะโลกร้อน และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือรากเหง้าของปัญหา ซึ่งก็คืออุตสาหกรรมปศุสัตว์
ที่จริงแล้ว การศึกษาทางวิทยาศาสตร์มากมายได้สนับสนุนมุมมองของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซึ่งท่านได้อธิบายอย่างละเอียดมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาว่า การเลี้ยงปศุสัตว์เพื่อเป็นอาหารไม่เพียงทำให้เกิดการสูญเสียน้ำ ที่ดิน และพลังงานอันล้ำค่าเป็นจำนวนมาก แต่ยังก่อให้เกิดการปล่อย 51% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในโลก ฟาร์มปศุสัตว์ยังเป็นแหล่งกำเนิดของมีเทนที่ใหญ่ที่สุดในบรรยากาศ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทรงพลังยิ่งกว่า CO2 แต่มีช่วงชีวิตที่สั้นกว่า
ดังนั้น ดังที่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้กล่าวไว้ มันไม่เพียงเป็นเหตุเป็นผลที่การหยุดการผลิตเนื้อสัตว์ และ “การหันมาเป็นวีแก้น” หรือหันมาทานอาหารจากพืช จะช่วยลดอุณหภูมิโลกได้ทันที เยียวยาความเจ็บป่วยทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากปศุสัตว์ และลดค่าใช้จ่ายสำหรับการบรรเทาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ถึงแสนล้านดอลลาร์ แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังสามารถบรรลุผลได้โดยไม่ส่งผลกระทบทางลบใดๆ ต่อดาวเคราะห์และสังคม ในทางตรงข้าม การหยุดยั้งคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากภาคอุตสาหกรรมและการขนส่ง อาจส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เทคโนโลยีสีเขียวส่วนใหญ่ใช้เวลาในการพัฒนาเป็นปีๆ ในขณะที่การลดการปล่อยก๊าซมีเทนสามารถดำเนินการได้ทันทีกับอาหารวีแก้นทุกๆ จาน ดังนั้น การนำวิถีชีวิตวีแก้นมาใช้ จึงเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด รวดเร็วที่สุด และมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดในการแก้ไขวิกฤติสภาวะอากาศ และเป็นเพียงทางออกเดียวของเรา เนื่องจากเวลาของเรากำลังหมดลง
ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาวะอากาศ นักสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่ของรัฐมากมายได้เริ่มให้การสนุบสนุนทางออกนี้แล้วเพื่อช่วยรักษาโลกให้รอดพ้นจากผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เสียงของพวกเขาได้รับการรวบรวมไว้ในรายงานขององค์การสหประชาชาติในเดือนมิถุนายน 2010 โดยกระตุ้นให้โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่การทานอาหารที่ปลอดเนื้อสัตว์และนม ซึ่งสอดคล้องกับคำร้องอันเร่งด่วนของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ว่า ทุกคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจควรก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญในการออกกฎหมายสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้ทันที
บางที สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนของเราซึ่งเป็นสาเหตุของวิกฤติสภาวะอากาศ ก็คือรอยย่ำเลือดที่เราทิ้งไว้ข้างหลัง ในการฆ่าสัตว์ในฟาร์มผู้บริสุทธิ์นับพันล้านตัวในแต่ละปี ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่เตือนว่า อาชญากรรมทางคุณธรรมนี้ได้ขยายขนาดจนมีความรุนแรงระดับโลก ดังที่การกระทำที่รุนแรงของเราหวนกลับคืนมาหาเราในรูปของภัยธรรมชาติ: “คุณหว่านเมล็ดพันธุ์ใด คุณจะได้รับผลเช่นนั้น” เช่นนี้คือคำสอนสากลที่พบได้ในทุกพระคัมภีร์อันยิ่งใหญ่ของโลก
ที่จริงแล้ว มวลมนุษย์กำลังประสบกับจุดเปลี่ยนผันที่สำคัญยิ่ง เรามีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะรักษาโลกใบนี้ไว้ และเวลาก็คือเดี๋ยวนี้ แค่เพียงหันมาทานอาหารจากพืชที่ช่วยรักษาชีวิตและมีเมตตานี้ เราสามารถขับไล่ความมืดที่กำลังโอบล้อมเรา และก้าวเล็กๆ นี้จะขับเคลื่อนมนุษยชาติไปสู่ระดับของจิตสำนึกที่สูงกว่า เราจะฟื้นคืนสมดุลของโลก ซึ่งจะนำไปสู่ยุคทองแห่งสันติสุข ความงดงามและความรัก ดังที่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ให้สัญญาไว้ เราจะมีสวรรค์บนโลก
ขอให้เราทุกคนร่วมกันใช้โอกาสนี้ สร้างการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ มาร่วมกันพัฒนาและยกระดับอารยธรรมของเราและโลกใบนี้กันเถิด   

ทีมบรรณาธิการ



หมายเหตุจากบรรณาธิการ:
หนังสือเล่มนี้มีบางส่วนของคำกล่าวของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ที่ไม่ได้ถูกย่อความซึ่งได้กล่าวไว้ในการสัมมนานานาชาติและการพบกับลูกศิษย์ รวมถึงการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวต่างๆ สำหรับแหล่งที่มาของข้อความเหล่านี้ โปรดดูที่ “บรรณานุกรมการบรรยายโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่” ในหน้าที่ 162
ในการกล่าวถึงพระเจ้า ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ใช้คำที่ไม่มีเพศต่อไปนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถกเถียงที่ว่า พระเจ้าเป็นเพศชายหรือหญิง
She + He = Hes (as in Bless)
Her + Him = Hirm (as in Firm)
Hers + His = Hiers (as in Dears)
ตัวอย่าง: “When God want, Hes makes things happen
According to Hiers to suit Hirmself.

ด้วยการเป็นผู้สร้างสรรค์การออกแบบทางศิลปะและครูทางจิตวิญญาณ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่รักการแสดงออกถึงความงดงามภายในทั้งหมด ด้วยเหตุผลนี้ ท่านจึงกล่าวถึงประเทศเวียตนามว่า “เอาหลัก” และประเทศไต้หวันว่า “ฟอร์โมซา” เอาหลักเป็นชื่อโบราณของเวียตนามซึ่งมีความหมายว่า “ความสุข” และฟอร์โมซาหมายถึง “สวยงาม” ซึ่งสะท้อนถึงความงดงามของเกาะและผู้คนได้มากกว่า ท่านอาจารย์รู้สึกว่า การใช้ชื่อเหล่านี้จะนำมาซึ่งการยกระดับทางจิตวิญญาณและโชคดีสู่ประเทศเหล่านี้และผู้อยู่อาศัย




ชีวประวัติอย่างย่อของ
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่


ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่เป็นนักมนุษยธรรม นักสิ่งแวดล้อม นักเขียน ศิลปิน นักออกแบบ นักดนตรี ผู้กำกับภาพยนต์ และครูทางจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียง ผู้ซึ่งความรักและความห่วงใยที่มีให้กับมวลมนุษย์ของท่านนั้น อยู่เหนือสีผิวและพรมแดนประเทศ นับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 80 เป็นต้นมา ท่านได้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกทางนิเวศวิทยาผู้อุทิศตนมากที่สุดท่านหนึ่งของโลก ด้วยการส่งเสริมการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การปลูกป่า วิถีชีวิตที่ยั่งยืน และสำคัญที่สุดก็คือ การทานอาหารวีแก้นออแกนิก ซึ่งเป็นวิธีแก้ไขวิกฤติสภาวะอากาศที่มีประสิทธิภาพที่สุด และรวดเร็วที่สุด
ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่สั่นคลอน ท่านอุทิศเวลาและทรัพยากรในการปลุกโลกให้ตระหนักถึงผลกระทบที่รุนแรงของสภาพอาการที่เปลี่ยนแปลงและทางออกวีแก้น ตั้งแต่ปี 2006 ถึงปี 2008 ท่านได้ดำเนินโครงการรณรงค์ทางเลือกใหม่ในการดำรงชีวิต และการสร้างความตระหนักด้านภาวะโลกร้อนที่เร่งด่วน ท่านยังมีวารสารข่าว เขียนหนังสือ ผลิตสารคดีมังสวิรัติในปี 2005 ที่มีชื่อว่า “วีรบุรุษที่แท้จริง” และรายการโทรทัศน์ในปี 2010 ที่มีชื่อว่า “คิงแอนด์โค” และเป็นแรงบันดาลใจให้กับการสัมมนานานาชาติเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งออกอากาศบนโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง 7 วันทั่วโลก ผ่านดาวเทียม ซึ่งนำเสนอข่าวที่ครอบคลุมด้านอากาศที่เปลี่ยนแปลง การทานวีแก้น และหัวข้อที่จรรโลงอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ยังได้แบ่งปันความรู้ของท่านกับผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม ผู้นำรัฐบาล ผู้ทรงเกียรติ และประชาชนผู้ห่วงใย ผ่านการสัมมนาเกี่ยวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง 29 ครั้ง ใน 15 ประเทศ ซึ่งออกอากาศสดผ่านดาวเทียมและวิทยุ จากความพยายามเหล่นี้ คำขวัญของท่าน “เป็นวีแก้น รักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยโลกเรา” ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก ซึ่งได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับมวลมนุษย์ที่จะโอบรับวิถีชีวิตวีแก้นที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพและวิวัฒนาการสู่สภาวะแห่งสันติสุขและความกลมเกลียวที่สูงขึ้น ด้วยตัวอย่างอันมีเมตตา ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ยังได้ย้ำเตือนเราให้ระลึกถึงความดีงามภายในของเรา และความรักที่มีให้กับทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น ประกายความคิดอันลึกซึ้งซึ่งท่านได้มาจากการบรรลุธรรม ทำให้ท่านมองเห็นต้นตอของความทุกข์ของมนุษย์ ความไม่กลมเกลียวทางสังคม และความเสื่อมถอยทางสิ่งแวดล้อม ความรุนแรงที่เราได้กระทำต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมถึงเพื่อนสัตว์ผู้บริสุทธิ์ของเรา ด้วยความเมตตาที่มีต่อผู้อ่อนแอและไม่มีเสียง ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้เขียนหนังสือขายดีอันดับหนึ่งที่มีชื่อว่า “นกในชีวิตของฉัน” “สุนัขในชีวิตของฉัน” และ “สัตว์ป่าผู้สูงส่ง” อัญมณีทางวรรณกรรมเหล่านี้ซึ่งมีในหลายภาษาได้เปิดเผยถึงความคิดอันลึกซึ้งและความรู้สึกของสัตว์ร่วมโลก และเน้นย้ำถึงธรรมชาติแห่งสวรรค์และความรักอันไร้เงื่อนไขของพวกเขา
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่เกิดที่เอาหลัก (เวียตนาม) ตอนกลาง ได้รับการศึกษาที่ยุโรปและทำงานให้กับสภากาชาด ต่อมาท่านตระหนักถึงความทุกข์ทรมานที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก และความปรารถนาของท่านในการค้นหาหนทางแก้ไข ได้กลายเป็นเป้าหมายสำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตของท่าน ท่านจึงออกเดินทางสู่หิมาลัยเพื่อค้นหาการรู้แจ้งทางจิตวิญญาณ และในที่สุดก็ได้รับการถ่ายทอดแสงและเสียงภายในแห่งสวรรค์ ซึ่งต่อมาท่านเรียกว่า ธรรมวิถีกวนอิม หลังจากการบำเพ็ญอย่างขยันหมั่นเพียร ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้บรรลุการรู้แจ้งอันยิ่งใหญ่ หลังจากที่ท่านกลับจากหิมาลัย ตามคำขอร้องของผู้คนรอบตัว ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้เริ่มแบ่งปันธรรมวิถีกวนอิม ส่งเสริมลูกศิษย์ของท่านให้มองที่ภายในเพื่อค้นหาความยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ของพวกเขาเอง ไม่นานนัก ท่านได้รับคำเชิญไปปาฐกถาธรรมที่อเมริกา ยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย และแอฟริกา หัวใจอันมีเมตตาของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ยังสะท้อนในความห่วงใยที่มีต่อผู้ยากไร้ ทุนทรัพย์จากการขายผลงานทางศิลปะของท่าน ทำให้ท่านสามารถสนับสนุนภารกิจในการปลอบโยนบุตรของพระเจ้าผ่านงานการกุศลและการบรรเทาภัยพิบัติทั่วโลก
แม้ว่าท่านจะไม่แสวงหาชื่อเสียงใดๆ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้รับรางวัลมากมายจากรัฐบาลและองค์การต่างๆ ทั่วโลก สำหรับงานด้านมนุษยธรรมของท่าน รางวัลส่วนหนึ่งได้แก่ รางวัลสันติภาพโลก รางวัลผู้นำทางจิตวิญญาณโลก รางวัลส่งเสริมสิทธิมนุษย์ รางวัลนักมนุษยธรรมโลก รางวัลการช่วยเหลือมนุษยชาติที่โดดเด่น รางวัลสันติภาพกูซี่ 2006 ประกาศเกียรติบัตรสัปดาห์ดนตรีลอสแองเจลลิส รางวัลเหรียญเงินดันดับหนึ่งเทลลี่ประจำปี 2006 ครั้งที่ 27 รางวัลวิถีชีวิตที่ไม่หยุดนิ่งจากประธานาธิบดีของสหรัฐ จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช และรางวัลอาสาสมัครประจำปี 2010 จากประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าแห่งสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ วันที่ 25 ตุลาคม และวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ยังได้รับการประกาศให้เป็น “วันอนุตราจารย์ชิงไห่” ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐฮาวายและอิลลินอยส์ สาส์นแสดงความยินดีจากอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ บิลคลินตัน บุช และเรแกน ได้ถูกมอบให้แก่ท่านในช่วงพิธีรับรางวัล และเพื่อเป็นการยกย่องบุคคลผู้มีคุณธรรมและส่งเสริมผู้อื่นให้เป็นแรงบันดาลใจจากตัวอย่างของพวกเขา ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ก่อตั้งรางวัลโลกที่ส่องแสง ซึ่งมอบให้กับบุคคลและสัตว์ที่คู่ควร สำหรับวิริยภาพอันโดดเด่น ความเมตตา ภาวะผู้นำ ความกล้าหาญ หรืออัจฉริยภาพของพวกเขา
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ยังอุทิศชีวิตอย่างไม่เห็นแก่ตัว ให้กับการสร้างอนาคตอันงดงามเพื่อโลกอันเป็นที่รักของเราและผู้อยู่อาศัยอันล้ำค่า ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาผู้มีวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ได้มีความฝัน และท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้กล่าวของท่านชัดแจ้งดังนี้ “ฉันมีความฝัน ฉันฝันว่าโลกทั้งมวลจะสงบสุข ฉันฝันว่าการฆ่าทั้งหมดจะยุติลง ฉันฝันว่าเด็กๆ ทุกคนจะเดินในสันติสุขและความกลมเกลียว ฉันฝันว่าทุกประเทศจะจับมือกัน ปกป้องกันและกัน และช่วยเหลือกัน ฉันฝันว่าโลกอันงดงามของเราจะไม่ถูกทำลาย มันใช้เวลาเป็นพันๆ ล้าน ล้านๆ ปีที่จะสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา และมันงดงามยิ่ง น่าอัศจรรย์ยิ่ง ฉันฝันว่ามันจะดำเนินต่อไป แต่ในสันติสุข ความงดงาม และความรัก”



  ฉันอยากโอบกอดผู้นำและผู้คนในโลกนี้ และบอกพวกเขาว่า “ตื่นเถิด” ฉันอยากโอบกอดพวกเขาและบอกพวกเขาว่า “ตื่นเถิด ตื่นเดี๋ยวนี้ ตื่นนะ ที่รักของฉัน ตื่นเถิด เพื่อนของฉัน รักษาชีวิตของคุณ”





คำขอร้องจาก
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ที่มีต่อผู้นำของโลก



ฉันซึ้งในพระคุณเป็นอย่างสูง ผู้นำผู้กล้าหาญในโลก สำหรับการก้าวออกมานอกขอบเขตของพวกเขาและพูดเพื่อทุกๆ คน แม้ว่าสาธารณะชนจะไม่ยินดีกับความปรารถนาดีของพวกเขา สวรรค์จะจดจำ และพวกเขาจะได้รางวัลอันยิ่งใหญ่หลังจากนั้น แน่นอนว่า มันยากมากที่จะอยู่ในตำแหน่งของผู้มีอำนาจ
การเป็นผู้นำคือการมีความกล้าหาญ ความเมตตา และความสูงส่ง นั่นคือเหตุผลที่ท่านคือผู้นำ แน่นอนว่า มันไม่ง่ายที่จะอยู่ในตำแหน่งของผู้นำ ผู้นำจึงมีอยู่จำนวนน้อย ในประเทศหนึ่งมีกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว พระราชินีเพียงพระองค์เดียว มีเจ้าหญิงบ้าง เจ้าชายบ้าง ประธานาธิบดีหนึ่งคน นายกรัฐมนตรีหนึ่งคน มีผู้นำน้อยมากเมื่อเทียบกับคนจำนวนมหาศาลของโลกนี้ แต่น้อยยิ่งกว่าคือผู้นำผู้กล้าหาญ ผู้นำผู้มีคุณธรรม และผู้นำผู้มีปัญญา
สำหรับผู้นำผู้กล้าหาญและมีปัญญาเช่นนี้ เราให้การสนับสนุนและความเคารพอย่างเต็มที่ เราภาวนาให้สวรรค์มอบพละกำลัง ปัญญา ให้แก่พวกเขามากขึ้นเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่อันสูงส่งของพวกเขา ดังที่ฉันได้บอกคุณแล้ว ผู้นำนั้นมีอยู่น้อยมาก และน้อยยิ่งกว่าคือผู้มีปัญญาและกล้าหาญ การเป็นผู้นำ เราต้องรู้ว่าอะไรดีต่อประชาชนของเรา และอะไรที่ไม่ดี และสิ่งที่ดี เราต้องส่งเสริมให้พวกเขาทำ ช่วยเหลือพวกเขา และสิ่งที่ไม่ดี เราต้องหยุด เพื่อปกป้องพวกเขา นั่นคือความหมายที่แท้จริงของผู้นำ

ส่งเสริมวิถีชีวิตปลอดเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกคน
รัฐบาลที่ดีที่สุดควรส่งเสริมนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปและประชาชนทุกคน การจะสัมฤทธิ์ผลได้นั้น ในตอนนี้ รัฐบาลต้องตระหนักว่า นี่คือสถานกาณ์พิเศษที่ต้องใช้มาตรการที่ไม่ธรรมดา
ฉันแนะนำให้ผู้นำโลกและทุกรัฐบาล โปรดส่งเสริมวิถีชีวิตปลอดเนื้อสัตว์และอย่างรวดเร็ว เพื่อที่เราจะสามารถรักษาโลกใบนี้ไว้ได้
เราไม่มีเวลา มีเวลาเหลือไม่มาก สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองด้วยซ้ำ มันเกี่ยวกับความอยู่รอดของเราเองและลูกๆ ของเรา ถ้าทุกรัฐบาลส่งเสริมผู้คนให้หันมาทานอาหารปลอดเนื้อสัตว์ซึ่งดีต่อสุขภาพ โลกก็จะได้รับกอบกู้ไว้อย่างรวดเร็ว
กิจกรรมที่ดีต่อโลกเราสามารถทำให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีได้เช่นกัน เรามีการขาดแคลนอาหาร รัฐบาลสามารถสนับสนุนเกษตรกรวีแก้นออแกนิกและสนับสนุนการพัฒนาการดำเนินการสีเขียวอื่นๆ อย่างง่ายดาย สิ่งนี้จะช่วยได้มาก รัฐบาลต้องจัดลำดับความสำคัญ ช่วยโลกให้รอด ทำการเกษตรแบบออแกนิก ให้เงินสนับสนุน
สำหรับผู้นำทุกคน ฉันขอร้องพวกเขาอีกครั้ง โปรดให้ความรักแก่ประชาชนชายหญิงของพวกเขาและเด็กๆ ทุกคนก่อนใดอื่น ยอมรับการดำเนินการที่จำเป็นอย่างกล้าหาญ ใช้อำนาจที่อยู่ในมือของพวกเขาซึ่งได้รับการไว้วางใจจากประชาชน เพื่อที่จะรักษาโลกใบนี้ไว้
อุตสาหกรรมปศุสัตว์ทั่วโลกในตอนนี้ ได้ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเท่ากับภาคพลังงานหรือมากกว่า และฉันรู้ว่ามันเป็นสาเหตุอย่างน้อย 80% การผลิตเนื้อสัตว์กำลังทำให้น้ำของประชาชนของท่านหมดไป ทำลายสุขภาพของพวกเขา ผลักดันให้พวกเขาทำสงคราม และเพราะเชื้อโรคร้ายแรงถึงชีวิตให้เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน
มันกำลังฆ่าประชาชนของท่าน มีแต่ท่านเท่านั้นที่จะหยุดมันได้
พวกเขาต้องการตัวอย่างวีแก้นอันกล้าหาญและส่องสว่างของท่าน เพราะพวกเขามองที่รัฐบาลของพวกเขาว่าเป็นผู้นำของพวกเขาอย่างแท้จริง
พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลืออย่างมหาศาลจากกฎหมายสำหรับการเกษตรและการรณรงค์วีแก้นออแกนิก หรือกฎหมายที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่วิถีชีวิตวีแก้นซึ่งจำเป็นยิ่ง
เพื่อนร่วมชาติของท่าน ประชาชนของท่านจะยินดีกับท่าน สรรเสริญท่าน รักท่านสนับสนุนท่าน และชนรุ่นหลังจะระลึกถึงท่านที่ได้ช่วยรักษาโลกใบนี้ไว้ และจะระลึกถึงการรักษาชีวิตของพวกเขาและชีวิตของคนที่พวกเขารัก และลูกๆ ในอนาคตของพวกเขา และสวรรค์จะให้รางวัลแก่ท่านอย่างมหาศาล
เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงวีแก้น ส่งเสริมการให้อภัย และสันติสุข แล้วทุกปัญหา เช่น ความยากจน ความขัดแย้ง แม้แต่วิกฤติการเงิน โรคระบาด ก็จะอันตรธานหายไป เช่นกัน
ฉันขอขอบคุณผู้นำของประเทศต่างๆ สำหรับทุกความพยายามในทิศทางนี้ที่ผ่านมา

เราทุกคนคือส่วนหนึ่งของคำตอบ
แต่ถ้าท่านจะอนุญาต ฉันขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่และกำลังวางแผนอยู่ในตอนนี้ ยังไม่เพียงพอและไม่รวดเร็วพอ และฉันขอให้ท่านมีความกล้าหาญและศรัทธาที่จะทำมากขึ้น และรวดเร็วขึ้น
สำหรับองค์การต่างๆ ของโลกรวมถึงสื่อผู้เข้าใจถึงพลังของการเคลื่อนไหวทางสังคม ขอบคุณสำหรับการทำงานของท่านในการบอกกล่าวและส่งเสริมผู้คนให้หันมาสู่วิถีชีวิตวีแก้น ซึ่งปลอดเนื้อสัตว์ น่าตื่นเต้น มีมนุษยธรรม มีประโยชน์ และทันสมัย
สำหรับบุคคลต่างๆ ขอขอบคุณที่กำลังทำให้ส่วนของท่านในการรักษาโลกใบนี้ของท่านไว้ แต่โปรดทำมันอย่างรวดเร็ว เรายังมีอีกมากมายที่ต้องทำ และเรามีเวลาเหลือน้อย
เราต้องกระตุ้นผู้นำของเรา และเพื่อนมนุษย์ เพื่อนบ้านของเราต่อไปให้เปลี่ยนเป็นวีแก้นเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขาเอง และครอบครัวและลูกๆ ของพวกเขา และสัตว์ และทุกสิ่งที่ทำให้การดำรงชีวิตของพวกเขามีความหมาย
เราสามารถออกจากภัยอันตรายนี้ได้ แต่ต้องด้วยทิศทางที่ถูกต้อง บ้านของเรากำลังมีไฟลุกไหม้ แต่ท่อน้ำนั้นอยู่ตรงหน้าเรา
เพียงแค่หยิบมันขึ้นมาและใช้มัน มันง่ายอย่างนั้น แค่เป็นวีแก้นและโปรดทำอย่างรวดเร็ว วันของเรากำลังนับถอยหลัง
สำหรับมวลมนุษย์ทุกคน สวรรค์รักคุณอย่างมาก เราจึงมีความหวังสำหรับการอยู่รอดของโลกเรามากกว่าแต่ก่อน เราจะตื่นสู่โลกวีแก้นดวงใหม่ที่มีเมตตา ที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานแห่งความรัก ความเมตตา และพระพรที่ไม่มีสิ้นสุดจากสวรรค์
ฉันภาวนาให้คุณทุกคนดำเนินต่อไปสู่สันติสุขซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขอบคุณอย่างมากทุกๆ ท่าน ขอบคุณค่ะ




ถ้าทุกคนหยุดกินเนื้อสัตว์ในตอนนี้ ภายในแปดสัปดาห์สภาพอากาศจะเปลี่ยนเป็นดี ทุกสิ่งที่เสียหายจะกลายเป็นปกติภายในแปดสัปดาห์ ถ้าทุกคนบนโลกหยุดกินเนื้อสัตว์ และหันสู่หัวใจแห่งความเมตตา แล้วผลจะเห็นได้ทันที 





บางส่วนจากหนังสือ “จากวิกฤติสู่สันติสุข”
วิถีแห่งวีแก้นออแกนิกคือคำตอบ
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
หนังสือเล่มนี้ใช้กระดาษรีไซเคิล
โปรดเข้าไปที่ http://crisis2peace.org  เพื่ออ่าน
หรือดาวน์โหลดหนังสือเล่มนี้เวอร์ชั่นออนไลน์ที่มีในหลายภาษา
สำหรับท่านที่สนใจหนังสือสามารถติดต่อสอบถามได้ที่
สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์กรุงเทพ
537/191-192 ซอยสาธุประดิษฐ์ 37 ถนนสาธุประดิษฐ์
แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120
โทรศัพท์ 02-682-0014-15   โทรสาร 02-682-0014
รถเมล์ที่ผ่านหน้าซอย สาย 35, 62, สองแถวแดง สาย 1279 (วัดดอกไม้)




ฺBe Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com				
4 ตุลาคม 2556 23:01 น.

พัฒนาความสามารถในการรักษาด้วยตนเอง

คีตากะ

2901785zhxp0rpyrg.gif













เข้าใจสุขภาพ-กลับสู่วิถีชีวิตธรรมชาติที่ถูกต้อง  


เขียนโดย ดร.หลัวซือหง ฟอร์โมซา(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)


ตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เขียนมีความภูมิใจที่ได้อ่านหนังสือใหม่เรื่อง เข้าใจสุขภาพ-กลับสู่วิถีชีวิตธรรมชาติที่ถูกต้องของอนุตราจารย์ชิงไห่ ก่อนที่จะตีพิมพ์ออกมา ขณะเปิดหนังสืออีเล็กโตรนิกส์อ่าน ข้าพเจ้ารู้สึกถึงพลังแรงส่วนหนึ่งได้ไหลเข้ามา ทำให้ในใจของข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกที่ซาบซึ้งมาก ช่างเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ทำไมข้าพเจ้าจึงเกิดความซาบซึ้งฉับพลัน? จากการเปิดอ่านรายละเอียดในหนังสือ ข้าพเจ้าได้รับคำตอบคือ แต่ละคำพูดในหนังสือที่ให้ความรักความเอาใจใส่ต่อมนุษย์นั่นเองมากระตุ้นจิตใจของข้าพเจ้า 

ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจถึงการทำงานของพลังแห่งจิตวิญญาณที่วิเศษสุด แต่วิทยาศาสตร์สรีระปัจจุบันยังไม่สมารถอธิบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความจริง การวิจัยทางเทคนิคในปัจจุบันที่สามารถอธิบายได้อย่างมีประสิทธิภาพในเรื่องจักรวาลยังมีน้อยมาก วิชาแพทย์ในยุคอันใกล้นี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มา ได้สร้างฐานวิจัยในเรื่องจุลินทรีย์ การผ่าตัดร่างกายและประสิทธิภาพของอวัยวะไว้อย่างดีเยี่ยม มาถึงศตวรรษที่ 20 เทคนิคทางการแพทย์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว นอกจากเข้าใจถึงการเสื่อมและการสร้างของเซลโมเลกุล โปรตีนไรโบนิวคลีอิก ลักษณะของดีเอ็นเอแล้ว สามารถสร้างก็อปปี้ชีวิตแต่ละร่างได้สำเร็จ และใช้สตีมเซล และลักษณะของดีเอ็นเอมารักษาโรคได้ ซ่อมแซมอวัยวะ แต่ว่าในศตวรรษที่ 21 นี้ มีโรคที่รักษาไม่ได้ยังคงทำให้วงการแพทย์ต้องจนปัญญา การเจริญทางการแพทย์แม้จะสามารถยืดอายุคนได้ แต่การจะป้องกันการเกิดโรคนั้น เพื่อให้มนุษย์รอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ใช้ชีวิตที่มีสุขภาพแข็งแรงเป็นสุขได้ตลอดชีวิต วงการแพทย์ในปัจจุบันยังไม่สามารถหาวิธีที่จะแก้ไขได้ 

หลังจากอ่านหนังสือเข้าใจสุขภาพ-กลับสู่วิถีชีวิตธรรมชาติที่ถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่า การแพทย์ในปัจจุบันต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการเอาใจใส่ให้มากขึ้น จึงจะสามารถมองเห็นจุดบอดและความสับสนได้อย่างชัดเจนภายใต้ความเชี่ยวชาญ อนาคตทิศทางการวิจัยเทคนิคการแพทย์จะไปทางทิศไหน? ในหนังสือเล่มนี้มีข้อคิดเห็นที่ทรงค่ายิ่งมากมาย โดยเฉพาะผู้ทำการวิจัยขั้นพื้นฐานและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการบำบัดรักษาต้องอ่านและคิดได้อย่างรอบคอบ มีปัญญา และความรักที่ไร้เงื่อนไขของผู้นำแห่งจิตวิญญาณ อาจสามารถชี้ทิศทางใหม่ในเทคนิคการวิจัยทางการแพทย์ได้ 

หน้าแรกของหนังสือเล่มนี้ได้ชี้ชัดถึงเรื่องการพัฒนาความสามารถที่ซ่อนเร้นทางกาย ใจ จิตวิญญาณทั้งหมด-เพื่อเข้าสู่ขุมทรัพย์แห่งพลังของจักรวาล เป็นหนทางแห่งสุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนที่ดีที่สุด และกระแสนี้ได้พัฒนาและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และใกล้จะเป็นรูปธรรมขึ้นมาในสังคมทางทิศตะวันออก-ตะวันตกในเร็วๆ นี้ เช่น งานใหญ่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคมของทุกปี นั่นคือ งานนิทรรศการพัฒนากาย ใจ และจิตวิญญาณ 

ในตอนที่ 2 จากบทความเรื่อง "การดื่มการกินอาหารด้วยความรักและชีวิตที่มีสุขภาพแข็งแรง" นั้น อนุตราจารย์ชิงไห่ได้พูดถึงสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขั้นพื้นฐานของคนและการรักษาสิ่งแวดล้อม ความอดอยาก จนถึงการดูแลสัตว์เลี้ยง และข้อคิดในการเดินทาง ต่างๆ เป็นต้น การปราศรัยธรรมด้วยคำพูดที่สนุกขบขัน มีเหตุผลในการดำรงชีวิต และมีข่าวสารเพื่อสุขภาพที่ทรงคุณค่า ปีที่ผ่านมาไม่นาน จากโรควัวบ้า ปากเปื่อย เท้าเปื่อย ไข้หวัดนก จนถึงอาหารทะเลที่มีสารโลหะสูง สัตว์เลี้ยงได้นำพิษโรคร้ายซาร์ส(SARS)ที่น่าสะพรึงกลัวไปทั่วโลก สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้อาจเป็นข่าวสารเตือนหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายของพระเจ้า ให้รีบเปลี่ยนแปลงอาหารการกิน โดยให้บริโภคอาหารมังสวิรัติด้วยความรัก อย่างที่กล่าวไว้ว่า "การป้องกันดีกว่าการบำบัดรักษา" อนุตราจารย์ชิงไห่ใช้ยกตัวอย่างที่เข้าใจง่าย อธิบายถึงอาหารการกินที่ถูกต้องเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ เป็นเงื่อนไขการรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงได้ตลอดกาลนาน โดยเน้นเรื่องการใช้ชีวิตแบบอาหารมังสวิรัติ นอกจากนี้แล้ว เรื่องที่สังคมปัจจุบันกำลังพูดถึงกันคือ การอดอาหารเพื่อรักษาสุขภาพ อาหารที่ดัดแปลงพันธุกรรม ผักที่มีอินทรีย์ และอาหารเสริม ต่างๆ เป็นต้น จากการปราศรัยของอนุตราจารย์ชิงไห่ก็มีการค้นคว้าหลายเรื่อง 

การเกิด แก่ เจ็บตาย เป็นหนทางที่ทุกคนต้องประสบ ในบทความตอนที่ 3 "การรักษาที่ไม่ต้องใช้ยา" อนุตราจารย์ชิงไห่ใช้เหตุผลเรื่อง "สารชนิดเดียวกันจะดึงดูดกัน" มาอธิบายอย่างละเอียดถึงเหตุแห่งการเกิดโรคภัยไข้เจ็บและวิธีการบำบัดรักษา ความคิดของคน จิตใจ สามารถผลักดันให้ร่างกายหายจากโรคที่มาจากภายนอกด้วยพลังการรักษาโรคที่มีซ่อนเร้นอยู่ โดยการรักษา กาย วาจา ใจให้อยู่ในความเชื่อมั่นเสมอ ก็จะสามารถคุ้มครองตัวเองได้ หลีกเลี่ยงจากเรื่องอุบัติเหตุและโรคภัยไข้เจ็บได้ ส่วนเรื่องที่จะผลักดันพลังที่ซ่อนเร้นมารักษาโรคได้อย่างไรนั้น ผู้อ่านเพียงแต่เปิดหนังสือเล่มนี้ออกอ่าน ก็จะสามารถพบวิธีได้ ในบทความนี้ยังได้บอกกับผู้รักษาพยาบาลว่า จะดูแลป้องกันคนไข้ได้อย่างไรในขั้นแรก ขณะเดียวกันก็ป้องกันตัวเองด้วย อนุตราจารย์ชิงไห่ได้เน้นความสำคัญของเรื่องความคิดที่เชื่อมั่นกับการมองโรคในแง่ดี มันสอดคล้องกับการค้นพบของแพทย์ศาสตร์ในปัจจุบัน จากผลวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฏว่า การหัวเราะเสียงดังมีประโยชน์กับสุขภาพ ตรงกันข้าม การซึมเศร้า การขับแยกของเหลวภายในร่างกาย และระบบภูมิต้านทาน ทำให้อัตราการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง เพิ่มมากขึ้น ทำให้ชีวิตสั้นลงเฉลี่ย 5-10 ปี 

ในบทความที่ 4 "จะปฏิบัติต่อตัวเองและญาติมิตรที่อยู่ในความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างไร" ผู้อ่านสามารถอ่านจากการถาม-ตอบระหว่างอนุตราจารย์ชิงไห่และลูกศิษย์ เพื่อแก้ปัญหาให้กับผู้คน ได้รับการปลอบใจและพลังแห่งความรัก ด้วยการมองโลกในทางที่ดี และการยอมรับข่าวสารที่มีอยู่ต่อหน้าของอุปสรรค เผชิญชีวิตอย่างกล้าหาญ วิธีที่ง่ายๆ และวิเศษสุดจากการเสนอของอนุตราจารย์ชิงไห่ "ให้อธิฐานกับพระเจ้ามากๆ" ทำให้ข้าพเจ้านึกถึง โลโก้ที่เขียนด้วยภาษาลาตีน "พระเจ้าส่องทางสว่าง" ของโรงเรียนประวัติศาสตร์พันปีมหาวิทยาลัยนิวตัน แห่งสหราชอาณาจักร ความหมายตรงกับอนุตราจารย์ชิงไห่ได้บอกกับชาวโลกว่า "ทุกชีวิตจะอยู่ในความดูแลของพระเจ้า" 

เมื่อเร็วๆ นี้ทั่วโลกต่างนิยมในเรื่องการนั่งสมาธิ เช่น ศูนย์การวิจัยของแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาวาดและมหาวิทยาลัยเมดิคอลที่ค้นพบว่า การนั่งสมาธิไม่เพียงสามารถลดความเครียดได้ ยังสามารถเพิ่มภูมิต้านทาน ชะลอ ป้องกัน และรักษาโรคได้มากมาย ศูนย์แพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซท แห่งสหรัฐอเมริกา ได้จัดตั้ง "คลินิคการนั่งสมาธิ" มีผู้คนมารับการตรวจรักษามากกว่าพันคนทุกวัน จากมุมมองของวิทยาศาสตร์ แนวคิดจากอนุตราจารย์ชิงไห่ เรื่อง "ธรรมวิถีกวนอิมรักษาได้ทุกโรค" เป็นวิธีการรักษาด้วยพลัง(การสั่นสะเทือน)ที่ก้าวหน้าที่สุดของวิชาแพทย์ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ก็ได้ยืนยันวิชาแพทย์จีนเรื่อง (ลมปราณ)และ(เส้นชีพจร)ผู้ที่อยากจะทราบเรื่องการรักษาโรคด้วยตนเองจากการนั่งสมาธินั้น สามารถอ่านจากบทความตอนที่ 5 "การรักษาโรคด้วยตนเองจากวิธีการนั่งสมาธิ" ค้นพบการชี้แนะที่เข้าใจได้อย่างชัดเจน 

ในบทความตอนที่ 6 "การมองโลกในอนาคตด้วยมุมมองที่ดี-การมีสุขภาพที่แข็งแรงไปกับโลกด้วยกัน" ได้บ่งบอกถึงข่าวสารที่สำคัญหลายเรื่องที่จะนำมาให้กับชาวโลกจากการสรุปของหนังสือเล่มนี้ คำสอนของอนุตราจารย์ชิงไห่ เป็นที่น่าค้นคว้าของผู้ที่สนใจโลกและความสุขของมนุษย์ 

ศตวรรษใหม่น่าจะมองโลกในแง่ดี จากการพัฒนาเทคโนโลยี การแพทย์ ศาสนา หรือกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ตัดสินจากการวิจัย มนุษย์จะต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึกครั้งใหญ่ เช่น การก้าวหน้าของทฤษฎีควอนตัม (quantum อินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีนาโน เช่นเดียวกันกับสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ในวงการแพทย์ที่รวมเครื่องมือที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง, เครื่องสแกนเนอร์ตรวจด้วยคอมพิวเตอร์, การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก-เอ็มอาร์ไอ, การถ่ายภาพรังสีระนาบ(ภาพตัดขวาง)โดยการปล่อยอนุภาคต้านของอิเล็กตรอน-พีอีที, เครื่องตรวจสอบเรโซแนนซ์แม่เหล็ก-เอ็มอาร์ที ต่างอยู่เหนือความคิดในการวิจัยทางเทคโนโลยีที่สืบทอดกันมา ค่อยๆ ยืนยันคำพูดของอนุตราจารย์ชิงไห่ว่า ทุกวันนี้พวกเราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นไปได้ 

อนุตราจารย์เรื่องที่ยังเน้นว่า อาศัยพลังของจิตวิญญาณ สามารถบรรลุเป้าหมายที่พวกเราต้องการ พร้อมยกตัวอย่างยืนยัน ขณะที่ผู้เขียนได้ขออ่านหนังสือเล่มนี้ก่อน ได้สัมผัสกับพลังทางจิตวิญญาณที่ดีเยี่ยมจากอนุตราจารย์ชิงไห่ด้วยตัวเอง ในที่นี้ขออวยพรผู้ที่เอาใจใส่สุขภาพและความสุขแห่งชีวิตของตัวเอง ญาติมิตร รวมทั้งหมูมวลมนุษย์ทั้งหลาย สามารถค้นพบคำตอบของตัวเอง จากหนังสือเล่มนี้ ที่เต็มไปด้วยความสนุกและแฝงไว้ซึ่งความรัก คำพูดที่เข้าใจง่ายแต่มีความลึกซึ้ง และจัดพิมพ์อย่างสบาย ราบรื่น พร้อมทั้งก้าวหน้าทางด้านจิตวิญญาณ เข้าใจสุขภาพ พัฒนาพลังที่ซ่อนเร้นที่สามารถรักษาโรคด้วยตัวเอง มีชีวิตที่แข็งแรงสมบูรณ์  

หมายเหตุ : ดร.หลัวซือหง จบปริญญาเอกวิชาสรีระศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด อาจารย์สอนวิชาเภสัชวิทยา สถาบันแพทย์ศาสตร์กระทรวงกลาโหม อาจารย์ชี้แนะสมาคมพัฒนากายใจในมหาวิทยาลัยครูแห่งรัฐ เป็นอาจารย์คณะรักษาพยาบาลในงานกู้ภัยพิบัติของรัฐ 





1689203hqblz6hkjx.gif



Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com				
4 ตุลาคม 2556 23:02 น.

พระเยซูคริสต์ - อาจารย์กวนอิม และผู้สนับสนุนมังสวิรัติ

คีตากะ

1643546hcfvbtvsbb.gif













โดยพี่ประทับจิตหญิง แสงแห่งความรัก ยกยาร์การ์ตา อินโดนีเซีย (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)



ทัศนะที่ว่า พระเยซูคริสต์คืออาจารย์ธรรมวิถีกวนอิมและผู้ส่งเสริมมังสวิรัติ ได้รับการสนับสนุนโดยประโยคมากมายในหนังสือ เสียงสวรรค์สันติภาพของเอสซีน เล่ม 1 และ เสียงสวรรค์สันติภาพของเอสซีน เล่ม 4 การสอนผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก ซึ่งพิมพ์โดยสมาคมไบโอจีนิกนานาชาติ หนังสือเหล่านี้ได้รับการแปลโดยเอ็ดมอนด์ บอร์โดซ์ เซ๊คเคอลี่ จากต้นฉบับฮีบรูโบราณและอาราเมอิค ในที่เก็บเอกสารลับสำคัญของวาติกัน และจากตัวหนังสือสลาโวนิกแบบเก่าในหอสมุดหลวงของแฮพสเบิร์ก (ขณะนี้เป็นสมบัติของรัฐบาลออส-เตรีย) คุณสามารถอ่านเรื่องย่อของหนังสือเหล่านี้โดยเปิดเว็บไซต์:

http://www.thenazareneway.com/index_essene_gospels_of_peace.htm 

การสนับสนุนมังสวิรัติของพระเยซู 
เสียงสวรรค์สันติภาพของเอสซีน เล่ม 1 มีบทอ้างอิงมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงความเห็นของพระเยซูในเรื่องมังสวิรัติ ตัวอย่างเช่น พระเยซูได้ถูกถามว่า โมเสสผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิสราเอล ทำให้บรรพบุรุษของเราต้องทุกข์ทรมาน ในการรับประทานเนื้อของสัตว์เดรัจฉานที่สะอาด และห้ามเฉพาะเนื้อของสัตว์เดรัจฉานที่ไม่สะอาดเท่านั้น ทำไมท่านจึงห้ามเรารับประทานเนื้อของสัตว์เดรัจฉานทุกชนิดเล่า? กฎของโมเสสหรือกฎของท่าน กฎไหนกันที่มาจากพระเจ้า? 

สำหรับคำถามนี้ พระเยซูได้ตอบว่า พระเจ้าสั่งบรรพ-บุรุษของเจ้าว่า เจ้าจงอย่าฆ่า แต่หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้างและพวกเขาได้ฆ่า ดังนั้น โมเสสจึงขอว่า อย่างน้อยที่สุด พวกเขาไม่ควรฆ่ามนุษย์ และเขาทำให้พวกเขาต้องทุกข์ทรมานในการฆ่าสัตว์ แล้วหัวใจของบรรพบุรุษของเจ้าก็แข็งกระด้างมากยิ่งขึ้น และพวกเขาได้ฆ่าคนและสัตว์ แต่ฉันขอพูดกับเจ้าว่า จงอย่าฆ่าคนหรือสัตว์ หรืออาหารที่เข้าสู่ปากเจ้า เพราะถ้าเจ้ากินอาหารที่มีชีวิต แบบเดียวกันก็จะเกิดกับเจ้า แต่ถ้าเจ้าฆ่าอาหารของเจ้า อาหารที่ตาย จะฆ่าเจ้าด้วย เพราะชีวิตมาจากชีวิตเท่านั้น และ ความตายมาจากความตายเสมอ

และพระเยซูก็กล่าวในรายละเอียดเพิ่มเติม โดยบอกถึงอาหาร ที่ลูกศิษย์ของพระองค์ควรบริโภค เพราะร่างกายของเจ้าคือ สิ่งที่เจ้ารับประทานเข้าไป และจิตวิญญาณของเจ้า คือสิ่งที่เจ้าคิด เพราะฉะนั้น จงตระเตรียมและรับประทานผลไม้ทั้งหลายของต้นไม้ หญ้าทั้งหลายของทุ่งหญ้า และนมทั้งหลายของสัตว์ที่รับประทานได้ เพราะทั้งหมดเหล่านี้ถูกเลี้ยงและทำให้สุกโดยไฟแห่งชีวิต ทั้งหมดคือของขวัญของเทพยดาแห่งพระแม่ธรณี แต่จงอย่ารับประทานเฉพาะสิ่งที่ไฟแห่งความตายให้รสชาติ เพราะสิ่งนั้นเป็นของซาตาน เพราะฉะนั้น จงรับประทานจากโต๊ะของพระเจ้าเสมอ คือผลไม้ของต้นไม้ เมล็ดธัญพืช และหญ้าของทุ่งหญ้า นมของสัตว์ และน้ำผึ้งของผึ้ง เพราะทุกสิ่งที่นอกเหนือจากนี้คือของซาตาน และนำไปสู่บาปและโรคที่นำไปสู่ความตาย แต่อาหารที่เจ้ารับประทานจากโต๊ะที่อุดมสมบูรณ์ของพระเจ้า ให้ความแข็งแรงและความหนุ่มสาวแก่ร่างกายเจ้า และเจ้าจะไม่มีวันมีโรค

ข้อความที่คัดมานี้จากคัมภีร์เอสซีน สนับสนุนการยืน-กรานของท่านอาจารย์ชิงไห่ในตระกูลเอสซีนของพระเยซูและตระกูลแห่งมังสวิรัติว่า พระเยซูเป็นมังสวิรัตินับแต่ประสูติ และแม้กระทั่งเมื่อพระองค์อยู่ในครรภ์ พระเยซูประสูติในครอบครัวมังสวิรัติ เชื้อสายประเพณีมังสวิรัติ เชื้อสายเอสซีน สิ่งนี้ คุณสามารถศึกษาได้ในหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซู คุณควรศึกษาชีวิตของพระเยซูในหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่คัมภีร์คริสต์ ณ ตรงนี้ท่านอาจารย์ถึงกับอ้างอิงถึงเสียงสวรรค์สันติภาพของเอส-ซีน และก็ หนังสืออีกเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่คัมภีร์คริสต์


สมาธิแสงและเสียง

จากที่เอ่ยข้างต้น ในหนังสือเอสซีน พระเยซูได้เปิดเผยว่า พระองค์เป็นอาจารย์แห่งการทำสมาธิแสงและเสียง ตัวอย่างเช่น ในเสียงสวรรค์สันติภาพของเอสซีน เล่ม 4 - การสอนผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก พระเจ้าได้เอ่ยถึงกระแสเสียงภายในดังต่อไปนี้ ฉันขอบอกเจ้าจริงๆว่า มีกระแสแห่งชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งให้กำเนิดแก่พระแม่ธรณีและเหล่าเทพยดาทั้งหลายของท่าน สิ่งที่ตาของบุตรของมนุษย์มองไม่เห็น คือกระแสแห่งชีวิตนี้ แต่บุตรของแสงได้รับความลับของการติดต่อกับเทพยดา และตาของจิตวิญญาณของเจ้าจะเปิดออก แล้วเจ้าจะเห็น และได้ยิน และสัมผัสกระแสแห่งชีวิตที่ให้กำเนิดพระแม่ธรณี และเจ้าจะเข้าสู่กระแสแห่งชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ และมันจะพาเจ้าด้วยความอ่อนโยนสุดประมาณ ไปยังชีวิตที่เป็นนิรันดร ในอาณาจักรของพระบิดาในสวรรค์ของเจ้า

ในหนังสือเล่มเดียวกัน พระเยซูตรัสถึงความจำเป็นในการเงียบหรืออยู่ในภาวะสมาธิ ก่อนจะมีประสบการณ์ถึงเสียง ในตอนเริ่มต้นของเวลา เราต่างแบ่งปันในกระแสแห่งชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ให้กำเนิดแก่ทุกสรรพสิ่ง และเมื่อพระอาทิตย์อยู่สูงในสวรรค์ เจ้าก็ควรปล่อยให้กระแสเสียงอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในหูของเจ้า เพราะมันจะได้ยินเฉพาะในความเงียบเท่านั้น จงคิดถึงกระแสน้ำที่เกิดในทะเลทรายภายหลังพายุฉับพลัน และเสียงกระหึ่มของน้ำ ขณะที่มันวิ่งผ่านไป จริงๆ สิ่งนี้คือพระสุรเสียงของพระเจ้า เพราะตามที่มันถูกเขียนขึ้นมาว่า ในตอนเริ่มต้นคือเสียง และเสียงอยู่กับพระเจ้า และเสียงคือพระเจ้า มันมีอยู่ในหูของเราเสมอ (แต่) เราไม่ได้ยินมัน จงฟังมัน แล้วในความเงียบของกระแสน้ำขึ้นลงยามเที่ยง จงอาบแช่ในมัน และปล่อยให้จังหวะของดนตรีแห่งพระเจ้า ดังในหูของเจ้า จนกระทั่งเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับกระแสเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ จนมันอาจพาเจ้าไปสู่อาณาจักรพระบิดาแห่งสวรรค์อันไม่มีที่สิ้นสุด ณ ที่ซึ่งจังหวะของโลกขึ้นและตก

นอกจากนี้ ในการสอนผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก พระเยซูสนับสนุนการทำสมาธิแสง ในขณะก่อนที่เจ้าจะนอน เจ้าควรคิดถึงดวงดาวที่สุกสว่างและรุ่งโรจน์ ดวงดาวที่ขาว ส่องแสง มองเห็นแต่ไกล และแทงทะลุไปไกล ขอให้ความคิดก่อนนอนของเจ้า อยู่กับดวงดาว เพราะดวงดาวคือแสง และพระบิดาในสวรรค์คือแสง แม้กระทั่งแสงนั้น ซึ่งสว่างกว่าความสว่างของดวงดาวพันดวงเป็นพันเท่า จงเข้าสู่กระแสแห่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์ ที่โซ่ตรวนแห่งความตายไม่อาจแตะต้องได้ตลอดกาล และเป็นอิสระจากพันธนาการของโลก ทะยานขึ้นไป ทะลุผ่านรัศมีที่สว่างโชติช่วงของดวงดาว เข้าสู่อาณา-จักรของพระเจ้าในสวรรค์อันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะในตอนต้นของเวลา กฎหมายศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า จงมีแสง และมันคือแสง และเธอจะเป็นหนึ่งเดียวกับมัน และพลังของกระแสแสงอันศักดิ์สิทธิ์ จะเติมเต็มร่างกายทั้งร่างของเจ้า และเจ้าจะสั่นในพลานุภาพของมัน

ท้ายสุด ในการสรุปถึงพลังแห่งแสงและเสียงว่า เป็นแหล่งที่สุดของการหลุดพ้นและการรู้แจ้ง พระเยซูได้บอกลูกศิษย์ของพระองค์ว่า ฉันขอบอกเจ้าตามจริง หูของเจ้าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อฟังเสียงมนุษย์ เสียงเพลงของนก และเสียงดนตรีของฝนที่ตกลงมาเท่านั้น แต่มันถูกสร้างขึ้นให้ฟังกระแสแห่งเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย และตาของเจ้าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นให้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตก เห็นการกระเพื่อมของฟ่อนเมล็ดธัญพืช และเห็นถ้อยคำของม้วนกระดาษอันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ถูกสร้างขึ้นให้เห็นกระแสแห่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย จงเข้าสู่กระแสอันศักดิ์สิทธิ์ แม้กระทั่งชีวิตนั้น เสียงนั้น และแสงนั้น ซึ่งให้กำเนิดเจ้า เจ้าอาจจะเข้าถึงอาณาจักรของพระบิดาในสวรรค์ และเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์

การอ่านต้นฉบับเช่น เสียงสวรรค์สันติภาพของเอสซีน เล่ม 1 และ เสียงสวรรค์สันติภาพของเอสซีน เล่ม 4  การสอนผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกการอ่านต้นฉบับเช่น เสียงสวรรค์สันติภาพของเอสซีน เล่ม 1 และ เสียงสวรรค์สันติภาพของเอสซีน เล่ม 4  การสอนผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก ซึ่งเสนอข้อคิดเห็นโบราณของพระเยซูเกี่ยวกับแสงและเสียงภายใน และอาหารมังสวิรัติสามารถทำให้ความเชื่อของบุคคลหนึ่งแข็งแกร่งขึ้น ในข่าวสารร่วมสมัยของท่านอาจารย์ชิงไห่ พระอาจารย์ทั้งสองได้เปิดเผยว่า การทำสมาธิแสงและเสียง (ธรรมวิถีกวนอิม) และมังสวิรัติ เป็นหนทางอันแท้จริงสู่การหลุดพ้นและการเข้าสู่อาณาจักรของสวรรค์ ในทางกลับกัน คำสอนของพระเยซูและอาจารย์ชิงไห่ เป็นข่าวสารนิรันดรแห่งสัจธรรม

ธรรม ซึ่งประกาศโดยศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายตลอดทุกยุคทุกสมัย ตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า ในอีกนัยหนึ่ง พระเยซูไม่เคยตาย พระเยซูทำงานผ่านอาจารย์ทั้งหลายตลอดทุกศตวรรษ ตลอดทุกยุคทุกสมัย เพื่อทำให้เราผู้โง่เขลา ผู้ซึ่งยังถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ได้หลุดพ้นและรู้แจ้ง 




Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com				
4 ตุลาคม 2556 23:03 น.

บทกวีของคาบีร์

คีตากะ

1626925ptcqdtxfdq.jpg











ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ 
ศูนย์ไหลยี่ ฟอร์โมซา 13 มกราคม 1993 (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน) 



หนังสือเล่มนี้เป็นบทกวีของอินเดียตะวันออกที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ คาบีร์เป็นนักเขียนที่มีชื่อในอินเดีย ท่านเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อ 500 ถึง 600 ปี มาแล้ว ท่านไม่ใช่คนร่ำรวย มีอาชีพเป็นเพียงคนซ่อมรองเท้า แต่ถึงแม้ว่าท่านจะมีเงินน้อยท่านก็เป็นคนที่ใจกว้าง บ่อยครั้งที่ท่านมีแขกมาเยี่ยมท่านก็จะให้ภรรยาไปยืมเงินหรือไปซื้ออาหารด้วยเงินเชื่อเอามาเลี้ยงพวกแขกเหล่านั้น 

ฉันจะอ่านบทกวีของท่านให้เธอฟังสักสองสามบท เป็นบทกวีหรือวรรณกรรมที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมวิถีกวนอิมจะเข้าใจได้ง่ายกว่า ไม่ว่าจะเป็นบทกวีโบราณหรือร่วมสมัยก็ตามล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน บทกวีของคาบีร์มีชื่อเสียงมากในหมู่ประชาชน และท่านก็ยังเป็นที่รู้จักกันดีจนถึงทุกวันนี้ ชาวอินเดียตะวันออกทุกคนรู้จักนามของท่าน งานสร้างสรรค์ทางวรรณศิลป์ของท่านมีเนื้อหาที่เสียดสี และโคลงที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณของท่านก็เขียนไว้อย่างไพเราะยิ่ง 

ฉันจำบทกวีสั้นๆ ของท่านได้ ซึ่งเป็นบทที่เสียดสีได้ดีจริงๆ ในบทกวีท่านเขียนเย้ยหยันพวกปลอมซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณที่ไม่ได้เรื่อง และพวกนี้ได้เป็นลมเมื่อได้ยินถ้อยคำของท่านคาบีร์ บางทีท่านอาจะมี จงอยปาก ที่แหลมอย่างนี้ (เสียงหัวเราะ) ท่านได้ทิ้งคำสอน บทกวีและบทความไว้จำนวนมาก แต่ไม่มีรูปถ่ายสักรูปเดียว ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าท่านหน้าตาอย่างไร แต่ฉันไม่สงสัยหรอกว่าท่านจะต้องมีลิ้นที่คมมาก! (อาจารย์หัวเราะ) 

หนึ่งในคำวิจารณ์ของท่าน เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญที่เพียงแต่ย้อมสีจีวรเท่านั้น แต่ไม่ได้ย้อมหัวใจด้วย ผู้บำเพ็ญในอินเดียสวมจีวรสีแดงหรือสีส้มซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตาและความรักแห่งจักรวาล ท่านคาบีร์ได้ให้ข้อสังเกตว่าเขาเหล่านั้นเพียงแต่ย้อมเครื่องนุ่งห่ม แต่หัวใจไม่ได้ย้อมด้วยสีแห่งความรัก พวกเขาเดินห่างออกจากพระเจ้าและไปบูชาก้อนหินแทน ในอินเดียผู้คนชอบบูชาก้อนหินเพราะขี้เกียจไปแกะสลักมัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) พวกเขาไว้ผมยาวรุงรังและไว้เครายาวเหมือนแพะ แบ๊ะ แบ๊ะ... (อาจารย์เลียนเสียงแพะ) เขาทิ้งคนที่รักและครอบครัว แล้วก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นขันที (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) 

นี่คือวิธีการที่ท่านคาบีร์เย้ยเยาะพวกเขา บทกวีต้นฉบับของท่านที่เป็นภาษาฮินดูและที่แปลเป็นภาษาอังกฤษอ่านแล้วขำมาก สำนวนแปลเป็นภาษาจีนของฉันอาจไม่ดีนัก แต่พวกเธอก็หัวเราะลั่นกันแล้ว ถ้าเราได้อ่านต้นฉบับ เราคงจะหัวเราะลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นแล้วล่ะ (ผู้ฟังหัวเราะ) หมอคงจะต้องให้ยาลดกรดโดยเร็ว 

นี่ก็คืออุปนิสัยของท่านคาบีร์ ท่านคาบีร์ชอบเขียนถ้อยคำที่เสียดสีแบบนี้และผู้บำเพ็ญในสมัยนั้นก็กลัวท่านมาก ถึงแม้ว่าท่านจะยากจนแต่ท่านก็ไม่ยอมรับบริจาค และผู้คนก็เคารพยกย่องท่านอย่างยิ่ง เมื่อพวกที่เรียกตัวเองว่าผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณมาเยี่ยมเยียนท่าน แน่นอนท่านก็ดูแลต้อนรับเขาอย่างดี ท่านถึงขนาดขายภรรยาเพื่อจะเอามาเลี้ยงเพื่อน เพื่อนบ้านสะเทือนใจในการกระทำของท่านมากจึงให้อาหารแก่ท่านโดยไม่รับเงินหรือรับภรรยาของท่าน 

ในบทกวีของท่านคาบีร์มีบทที่ไพเราะจำนวนมากเกี่ยวกับธรรมวิถีกวนอิม ฉันจะอ่านให้เธอฟังสักบทหนึ่ง เป็นบทกวีชื่อ มองเข้าสู่ภายใน 


มองเข้าสู่ภายใน  

ชะมดตัวหนึ่งเดินทางค้นหาเข้าไปในป่า 
เพื่อจะหากลิ่นที่หอมหวนยวนใจ  
แต่ตลอดเวลาที่ค้นหา มันไม่เคยรู้  
กลิ่นชะมดกำลังพัดโชย โดยธรรมชาติของมัน 

พระเจ้าก็เช่นกัน อยู่ภายในทุกคน 
แต่เราก็แสวงหาท่านจากภายนอก  
เราแสวงหาและมีชีวิตอยู่โดยมองไม่เห็นท่าน  
ความไร้ขอบเขต มิถูกจำกัดโดยขอบเขตใด 
ท่านปรากฏอยู่ทั่วทุกหนแห่ง 
สำหรับคนที่รู้จักพระเจ้า พระเจ้าก็อยู่แค่เอื้อม 
ท่านจะยืนอยู่ใกล้พวกเขาเสมอ 

สำหรับคนที่ยืนกรานว่าพระเจ้าจะต้องอยู่ไกล 
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระองค์ยืนไกลจากพวกเขา 
ฉันเองก็เคยเชื่อว่าพระเ จ้าอยู่ไกล 
แต่เดี๋ยวนี้ ฉันรู้ว่าพระเจ้าอยู่ข้างในทุกคน 

สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองแท้จริงคือใคร 
แม้พระเจ้าจะอยู่ใกล้ แต่ก็ไกลทีเดียวสำหรับเขา 
พวกเขาละทิ้งท้องทุ่งที่ได้ปราบไถไว้ 
แล้วไปชุมนุมกันที่วัดเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 

แต่พระเจ้าก็สถิตย์อยู่ภายในหัวใจของเธอ       
จงเข้าไปในวิหารของท่านและอย่าได้จากไป 



ในบทกวีนี้คาบีร์ได้พูดถึงชะมดตัวหนึ่ง ที่เดินทางแสวงหาแหล่งที่มาของกลิ่นหอมจากภูเขาและป่า มันถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอม แต่ก็ไม่ตระหนักว่ากลิ่นนั้นมาจากตัวเอง เฉกเช่นเดียวกัน พระเจ้าอยู่ภายในตัวเราอยู่ภายในสรรพสัตว์ทุกชีวิต แต่เราก็มักจะมองออกไปภายนอก เพราะฉะนั้นเราจึงหาพระเจ้าไม่พบ ความรักอันไร้ขอบเขตนี้มิ อาจถูกกักขังไว้ภายในขอบเขตอันจำกัด มันมีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง สำหรับคนที่รู้พระเจ้าก็จะอยู่ใกล้ เราสามารถที่จะรู้จักท่าน เห็นท่าน และรู้สึกได้ถึงการปรากฏของท่านเสมอ สำหรับคนที่ยืนกรานว่าพระเจ้าอยู่สูงและเอื้อมไม่ถึง พระเจ้าก็จะไม่เข้ามาใกล้ ดังนั้น แน่นอนพวกเขาก็จะอยู่ไกลจากพระเจ้า เพราะว่าเขาไม่เข้าใจมาตั้งแต่ต้นแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่พระเจ้าจะเข้ามาใกล้พวกเขา 

ท่านคาบีร์ยอมรับว่าท่านเคยคิดว่าพระเจ้าอยู่ไกลมาก แต่ต่อมาท่านก็ตระหนักว่าพระเจ้าอยู่ในหัวใจของทุกๆ คน สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครเขาก็จะไกลจากพระเจ้า แม้ว่าพระเจ้าจะอยู่ใกล้มากก็ตาม ผู้คนต่างออกจากหมู่บ้าน ละทิ้งงานของตนและไปวัดเพื่อจะบูชาพระเจ้าและกระทำพิธีกรรมต่างๆ พวกเขามิได้ตระหนักว่าพระเจ้าสถิตย์อยู่ภายในหัวใจของตน เราจึงควรเข้าไปในวิหารภายในตนเองและอยู่ที่นั่น ท่านคาบีร์หมายความว่าวิหารภายในเท่านั้น เป็นวิหารที่มีประโยชน์ที่สุด พวกเธอคงเข้าใจดีนะ ! (ผู้ฟังปรบมือ) 

ฉันได้พบบทกวีหลายบทที่กล่าวถึงแสงและเสียง แต่คนที่ไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมย่อมไม่เข้าใจ 


นี่คือบทกวีอีกบทหนึ่ง ชื่อ วัจนะ(The word) วัจนะ หมายถึง เสียง ดังที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลว่า: เมื่อเริ่มต้นก็มีวัจนะ, และวัจนะอยู่ในพระเจ้า 



แสงและเสียง (Light and sound)  

ภายในเธอนั้น มีดนตรีบรรเลงอยู่มิหยุดหย่อน 
หาได้สะเทือนสะท้อนจากเส้นสายสังคีตใด 
คาบีร์จะบอกให้ ว่าดนตรีนั้นไซร้คือพระวัจนะ 
ที่กระจายกระจะ กระจ่างโสตแห่งทุกผู้คน 
เสียงดนตรีจากเบื้องบน มาปลดปล่อยผู้แสวงหา 
แล้วอุ้งมือแห่งมายา ก็มิอาจมาฉุดคร่าอีกต่อไป 

พระวัจนะนั้นยิ่งใหญ่ มิใช่ถ้อยธรรมดาสามัญ 
โดยพลังแห่งวัจนะนั้น พันธนาการทุกสิ่งสรรพ์ก็สลายไป 
พระวัจนะปลอบประโลมใจ ละลายปวงปรารถนา 
ดับเปลวประกายกล้า แห่งไฟกิเลสในโลกนี้ 

อันถ้อยธรรมดาทุกวาที มีแต่ให้ความทุกข์ 
มิอาจสร้างสันติสุข หรือสัจธรรมแก่ใคร 
แต่คุณค่าพระวัจนะไซร้ สมบัติใดมิเทียมทัน 
เหล่าสาวกเท่านั้นที่ล่วงรู้ความจริง 

ทับทิมและเพชรพลอยทุกสิ่ง อาจแลเห็นได้ง่ายดาย 
แต่มิอาจซื้อหรือขาย พระนามแห่งพระเจ้า 
ในโลกอันโศกเศร้า เราเฝ้าแต่หลั่งน้ำตา 
ในโลกแห่งความกรุณา เราเฝ้าแต่ถอนใจ 

แต่ผู้จักพระวัจนะไซร้ คือผู้หนึ่งเท่านั้น 
ที่จะครวญคร่ำรำพัน เป็นเพื่อนใจ  
พระวัจนะจึงยิ่งใหญ่ ทรงมหิทธา 
อาจบันดาลให้กษัตรา ออกบรรพชาสละราชบัลลังก์ 

ผู้ใดหยุดคิดและจิตหวัง ใคร่จะรู้นัยยะ 
ความหมายแห่งพระวัจนะ เขาคือผู้โชคดีมหาศาล 

ความมืดอนธกาล ดำเนินไปโดยไร้พระวัจนะ 
เธอจะเดินเปะปะไปที่ใด หากไร้เสียงมานำทาง 
กว่าจะได้พบประตูกว้าง แห่งพระวัจนะนั้น 
เขาก็เดินด้นดั้น ชั่วนิรันดร์ไร้จุดหมายใดใด 

ในโลกนี้มีแต่ความสงสัย เข้าครอบงำดูคลุมเครือ 
ผู้ชนะเป็นนายเหนือ นั้นหายากยิ่งนัก 
วิถีธรรมที่นำชัก ออกจากความงงงัน 
เรียนรู้พระวัจนะนั้น คือวิถีแท้แต่ทางเดียว 

ผู้ชนะนั้น ได้สร้างปราสาทพิลาสพิไล 
ออกแบบพิเศษไว้ เพื่อจิตวิญญาณเจริญงาม 
เพียงคนรักชำเลืองแลตาม ก็สูงส่ง 
คือลำแสงแรงตรง ส่งมาจากพระเบื้องบน 

ราตรีที่มืดมน จะสิ้นสลายหายไป 
เมื่ออาทิตย์อุทัย ไขแสงเพิ่มมาเริ่มวัน  
เช่นเดียวกับแสงนั้น เมื่อส่องฉาย ณ ดวงใจ 
ความงุนงงสงสัย ก็หายไปทุกประการ  


บทกวีนี้ท่านคาบีร์ได้กล่าวสรรเสริญเสียงภายใน ท่านกล่าวว่า ดนตรี บรรเลงอยู่ตลอดภายในเรา แต่ไม่มีเครื่องดนตรีที่บรรเลง พวกเราทุกคนก็รู้จักดี !(ทุกคนหัวเราะอย่างรู้ดี) ท่านคาบีร์ยังกล่าวต่อไปว่า เสียงดนตรีนี้สร้างจาก พระวัจนะ เสียง -- แรงสั่นสะเทือนนี้ละเอียดเบามาก และมีไว้ให้ทุกคนได้ยิน เมื่อใดผุ้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณได้ยิน ก็จะอยู่เหนืออุ้งมือของเจ้าแห่งมายา แล้วก็จะหลุดพ้นและเป็นอิสระ 

คนสมัยก่อนมีการพูดถึงอย่างเชื่อมั่นในธรรมวิถีกวนอิม พระวัจนะ ที่ท่านคาบีร์กล่าวถึง ก็คล้ายคลึงกับ นาม ในบันทึกของ เหลาชี เกี่ยวกับ นาม ซึ่งมิอาจเอ่ยนาม ซึ่งหมายถึง เสียง เช่นเดียวกับที่กล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิล ฉะนั้น ท่านคาบีร์ จึงระบุว่าสิ่งนี้มิใช่ถ้อยคำธรรมดาหรือเสียงทั่วไป ด้วยพลังแห่งเสียงนี้ โซ่ตรวนที่พันธนาการเราไว้กับวัฏจักรของการเกิดและการตายจะถูกทำลายลง ความปรารถนาทางโลก เปลวไฟแห่งกิเลสและอารมณ์จะดับได้หมดสิ้น เมื่อได้พบ พระวัจนะ หรือ เสียง นี้ สิ่งเหล่านั้นจะต้องตกลงมาตาย! (คนฟังหัวเราะ) 

เรื่องนี้ใม่รวมถึงเสียงทางโลก หรือภาษามนุษย์ ที่มีแต่จะนำความทุกข์มาสู่เรา ฉะนั้น คาบีร์ต้องการให้เราแยกแยะเสียงนี้ออกจากเสียงทั่วไป ไม่ว่าเสียงดนตรีหรือภาษา ท่านผู้เขียนพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ ซึ่งทำให้ท่านบ่นมากเหลือเกิน (อาจารย์หัวเราะ) ท่านเป็นห่วงว่าเราอาจจะไม่เข้าใจท่าน เพราะฉะนั้นท่านจึงอธิบายให้เราฟังเสียยืดยาว (อาจารย์หัวเราะ) เราเข้าใจใช่ไหม (ผู้ฟังตอบ ใช่) พูดกัน 1-2 ประโยคก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมากขนาดนั้น (ผู้ฟังปรบมือ) 

เป็นเรื่องยากที่จะพูดเรื่องนี้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ดังนั้น คาบีร์จึงพูดแล้วพูดอีก เพื่อจะให้ชัดเจนว่าสิ่งนี้มิใช่เสียงหรือถ้อยคำธรรมดา การฟังเสียง หรือที่เรียกว่าถ้อยคำ หรือนาม ในทางโลกนั้นเราจะมิอาจหาความสงบภายใน หรือความเยือกเย็นทางอารมณ์ได้เลย อย่างที่ท่านกล่าวว่า ไม่มีทรัพย์สมบัติใดจะเทียบได้กับเสียงที่ประมาณค่ามิได้นี้ มีเพียงผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้นที่จะเข้าใจความจริงข้อนี้ คำอื่นๆ อาจจะสงสัยว่า ก็มันเป็นแค่ถ้อยคำหรือเสียงเท่านั้น ทำไมถึงจะมีค่ายิ่งกว่าความร่ำรวย? ดังนั้น ท่านคาบีร์จึงกล่าว่า : เฉพาะผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะเข้าใจความหมายอย่างแท้จริง ทับทิม ไพลิน หรืออัญมณีใดๆ ก็อาจจะหาได้ แต่พระนามแห่งพระเจ้านั้น ยากที่จะหาหรือซื้อจากที่ใด 

สำหรับโลกอันทุกข์ยากนี้ เธอจะเห็นฉันหลั่งน้ำตาด้วยความสงสารในโลกอันเสื่อมทรามนี้ เธอจะเห็นฉันอารมณ์เสีย อย่างไรก็ตาม เฉพาะผู้ที่รู้จักพระวัจนะหรือเสียงนี้เท่านั้น ที่จะร้องไห้กับฉัน คนอื่นทั้งโลกเขามีความสุขมาก (อาจารย์หัวเราะ) มีแต่เราที่ร้องไห้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าทำไมเราร้องไห้! เฉพาะผู้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมจึงรู้ และร้องไห้ด้วยสาเหตุเดียวกัน 

วัจนะหรือเสียงนี้มีพลังมาก จนกระทั่งทำให้พระราชาสามารถสละราชสมบัติและออกไปพักผ่อนได้ (ผู้ฟังหัวเราะ) แถวนี้มีพระราชาอยู่หรือเปล่า? (ผู้ฟังหัวเราะ) เราก็คือพระราชาในพระราชวังของเราเอง (ผู้ฟังหัวเราะ) ในบ้านของเราเอง ถ้าไม่มีอะไรนอกจากหมูป่าอยู่บนภูเขาละก็ ฉันก็จะได้เป็น เจ้าแห่งภูเขา (ผู้ฟังหัวเราะ) 

ใครก็ตามที่สามารถพบความสงบในจิตใจ และพบวัจนะหรือเสียงนี้ นับเป็นคนที่โชคดีและได้รับพระพรมากที่สุดในโลก ถ้าเธอไม่เคยได้ยินวัจนะหรือเสียงนี้ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน โลกก็จะมืดมิดรอบตัวเธอ คนที่ไม่ได้พบประตูไปสู่เสียง -- ซึ่งก็คือธรรมวิถีกวนอิม -- จะอยู่ในสภาพวิญญาณเร่รอนโดยไม่มีบ้านจะผ่อนพัก 

ความสงสัยและความไม่มั่นคงได้พัฒนาขึ้นจนยึดครองได้ทั่วโลก จิตวิญญาณบางดวงอาจยกขึ้นสูงกว่าสิ่งแวดล้อมดังกล่าวของโลก ซึ่งหมายถึงว่าบางคนสามารถพาตัวเองให้เป็นอิสระได้ ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตอยู่อย่างอิสระเสรี และสุขสบายในโลกนี้ การบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเป็นวิธีเดียวที่สามารถผ่านพ้นบรรยากาศของโลกที่ยุ่งเหยิงและอึกทึกได้ สิ่งที่คาบีร์หมายถึงนั้นก็คือว่า การยุติปัญหามีวิธีเดียวคือต้องหาหนทางที่ผู้บำเพ็ญสดับฟังเสียง และนี่คือหนทางเดียวที่จะหลุดพ้น บทกวีของท่านบทนี้เขียนไว้ว่า หนทางเดียวเท่านั้น 

บางคนยังคงไม่เชื่อว่าธรรมวิถีกวนอิมเป็นหนทางเดียว (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) พวกเขาจะต้องจุดติมาเกิดเป็นลูกน้องของมายา (คนฟังหัวเราะ) พวกเขากำลังพูดถ้อยคำของมายา (อาจารย์หัวเราะ) คัมภีร์ศาสนาต่างๆ ล้วนกล่าวถึงเรื่องเดียวกัน ศาสนาพุทธ ซิกข์ ฮินดู และคาธอลิก ล้วนพูดถึงวัจนะนี้ นามนี้ เสียงนี้ เมื่อใดที่เรารู้แจ้งโดยการบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม ทุกอย่างก็จะชัดเจนสำหรับเรา 

เราจะสามารถเข้าใจนิทานของเซ็นได้ง่ายๆ ด้วย มีเรื่องพระรูปหนึ่งขณะที่กำลังไถนา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงระฆังดังกังวานขึ้น พระรูปนั้นดีใจมากจนหยุดไถนา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) 

ยังมีคำกล่าวอีกว่า วิญญาณในนรกสามารถเป็นอิสระได้ ถ้าได้ยินเสียงระฆังดังกังวาน เมื่อผู้ตายได้ยินเสียงกังวาน หรือเสียงกร๋งกริ๋งของระฆังก็จะเป็นอิสระแน่นอน นี่คือเหตุผลที่พระตีระฆังอยู่ตลอดเวลา (ผู้ฟังหัวเราะ) บนศีรษะของผู้ตาย ก็เพื่อจะปลดปล่อยเขา (อาจารย์หัวเราะ) แต่โชคร้าย เขาใช้วิธีการผูกเชือกแทน เขาผูกเชือกแล้วก็ลากไป (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) หนักเกินกว่าจะเคลื่อนไปได้ พวกเขาต้องผูกลากตัวเองจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง จากโลกมนุษย์ไปนรก และจากนรกไปสู่วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด นี่คือเงื่อนที่ผูกลาก ไม่ใช่การหลุดพ้น! 

คาบีร์ยังได้กล่าวไว้ในบทกวีอีกว่า อาจารย์ผู้รู้แจ้งได้สร้างสวรรค์ไว้เป็นคฤหาสน์โดยเฉพาะสำหรับผุ้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ หากเราอยากดูลักษณะของบ้านทางจิตวิญญาณนี้ พระเจ้าได้ให้แสงแก่เราด้วย คาบีร์บอกว่าเหมือนกับแสงจากไฟฉาย ฉะนั้น เราจึงมองขึ้นไปข้างบนได้ (อาจารย์หัวเราะ) เนื่องจากมันไกลมากเราจึงต้องการไฟฉายที่ใหญ่ขึ้นเพื่อส่องจากที่นี่ไปที่นั่น เหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นมาขับไล่ความมืดของกลางคืน

ในทำนองเดียวกันเมือแสงเข้ามาสู่วิญญาณของเรา ความสงสัยและความเชื่อที่ผิดๆ ก็จะอันตรธานไปหมด! นี่คือความหมายที่คาบีร์กล่าวถึง (ผู้ฟังปรบมือ) ท่านควรค่าแก่การปรบมือให้ ถ้อยคำของท่านไพเราะจริงๆ  





Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com				
4 ตุลาคม 2556 23:03 น.

เพลงแห่งความสุข...

คีตากะ

766984dnf2hj3cbj.gif














     มนุษย์คือที่รักของฉันและฉันเป็นที่รักของเขา ฉันต้องการเขาและเขาก็ปรารถนาฉัน
ฉันโศกเศร้าเสียใจเพราะว่าในความรักที่ฉันมีต่อเขานั้นได้มีผู้เข้ามาแทรกแซงซึ่งทำให้ฉันเดือดร้อนและเขาต้องทรมาน หล่อนผู้นั้นคือหญิงผู้โหดร้ายซึ่งมีนามว่าวัตถุ ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน หล่อนก็จะตามไปด้วยเหมือนเป็นผู้ปกครองซึ่งคอยพรากเราเสียจากกัน
ฉันเสาะหาที่รักของฉันตามป่าดงพงไพร ใต้ต้นไม้และข้างธารน้ำแต่ฉันหาพบเขาไม่ เพราะวัตถุได้จูงเขาให้เขวไปและพาเขาเข้าไปในเมืองกับหล่อน-เมืองอันเต็มไปด้วยฝูงชน ความคดโกงและชั่วร้าย
ฉันเสาะหาเขาตามสถานศึกษาและในโบสถ์วิหารแห่งปัญญา แต่ฉันก็ไม่พบเขา เพราะวัตถุผู้สวมเสื้อผ้าแห่งโลกีย์ได้นำเขาไปในสถานแห่งความเห็นแก่ตนอันมีกำแพงล้อมรอบอยู่ และเป็นที่อยู่ของบรรดาผู้ซึ่งวุ่นวายอยู่กับสิ่งไร้สาระ
ฉันเสาะหาเขาตามท้องทุ่งแห่งความพึงพอใจแต่หาพบเขาไม่ เพราะศัตรูของฉันได้กักขังเขาไว้ในถ้ำแห่งความโลภและจะกละ
ฉันเรียกหาเขาในยามรุ่งสางแต่เขาก็ไม่ได้ยิน เพราะนัยน์ตาของเขาหนักอึ้งไปด้วยความตระหนี่จนจะหลับอยู่แล้ว
ฉันกอดรัดเขาในยามค่ำเมื่อความเงียบเข้าครอบครองและมวลดอกไม้กำลังหลับ แต่เขาก็ไม่แยแสต่อฉันเลยเพราะความรักในสิ่งต่างๆ ของวันพรุ่งได้ชักจูงจิตใจของเขาให้เขวไป
ที่รักของฉันนั้นรักฉัน เขาเสาะหาฉันในการกระทำต่างๆ ของเขาแต่เขาไม่อาจจะพบฉันได้นอกจากในการกระทำของพระผู้เป็นเจ้า
เขาแสวงหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฉันในปราสาทอันรุ่งโรจน์ซึ่งสร้างไว้บนกะโหลกศีรษะของผู้อ่อนแอและท่ามกลางเงินและทอง
แต่ฉันจะไม่มีอยู่สำหรับเขานอกจากในบ้านซึ่งเรียบง่าย ซึ่งเหล่าเทพได้สร้างไว้บนลำธารแห่งความรัก
เขาใคร่จะโอบกอดฉันต่อหน้าฆาตรกรและผู้กดขี่ แต่ฉันจะไม่ยอมให้เขาจุมพิตที่ปากของฉันนอกจากในความวิเวกท่ามกลางดงดอกไม้บริสุทธิ์
เขาต้องการให้ความหลอกลวงเป็นสื่อเชื่อมเขาไว้กับฉัน แต่ฉันจะไม่แสวงหาสื่ออันใดนอกจากการกระทำที่ไร้ความชั่ว
ที่รักของฉันได้รู้จักความอึกทึกวุ่นวายจากคู่ปรปักษ์ของฉันคือวัตถุแต่ฉันจะสอนให้เขารู้จักหลั่งน้ำตาแห่งการวิงวอนจากดวงตาแห่งดวงจิตของเขาและรู้จักถอนหายใจด้วยเสียงถอนหายใจแห่งความพอใจด้วย
ที่รักของฉันเป็นของฉันและฉันก็เป็นของเขา


คาลิล ยิบราน



Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com





754454ry1zep8nvp.gif				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ