27 เมษายน 2554 01:50 น.

ความรุ่งเรืองที่แท้จริง...

คีตากะ

1742527pod8ixyt2l.gifปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai
ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา
๒๓ ตุลาคม ๑๙๙๔
(เดิมเป็นภาษาจีน)




       มีชายผู้มั่งคั่งร่ำรวยมากคนหนึ่ง เขาเชิญพระองค์หนึ่งมีชื่อว่า ซันกา มาเขียนคำกลอนให้เขาท่อนหนึ่ง ในสมัยโบราณเมื่อสร้างบ้านใหม่เสร็จหรือเวลาเปิดร้านใหม่ คนจะหาผู้ที่เขียนตัวอักษรได้สวยที่เก่งที่สุด และมีชื่อเสียงมาเขียนโคลงกลอนให้เพื่อจะได้มีโชค เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องของญี่ปุ่นก็ได้ เมื่อชายผู้ร่ำรวยเชิญซันกามาเขียนกลอนเขาก็พูดกับท่านว่า “กรุณาเขียนอะไรเพื่อที่ครอบครัวของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองไปหลายๆ รุ่นไปเรื่อยๆ และให้ความร่ำรวยและสถานภาพนี้สืบทอดต่อๆ ไปถึงรุ่นลูกหลานของเราด้วย ซันกาก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนว่า “พ่อตาย ลูกชายตาย หลานชายก็ตายด้วย” พอเขากำลังเขียนแบบนี้ไป ชายผู้ร่ำรวยและคนในครอบครัวของเขาก็งุนงงและรู้สึกโกรธมาก ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเขียนแบบนั้น “เราเชิญท่านมาเขียนโคลงกลอนเพื่ออวยพรเราในโอกาสขึ้นบ้านใหม่นะ ทำไมท่านถึงเขียนว่าทั้งครอบครัวของเราตายหมดล่ะ? (ผู้ฟังหัวเราะ) โอ! ? ท่านต้องการจะสาปแช่งพวกเราใช่ไหม?”
    พระองค์นั้นก็พูดกับพวกเขาอย่างสงบมากว่า “อา! พวกเธอไม่รู้อะไร ฉันไม่ได้กำลังจะเล่นตลกอะไรกับพวกเธอหรอก ขอถามพวกเธอหน่อยว่าถ้าลูกชายของเธอตายก่อนเธอ แบบนั้นจะดีไหม? เธอจะไม่รู้สึกเศร้าเสียใจหรือ? ถ้าหลานชายของเธอตายก่อนเธอ แบบนั้นจะดีไหม? แล้วเธอจะมีรุ่นหลานเหลนต่อๆ ไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้อย่างไร? ทรัพย์สมบัติที่ดินมรดกและธุรกิจของเธอจะเจริญต่อไปได้อย่างไร? เธอจะมีใครมาดูแลจัดการต่อไปได้อย่างไร? เพราะฉะนั้นฉันจึงบอกว่าหลังจากที่พ่อตายแล้ว ต่อจากนั้นลูกชายก็ตาย แล้วหลานชายก็ตายในภายหลัง ไม่มีอะไรผิดนี่! (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ, ปรบมือ) มันก็เป็นไปตามลำดับที่เหมาะสม แล้วทรัพย์สมบัติและธุรกิจของเธอก็จะมีโอกาสเจริญรุ่งเรือง” เขาบอกว่านี่เป็นความเจริญรุ่งเรืองที่แท้จริง ทุกๆ คนต้องตายไม่ช้าก็เร็ว! (อาจารย์หัวเราะ) คนในโลกกลัวตายและก็กลัวเวลาที่ได้ยินเรื่องความตาย! ความจริงแล้วไม่มีอะไรจะต้องกลัวเลย ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะตาย เพื่อให้มีอะไรบางสิ่งบางอย่างมา, บางอย่างก็ต้องจากไป! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะตายอย่างไร (อาจารย์หัวเราะ) ตอนนี้เราตายกันทุกวันดังนั้นเราจึงไม่กลัวความตาย! ทุกวันในระหว่างที่นั่งสมาธิ จิตวิญญาณก็ออกจากร่างไป นั่นก็เป็นความตายแบบหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงไม่กลัว! คนทั่วไปภายนอกกลัวกันมากเวลาพูดถึงความตาย! โดยเฉพาะเวลาเธอได้รับเชิญไปงานแต่งงานแล้วเธอพูดคำว่า “ความตาย” ออกมา ก็จะไม่มีใครเอาเหล้าไวน์มาให้เธอหรอก! (ผู้ฟังหัวเราะ)
    ความตายเป็นเรื่องธรรมดามาก เราลงมาที่นี่ก็เพื่อจะเรียนรู้ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น อาจจะหกสิบปี สี่สิบปี บางคนก็สี่ปี บางคนก็สี่วัน และบางคนก็สี่อาทิตย์ ขึ้นอยู่กับว่าบทเรียนที่เธอจำเป็นต้องเรียนรู้นั้นจะยาวนานแค่ไหน ก็เหมือนกับอาจารย์เซนที่เราพูดถึงนี่ บางทีเขาจำเป็นจะต้องได้รับบทเรียนมาก เขาจึงมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี คนบางคนกลับไปเร็วมาก เด็กทารกบางคนจบบทเรียนของพวกเขากันตอนที่เกิดมา พวกเขาก็เลยจากไป! พวกเราผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ก็ร้องไห้กันใหญ่เวลาเด็กคนนั้นตาย ความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา เข้าใจไหม? โลกนี้มันกลับตาลปัตร ความตายไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย จะไม่ดีก็เฉพาะความกลัวว่าถึงเวลาที่เราตายนั้น เรายังเรียนรู้บทเรียนของเราไม่จบ แล้วเราก็ต้องกลับมาและมาตายอีกครั้ง เป็นเรื่องยุ่งยากลำบากลำบนมาก ดังนั้นเราต้องทำให้มันตายครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่นิสัยเก่าๆ จะถูกล้างออกไปก็มีนิสัยที่ไม่ดีอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาก่อนที่จะกลับมา เมื่อเราสะสมพอกพูนมากไป เราก็กลายเป็นคนที่ไม่ดีมาก มีนิสัยไม่ดีหลายอย่าง ตอนที่เราลงมาตอนแรกสุด เราบริสุทธิ์ไร้เดียงสากว่านี้ มีปัญหาแค่อย่างหรือสองอย่างเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเราลงมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่เราจะล้างนิสัยก่อนๆ ออกไปหมด เราก็เรียนรู้นิสัยต่างๆ ที่แย่กว่าอีกในโลกนี้ เมื่อพอกพูนมากขึ้นๆ มันก็ร้ายแรงมากขึ้น ลักษณะเลวๆ เหล่านี้ควรจะถูกเผาไหม้ไปด้วยไฟนรก นั่นก็คือเวลาที่จะไปนรก
    ความจริงแล้วนี่เป็นระบบของการวิวัฒนาการอย่างหนึ่ง เหมือนกับบางครั้งเวลาเครื่องมือของเราไม่ดีแล้ว หรือใช้ไม่ได้อีกแล้วหลังจากที่ใช้มานาน เราก็เผามันทิ้งหรือหลอมมันทำเป็นอันใหม่ออกมา ก็เหมือนกับเวลารถยนต์เก่าเกินไปแล้ว มันก็ถูกหลอมเป็นเหล็กชิ้นใหม่ แล้วเราก็ใช้เหล็กชิ้นนั้นสร้างเป็นเครื่องมืออีกชิ้น พวกเราก็เป็นเหมือนแบบนี้ ถ้าเราไม่ดี พระเจ้าก็จะหลอมเราเป็นชิ้น แล้วสร้างเครื่องมืออันใหม่ที่สมบูรณ์กว่าขึ้นมาอันหนึ่งจากชิ้นเดิมนั้น เพราะฉะนั้นนรกและสวรรค์ก็คือเครื่องมือที่จะทำให้เราพัฒนาและก้าวหน้าขึ้น ถ้าเราไม่ได้กำลังก้าวหน้าขึ้น พระผู้สร้างก็จะช่วย นรกก็เป็นการช่วยแบบหนึ่ง... 




Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
26 เมษายน 2554 08:13 น.

ทำไมพุทธโพธิสัตว์จึงโปรดสัตว์ไม่ได้ทั้งหมด?...

คีตากะ

271150687_1047570.gifปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ 
ที่ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา
วันที่ ๕-๗ สิงหาคม ๒๕๓๔ (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)




ถวายเงิน ๑ เหรียญ
      มีคนคนหนึ่งขี้เหนียวมาก ไม่เคยบำเพ็ญอะไรเลย เพราะเขาไม่เคยบริจาค ดังนั้นจึงกลัวพระมาบิณฑบาต ภรรยาเป็นผู้ชอบธรรมชอบสวดมนต์ ชอบบำเพ็ญ แต่เขาไม่ชอบเลย วันหนึ่ง มารดาของเขาได้ตายไป ภรรยาจึงบอกว่า “ตอนนี้พวกเราควรจะไปไหว้ที่สุสาน แล้วไปทำพิธีที่ริมแม่น้ำคงคา อธิษฐานขอให้พุทธโพธิสัตว์ให้พร ทำเช่นนี้แม่ของพวกเราจึงจะหลุดพ้น” สามีกล่าวว่า “ตกลง! แต่พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปไกลเช่นนั้น มันจะเปลืองเงิน พวกเราไปที่ใกล้ๆ ก็พอ”
    ระหว่างทางที่จะไปที่สุสาน ตัดสินใจจะไปที่วัดแห่งหนึ่ง แต่กลัวว่าจะมีพระสงฆ์อยู่ที่นั่น ก็ต้องถวายเงิน มันเป็นประเพณี ดังนั้นพวกเขาจึงรอจนพระสงฆ์จำวัดแล้วจึงเข้าไป ขณะที่พวกเขาไปถึงวัด ไม่เห็นคนสักคน มีเพียงรูปปั้นของพระพุทธรูปกับพระโพธิสัตว์ตั้งอยู่เท่านั้น
    พระโพธิสัตว์กวนอิมทราบว่า คนผู้นี้ขี้เหนียวมากจึงได้แปลงร่างเป็นพระสงฆ์ นั่งอยู่ที่นั่น คนผู้นั้น หลังจากไหว้พระเสร็จแล้ว หันมา จึงเห็นมีพระสงฆ์อยู่ที่นั่น รู้สึกตกใจ! พระสงฆ์ที่พระโพธิสัตว์แปลงร่างมาจึงบอกกับเขาว่า “ประสกมาไหว้พระที่นี่ ขออนุโมทนาด้วย! ต้องการให้อาตมาทำพิธีสวดไหม?” คนผู้นั้นบอกว่า “ไม่ต้อง! ไม่ต้อง! ข้าพเจ้าทำเอง” พระสงฆ์จึงบอกว่า “ไม่เป็นไรอาตมาทำให้ได้ ท่านไม่ต้องถวายเงินให้เดี๋ยวนี้ อีกสักครู่ค่อยถวายก็ได้ แต่ท่านต้องบอกมาก่อนว่าจะถวายเท่าไร?” ปกติผู้เลื่อมใสศรัทธา เมื่อมาไหว้พระที่วัด ก็จะถวายเงินให้ มันเป็นประเพณีของวัดนั้น
    คนผู้นั้นคิดในใจว่า “ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าจะรับปากท่านก่อน อีกสักครู่ค่อยหลบหนีไป ท่านก็จะหาข้าพเจ้าไม่พบ” ดังนั้นเขาจึงบอกว่า “ดีแล้ว ข้าพเจ้าจะถวายเงินให้ ๑ เหรียญ” พระสงฆ์จึงตอบว่า “ตกลง! ถวาย ๑ เหรียญก็ได้ ขอเพียงให้ท่านให้ด้วยความตั้งใจ” แล้วพระสงฆ์ก็ทำพิธีสวดมนต์ให้หลายบท เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว เขาก็บอกกับภรรยาว่า “ขณะนี้ทำพิธีเสร็จแล้ว ไหว้สุสานเสร็จแล้ว ไหว้พระแล้ว และมีพระสงฆ์มาช่วยพวกเราสวดมนต์ พรุ่งนี้พวกเราก็จะกลับบ้าน”
    เมื่อกลับไปถึงบ้าน อีก ๒-๓ วัน พระสงฆ์รูปนั้นก็มาหาที่บ้าน ภรรยาจึงเข้าไปบอกสามีว่า “พระสงฆ์ที่วัดนั้นมารออยู่ข้างนอก ครั้งนั้นเธอรับปากว่าจะถวายเงิน ๑ เหรียญ เวลานี้ท่านมารับเงิน” สามีตกใจมาก บอกว่า “โธ่เอ๋ย! ข้าพเจ้าไม่อยากให้เงินท่าน ๑ เหรียญ เธอออกไปบอกกับท่านว่า ข้าพเจ้ากำลังเจ็บหนัก ไม่สามารถรับแขกได้ ขอให้เขากลับไปก่อน” ภรรยาเข้าใจถึงความขี้เหนียวของสามี จึงออกไปบอกกับพระสงฆ์ว่า “ต้องขอโทษด้วย สามีข้าพเจ้าเจ็บหนัก ไม่สามารถรับแขก ขอให้ท่านกลับไปก่อน”
    พระสงฆ์จึงบอกว่า “เขาเจ็บป่วยหรือ! อาตมาต้องทำหน้าที่ให้ได้ (ทุกคนหัวเราะ) อาตมาจะช่วยสวดมนต์ให้ช่วยให้เขาหายเร็วๆ “ ดังนั้น ภรรยาจึงเข้าไปบอกกับสามี สามีบอกว่า “โธ่เอ๋ย! ไม่เอา! ไม่เอา! เธอออกไปบอกกับท่านว่า “ข้าฯตายไปแล้ว (ทุกคนหัวเราะ) บอกให้ท่านกลับไป” ภรรยาจึงออกไปอย่างเสียมิได้ บอกกับพระสงฆ์ว่า “ขออภัย! สามีข้าพเจ้าได้ตายเสียแล้ว ขอให้ท่านกลับไปก่อน” พระสงฆ์รูปนั้นก็แสนจะขยัน มิเพียงไม่ยอมกลับไป หากยังบอกว่า “ถ้าเช่นนั้น อาตมาต้องเข้าไปสวดมนต์เพื่อให้เขาหลุดพ้น”
    ตอนนั้นสามีตายแล้ว พูดไม่ได้แล้ว (คนหัวเราะ) ภรรยาจึงจำใจต้องให้พระสงฆ์เข้าไปสวดมนต์ ท่องพระสูตรทำพิธีมากมาย แล้วจึงนำตัวเขาใส่ลงไปในโรงศพ ส่งไปที่เมรุเตรียมเผา ขณะที่กำลังจะนำโรงศพไปเผา เขาจึงรีบกระโดดออกมา กล่าวว่า “ยังๆ ๆ! อย่าเผา อย่าเผา! ข้าฯยังไม่ตาย!”
    ขณะนั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมจึงได้แปลงร่างกลับสู่ร่างเดิม แล้วบอกกับชายผู้นั้นว่า “อาตมาเห็นท่านไปสุสานต้องลำบากและจริงใจ อาตมาดีใจมาก ขณะนี้ท่านสามารถขออะไรก็ได้ อาตมาจะช่วยให้ท่านสมหวัง” ชายผู้นั้นคุกเข่าลงแล้วร้องไห้ พวกเธอทราบไหมว่า เขาขออะไร? เขาขอว่า “พระโพธิสัตว์กวนอิม ให้อภัยกับข้าพเจ้าด้วย ขอให้ท่านยกเลิกการถวายเงิน ๑ เหรียญ!” (ทุกคนหัวเราะ) พระโพธิสัตว์กวนอิมก็ส่ายหน้าแล้วเดินจากไป สรรพสัตว์ก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้พุทธโพธิสัตว์มาโลกนี้ ก็ไม่มีประโยชน์...





Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
26 เมษายน 2554 08:05 น.

เหนือมาตรฐานทางศีลธรรม...

คีตากะ

1861941opp926bkbr.gifปราศรัยโดย Suma Ching Hai
ศูนย์เทียนซัน ฮ่องกง
๑ เมษายน ๑๙๙๔ (เดิมเป็นภาษาจีน)




      ครั้งหนึ่งพระเยซูกำลังพูดอยู่ในที่สาธารณะ แล้วในทันใด คนจำนวนมากมายที่เรียกว่าเป็นผู้มีชื่อเสียง มีสติปัญญาและมีความรู้ก็ก็มากับผู้ที่ได้รับความเคารพยกย่องอย่างสูงในโบสถ์ อย่างเช่น บาทหลวง เป็นต้น พวกเขาได้ลากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้กระทำผิดประเวณี ในตอนนั้นผู้หญิงคนใดที่ได้กระทำผิดประเวณี จะต้องถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจนถึงแก่ความตาย มีวิธีการ ๓ อย่างในการฆ่าคนบาปในตอนนั้น วิธีการหนึ่งก็คือขว้างปาพวกเขาด้วยก้อนหิน อีกวิธีหนึ่งก็คือโยนพวกเขาลงไปในกรงสิงโต และอีกวิธีหนึ่งก็คือตรึงกางเขนพวกเขา พระเยซูถูกตรึงกางเขน แต่ผู้หญิงคนนี้จะต้องถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจนถึงแก่ความตาย
    พวกผู้ชายที่มีเกียรติพวกนั้นได้ท้าทายพระเยซูโดยถามว่า “ตามกฎของโมเสส ผู้หญิงคนนี้ควรจะถูกปาด้วยก้อนหินให้ตาย ท่านคิดอย่างไร?” พระเยซูไม่ตอบอะไรเพียงแต่เขียนลงบนทรายด้วยนิ้วของพระองค์ว่า “กลุ่มคนโกหก” ผู้คนเหล่านั้นเฝ้ารุกเร้าพระองค์ ดังนั้นในที่สุดพระองค์จึงพูดว่า “ใครคนใดในพวกเธอที่ไม่เคยทำบาป แล้วเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุดและศักด์สิทธิ์ที่สุด ก็ขอเชิญขว้างก้อนหินก้อนแรกได้เลย” เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ทุกคนก็ค่อยๆ หลบออกไปอย่างเงียบๆ และอย่างรวดเร็ว (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) สุดท้ายพระเยซูก็ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวกับผู้หญิงที่ได้ทำบาปนั้น พระองค์ถามหล่อนว่า “คนที่กล่าวร้ายเธออยู่ที่ไหน? ไม่มีผู้ชายคนใดที่กล่าวโทษเธอหรือ?”
    หล่อนตอบว่า “ไม่มีชายใด”
    แล้วพระเยซูก็พูดกับหล่อนว่า “ฉันก็ไม่ต้องการที่จะกล่าวโทษเธอเหมือนกัน ตอนนี้เธอกลับไปบ้านได้แล้วละ”
    (ท่านอาจารย์ถอนหายใจ) เรื่องนี้ย้ำเตือนพวกเราบางอย่าง ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยทำบาป นอกจากนั้น ไม่ว่าคนนั้นจะเคยทำบาปหรือไม่ก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภูมิหลังและระดับการรู้แจ้งของเธอ สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมและจริยธรรมของโลกนี้นั้นแตกต่างจากการมองของนักบุญที่แท้จริง ผู้ที่ได้บรรลุถึงระดับสูงสุดของการรู้แจ้ง มองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่แม้กระทั่งจินตนาการหรือคิดถึงคำเหล่านี้ ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายระดับนี้ให้เธอฟังได้อย่างไร
    เมื่อเธอเริ่มต้นบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเป็นครั้งแรก เธอเห็นความแตกต่างระหว่างดีและชั่ว แต่ความแตกต่างค่อยๆ จางหายไปเมื่อเธอบำเพ็ญมากขึ้น นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และยากที่จะอธิบายให้คนอื่นฟัง เธอเพียงแต่รู้มัน และเธอจะไม่คิดมากกว่าอะไรคือดีหรือชั่ว ยกเว้นเมื่อเธอสอนลูกศิษย์ของเธอ เพราะพวกเขาอยู่ ณ ระดับนั้นที่เธอจะต้องอธิบายคำเหล่านั้นให้พวกเขาฟัง มิฉะนั้นแล้วจริงๆ แล้ว เธอไม่ต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นเลย และไม่มีอะไรที่สำคัญกับเธอเลยจริงๆ เพราะเธอมีมุมมองที่ต่างออกไป
    เธอมองจากข้างบนลงล่างและกลายเป็นคนที่มีความอดทนมาก เหมือนอย่างการดูภาพยนตร์ เธอจะไม่ดุด่าคนที่ไม่ดีอย่างโกรธเคือง เพราะเธอรู้ว่าเขากำลังเล่นบทบาทของเขาเท่านั้น และเธอจะไม่ยกย่องคนดีอย่างมากมาย เพราะเธอรู้ว่าเขากำลังเล่นบทบาทของเขาด้วยเหมือนกัน
    สิ่งที่เราเรียกว่าดีหรือชั่วในตัวบุคคลนั้นคือนิสัยความเคยชินหรือพฤติกรรม ไม่ใช่ดวงวิญญาณในบุคคลผู้นั้น ดวงวิญญาณของเราสามารถรู้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ฉันไม่อาจที่จะบอกได้ทั้งหมด เพราะมันยากที่จะบรรยาย แม้ว่าฉันจะรู้ในเรื่องนั้นเป็นอย่างดีมาก เกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่เรียกว่าอาชญากรรมที่หนักหนาสาหัสในสังคมของเรา ฉันก็มีมุมมองที่ต่างออกไป แต่ฉันไม่สามารถที่จะบอกรายละเอียดทุกแง่มุมให้เธอฟังได้ หลายคนจะไม่เข้าใจ และฉันก็ไม่สามารถพูดได้อย่างกระจ่างชัดเช่นกัน
    เหตุนี้ฉันถึงได้บอกให้เธอทำสมาธิทุกวัน แล้วเธอก็จะตระหนักรู้ด้วยตัวเธอเอง ฉันเพียงแต่ให้ภาพมองรวมๆ แก่เธอเพื่อนำเธอไปสู่การตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณของเธอ เมื่อเธอไปไกลขึ้น เธอก็จะค่อยๆ เข้าใจว่าทำไมฉันจึงพูดว่าเราจะไม่มีใจที่แบ่งแยกระหว่างดีและชั่ว เมื่อเราได้รับผลมากขึ้นจากการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ
    เมื่อเราเป็นอิสระจากความมีใจแบ่งแยกนี้ เราจะยกโทษให้กับศัตรูของเราได้อย่างง่ายดาย แล้วเราก็จะไม่โกรธคนที่ทำให้เราเจ็บปวด เราจะลืมทุกอย่างอย่างรวดเร็วมาก และจะไม่รู้สึกแย่นัก แม้ถ้าเรารู้สึกแย่ ก็จะเป็นความรู้สึกแย่สำหรับผู้อื่นแทนที่จะรู้สึกแย่สำหรับตัวเรา....



Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
21 เมษายน 2554 19:19 น.

คนรับใช้ที่ดื้อดึงสามคน...

คีตากะ

3men_tub.gifปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai ที่ฌานในกัมพูชา
๒๘ มีนาคม ๑๙๙๖ (เดิมเป็นภาษาจีน)




      ชายผู้มั่งคั่งคนหนึ่งเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน มีคนรับใช้อยู่ ๓ คน คนหนึ่งรอบคอบมาก คนหนึ่งสุขุมระมัดระวังมาก และอีกคนหนึ่งก็สุภาพมาก ชายผู้มั่งคั่งมีความพอใจมากและชอบพวกเขามากๆ
    ครั้งหนึ่ง บุตรชายของชายผู้มั่งคั่งเกิดอุบัติเหตุพลัดตกแม่น้ำและกำลังจมน้ำ คนรับใช้คนที่ ๒ ผู้ซึ่งสุขุมระมัดระวังมาก เห็นเหตุการณ์นี้แต่เขาสุขุมมากเกินไป จึงกลับไปบอกเจ้านายของเขาว่า “เจ้านาย, บุตรชายของท่านเพิ่งพลัดตกลงไปในแม่น้ำ (ผู้ฟังหัวเราะ) ฉันจะช่วยเขาได้ไหม? (ผู้ฟังหัวเราะ) ท่านคิดว่าเราจะสามารถช่วยชีวิตเขาได้หรือไม่? อะไรเป็นวิธีที่ดีที่สุด? เราต้องมาพิจารณาดูกันหน่อย” แน่นอน ชายผู้มั่งคั่งโกรธมากและไล่เขาออกไป
    กว่าที่ชายผู้มั่งคั่งจะวิ่งไปช่วยชีวิตบุตรชายของเขา มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้คนรับใช้คนแรกผู้ซึ่งรอบคอบมากให้ไปซื้อโลงศพมาหนึ่งโลงเพื่อฝังบุตรชายของเขา เนื่องจากว่าคนรับใช้ผู้นี้เป็นคนที่ตระเตรียมอะไรไว้สำหรับสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น เขาจึงซื้อโลงศพ ๒ โลง (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) เขารอบคอบเกินไป! เจ้านายของเขาโกรธมากและกล่าวว่า “ฉันมีลูกชายตายเพียงคนเดียว, แต่ทำไมเจ้าจึงซื้อโลงศพมา ๒ โลง?”
    คนรับใช้คนนั้นก็ตอบว่า “เผื่อว่าบุตรชายคนที่ ๒ ของท่านตาย, อาจจะจมน้ำหรือด้วยอุบัติเหตุแบบอื่นๆ (ผู้ฟังหัวเราะ) เราก็ไม่จำเป็นต้องไปซื้ออีก ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมัน!”
    ชายผู้มั่งคั่งโกรธเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็ไล่เขาออกไป! 
    ขณะนี้ก็เหลือคนรับใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นผู้ที่สุภาพมาก ชายผู้มั่งคั่งยังคงพอใจในตัวเขา วันหนึ่งเขาและคนแบกของอีกคนได้ออกไปเที่ยวชมทิวทัศน์กับเจ้านายของพวกเขาโดยแบกเกี้ยวพาเจ้านายไป ในระหว่างทาง พวกเขาได้ผ่านหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีน้ำไม่ลึกนัก แต่ถ้าพวกเขาข้ามน้ำ เสื้อผ้าของพวกเขาก็จะต้องเปรอะเปื้อนและเปียก คนแบกของคนนั้นเกิดลังเลใจ เขาไม่อยากให้เสื้อผ้าของเขาเปรอะเปื้อน ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม คนที่สุภาพกล่าวขึ้นว่า “อย่ากลับเลย! ตราบเท่าที่เจ้านายของพวกเรามีความสุข เราก็ควรจะไปต่อ ตัวของเราเองไม่สำคัญหรอก” แล้วเขาก็เดินลุยน้ำไปโดยไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับตัวเองเลย
    เมื่อเจ้านายได้ยินว่าคนรับใช้ของเขาซื่อสัตย์ต่อเขามาก เขาจึงมีความสุขมาก กล่าวแก่คนรับใช้ว่า “เนื่องจากว่าเจ้ารอบคอบมาก, อุทิศตนมากและซื่อสัตย์ต่อฉันมาก ฉันจะมอบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจ้าหลายชุดและจะขึ้นเงินเดือนให้เจ้าเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว”
    ทันทีที่คนรับใช้ผู้สุภาพได้ยินเช่นนั้น เขาก็วางเกี้ยวลง (ซึ่งก็เป็นขณะเดียวกันกับที่พวกเขากำลังยืนอยู่ตรงกลางแม่น้ำพอดี) และตอบออกมาพร้อมกับพนมมือว่า “ขอบพระคุณมากครับสำหรับความเมตตาของท่าน, เจ้านาย!” (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) เขาสุภาพเกินไป
    เธอเห็นไหม ไม่มีอะไรต่างกันมากเลยเมื่อเปรียบเทียบพวกเขากับลูกศิษย์ของฉัน ใช่หรือเปล่า? (ผู้ฟังหัวเราะ) เขาไม่รู้จักวิธีที่จะมองดูสถานการณ์และจัดการกับมัน ทุกคนต่างก็มีคุณสมบัติของตัวเอง แต่ใช้มันผิดที่ผิดทาง
    เธอคงจำขงจื้อซึ่งมีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงหลายคนได้นะ เซลู่ กล้าหาญมาก และซันเฉียวก็สุขุมมาก แต่ทุกคนก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเองเท่านั้น ถ้าเธอสุขุมระวังตัวเกินไป เธอก็จะไม่รู้จักวิธีที่จะผ่อนคลาย ถ้าเธอกล้าหาญเกินไป เธอก็จะไม่รู้ว่าเมื่อไรควรจะอ่อนน้อมถ่อมตน ดังนั้นเรารู้ว่ามันไม่เป็นการดีเลยที่จะเป็นคนสุดโต่ง
    แม้ว่าพวกเขาจะดีมากเก่งมาก แต่พวกเขาก็ยังมาเรียนกับขงจื้อเพราะว่าเขามีคุณสมบัติทุกอย่าง – กล้าหาญ แต่ไม่กล้าหาญจนเกินไป ถ่อมตนแต่ก็ไม่ถ่อมตนจนเกินไป เขารู้วิธีที่จะประพฤติตนไม่ว่าจะภายใต้สภาพแวดล้อมใดๆ เขาจัดการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยท่าทีที่เป็นกลางและไม่บ้าคลั่งมากจนเกินไป
    แต่พวกเราส่วนมากมีลักษณะที่ดื้อดึง ถ้าเราใช้มันในทางที่ถูก มันก็จะดี ถ้าเราใช้ในทางที่ผิด มันก็จะแย่ ก็เหมือนอย่างที่เราสามารถใช้ไฟฟ้าทำให้หลอดไฟสว่าง ทำให้อากาศเย็นหรือร้อน แต่ถ้าเราสัมผัสไฟฟ้าโดยตรง เราก็จะเดือดร้อน นอกจากนี้ ยังมีการรักษาเยียวยาอีกหลายชนิดซึ่งสามารถรักษาคน แต่การกินยามากเกินขนาดก็จะเป็นอันตรายได้
    เรามายังโลกนี้เพื่อที่จะเรียนรู้วิธีที่จะสมบูรณ์พร้อม ดังนั้น เราจึงควรมีคุณสมบัติทุกอย่างและรู้จักวิธีที่จะใช้มันอย่างเหมาะสม เราไม่อาจกล่าวได้ว่าเพราะเรากล้าหาญมาก เราจึงสามารถหุนหันพลันแล่นโดยไม่สนใจต่ออะไรทั้งสิ้น ในสมัยโบราณ มีชายที่กล้าหาญหลายคนที่ตายไปเพราะขาดปัญญา มีตัวอย่างมากมายในเรื่องราวของ “ระบอบการปกครองแบบศักดินาของราชวงศ์โฉวตะวันออก” ถ้าเรากล้าหาญแต่ไม่มีปัญญา เราอาจทำให้ตัวเราเองและผู้อื่นเป็นอันตรายได้....




Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
21 เมษายน 2554 19:09 น.

อดีตชาติและชาติปัจจุบันของหมู....

คีตากะ

pig-4.jpgโดยซิ เซียว ลัน แห่งราชวงศ์ ชิง เชง ลอง
คัดมาจาก “OBSERVE ALL, THATCH HUT NOTE”




      กาลครั้งหนึ่ง มีพระแก่รูปหนึ่งได้เดินผ่านมายังโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาและแล้วก็ได้กล่าวถึงอดีตชาติของเขา “เรื่องราวนั้นนานมาแล้ว ฉันจำได้ว่าเมื่อสองชาติที่แล้ว ชาติหนึ่งฉันเป็นคนขายเนื้อ ดำรงชีวิตด้วยการฆ่าสัตว์ แล้วก็ตายตอนอายุสามสิบปี ดวงวิญญาณได้ถูกนำไปโดยยมทูตมากมายพาไปยังนรก การติดสินข้อหาในโทษของการฆ่านั้นบาปหนาสาหัส ยังผลให้ดวงวิญญาณต้องกลับลงไปในนรกชดใช้ความทุกข์ทรมาน ฉันรู้สึกมึนงงและไม่มีสติสัมปชัญญะ ราวกับเมาเหล้าหรืออยู่ในความฝัน รู้สึกเพียงว่าในหัวของฉันนั้นร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว ในช่วงเวลานั้นฉันได้แต่ปลอบตัวเองว่า ช่างราวกับการเป็นหมูและเกิดใหม่เป็นหมู ช่างเหมือนกับการเป็นหมูที่ล้างนิสัยเดิมๆไปแล้ว ฉันพบว่าผู้คนมักจะนำอาหารที่สกปรกส่งกลิ่นบูดเน่ามาเลี้ยงฉัน ฉันรู้ดีว่าอาหารนั้นไม่สะอาดเลยและพยายามที่จะยับยั้งตัวเองจากการกินนั้น อย่างไรก็ตามฉันก็ไม่สามารถจะทนทานต่อความหิวได้ และอวัยวะภายในต่างๆ ของฉันก็ทุรนทุรายราวกับไฟแผดเผา ฉันไม่มีทางเลือกอื่นใดเลยจำต้องกินอาหารที่สกปรกนั้นเพื่อประทังชีวิต และด้วยการค่อยเป็นค่อยไป ฉันก็เรียนรู้ภาษาของหมูและสามารถพูดคุยกับเพื่อนๆ หมูของฉันได้ อันที่จริงแล้วมีหมูมากมายที่สามารถจำได้ว่าเคยเป็นคนมาก่อนเมื่อชาติที่แล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาเกิดเป็นหมูเท่านั้น ซึ่งมีภาษาที่แตกต่างจากคนและไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ ในเวลาที่กำลังจะถูกฆ่าจะช้าหรือเร็วพวกมันก็จะรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น พวกมันทั้งหมดก็จะโศกเศร้าร้องคร่ำครวญ น้ำตาคลอ”
    “ในเวลาเป็นหมูนั้น ร่างกายของเราช่างอุ้ยอ้ายได้รับความยากลำบากในการเดิน ในเวลาที่ฤดูร้อนมาถึง พวกเราจะหวาดเกรงต่อความร้อนและแช่ตัวลงในขี้โคลน เพื่อทำให้เย็นสบายขึ้น จะอย่างไรก็ดี การทำตัวเลอะเทอะเช่นนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเสมอไป ขนที่หนา แข็งกระด้าง หรอมแหรมของพวกเราทำให้เราหวาดหวั่นต่อความหนาวเย็นในฤดูหนาว แล้วลองดูขนที่หนาฟูนุ่มของสุนัขและแกะราวกับไหมพรมบนร่างกาย พวกเราคิดว่าสุนัขและแกะนั้นเป็นสัตว์ที่ได้รับการทะนุถนอมจากสวรรค์”
    “ในเวลาที่จะถูกนำไปเชือดนั้น แม้ว่าเราจะรู้ตัวแต่ก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ เรายังคงดิ้นรน วิ่งเต้นและพยายามจะหลบหนี ในไม่ช้าคนฆ่าสัตว์ก็จับพวกเราได้ เขาจะกดและจับเราไว้ แล้วมัดคอและขาทั้งสี่ด้วยเชือก ด้วยเชือกที่มัดไว้อย่างแน่นหนาเสียจนสัมผัสถึงกระดูกของพวกเรานั่นเองทำให้เจ็บปวดมากราวกับถูกเฉือนด้วยมีด
    และแล้วเราก็จะถูกขนส่งไปบนเรือหรือไม่ก็เกวียน พวกหมูๆ ทั้งหลายก็จะเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่อย่างหนาแน่นกระทั่งซี่โครงแทบหัก กระแสเลือดไม่อาจไหลเวียนได้โดยง่าย และท้องเราก็ถูกเบียดจนปูดเป่งแทบจะปริแตกเอาได้ ในบางครั้งผู้คนก็จะขนหมูมากมาย โดยแขวนพวกเราไว้ตามเสาไม้ไผ่ซึ่งทำให้เรารู้สึกปวดรวดร้าวมาก ในความรู้สึกขณะนั้นพวกเราปรารถนาจะตายเสียยังดีกว่า
    เมื่อมาถึงโรงฆ่าสัตว์ พวกเราจะถูกโยนไปที่พื้น แล้วหัวจิตหัวใจกับอวัยวะภายในนั้นเต้นเร่าๆ ราวจะระเบิดออก บางครั้งพวกหมูนี้จะตายลงเนื่องจากการได้รับบาดเจ็บและบอบช้ำ และบางครั้งพวกหมูก็จะถูกมัดเอาไว้หลายวัน ที่ซึ่งมีมีดและท่อนเขียงอยู่ทางซ้าย และหม้อใหญ่ต้มน้ำลวกเดือดอยู่ทางขวา คิดดูแล้วกันว่าจะทรมานซักเท่าไร ถ้าต้องถูกเชือดด้วยมีดแล้วก็ลวกในน้ำเดือดนั้น พวกเราไม่สามารถจะหยุดอาการหวาดหวั่นสั่นเทาได้ บางครั้งเมื่อเราคิดถึงตอนที่ถูกชำแหละออกเป็นส่วนๆ แล้วกลายเป็นส่วนประกอบในหม้อซุปในครัวในครัวของใครๆ พวกเราก็รับรู้ถึงโศกนาฏกรรมในความสิ้นหวังของพวกเรา
    ตอนที่ฉันกำลังจะถูกนำไปฆ่า ฉันรู้สึกตื่นตระหนกและวิงเวียน ในไม่ช้าฉันก็ถูกคว้าตัวไปโดยคนฆ่า ขาทั้งสี่ของฉันอ่อนปวกเปียก หัวใจเต้นโครมครามราวฟ้าถล่ม แล้วดวงวิญญาณก็รู้สึกราวกับหลุดออกไปจากส่วนบนของหัวฉัน เมื่อฉันถูกวางลงบนท่อนเขียง ฉันไม่กล้าจะเหลือบมองประกายคมมีดนั้น ดังนั้นก็ได้แต่หลับตาและรอคอยเวลาที่คอจะถูกเชือด คนฆ่าจะเชือดคอของฉันก่อนจากนั้นก็กระดกขอบมีดให้เลือดไหลลงไปที่หม้อ ความทรมานนั้นช่างเหลือเกินคำบรรยาย ก็ในเมื่อฉันไม่สามารถจะตายในเวลาสั้นๆ ได้ สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือการร้องอย่างโหยหวน หลังจากที่เลือดแห้งเหือด คนฆ่าก็จะแทงไปที่หัวใจของฉันด้วยมีด ซึ่งทำให้ฉันเจ็บปวดเข้ากระดูก แต่ก็ไม่สามารถจะร้องออกมาอีกแล้ว และแล้วฉันก็รู้สึกอยู่ในความงงราวกับมึนเมาในฝัน ซึ่งมันเหมือนกับความรู้สึกของการเกิดใหม่
    เป็นเวลานานต่อมา ฉันมองเห็นตัวเองและพบว่าดวงวิญญาณของฉันได้กลับไปยังนรก การตัดสินในนรกนั้นตัดสินให้ฉันไปเกิดเป็นมนุษย์ หลังจากที่พบว่าฉันได้ทำความประพฤติดีไว้เมื่อชาติก่อนๆ พอมาถึงชาตินี้เมื่อฉันเห็นว่าหมูกำลังจะถูกเชือด ช่างเป็นความทุกข์ทรมานโศกเศร้าเหลือเกิน ฉันคิดไปถึงความจริงที่คนซึ่งเป็นคนฆ่าหมูจะได้รับทุกข์ทรมานในชะตากรรมเดียวกันในอนาคต และแล้วฉันจึงคิดย้อนถึงตัวเอง ความคิดทั้งสามผสานเข้าด้วยกันในความรู้สึกและฉันก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้”
    หลังจากที่พระแก่ได้บอกเล่าเรื่องราวของเขาแล้ว คนฆ่าหมูได้ฟังดังนั้นก็ทิ้งมีดลงกับพื้น และได้เปลี่ยนอาชีพของเขาใหม่ไปขายพืชผักแทน



ความโกรธแค้นของหมู(วิทตี้ เฮียร์เชย์)

      เมื่อถึงคราวที่คนฆ่าหมูตายลง ที่ซึ่งห่างออกไปสี่ถึงห้ากิโลเมตร ก็มีหมูตัวหนึ่งเกิดออกมา เจ้าหมูตัวนี้ก็จะกลับไปยังบ้านของคนฆ่าหมู ไปนอนอยู่ที่นั่นและก็ไม่ยอมจากไปไหน หลังจากที่เจ้าของมานำตัวมันกลับไป มันก็ยังหนีมาอีก ดังนั้นเจ้าของของมันจึงคุมขังมันเอาไว้และไม่ยอมให้มันไปไหนมาไหนอีก เขาสงสัยอย่างยิ่งว่าเจ้าหมูตัวนี้คงเป็นคนฆ่าหมูกลับชาติมาเกิด
    คนฆ่าหมูอีกรายหนึ่งได้ตายลง หนึ่งปีครึ่งหลังจากนั้นภรรยาของเขากำลังจะแต่งงานใหม่ เมื่อเธอได้สวมชุดแต่งงานที่สวยงามและล่องอยู่บนเรือ ทันใดนั้นหมูตัวนั้นก็วิ่งออกมาขวาง และจ้องเขม็งมาที่เจ้าสาวด้วยสายตาที่เบิกกว้างอย่างโกรธแค้น แล้วมันก็กัดกระชากชุดของเจ้าสาวจนขาดวิ่น และกัดเข้าที่ส้นเท้า ผู้คนพากันปกป้องเจ้าสาวไว้แล้วก็จับเจ้าหมูโยนลงน้ำไป ฉะนั้นเรือจึงสามารถหันหัวแล่นออกไปได้ และที่ไม่คาดคิดคือพอเจ้าหมูขึ้นถึงฝั่งมันก็วิ่งติดตามเรือไปอีก พอลมพัดแรงขึ้นก็พัดพาเรือห่างฝั่งออกไปไกล เจ้าหมูจึงกลับมาด้วยความเศร้าสร้อย ผู้คนพากันสงสัยด้วยว่าเจ้าหมูตัวนั้นคือคนฆ่าหมูที่กลับมาเกิด และที่มาขัดขวางงานแต่งงานก็เพราะว่าภรรยาของเขา (หมู) กำลังแต่งงานใหม่นั่นเอง
    ยังมีคนขายหมูอีกคนหนึ่งที่ฆ่าหมู ในช่วงเวลาที่หมูถูกฆ่า เป็นเวลาเดียวกันกับที่ภรรยาของเขากำลังใช้ความพยายามให้กำเนิดทารกหญิงออกมา หลังจากที่เด็กหญิงได้เกิดมา เธอก็ร้องโหยหวนราวกับเสียงหมู แล้วก็ขาดใจตาย หลังจากนั้นสามสี่วันของการร้องเสียงครวญคราง ผู้คนลงความเห็นว่าราวกับเป็นเหตุการณ์ที่บ่งให้เห็นว่าทารกหญิงนี้เป็นหมูที่ถูกฆ่ากลับชาติมาในเวลาที่เธอเกิด...



Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ