28 กันยายน 2553 03:06 น.

จี้กงผู้กินอากาศ....

คีตากะ

     สวัสดี ท่านผู้ชมที่มีความสุข ยินดีต้อนรับสู่รายการระหว่างอาจารย์และศิษย์บนโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ การไม่ทานอาหารเป็นการปฏิบัติธรรมที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่างมากที่ประเทศจีนมานานนับพันๆปี หนังสือเต๋า “หนังสือแห่งลำดับของอาหารประจำเดือน” กล่าวว่า “ผู้ที่ทานลมจะเข้าทางจิตวิญญาณและมีอายุยืนยาว ผู้ที่ทานธัญพืชจะฉลาดในวิถีทางต่างๆ แต่จะทำให้จิตเหนื่อยจากการทำงาน ผู้ที่ทานหญ้าจะโง่ ผู้ที่ทานเนื้อสัตว์จะมีความโกรธมากมาย ผู้ที่ทานอากาศจะเข้าถึงระดับจิตวิญญาณแห่งนิรันดรและบรรลุเต๋า” เพราะอาหารมีอิทธิพลอย่างยิ่งในการสร้างชีวิตของเราและบุคลิก ความสำคัญของการปลอดอาหารถูกอธิบายไว้ในรายละอียดของพระสูตรของเต๋า “พระสูตรไทปิง (สันติสุข)” มันกล่าวว่าในตอนแรกเริ่มเมื่อมวลมนุษย์ปรากฏบนโลกครั้งแรก มนุษย์มีธาตุพลังงานเดียวกันในร่างกายเหมือนสวรรค์และโลก และไม่ต้องการอาหารใดในการดำรงชีวิต มนุษย์รุ่นแรกพึ่งพาการดูดซับของหยินและหยางโดยตรงหรือพลังจักรวาล อย่างไรก็ดี เนื่องจากการเสื่อมลงและการห่างจากหนทางของพระเจ้า หลงลืมแหล่งกำเนิดและมีแน้วโน้มสู่ภาพลวงตา ความสามารถทั้งหมดของมนุษย์ได้เสื่อม แล้วจึงเกิดความหิวโหย ดังนั้นถ้าไม่มีการทานอาหารหรือดื่มน้ำความตายจะเกิดขึ้นแน่นอน สวรรค์รู้สึกสงสารมนุษย์จึงได้รับอนุญาตให้ทานอาหารด้วยเหตุผลนี้ เต๋าจึงมีวิถีอย่างช้าๆ ที่จะปลอดอาหาร เริ่มต้นด้วยการทานอาหารปริมาณน้อยลงและมีรสชาติอ่อนลง แล้วพัฒนามาสู่ระดับที่ตนอยู่ได้ด้วยอากาศ จนกระทั่งจิตของคนหนึ่งและอวัยวะภายในเข้มแข็งขึ้นและมีความปรารถนาน้อยลง จนในที่สุดนำไปสู่การขาดความอยากอาหารโดยสิ้นเชิง ลัทธิเต๋าเน้นย้ำถึงการปลอดอาหารเพราะแม้ว่าอาหารสามารถทำให้ร่างกายมีชีวิต มันไม่มีประโยชน์ต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณนัก และจะเป็นอุปสรรคสู่การตื่นและยกระดับของจิตวิญญาณ มันได้รับการเชื่อว่าด้วยการลดการบริโภคอาหาร ผู้บำเพ็ญเต๋าสามารถลดความอยากทางกาย การมีชีวิตที่ปลอดอาหาร สามารถช่วยผู้บำเพ็ญเต๋าอิสระจากกรอบและข้อจำกัดของร่างกาย ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตทางจิตวิญญาณในที่สุด ในตอนนี้ของรายการระหว่างอาจารย์และศิษย์ เรามาพบกับผู้บำเพ็ญจี้กง อาจารย์เหลียว ฟง เชง ผู้ที่บรรลุถึงขั้นอยู่โดยไม่ต้องกินอาหาร จี้กงคืออะไร? ตามความเห็นของเคนเน็ธ โคเฮน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและผู้ก่อตั้งศูนย์บำเพ็ญและการวิจัยจี้กง มันเป็นวิชาของจีนโบราณ เขากล่าวว่าจี้กงคืออุดมการณ์สำหรับชาวเต๋าให้ตระหนักถึงเป้าหมายแห่งหวูจี้ สภาวะแห่งความว่างเปล่า ตื่นตัวของจิตสำนึกที่ไร้ข้อจำกัด ซิ่ง หมิง ฉวง สิ่ว ร่างกายและจิตวิญญาณอยู่ในสมดุล”  ผู้บำเพ็ญเต๋าและจี้กงทั้งคู้ล้วนแสวงหา ความกลมกลืนของหยินและหยาง ภายในและภายนอก ทางโลกและทางธรรม ความสงบนิ่งและความเคลื่อนไหว เชื่อกันว่าผลงานส่วนใหญ่ของจี้กงถูกพบในหนังสือ 1,000 เล่มในวิถีแห่งเต๋า เพื่อทำความรู้จักให้มากขึ้น ในการฝึกจี้กงและการกินอากาศ นักข่าวโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ในฟอร์โมซา(ไต้หวัน) ได้ไปสัมภาษณ์อาจารย์เหลียงฟงเชง ผู้ปฏิบัติจี้กง ที่เปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศ ตั้งแต่ปีที่แล้ว (ถาม : อาจารย์เหลียวโปรดอธิบายแนวคิดของผู้ไม่กินอาหาร) 

      “ผู้ไม่กินอาหารเป็นเรื่องอธิบายกันยาก มันคือการปราศจากอาหาร ซึ่งคุณไม่กินเลยหรือลดการกินอาหารลง แนวคิดหลักก็คือพยายามเป็นมังสวิรัติ ธัญพืชหรือเนื้อสัตว์ควรจะหลีกเลี่ยง เราอาจเริ่มอดอาหารโดยกินผลไม้หรือซุป แล้วค่อยๆปรับการกินอาหารลดลง จนคุณหยุดกินโดยสิ้นเชิงและบรรลุถึงภาวะของการไม่ต้องกินอาหาร คำว่า อินนีเดีย มาจากศัพท์โบราณแบ่งได้เป็น 2 ประเภท อินนีเดียแบบธรรมชาติและอินนีเดียแบบวางแผน อินนีเดียแบบธรรมชาตินั้นก็เหมือนอย่างผมหลังจากที่ฝึกจี้กงไปถึงระดับหนึ่ง ผมก็เลิกกินอาหารไปโดยธรรมชาติ แต่ร่างกายผมยังคงได้รับการหล่อเลี้ยงเพื่อค้ำจุนชีวิต ส่วนคำว่าอินนีเดียแบบวางแผนหรือการใช้อาหารบางชนิดเพื่อปรับเปลี่ยนร่างกาย ขณะที่ยังต้องค้ำจุนชีวิตของคุณ แล้วค่อยๆลดการกินอาหารจนกระทั่ง คุณกลายเป็นผู้กินแต่น้ำ บางคนกระทั่งไม่กินน้ำ นี่เป็นการอดอาหารแบบวางแผน ที่จริงแล้วทั้งสองแบบก็ค่อนข้างคล้ายกัน มันเพียงแต่ขั้นตอนต่างกัน ถ้าคุณทำวิธีอดอาหารแบบวางแผนเพื่อยืดช่วงเวลาให้ยาว คุณจะเข้าสู่ภาวะของการอดอาหารแบบธรรมชาติ”

    อาจารย์เหลียวเป็นผู้ที่ไม่กินอาหารเมื่อไม่นานมานี้ เขาบรรลุถึงสภาวะนั้นได้อย่างไร? อะไรทำให้เขาพร้อมที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิต? ที่แน่ๆคือเขาเผชิญอุปสรรคมากมายในการเดินทาง

     “ผมเติบโตในฟาร์มในชนบท หลังจากเรียนจบ ผมก็ทำงานเป็นครู ต่อมาเนื่องจากเงินเดือนไม่พอจ่ายค่ายาจำนวนมหาศาลสำหรับผู้สูงอายุในครอบครัวของผม ผมจึงเริ่มทำธุรกิจ การทำธุรกิจต้องใช้แรงงานมากและลำบาก หลังจากทำงานหนักอยู่หลายปี ผมทรมานมากจากการเจ็บป่วยเนื่องจากอาชีพ”

     หลังจากที่ป่วย อาจารย์เหลียวกลายเป็นคนไข้ประจำของคลินิกแพทย์ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะไปหาหมอกี่ครั้ง สุขภาพของเขาก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดขาทั้งสองข้างของเขาก็ใช้การไม่ได้เนื่องจากโรคไขข้อเสื่อม ทางเลือกเดียวสำหรับเขาคือการผ่าตัดเขาทั้งสองข้าง หลังจากการทดสอบครั้งนี้ อาจารย์เหลียวก็เริ่มปฏิบัติ “จี้กงตามธรรมชาติ” เพื่อฟื้นฟูสุขภาพและเพื่อคุณภาพของชีวิต

      “ โดยทั่วไปจี้กงสอนให้คุณใช้จิตใจของคุณควบคุมชี่ ปกติแล้วเมื่อเราฝึกจี้กง ครูจะสอนเราให้เพ่งพลังชี่ของเราที่ท้องแล้วเคลื่อนมันไปยังจักระ การปฏิบัติแบบ “จี้กงตามธรรมชาติ”เราเรียกมันว่า “จี้กงตามธรรมชาติ”  เพราะมันเป็นไปเองตามธรรมชาติ มันมาและไปตามที่มันเห็นว่าเหมาะสม เราไม่ต้องใช้สมองไปควบคุมมัน ดังนั้นเมื่อชี่กำลังหมุนเวียนอยู่ทั่วร่างกายของคุณ คุณไม่ต้องควบคุมมัน เมื่อคุณเห็นอากัปกิริยาของจี้กงตามธรรมชาติ บางครั้งมันเป็นการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อย การเคลื่อนไหวที่เด่นชัด บางคนหมุนเร็วมาก”

     เหตุใดอาจารย์เหลียวจึงเลือกการไม่กินอาหาร เขาเปลี่ยนมามีชีวิตอยู่โดยอาศัยเพียงพลังจักรวาลหรือพลังปราณได้อย่างไร? เรามาศึกษาดู อาจารย์เหลียวเกิดในปี 2502 ที่ผิงตง ฟอร์โมซา (ไต้หวัน) ในครอบครัวเกษตรกร หลังจากเรียนจบ เขาก็ทำงานเป็นครูอยู่ระยะหนึ่งแล้วเปลี่ยนอาชีพมาเป็นเจ้าของกิจการ หลังจากทำงานหนักหลายปี เขาทุกข์ทรมานจากโรคที่เกิดจากงานที่ทำ แล้วในที่สุดขาทั้งสองข้างก็ใช้การไม่ได้เนื่องจากโรคไขข้อเสื่อมและต้องผ่าตัด หลังจากนั้นเขาเริ่มฝึก “ชี่กงตามธรรมชาติ” แล้วสุขภาพและคุณภาพชีวิตของอาจารย์เหลียวก็พัฒนาดีขึ้นอย่างมาก

     “เวลาที่คุณฝึก “ชี่กงตามธรรมชาติ” นี้มันจะเป็นไปตามลักษณะปัญหาสุขภาพของคุณ มันไปปรับระบบการหมุนเวียนในร่างกายคุณ จนกระทั่ง มันเคลียร์จุดที่ติดขัด เมื่อระบบหมุนเวียนในร่างกายราบรื่นขึ้น เราก็สามารถพูดถึงการฟื้นฟูสุขภาพของคุณ เราเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟูสุขภาพ ตามมาด้วยการบำรุงความแข็งแกร่ง แล้วเราก็ขยับขึ้นไปที่การปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ เราทำไปทีละขั้นตอน หลังจากจบแต่ละช่วง ร่างกายและจิตใจของคุณรู้สึกสบายอย่างมาก พิษทั้งหลายถูกชำระล้างออกไปจากร่างกายของคุณ มีการเคลื่อนไหวที่เก็บสะสมชี่และในช่วงการสะสมชี่และการล้างชี่ ร่างกายของคุณจะปรับตัวเองและล้างพิษออกไป หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกสดชื่น ร่างกายและวิญญาณของคุณเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง เมื่อคุณขยันฝึกปฏิบัติ การเจ็บป่วยของคุณนั้นก็จะหายไปทีละอย่าง”

     แล้วสภาวะของการอยู่โดยไม่กินอาหารเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติชี่กงตามธรรมชาตินี้อย่างไร?

      “ผมไม่ได้เรียนเพื่อการไม่กินอาหาร แต่เมื่อผมปฏิบัติชี่กงตามธรรมชาตินั้น มันก็เป็นไปเองโดยธรรมชาติ มันเริ่มเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ทีแรก มันขะเป็นช่วงๆ ประมาณ 21 วัน หลังจาก 21 วันแล้ว ผมก็กินอาหารอีก แต่สองสัปดาห์หลังจากนั้น ผมก็หยุดกินอีก แล้วค่อยๆ เข้าสู่สภาวะของการอดอาหารโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเวลาที่ชี่ของคุณมีพลังอย่างที่เราพูดถึง เรื่องของจักรวาลหรือพิภพเล็กๆ เวลานี้คุณเป็นส่วนหนึ่งของพิภพเล็กๆ คุณสามารถค้ำจุนตัวคุณเองได้ ร่างกายของคุณสามารถเริ่มสะสมพลังงานภายนอก การกินอาหารจะลดน้อยลงและค่อยๆหยุดไปเอง ผมหยุดกินอาหารนานกว่าหกเดือนแล้ว ตอนนี้นานกว่าครึ่งปี”

     เมื่อร่างกายของเขาไม่ต้องการอาหารที่เป็นวัตถุอีกแล้ว อาจารย์เหลียวยังค่อยๆหยุดการดื่มน้ำในที่สุด มันมีขั้นตอนอย่างไรของ “การกินอากาศ” มันเป็นไปได้หรือของ “การกินอากาศ” มันเป็นไปได้หรือใน “การฝึกชี่กง” อาจารย์เหลียวบอกว่าความคิดเห็นบางอย่างของเขา

     “สิ่งที่เรียกว่า “การกินอากาศ” มันรวมถึงพลังในธรรมชาติและพลังงานที่มีอยู่ในบรรยากาศในต้นไม้ แสงแดด แสงจันทร์และอื่นๆ  พลังงานเหล่านี้เข้ากับการฝึกปีกู (การอดอาหารในชี่กง) และ “การกินอากาศ” อาหาร 3 มื้อสามารถสามารถลดลงเป็น 2 มื้อหรือหนึ่งมื้อและแล้วไม่กินเลย ถ้าหากคุณไม่หิว วิธีนี้เราสามารถเปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศและทำตามระบบใหม่ในการรับสารอาหาร”

     อะไรคือกระบวนการของอินนีเดีย ในการฝึกชี่กง? มันมีสภาวะที่แตกต่างจากการไม่กินอาหารของผู้ที่ไม่ได้ฝึกชี่กงหรือไม่? มีอุปสรรคอะไรที่คนเราต้องเผชิญเพื่อการเป็นผู้กินอากาศ? อาจารย์เหลียวได้บรรยายให้แก่ผู้สื่อข่าวของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ในรายละเอียดที่ลึกซึ้ง

     “โดยทั่วไป อินนีเดียมีสภาวะที่แตกต่างกัน ทั่วไปแล้วใน 3 วันแรกของการไม่กินอาหารเป็นสภาวะที่ลำบากที่สุด เพราะคุณเปลี่ยนจากการเคยกินไปเป็นไม่กินอะไร ผมพูดจากจุดยืนของการเป็นผู้กินอากาศในระดับของชี่กงที่ไม่กินอาหาร 3 วันแรก คุณต้องต่อสู้กับนิสัยของการกินอาหาร แล้วตอนนี้คุณไม่กิน มันไม่ใช่ว่า คุณไม่ต้องการกิน แต่คุณจะรู้สึกไม่สบาย เวลาที่คุณกินและจะทิ้งมันไปหมด คุณไม่สามารถกลืนลงคอ คุณรู้สึกว่าอิ่มเหลือเกินเหมือนอาหารนั้นขึ้นมาถึงคอ ดังนั้นทั้งหมดมันทำให้คุณฟื้นฟูทุกอย่าง 3 วันแรกนั้น มันยากที่จะทนได้ เพราะเมื่อคุณเห็นคนอื่นกินอาหาร คุณก็อยากจะกินบ้าง แต่ร่างกายของคุณไม่ยอมรับ แล้วหลังจาก 3 วัน คุณจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง แล้วจากวันที่ 10 ถึง 13 คุณจะรู้สึกเหนื่อย เพราะในสภาวะนี้ร่างกายและจิตใจของคุณต้องการพัฒนาไปสู่ระดับที่ไม่กินโดยสิ้นเชิง เวลานั้นคุณจะเหนื่อยง่ายและค่อนข้างอ่อนแอ นี่คือภาวะที่เจ็บปวด แต่พอถึงวันที่ 14 ร่างกายจะคืนสู่ปกติอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นมันก็ง่ายขึ้น คุณไม่มีปัญหาที่อยากจะกินอีกต่อไป มันมีแต่กินไม่ได้”

      อาจารย์เหลียวได้เล่ารายละเอียดว่าคนเราควรคาดหวังอะไรจากการเปลี่ยนแปลงนี้ รวมทั้งการแนะนำถึงวิธีจัดการบางอย่าง

      “ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 3 เราเรียกมันว่าช่วงล้างพิษ ในระหว่างช่วงนี้เนื่องจากคุณหยุดกินอาหาร ท้องและลำไส้ของคุณว่างเปล่าโดยสิ้นเชิงและพิษทั้งหลายจะถูกล้างออกจากร่างกายของคุณ ดังนั้นคุณอาจจะมีอาการท้องเสียบ่อย มันมีสภาวะหลายอย่างในช่วงที่ล้างพิษ เช่น ขับถ่ายหนักเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลดำ สีของถ่ายเบาจะเป็นสีคล้ำและข้น ร่างกายของคุณมีกลิ่นแรงและไม่น่าพอใจ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการล้างพิษและชี่ที่ไม่ดีถูกขับออกจากผิวหนังและจักระของคุณ ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผู้คนจะได้กลิ่นและที่กระจายออกจากตัวคุณ ซึ่งคล้ายกับกลิ่นคนแก่ แต่กลิ่นตัวของคุณอาจจะแรงกว่านั้นก็ได้ บางครั้งคุณจะเห็นของเหลวข้นๆออกมาจากตัวคุณ แม้ลมหายใจของคุณก็มีกลิ่นเหม็นไม่มีทางใดจะระงับมันได้ เพียงแต่ล้างปากของคุณให้บ่อยครั้งขึ้น ช่วงของการล้างพิษตั้งแต่วันที่ 3 ถึง 7 คล้ายกับการล้างทุกสิ่งทุกอย่างออกจากโกดัง คุณต้องกำจัดทุกอย่างที่ไม่ต้องการ นี่เป็นสภาวะที่สอง เริ่มต้นในวันที่ 3 แล้วภายในสัปดาห์แรกหลังจากที่ล้างพิษแล้วซึ่งคือสิ่งที่เราเรียกว่าช่วงทำความสะอาด สิ่งที่ไม่ต้องการที่ถูกสะสมไว้ ทั้งหมดจะถูกกำจัดทิ้งไป”

      เมื่อล้างพิษแล้วก็ก้าวหน้าไปสู่สภาวะของการทำความสะอาด

     “ในช่วงนี้ร่างกายของคุณเริ่มเผาผลาญไขมันและสารอาหารที่เกินความจำเป็น หากคุณมีน้ำหนักมากเกินไป ไขมันส่วนเกินจะถูกเผาผลาญไปอย่างช้าๆ ภายใต้สภาวะนี้ ดังนั้น คุณอาจจะพบกับความรู้สึกร้อนและรู้สึกร่างกายอ่อนแอ ปากของคุณจะไม่รู้รสชาติ ในสภาวะตรงนี้คุณอาจจะใส่อาหารในปากของคุณได้บ้าง เช่น ผักที่มีรสเผ็ด เพียงเพื่อให้คุณรู้สึกดีขึ้น นี่คือที่เรียกว่าช่วงการทำความสะอาด”

      มีสภาวะที่แตกต่างกันอย่างไรในการกลายเป็นผุ้กินอากาศ? เราเรียนรู้จากอาจารเหลียวว่าในสภาวะแรกเรียกว่าการล้างพิษ ในช่วงนี้ร่างกายของเราจะขจัดพิษที่สะสมมาตลอดชีวิตของเราจนถึงจุดนี้ มันยังเป็นสภาวะที่ เราเริ่มหมดความรู้สึกอร่อยและไม่สามารถกินอะไรได้เลย แม้ว่าเราถูกยั่วให้กิน เมื่อเราผ่านกระบวนการของการอยู่โดยไม่กินอาหาร เราควรระวังอะไรบ้างและเราจะเอาชนะความท้าทายที่เกิดขึ้น แต่ละครั้งได้อย่างไร?

      “คุณอาจจะท้องเสีย มันเป็นหนึ่งในสภาวะของการล้างพิษ คุณควรดื่มน้ำมากขึ้น ในช่วงนี้และคุณต้องทำตามเหมาะสม การที่ดื่มน้ำมากขึ้นไม่ได้หมายความว่าจะดื่มไม่หยุด ให้ดื่มเพียงแค่พอเพราะคนเราเสียน้ำในร่างกายหลังจากที่ท้องเสีย แบบนี้ไม่ดี ดังนั้นระหว่างอดอาหารเราต้องดื่มน้ำตามที่จำเป็นอย่างที่ผมพูดมาแล้ว ”วิธีที่ปราศจากวิธี” ขอให้ใช้อย่างชาญฉลาด ดังนั้นคุณต้องทำตามที่เหมาะสม ระหว่างการล้างพิษ เราอาจรู้สึกเหนื่อยอย่างชัดเจน แต่อย่าไปคิดว่าคุณป่วย มันเป็นปฏิกิริยาธรรมดา เนื่องจากการล้างพิษและการเริ่มต้นใหม่ แน่นอนที่คุณจะรู้สึกเหนื่อยและอ่อนแอ ถ้าคุณพบกับสภาวะอะไรที่พิเศษในระหว่างอดอาหาร คุณอาจจะหยุดได้ชั่วขณะ ถ้าครอบครัวของคุณคิดว่าคุณป่วย คุณควรอธิบายให้พวกเขาว่านี่ไม่ใช่การที่กินไม่ได้ อินนีเดียคือวิธีที่พัฒนาศักยภาพของคนเรา คุณต้องอธิบายให้ชัดเจนแก่ครอบครัว อย่าทำให้พวกเขารู้สึกรู้สึกสับสน”

      เมื่อเราผ่านขั้นตอนแรกซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน ร่างกายของเราเริ่มทำความสะอาด ในสภาวะทำความสะอาดนี้ร่างกายเราจะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกินหรือไม่จำเป็น เช่น ไขมันส่วนเกิน สภาวะต่อไปคือการปรับสภาพ

     “ในระหว่างช่วงการปรับสภาพ เราปรับอะไรก็ตามที่จำเป็นเมื่อคุณอยู่ในสภาวะนี้ คุณจะรู้สึกว่าร่างกายของคุณ เบาขึ้น เพราะอะไร? เพราะคุณเพิ่งเคลียร์คลังเก็บของของคุณ และเผาผลาญไขมันส่วนเกินออก ดังนั้น คุณจะรู้สึกเบาขึ้น เมื่อคุณอยู่ในช่วงของการปรับสภาพ คุณอาจรู้สึกผิวหนังที่หย่อนขึ้นนั้น กระชับขึ้นเนื่องจากการเผาผลญไขมัน ดังนั้น ในช่วงการปรับสภาพนี้ ผิวหนังเต่งตึงขึ้น หมายถึงว่ารอยเหี่ยวย่นจะค่อยๆหายไป รอยตีนกาบางแห่งของคุณอาจหายไปในระหว่างช่วงนี้”

     การเริ่มสภาวะที่ปรับสภาพร่างกายของเรายังคงแสดงออกถึงประโยชน์จากการไม่กินอาหาร

      “หลังจากช่วงการปรับสภาพนี้ ในวันที่ 15 สภาวะต่อไปเรียกว่าช่วงฟื้นฟู หลังจากที่ “คลัง” เตรียมตัวเสร็จแล้วและปรับสภาพแล้ว ตอนนี้เราจะใช้งานมัน นี่เป็นการเริ่มต้นการอดอาหารที่แท้จริง เมื่อเราวางรากฐานของเราใหม่ ตอนนี้เราจะใช้งานมัน ณ จุดนี้ ไม่สำคัญว่าคุณฝึกชี่กงหรือไม่หรือคุณปฏิบัติธรรมวิถีใดก็ตาม คุณจะได้รับผลสองเท่าโดยใช้ความเพียรครึ่งเดียว พูดอีกอย่างคือคุณสามารถได้รับผลโดยใช้ความพยายามนิดเดียวเท่านั้นและสภาพร่างกายของคุณก็อยู่ในระดับที่ดีที่สุดของมัน ถ้าคุณมีปัญหาด้านสุขภาพ มันจะถูกกำจัดออกไปในช่วงการชำระล้าง การเจ็บป่วยที่เรื้อรังก็จะถูกปรับสภาพและถูกซ่อมแซมระหว่างช่วงการฟื้นฟู ดังนั้นสภาพร่างกายของคุณจะพัฒนาขึ้น คุณจะรู้สึกแข็งแรงขึ้น และมีพลัง คุณอยากนอนน้อยลง คุณเพียรพยายามเพียงนิดหน่อยแต่ได้รับผลดีมาก”

      คล้ายกับคนอื่นๆที่ไม่กินอาหาร เช่น เจริโค ซันไฟร์ ,พานทันลุค,หรืออากาฮี เมื่อเราผ่านขั้นตอนของการอดอาหาร ความอยากในรสชาติอาหารจะเปลี่ยนจากเนื้อสัตว์มาเป็นพืชผัก และในที่สุดเราสามารถอยู่ด้วยพลังของจักรวาลหรือพลังปราณ ณ จุดนี้ตามที่อาจารย์เหลียวกล่าว ร่างกายของเราจะไม่อยากและจะปฏิเสธอาหารวัตถุไม่ว่าในรูปแบบใด

      “โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งเป็น 3 ประเภท ประเภทแรกคือเราลดการบริโภคอาหารและเรากินน้อยลง เรายังกินและดื่ม แต่ไม่กินเนื้อสัตว์และธัญพืช(ข้าว ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ฯลฯ) จำนวนของอาหารที่กินก็เล็กน้อยมาก บางทีเป็นผักนิดหน่อยและผลไม้ก็พอแล้ว มีตัวอย่างหนึ่ง อาจารย์กวงชิน ในอดีตผู้กินแต่ผลไม้ ประเภทที่สองคือหยุดกินโดยสิ้นเชิงเพียงดื่มน้ำเท่านั้น ประเภทที่สามคือผู้กินอากาศ คนหนึ่งหยุดการกินโดยสิ้นเชิงแบบสุดท้ายนี้ดีที่สุด ไม่ว่าเป็นประเภทใด คุณจะไม่รู้สึกหิว จิตคิดของคุณจะเฉียบแหลม สภาพร่างกายของคุณก็ดีมาก คุณไม่ต้องนอนมากและร่างกายของคุณอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดของมัน คุณจะดูดีตามธรรมชาติ คุณจะแข็งแรงและสุขภาพดี และแล้วผลก็คือคุณอายุยืน ระหว่างที่อดอาหารอาการของโรคทางสุขภาพจะปรับดีขึ้นหลายๆ อย่าง เช่น เบาหวาน โรคอ้วนและไขมันในเลือดสูง อย่างตัวผมเองเคยเป็นโรคเก๊าท์มาก่อน ถ้าผมกินถั่ว แม้แค่เม็ดเดียว มันจะทำให้ผมทรมานทั้งคืน ในช่วงที่ผมพยายามอดอาหารขั้นที่สอง ผมบำบัดโรคเก๊าท์หายโดยสิ้นเชิง”

     ด้วยการไม่กินอาหาร เราลดการพึ่งพาวัตถุในโลกนี้ ด้วยพลังของจักรวาลหล่อเลี้ยงร่างกายของเรา เราสามารถเพ่งความสนใจมากขึ้นในพระเจ้าพลังแห่งจักรวาล วิธีเช่นนี้การอดอาหารจึงสามารถมีผลต่อการบำเพ็ญของเรา

     “การอดอาหารมีประโยชน์มาก สามารถช่วยยกระดับทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ดังนั้นผู้บำเพ็ญจิตหลายๆ คนใช้การอดอาหารมาช่วยให้บรรลุถึงการรู้แจ้ง ตัวอย่างเช่น คริสเตียนใช้การอดอาหารและการภาวนามาช่วยพัฒนาจิต และรับรู้การชี้ทางของพระเจ้า เราลองมาดูนักปราชญ์ในอดีต ศาสนาพุทธ พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ทรงผ่านช่วงของการอดอาหาร ศาสนาคริตส์ พระเยซูคริสต์ก็ทรงมีประสบการณ์ช่วงของการไม่กินอาหาร ฮิบโปเครติส บรรพบุรุษทางการแพทย์ของกรีกโบราณเชี่ยวชาญในเรื่องการบำบัดด้วยอาหารและแนะนำคนไข้ของเขาให้รักษาการเจ็บป่วยด้วยการอดอาหาร โซเครติสก็ยังใช้การอดอาหารทำความบริสุทธิ์และยกระดับวิญญาณของเขา ดังนั้นนี่เป็นวิธีที่ดีมากที่จะแนะนำให้ทุกคน แต่คุณต้องเข้าใจให้ชัดเจนก่อนถึงกระบวนการทั้งหมด อย่าพยายามอดอาหารทันทีโดยไม่มีความเข้าใจ มันจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ”

      สำหรับผู้ที่ต้องการอยู่โดยไม่กินอาหาร แม้ว่าช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม อาจารย์เหลียวได้กรุณาให้เคล็ดลับและข้อแนะนำที่มีประโยชน์มาก สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการฝึกอดอาหารเป็นช่วงเวลายาวนาน เขาก็แนะนำอาหารพืชผักปราศจากเนื้อสัตว์

     “กระบวนการเรียนรู้ในการอดอาหารจำเป็นต้องรู้บางอย่าง สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือ ถ้าหากคุณไม่ต้องการจะเรียนรู้การอดอาหาร คุณควรกินให้น้อยลงเพราะมันจะดีต่อสุขภาพของคุณ คุณอาจจะไม่ต้องการฝึกการอดอาหาร แต่คุณควรลดการบริโภคอาหารเพราะว่าการกินมากเกินไปจะสะสมอาหารมากเกินไปไว้ในท้องของคุณและคุณต้องย่อยทั้งหมดนั้นซึ่งจะต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมาก นั่นคือสาเหตุที่เวลาคุณกินอิ่มเกินไป คุณรู้สึกง่วงนอน มีข้อแนะนำมากมายบอกว่า “กินอิ่มแค่ 80%” ให้ระบบย่อยของคุณมีเวลาว่างมากกว่า 10 ชั่วโมง เพื่อให้ก๊าซที่สะสมสามารถระบายออกได้ ในช่วงนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือเป็นมังสวิรัติและเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ เพราะการเป็นมังสวิรัติจะช่วยระบบเผาผลาญอาหารและสร้างสมดุลให้แก่ระบบประสาทอัตโนมัติของเราและช่วยให้มันอยู่ในสภาพที่ดีพร้อม ทุกคนรู้ว่าการกินเนื้อสัตว์ทำให้เรามีความรู้สึก “เลี่ยน” และก่อให้เกิดโรคไขมันอุดตัน ดังนั้นคนเป็นมังสวิรัติมีเลือดที่เป็นด่างอ่อนๆ ทำให้กล้ามเนื้อของพวกเขาและส่วนอื่นๆ ของร่างกายไม่เหนื่อยง่าย จิตใจของพวกเขาก็แจ่มใส และพวกเขาไม่มีการเซื่องซึม อีกอย่างหนึ่งคือ เนื้อสัตว์ถูกฆ่า ความเกลียดชังจะสะสมอยู่ในเนื้อนั้น เมื่อคุณบริโภคเนื้อ ความเกลียดชังก็เปลี่ยนเป็นสารพิษซึ่งมันไม่ดีเลยสำหรับร่างกายของคุณ”

      ดังนั้นขั้นตอนอะไรที่จะลดการกินอาหารของเราได้ เพื่อจะพัฒนาสุขภาพ?

     “เราควรลงมือ ดังนี้ คุณสามารถค่อยๆ เลื่อนเวลาอาหารค่ำ ตัวอย่างเช่น คุณเลื่อนจากสองทุ่มเป็นหนึ่งทุ่มจากนั้น 6 โมงเย็น คุณสามารถ คุณค่อยๆ เลิกหลังเที่ยง ดังนั้น คุณกินวันละ 2 มื้อ กินตอนเช้าและตอนบ่าย ไม่ใช่กลางคืน มันอาจจะยากในตอนเริ่มต้น คุณสามารถกินผลไม้หรือดื่มอะไรบางอย่างเป็นอาหารเสริมในเวลากลางคืน แล้วคุณจะค่อยๆชินกับการไม่กินอาหารค่ำ แล้วคุณจะสุขภาพดีขึ้น หลังจากคุณกินอาหารเช้าและกลางวัน คุณสามารถพักระบบย่อยของคุณ มันจึงจะสามารถฝึกการขับถ่ายของมัน วิธีนี้ร่างกายและจิตใจของคุณมีควาสมดุล มันจึงดีกว่าสำหรับคุณ”

       ทำอย่างไร ถ้าเราต้องการหยุดกินอาหารและเรียนรู้วิธีอยู่โดยไม่กินเป็นเวลานานๆได้? อาจารย์เหลียวได้อธิบายกระบวนการและเคล็ดลับรายละเอียด

     “ขั้นแรกก่อนลองอดอาหาร คุณต้องหาข้อมูลความรู้ของการอยู่โดยการไม่กินอาหารและทำความเข้าใจให้ชัดเจน เพื่อที่คุณจะไม่ต้องตกใจแล้วก็ให้ตัวคุณเข้าสู่สภาวะอดอาหารโดยธรรมชาติ อย่าบังคับตัวเอง เมื่อร่างกายของคุณไม่พร้อมแล้วคุณบังคับมัน คุณมีแต่จะทำร้ายตัวคุณเอง หลังจากที่คุณเข้าสู่ภาวะอดอาหารคุณต้องคอยสำรวจปฏิกิริยาของร่างกายคุณแต่ละอย่างและทำความเข้าใจสภาวะนั้น แล้วคุณจะสามารถอดอาหารได้โดยปลอดภัยและมีสุขภาพดี คุณต้องจัดการอย่างพิถีพิถันระหว่างงานของคุณ ครอบครัวและสภาพจิตใจของคุณเอง มันจำเป็นต้องมีการจัดการในทุกๆด้าน ถ้าคุณมีโอกาสอยู่โดยไม่ต้องกินอาหาร คุณต้องคว้าจับมันไว้เพราะมันดีมากสำหรับร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของคุณ สุดท้ายที่ผมอยากพูดถึงคือการอดอาหารโดยอนุโลมและการอดอาหารโดยสิ้นเชิง การอดโดยสิ้นเชิงคือการเลิกกินอาหารโดยสิ้นเชิง การอดโดยอนุโลมคือการกินและดื่มนิดหน่อยเป็นครั้งคราว บางครั้งการอดอาหารจะมี 2 แบบผลัดกัน เราไม่ควรยืนกรานอย่างใดอย่างหนึ่ง เราควรปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าบังคับมันด้วยสมองของเรา มันจะส่งผลที่เป็นลบแก่เรา”

      “เรากินเนื้อสัตว์มากเกินไป หลงใหลเคยชินกับการกินเนื้อสัตว์ ตอนนี้เราก็เห็นผลของภาวะโลกร้อนบนโลก การเลี้ยงปศุสัตว์เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของภาวะโลกร้อน รายงานล่าสุดทาฃวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ก่อให้เกิดการแพร่ก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 50% ซึ่งมากกว่าการแพร่ก๊าซของการขนส่งทั้งหมดมารวมกัน มีการประชุมสัมนาระดับนานาชาติหลายครั้งที่ยกเรื่องภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องแรกของวาะ ตัวอย่างเช่น โปเอ้า ฟอรั่ม ฟอร์เอเชีย มีหลายคนที่ประกาศอย่างเปิดเผยถึงการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ การลดการกินเนื้อสัตว์จะลดการแพร่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นี่เป็นทางแก้ปัญหาวิธีหนึ่งในการลดภาวะโลกร้อน เนื่องจากเราพูดคุยเรื่องนี้มามาก เราควรทำความเข้าใจว่าการอดอาหารเป็นทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้ เพื่อนๆของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ในช่วงภาวะโลกร้อนนี้และวิกฤตการณ์ของโลก เราควรลดการกินเนื้อสัตว์ลงและเดินในทิศทางของการเป็นมังสวิรัติ หากคุณไม่ต้องการฝึกการอดอาหารแบบชี่กงเหมือนผม ผมอยากแนะนำว่าการลดการกินเนื้อสัตว์และหันมาเป็นมังสวิรัติและลดอาหารของคุณ จาก 3 เป็น 2 มื้อต่อวัน มันไม่เพียงแค่ดีต่อร่างกายของคุณ มันยังดีต่อสิ่งแวดล้อม ขอบคุณทุกๆคน”

      ขอบคุณอาจารย์เหลียวในการสละเวลาแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเราในเรื่องการอยู่โดยไม่กินอาหาร คำอธิบายของคุณถึงสภาวะของอินนีเดีย ทำให้ผู้ชมของเรามีความเข้าใจมากขึ้นในกระบวนการของการอยู่ด้วยพลังปราณ

				
28 กันยายน 2553 02:47 น.

พลังปราณ....

คีตากะ

      ในหลายๆ พระสูตรมักล่าวถึงเสมอว่าร่างกายมนุษย์เป็นวิหารของพระเจ้า อย่างไรก็ตามมันเป็นเอกสิทธิ์ที่หาได้ยากสำหรับแต่ละจิตวิญญาณที่จะได้รับวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระเจ้าพำนักอยู่นี้ เพราะมันคือพระพรโดยแท้จริงในการเกิดใหม่มาเป็นมนุษย์ มีหลายครั้งที่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่หาได้ยากนี้ “การได้มาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์นั้นยากลำบาก คุณต้องมีคุณสมบัติของมนุษย์เพียงพอ คุณต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อแม่กับสังคมกับผู้คนรอบข้างของที่ที่คุณเกิด มันยากมาก การเป็นมนุษย์คุณต้องมีบุญกุศลบางอย่าง คุณต้องทำบางอย่างที่ดีเอาไว้แล้วในอดีตเพื่อที่จะสามารถมาเกิดในร่างกายมนุษย์ได้” (อนุตราจารย์ชิงไห่)
     ในฐานะวิหารมีชีวิตของพระเจ้า ร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นอย่างครบถ้วนพร้อมกับความมหัศจรรย์ต่างๆซึ่งสามารถตื่นขึ้นในบุคคลเหล่านั้นที่จิตวิญญาณตระหนักรู้และมีศรัทธาเต็มเปี่ยมต่อพระผู้สร้างของทุกชีวิต “อินนิเดีย” เป็นภาษาลาตินแปลว่า ”การอดอาหาร” คือความสามารถของมนุษย์ในการอยู่โดยปราศจากอาหาร ตั้งแต่สมัยโบราณกาลมักจะมีบุคคลซึ่งสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังปราณหรือพลังชีวิต ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า อินนิดิเอทหรือผู้ที่มีชีวิตอยู่โดยไม่กินอาหารสามารถดึงเอาพลังงานจากธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงตนเองได้ “พวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยพลังชี่จากพื้นดินหรือจากป่า จากดวงอาทิตย์ จากอากาศ พวกเขานำทั้งหมดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์หรือพวกเขาอยู่ด้วยความรัก ด้วยความศรัทธาเท่านั้น” (อนุตราจารย์ชิงไห่ ) บุคคลเหล่านี้ แต่ละคนเรียกว่าผู้กินอากาศ ผู้กินแสงอาทิตย์ ผู้กินแต่น้ำหรือผู้อาศัยพลังปราณ พวกเขามาจากทุกชนชั้น จากหลากหลายวัฒนธรรมและจากทุกมุมโลก ความจริงมีความเป็นไปได้และมีปาฏิหาริย์ในชาตินี้ เพราะพระผู้สร้างผู้เมตตาได้ออกแบบไว้สำหรับเราอย่างไม่สิ้นสุด เพียงแต่เราต้องเชื่อมต่อกับภายในเพื่อรู้จักความอุดมสมบูรณ์ของเราซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ด้วยความรักได้แนะนำเรื่องราวนี้ทุกสัปดาห์ในโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์เพื่อแนะนำบุคคลเหล่านั้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผู้ที่ได้เลือกใช้ชีวิตอยู่ในโลกโดยไม่กินอาหาร ขอให้เรื่องราวทางจิตวิญญาณของพวกเขาติดตรึงใจคุณ ขอให้ทุกหัวใจเปิดกว้างและขยายมุมมองออกไป เรื่องราวของ ดร.คริสโตเฟอร์ ชไนเดอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้กินอากาศในรายการระหว่างอาจารย์และศิษย์ รายการนี้กล่าวถึงความเป็นไปได้ของลัทธิกินอากาศหรือการอยู่โดยไม่กินอาหาร มันไม่ใช่การสอนที่สมบูรณ์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าพยายามหยุดกินอาหารโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ
         
      “สวัสดีครับ คุณคือชีวิตที่เป็นแสง ผมอยากให้คุณมีโอกาสพบกับมันอีกครั้งหนึ่ง มีประสบการณ์ใหม่กับมันว่าเราจะสามารถหล่อเลี้ยงโดยพลังปราณ โดยแสง โดยชี่ได้อย่างไร? เราจะสามารถใช้มันมารักษาตัวเราเองได้อย่างไร? และเราจะกลับไปยังที่มาของเราได้อย่างไร? ซึ่งเราที่เป็นชีวิตของสวรรค์มีความคุ้นเคยกับมัน ตัวผมเองเป็นโค้ชฝึกผู้กินอากาศ ผมคอยดูแลคนที่ต้องการผ่านกระบวนการเป็นผู้กินอากาศซึ่งเป็นที่นิยมกันโดยจัสมูฮีน สุภาพสตรีชาวออสเตรเลีย ซึ่งการอยู่ด้วยลมปราณนี้ เราสามารถเรียนรู้ได้”

     ดร.คริสโตเฟอร์ ชไนเดอร์ เป็นนักเคมีและนักบำบัดโรคโดยไม่ใช้ยา เขายังเป็นบริทเทเรียน ผู้ที่ไม่กินอาหารมาเป็นเวลาหลายปี การอยู่แบบกินอากาศไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยคิดมาก่อนตั้งแต่เติบโตมา

     “ผมโตที่เมืองฮาโนเวอร์ทางตอนเหนือของเยอรมันที่ซึ่งผมเรียนวิชาเคมี แล้วผมเริ่มทำงานกับสหประชาชาติเป็นเวลา 2 ปีในการทำโครงการ แต่หลังจาก 2 ปี ผมคิดว่าผมอยากเป็นนักบำบัดโดยไม่ใช้ยา แล้วครึ่งปีต่อมาผมก็เริ่มที่โรงเรียนเนเจอร์โรพาท ใช้เวลาอยู่หลายปี มันก็ตลกนะ ผมเคยสนใจในเรื่องยามาก่อน แต่เนื่องจากตอนที่เป็นเด็กเวลาที่ผมเห็นเลือดหรือเข็มแล้ว ผมเป็นลม ดังนั้นผมไม่เคยคิดจะเรียนเรื่องยา แต่ผมเรียนด้านเคมี ผมก็กลับมาหาเรื่องยาอีก คุณต้องเรียนหลายอย่างและเข้าคอร์สต่างๆ  ในวิธีการแบบไม่ใช้ยา สำหรับเรื่องส่วนตัวที่คุณต้องการทำแล้วนี่คือส่วนใหญ่ที่ผมได้นำมาใช้ในเวลานี้ ในฐานะเป็นผู้รักษาโรคโดยไม่ใช้ยา ยกตัวอย่าง การฝังเข็ม ผมไปเรียนที่ศรีลังกา ผมหัด “สัมผัสเพื่อสุขภาพ” ซึ่งเป็นการทดสอบกล้ามเนื้อ ผมเรียนอยู่หลายคอร์สที่นั่น ผมก็กลายเป็นครูอยู่ที่นั่น”

     นักปฏิบัติด้านสุขภาพที่ไม่ธรรมดา ผู้ที่ดูแลคนไข้อย่างประณีต ดร.ชไนเดอร์พยายามให้พวกเขาได้รับผลในทันที

      “ผมรักคนไข้ของผม แต่ผมไม่อยากให้เขามาขึ้นอยู่กับผม เวลาที่คุณปวดหลัง คุณอาจจะใช้การบำบัด 10 ข้อแล้วมันก็ดีขึ้น แต่ผมไม่อยากพบพวกเขา 10 ครั้ง ทำไมหรือ? เพราะผมต้องการให้พวกเขาได้รับผลเต็มที่ตั้งแต่นาทีแรก ดังนั้นวิธีการของผมคือเวลาที่พวกเขามาหา ผมจะพูดคุยกับพวกเขาถามความต้องการก่อน แน่นอนที่ร่างกายกำลังร้องไห้อยู่เพราะว่าคุณเจ็บปวด ดังนั้น ผมจะทำบางอย่างสำหรับร่างกาย แต่ผมก็พยายามหาต้นเหตุของมันว่าอะไรผิดปกติ การทำอย่างนี้คนไข้อาการดีขึ้นเร็วมาก (ถาม : คุณอยากให้พวกเขาช่วยเหลือตนเองมากกว่า?) ครับ ถูกต้อง ผมหมายถึงผมไม่สามารถรักษาพวกเขา ไม่มีทางเลยบางทีอาจเป็นพระเจ้าผมก็ไม่รู้ แต่ว่ามีบางอย่างขาดหายไปหรือบางอย่างที่ผิดปกติ แล้วเมื่อคุณทำให้มันปกติได้หรือพวกเขาพบทางที่ถูกต้อง พลังงานทั้งหมดนั้นก็ไหลลื่นและพวกเขาก็อาการดีขึ้นหรืออย่างน้อยพวกเขารู้ว่ากำลังทำอะไร บางครั้งพวกเขาก็ไม่อยากเปลี่ยน บางคนก็ต้องการจะขึ้นอยู่กับคนอื่นหรือพวกเขาต้องการยึดติดอยู่กับเรื่องราวเก่าๆของพวกเขามันก็เป็นไปได้ ดังนั้นปล่อยพวกเขา เมื่อใดที่พวกเขาพบมัน พวกเขาก็จะไม่ยึดติดอยู่กับเรื่องพวกนี้ ซึ่งมันทำให้พวกเขาไม่ยุ่งยากอีกต่อไป พวกเขาจะเห็นว่า นั่นคืออิสรภาพพวกเขาสามารถยึดติดมันหรือไม่ยึดติดก็ได้ มันเหมือนคุณจะดื่มกาแฟหรือไม่ดื่มก็ได้ แต่คุณไม่ต้องการดื่ม”

      เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่กินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ค้นพบการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ โดยบังเอิญ มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำเขาให้รู้จักข่าวสารของจัสมูฮีนเรื่องการอยู่ด้วยแสง (ถาม: คุณเข้ามาอยู่ในหนทางหนทางของการเป็นบริทเทเรียนได้อย่างไร?)

      “ผมมีเพื่อนที่ดี เขาเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ แต่เล็กๆ เขามีหนังสือของเขาเองและอื่นๆ อีกไม่กี่เล่ม เขาไปที่คอร์สฝึกสมาธิและก็มีบางคนที่ไม่กินอาหารซึ่งอาจจะเป็นช่วงอดอาหาร แต่เขามีความรู้สึกที่ดีกับคนอื่นๆ และเขาก็พบว่ามีบางอย่างที่แตกต่าง เขาจึงถามเธอ เธอก็เลยให้ที่อยู่ซึ่งเป็นของชาเมนฮาร์ลีย์ มันกล่าวถึงหนังสือของจัสมูฮีนและเธอก็ส่งไม่กี่หน้ามาให้ แต่ข้างในนั้นถูกซีลปิดไว้และมันก็เป็นเพียงการแนะนำบางอย่าง มีคำอธิบายที่เรารู้ว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงใน 21 วัน คือไม่ดื่ม 7 วัน 7 วันต่อมาดื่มแต่น้ำผลไม้เจือจางเท่านั้นและอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง เขาจึงเอาให้เพื่อนคนหนึ่งดูและหลังจากนั้นหนึ่งหรือสองเดือนเพื่อนคนนั้นก็เริ่มทำในเวลาเดียวกัน เขาก็ติดต่อกับจัสมูฮีน เธอมาที่ยุโรปเพื่อให้การบรรยาย เขาพยายามหาทางติดต่อ เธอปรากฏตัวทางทีวี รายการทอร์คโชว์แล้วเขาก็จัดสัมนาและแน่นอนเพราะผมเป็นเพื่อน ผมจึงมีข้อมูลทุกอย่าง แล้ววันหนึ่งเขาก็มาและบอกว่า “คุณสามารถจัดสัมนากับเธอและผมได้ไหม?””

      บางทีนั่นอาจเป็นโอกาสหรือเราอาจเรียกว่า “โชคชะตา” ตั้งแต่นั้นมา ดร.ชไนเดอร์ก็เรียนรู้เรื่องของความเป็นไปได้ในการอยู่โดยไม่กินอาหาร ทุกอย่างดูเหมือนลงตัวหมดทำให้เขาสามารถเริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงใน 21 วัน

      “ผมไม่ได้ปฏิบัติขั้นตอนนั้น ผมไม่รู้จักใครเลย เวลานั้นและในการสัมนาที่เราจัดกันนั้นมีคนให้ข้อมูลเราจำนวนมาก พวกเขาก็ถามเหมือนกัน ดังนั้นผมต้องค้นหาทุกอย่างแล้วผมก็ไปสัมนาอีกแห่งหนึ่งเพื่อเตรียมตัวผมเองและเพื่อดูว่าผู้คนมีการสนองตอบอย่างไร แล้วในสัมนานั้น เธอพูดมากมายหลายอย่าง 
“ผมก็บอกว่าโอเค นางฟ้าและผู้นำด้านจิตวิญญาณ ไม่ว่าคุณเป็นใครก็ตาม ถ้าเรื่องนี้จริงก็ให้ผมรู้และถ้าผมควรทำในกระบวนการนี้ก็บอกผมมา” แต่ผมต้องใช้เงิน เพราะ 3 สัปดาห์ผมทำงานไม่ได้ ผมหาเงินไม่ได้ และผมต้องใช้เวลาเพราะผมจัดสัมนาหลายแห่ง และผมจะต้องจัดอีกหลายแห่ง มันไม่มีเวลาเลย แต่เมื่อผมกลับมาจากเบอร์ลิน ผมเปิดดูไดอารี่ มันมีเวลา 3 สัปดาห์ ในฤดูร้อน ตอนนี้พูดได้ว่าผมมีเวลาแล้ว และวันพฤหัสต่อมามีคนไข้คนหนึ่งเธอบอกว่า ”คุณช่วยฉันมาก ฉันอยากให้ของขวัญคุณ” “ครับซื้อซีดีหรือดอกไม้ให้ผมก็ได้” แต่เธอเชิญผมไปทานอาหารและก็ให้หนังสือมาเล่มหนึ่ง เธอบอกว่า ”อย่าเพิ่งเปิดที่นี่” ผมไปเปิดดูที่บ้านมันมีเงินจำนวนมากอยู่ในนั้น นั่นก็คือที่มาของเรื่องว่าผมมีทุกอย่างแล้ว แล้วผมก็ทำตามวิธีการนั้นในฤดูร้อนนั้นเลย ผมเริ่มต้นทำ นั่นเป็นก่อนที่เราจะจัดสัมนาจัสมูฮีน ดังนั้นผมแช่อยู่ในพลังงานของการอยู่กับแสงผมหยุดไม่ได้(ถาม : นั่นเป็นเมื่อไร?) มันเป็นฤดูร้อนของปี 2541 ที่ผมฝึก ผมทำอยู่ที่บ้านเพราะไม่มีสิ่งแวดล้อมไหนที่ผมรู้จักที่มันเหมาะสมกว่า” 

      จากประสบการณ์ส่วนตัวของเขา ดร.ชไนเดอร์มีคำแนะนำสำหรับคนที่อาจจะสนใจในการอยู่โดยไม่กินอาหารคือฟังหัวใจของคุณเอง

      “ผมรู้ว่าในการเลือกนี้หรือระเบียบการเตรียมตัวมันก็ง่ายๆแบบนี้ คือถ้าหัวใจคุณร้องเพลง ครั้งหนึ่ง จัสมูฮีนบอกว่าถ้าหัวใจคุณร้องเพลงนั่นก็คือสิ่งที่ถูกต้องสำหรับคุณถ้าคุณมีข้อสงสัยก็ทิ้งมันไปหรือรอสักหน่อย กระบวนการนี้ไม่ใช่สำหรับทุกคนคุณไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ามีเสียงเรียกร้อง คุณสามารถทำขั้นตอนที่จำเป็นและมันมีหลักฐานเสมอว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ปราณคืออะไร? ผมต้องบอกว่า ผมไม่รู้แน่ชัด ผมมีแต่รู้สึกถึงมัน ผมสามารถได้รับมัน ผมรู้ว่ามันมีอยู่ แต่ผมรู้สึกและอธิบายได้เหมือนที่ผมถามคุณว่า ไฟฟ้าคืออะไร? ปราณยังเรียกได้อีกหลายคำ เช่น ชี่ หรือออด เมื่อเร็วๆนี้ผมเห็นรายชื่อยาวเหยียดมันมีหลายคำเนื่องจากวัฒนธรรมต่างๆซึ่งชนชาติและกลุ่มวัฒนธรรมส่วนใหญ่จะรู้จักมันในชื่อของ ชี่ ปราณ ออดและมันเป็นไปได้จริงๆที่มีชีวิตอยู่ได้โดยมันและนี่ก็เป็นหัวข้อที่ผมอยากพูดถึงในวันนี้ ในเยอรมันที่นี่เราเรียกมันว่า “Lichtnahrung” (อยู่ด้วยแสง) เราเพียงแต่ใช้ภาษาเยอรมันในบรรดาคำศัพท์อื่นๆความเห็นของผมคือในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์นานมาแล้วที่เรารู้เรื่องนี้กัน วิธีการอยู่ด้วยพลังปราณ วิธีการอยู่ด้วยแสง วิธีที่ไม่ต้องใช้อะไรเลย การอยู่ด้วยแสงหมายถึง ผมจะชี้ขึ้นไปข้างบนเสมอเพราะว่าเป็นสัญลักษณ์ ผมคิดเสมอว่าพระอาทิตย์หรือแสงอาทิตย์จากข้างบน แต่แสงมาจากทุกหนทุกแห่ง นั่นหมายความว่าในห้องที่มืดผมก็สามารถอยู่ได้ด้วยปราณเช่นกัน และถ้าเรามีวันที่ฝนตกหนักเมฆครึ้ม มันก็ยังทำงานได้ผลเหมือนกับมีแสงแดด ดังนั้นในอีกนัยหนึ่งเราไม่จำเป็นต้องอยู่ในภาคใต้ของอิตาลีเพื่อจะได้พลังปราณมากขึ้นและผมเชื่อว่าเมื่อมนุษยชาติมายังบนโลกไม่มีความจำเป็นที่ต้องกินอะไรเลย แต่บังเอิญอย่างที่กล่าวอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลคือผลไม้จากสวนอีเดนผลไม้นั้นมีอยู่และรสชาติดีซะด้วย พวกเขาสุขสบายอย่างบริสุทธิ์ มันสุขสบายอย่างบริสุทธิ์ก็เหมือนกับผมเวลานี้ผมไม่จำเป็นต้องกิน มันสะดวกสบายจริงๆ เวลาที่อยู่ด้วยแสง คนเราไม่จำเป็นต้องกิน” 

      ก็คล้ายๆ กับคนอื่นๆที่ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ได้พบประโยชน์ในทันทีจากชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหาร

       “คุณไม่จำเป็นต้องนอนมากเลยในกระบวนการนี้ สิ่งที่ผมเริ่มคือทำบางอย่างกลางดึกเวลาที่ไม่มีรถวิ่ง ผมอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ผมเล่นสเก็ต โรลเลอร์สเก็ตเพียงแค่ให้มีบางอย่างทำ ผมไปเดินเล่น ผมดูพระจันทร์ (ถาม :ดังนั้นคือคุณมีเวลามากขึ้น? ) คุณมีเวลามากขึ้นเพราะคุณไม่ต้องนึกถึงอาหารไม่ต้องเตรียมอาหาร ไม่ต้องใช้ครัวกระบวนการของการอยู่ด้วยแสงเป็นไปได้สำหรับพวกเรา ถ้าเราผ่านกระบวนการนั้นแล้วมาอยู่ด้วยแสงอีกครั้งหนึ่ง หมายความว่า ถ้าผมไม่ดื่ม 7 วันและไม่กิน 21 วันแล้ว ด้วยการปรับสภาพนี้ร่างกายของผมก็สามารถอยู่ได้ด้วยแสง คุณจะมีการเชื่อมต่อมากขึ้นมันเหมือนกับการนั่งรถ คุณหมุนกุญแจแล้วมันก็วิ่งไปธรรมดาๆ ถ้ารถนั้นวิ่งได้ ถ้าคุณมีรถเก่าๆ และรถนั้นผมไม่รู้นะอาจมีปัญหาบางอย่างนั่นก็เหมือนกับคุณจะอธิบายความแตกต่างนั้นได้อย่างไร แต่ก่อนนั้นคุณมีอะไรหลายๆอย่างอย่างเช่นวิทยุเวลาที่ปรับคลื่นไม่ดีคุณจะได้ยินเสียงต่างๆเต็มไปหมด คุณก็ยังสามารถฟังได้ ถ้าคุณต้องการ แต่ก็นั่นแหละเวลาที่คุณทำสิ่งต่างๆ คุณจะรู้สึกชัดเจนโดยเฉพาะหลังจากผ่านกระบวนการนั้นไม่นาน มันเหมือนการทำความสะอาดโดยไม่ต้องทำอะไรเลยมันเหมือนกับความคิดที่ว่า ”โอ้ ใช่แล้ว” และมันอาจเป็นความสัมพันธ์ มันอาจเป็นพื้นฐานของคุณที่เรียบร้อยดีแล้วคุณก็คิดถึงมันและคุณก็เอาสิ่งนั้นมาและโยนมันทิ้งไป มันชัดเจนมาก มันเป็นพลังที่เข้มแข็งมาก มันเหมือนเมื่อก่อนนี้ที่ใช้ท่อเล็กๆเชื่อมต่อเข้ากับตัวตนที่สูงขึ้นแล้วจากนั้นเวลานี้มันเหมือนท่อใหญ่ สิ่งแรกที่ผมสังเกตคือความชัดเจนเกิดขึ้นมากอย่างที่บอกไว้แล้ว เช่นหลายๆอย่างที่ไม่เหมาะกับผมอีกต่อไปหรือหลายๆอย่างเรียบร้อยขึ้นในวิถีทางกายภาพแล้วงานของผมก็เริ่มในทันที ผมรักษาผู้คน ผมทำการรักษาแบบไม่ใช้ยา ฉีดยาหรือการจัดกระดูกสันหลังและผมก็ชอบมากเพราะผู้คนมีความสุขมากและมันก็ชัดเจนขึ้นมากในสิ่งที่ผมได้ทำและสิ่งที่ผมทำให้พวกเขาหรือแม้กระทั่งการรักษาแบบโฮมีโอพาธิกหรืออื่นๆ (ถาม: คุณมีสัณชาตญาณชัดมากขึ้น? ) ครับ แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นสัญชาตญาณ ผมว่าเหมือนการรับรู้มากกว่าและมันชัดมาก ผมไม่ต้องโต้เถียงในหัวของผมเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ เช่น “ฉันควรให้อันนี้หรืออันนี้สำหรับเรื่องนี้?”  แต่มันชัดเจนมาก ไอเดียมีอยู่ตรงนั้นแล้ว มันเหมือนกับมันไม่ใช่บนจอภาพ ผมไม่ใช่คนที่มองด้วยภาพ มันค่อนข้างเหมือนกับชัดเจนในสิ่งที่ทำสำเร็จและอีกอย่างคือ การสื่อสารมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมไม่จำเป็นต้องพูดมาก ผมจะฟังมากนี่ก็ทำให้คุณมีเวลาเหลือมากเหมือนกัน นั่นก็คือเหตุผลที่ผมมีความสุขมาก เพราะเวลานั้นผมไม่มีมันผมไม่มีเวลาก็เหมือนกับชาวตะวันตกคนอื่นๆทั้งหลาย (ถาม : ดังนั้นคุณโฟกัสได้ดีขึ้น? ) ใช่ (ถาม : และจากการโฟกัสนั้นคุณมีเวลาเหลือมากขึ้น? ) ครับ แน่นอนและมันก็ดีมากด้วย เพราะว่าเวลาที่คุณรู้ความลับหรืออะไรบางอย่างมันก็มีความสุนทรีย์อยู่ในนั้นมากมาย นี่ก็คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจของผม ผมสามารถเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังได้มากขึ้นและเห็นเหตุผลที่ผู้คนทำบางอย่างที่เป็นทางกายภาพอันความสวยงาม “ 

      นอกจากการมีความชัดเจนและสัมผัสที่สูงขึ้นของสัญชาตญาณ ดร.ชไนเดอร์ยังพบกับการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา (ถาม : เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณ? มีอะไรเกิดขึ้นกับแบคทีเรียในท้องของคุณ? ) 

      “หลังจากอยู่ด้วยพลังปราณมาหลายปี มันอาจจะมีน้อยลงเพราะคุณไม่ยัดอะไรเข้าไปตลอดเวลา แต่มันก็ยังทำงานอยู่และมูกเมือกก็ยังมีอยู่ ดังนั้นคุณมีเซลใหม่อย่างเช่นผิวหนังและผม แน่นอนทังหมดนี้ยังคงมีอยู่ในร่างกาย” 

      “บางตัวอย่างของคนที่อยู่ด้วยพลังปราณต้องพบกับน้ำหนักที่ลดลง นั่นดูเหมือนว่าเหมาะกับร่างกายของพวกเขา ตอนที่ผมอยู่ในการประชุมของผู้อาศัยพลังปราณก็มีคนคนหนึ่งที่เป็นโรคไม่อยากกินอาหารแล้วตอนนี้หลังจากฝึกแล้วเธอมีอิสระมากขึ้น หลังจากกระบวนการนั้นแล้วเธอมีอิสระที่จะกินสิ่งที่เธอต้องการ ในขณะที่ไม่จำเป็นต้องกิน เธออธิบายเรื่องนี้อย่างโน้มน้าวดีมาก เธอยังบอกว่าตั้งแต่นั้นมาน้ำหนักเธอไม่ลดลงอีกแล้ว นี่เป็นผลของการอยู่ด้วยแสงนั่นคือขณะที่ไม่กิน คุณก็ไม่เสียน้ำหนัก เมื่อคุณอยู่ด้วยแสง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ปัจจุบันนี้ไม่สามารถอธิบายทางกายภาพได้และมันก็เป็นความจริง ผู้อาศัยพลังปราณบางคนน้ำหนักขึ้นหลังจากกระบวนการนี้ ส่วนตัวของผมนั้นผมก็มีประสบการณ์นั้น 13 กิโลภายใน 3-4 วัน แต่ผมไม่รู้สึก มันราบรื่นดีมาก สบายจริงๆ และคุณจะตกใจถ้าน้ำหนักมันลดลงแต่เวลาเดียวกันนั้นก็ตระหนักว่า คุณรู้สึกสบายดี บางคนก็รู้ว่าน้ำหนักของพวกเขาไม่ได้ลดลง ขั้นตอนของการอยู่ด้วยแสงก็คือการเข้ารับครั้งแรก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายและเซลมันจึงมีการเปลี่ยนแปลงในจิตสำนึกนั้นด้วย” 

     เมื่อเขาผ่านขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ก็ตระหนักว่าการกินเป็นเพียงแค่นิสัยอย่างหนึ่งเท่านั้น 

     “มันมีความหมายอะไรกับ...อาหาร? มันหมายถึงบางสิ่งที่บำรุงเลี้ยงเรา แน่นอนกระบวนการนั้นเกี่ยวกับการบำรุงเลี้ยง แต่ว่าอะไรที่บำรุงเลี้ยงเรา? อะไรที่ค้ำจุนเราอยู่?  มันคือปราณหรือว่าคือของแข็งที่เราใส่เข้าไปในปากหรือว่าคือสิ่งอื่นที่อยู่ข้างนอกบางแห่ง ดังนั้นเรามาพูดถึงบางคน บางสิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่สามารถรู้สึกได้ชัดเจนมากเวลาที่ผ่านกระบวนการนั้น มันอาจจะไม่สบายนักผมต้องบอกก่อน ลองนึกดูว่าถ้าคุณรู้ว่าอาหารที่คุณเคยเพลิดเพลินกับมันมาก มันไม่อาจเลี้ยงคุณได้อีกแล้ว ไม่แม้แต่ทำให้คุณสนใจอีกต่อไป ประการหนึ่งคือมันไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจนัก แต่สำหรับผมมันเป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมาก เพราะว่าปกติเราก็รู้กันว่า “ฉันทำแบบนี้ไม่ได้ มันเป็นแค่นิสัยของฉันที่ฉันคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน” ใช่อาหารเช้าในตอนเช้า กลางวันก็กินนี่กินนั่น แล้วตอนเย็นก็กินนั่นกินนี่ บางทีในตอนเช้าคุณนั่งคุยด้วยกัน แล้วขณะที่กินคุณก็จิบกาแฟและมีโรสเต็ก แล้วบางทีกลางคืนเนื่องจากคนชอบใช้เวลาอยู่กับบางคนหรือกับครอบครัว แล้วคุณก็กินและทุกคนก็รู้ว่าไม่ว่าคุณจะหิวหรือไม่ก็ตาม คุณไม่คิดอะไรเลย อย่างน้อยผมไม่เคยคิด แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น แล้วขณะที่เคี้ยวอยู่เต็มปากช้อนส้อมนั้นก็พร้อมที่จะตักอีกครั้งใช่ไหม? มันยากที่จะหมด ไม่หมดโดยสิ้นเชิง คุณสามารถเคี้ยวมากอีกหน่อยมันสนุกมากแบบนั้น แล้วคุณก็เอาส้อมส่งเข้าปากอีกครั้ง แล้วก็เป็นไปแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าใช่ไหม? มันเป็นนิสัยเท่านั้นผมมีประสบการณ์อย่างนี้จริงๆ หลังจากกระบวนการนั้นผมสังเกตตัวเองดูและคิดจริงๆ จังๆ “นี่เกิดอะไรขึ้น ที่นี่?” และผมก็ช็อคครั้งใหญ่เพราะผมตระหนักว่ากลไกที่น่ากลัวนี้ยังคงทำงานอยู่และมันเป็นเรื่องของการตามใจตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพหรือการเข้ากันได้ แต่มันคือ “ฉันต้องการอะไร? ” และผมก็ไม่ต้องการอาหาร” 

      ตามความเห็นของ ดร.ชไนเดอร์สภาวะหนึ่งที่คนเราจะไปถึงได้ในขณะที่อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหารคือการที่ค้นพบตัวเองอีกครั้ง

       “ในที่สุดเราพูดได้ว่า “โอเค ฉันยอมทุกอย่างแล้ว” และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายๆ คนในช่วงของขั้นตอนการอยู่ด้วยแสง เพราะว่านี่คือจุดที่เรากลับคืนสู่หัวใจของเรา เพราะถ้าเราดำเนินต่อไปภายใต้เงื่อนไขพิเศษของกระบวนการการอยู่ด้วยแสงนี้ ถ้าผมใช้เวลาอาจจะ 5 6 หรือ 7 วันกับตัวเองแล้ว ผมก็ไปถึงสภาวะที่ผมตระหนักว่า “ดูสิ จริงๆแล้วฉันคือใคร? ” สำหรับผมมันคือการจดจำธรรมชาติของแสงในตัวเราเอง เราคือตัวตนของแสง เราจำได้ว่าที่จริงเราได้รับการบำรุงเลี้ยง ไม่ใช่มาจากอาหาร ไม่ใช่มาจากคู่ของผม ไม่ใช่มาจากรถที่วิ่งเร็ว หรือจากดนตรีบางชนิดหรือหินที่มีค่าซึ่งมันก็อาจจะค้ำจุนเราได้ แต่ผมได้รับการหล่อเลี้ยงจากภายในตัวผมเอง นั่นคือจากพลังปราณ สำหรับผมนั้น การเชื่อมต่อมีความชัดเจนว่าที่จริงแล้วเราหล่อเลี้ยงตัวเราเอง ที่จริงมันคือธรรมชาติแบบพระเจ้าของเรา เราคือตัวตนของสวรรค์ แผ่กระจายโดยพระเจ้า” 

     สำหรับใครที่สนใจวิถีชีวิตแบบกินอากาศ ดร.ชไนเดอร์มีคำแนะนำซึ่งมีข้อหนึ่งคือการเป็นมังสวิรัติหรือเป็นฟุสเทเรียน(กินเฉพาะผลไม้)มาก่อน 

      “ขั้นตอนของการอยู่ด้วยแสงเป็นสิ่งที่ต้องมีจิตใจที่ค่อนข้างเข้มแข็ง เพราะบางคนนั้นพอได้ยินว่า ”ไม่ดื่ม 7 วัน” คุณต้องมีการกระทำที่เข้มแข็งเพื่อให้ผ่านพ้นมันไปได้ ทั่วไปผมจะบอกว่าทุกคนทำได้ ถ้าคนนั้นสุขภาพดีและรู้สึกถึงการเรียกร้อง แต่มันมีข้อมูลสำคัญนี้: คุณสามารถทนได้จริงหรือ? แต่ก็มีสิ่งที่ดีๆ อยู่มันคือเหมือนมีบางคนที่คอยยื่นมือเข้าคุ้มครองคุณไว้ เพราะว่าการไม่ดื่ม 7 วัน มันทำให้บางคนมีแง่มุม คนที่มีข้อสงสัยมากเกินไปและบางทีอาจจะทำไม่ได้ ไม่ว่าเป็นอะไรและสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตอนนี้ผมคอยชี้แนะหลายๆ คน เพื่อผ่านกระบวนการนี้ ทั่วไปผมจะทำเป็นกลุ่มในแบบของการสัมนาเราเรียกว่า ”การเข้าฌาน” เพราะมันไม่ใช่สัมนา แต่มันคือปราณ มันเป็นสภาวะของตัวตน มันเป็นอย่างนี้ซึ่งหลายคนที่ได้ฟังนี้ทำตามขั้นตอนการอยู่ด้วยแสงได้ค่อนข้างรวดเร็ว สำหรับผู้ที่รู้สึกถึงเสียงเรียก พวกนี้คือคนที่พูดว่า ”ฉันเห็นหนังสือนี้สัปดาห์ก่อน ตอนนี้ฉันต้องการทำ กระบวนการนี้อย่างแน่นอน ฉันจะทำได้ที่ไหน? ฉันจะทำได้อย่างไร? ”  ยังมีกระทั่งคนที่โทรไปหาและบอกว่า “เสียงภายในของฉันบอกให้หยุดกินและดื่ม สองวันต่อมาฉันไปที่ร้านขายหนังสือ ฉันเห็นหนังสือเล่มนี้ ในที่สุดฉันก็รู้ว่ามันเป็นความจริง” เรื่องราวแบบนั้นประทับใจผมจริงๆ ประทับใจผมอย่างลึกซึ้ง เวลาที่มีคนโทรศัพท์มาและบอกผมอย่างนั้น ผมมีเวลาเตรียมตัวไว้แล้วหนึ่งหรือสองปี ผมรู้เรื่องพวกนี้มานานแล้ว แต่ก็มีคนที่รู้สึกถึงเสียงเรียกจริงๆ และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์สำหรับผมว่ามันได้ผล มันสัมผัสถึงหัวใจของผู้คนถึงธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของแสงของพวกเขา มันเป็นอย่างนั้น แน่นอนผมก็พยายามทำให้มันชัดเจนแก่พวกเขา ไม่ให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจ มันไม่ใช่เรื่องของการทำให้มันดึงดูดใจเพราะถ้ามีใครที่ทำตามวิธีการนี้ แต่อาจจะไม่เตรียมตัวมาพอ มันก็ไม่ค่อยดีนัก เพราะผมพูดได้แต่ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ เรื่องนี้ผมอยากจะเผื่อไว้สำหรับทุกคน” 

     ในการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์แนะนำถึงการเตรียมตัวล่วงหน้า 

     “มันจะเกิดประโยชน์ ถ้าคุณทำตามขั้นตอนการอยู่ด้วยแสงนี้และมีการเตรียมตัวคุณเองปรับเข้าสู่ภายในและภายนอกและเตรียมร่างกายของคุณอีกสักหน่อย : “ฉันกำลังเดินทางพร้อมกับร่างกายของฉัน ฉันกำลังเดินทางที่เรียกว่าการไม่ดื่ม 7 วัน ไม่กิน 21 วัน” กินอย่างมีสุขภาพไว้ล่วงหน้าโดยพยายามเป็นมังสวิรัติอย่างน้อย 3 เดือนล่วงหน้าหรือกระทั่งรอว์ฟู๊ดก็ได้(raw food diet) คุณควรมีการอดอาหารเป็นบางครั้งเพื่อให้ร่างกายของคุณรู้ตัวไว้ว่ารู้สึกเบาสบายขึ้นอย่างไร และบางทีถ้าคุณคิดว่าสิ่งใดยังคงมีความจำเป็นต้องทำ เช่น วิธีการล้างลำไส้ หรือวิธีการล้างพิษก็ให้ทำอย่างนั้น มันไม่มีกฎตายตัว แต่มันเป็นการแนะนำและมันยังมีเหตุผลในการอดอาหารก่อนที่จะเริ่มกระบวนการนั้น เพราะว่ามันทำให้ร่างกายอ่อนแอลงบ้างสำหรับการขจัดออกไปคราวละมากๆ มันเกิดขึ้นก่อนและจุดนี้ทำให้ร่างกายทำงานหนัก มันจะเป็นการดีถ้าหากผมอยู่อย่างเรียบง่ายเป็นเวลาสักหนึ่งหรือสองสัปดาห์ล่วงหน้าหรือกินแค่ผลไม้และอาหารดิบเท่านั้น อาจจะแค่น้ำผลไม้ แต่ผมตระหนักว่าถ้าร่างกายยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง มันก็ยังไม่มีความรู้สึก แต่หลังจากนั้นคุณก็สามารถเข้าสู่กระบวนการ ผมจะบอกคุณอีกครั้งว่า ผมรู้ว่าการเตรียมตัวตามกฎเกณฑ์นี้มันก็เป็นอย่างนี้ ถ้าหัวใจของคุณร้องเพลง จัสมูฮีนเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องสำหรับคุณ ถ้าคุณสงสัยก็ทิ้งมันไปหรือรอหน่อย กระบวนการนี้ไม่ใช่สำหรับทุกคน คุณไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าคุณรู้สึกถึงการเรียกนั้น คุณสามารถเริ่มต้นก้าวที่จำเป็นและมันมีข้อพิสูจน์เสมอว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”

     “มันเป็นบางอย่างที่เรามีอยู่ภายใน ผมคิดว่าเพียงแต่เราต้องจดจำได้ เราจำได้ว่า เราเป็นใคร? เราถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรและเราทำอะไรได้บ้าง? การอยู่ด้วยแสงเป็นวิธีหนึ่งที่อธิบายได้ แต่ปราณมันคืออะไร? มันคือจิตวิญญาณ คือพลังงานของพระเจ้า คือสวรรค์ คือพลังงานของจักรวาล ถ้าพวกเขารู้สึกดึงดูดใจ พวกเขาก็ทำได้ แน่นอนจากมุมมองทางการแพทย์ ผมต้องบอกว่าคุณควรมองในเรื่องนี้ว่าคุณมีอาการอะไร เช่น ถ้าคุณมีอาการโรคหัวใจ ถ้าคุณเป็นเบาหวาน มีทางรักษาตั้งมากมายสำหรับการแพทย์ตะวันตก การแพทย์ตะวันออก หรือแพทย์ทางเลือกใหม่และก็เป็นไปได้ใน 21 วันนี้ เหมือนกัน คุณไม่สามารถพูดว่า “ทำขั้นตอนนี้เพราะคุณจะมีอะไรต่อมิอะไร” มันมีพลังอยู่ในนั้นมากมาย แต่ว่ามันก็ยังมีอันตรายอยู่มาก ตัวอย่างเช่น  ถ้าคุณเป็นเบาหวานหรือคุณมีอาการโรคหัวใจต้องมีบางคนแนะนำคุณอย่างใกล้ชิดและต้องบอกคุณเวลาที่ต้องหยุดหรือยกเลิกมันหรือ...(ถาม :บางทีเป็นผู้ฝึกทางการแพทย์?) ใช่ ใช่ แต่ก็ยังมีการแนะนำทางด้านจิตวิญญาณโดยพระเจ้าและคนพวกนั้นจะรู้ ผมคิดว่าผลกระทบข้างเคียงมากที่สุดก็คือด้านจิตใจ รูปแบบ ความโกรธ ความต้องการที่เราเห็นมันออกมาในทุกๆเซล ทุกอย่างถูกบันทึก ความจำทั้งหมดของเราทุกอย่าง ดังนั้นในช่วงที่เปลี่ยนแปลงมันจะออกมา ดังนั้นคุณจะจำเรื่องต่างๆมากมาย ความสุขก็เหมือนกัน บางคนมีความสุขมาก พวกเขาจึงระลึกถึงว่ามันมีความสุขอย่างไรในสมัยเด็กๆ หรือกับแฟนหรือกับพ่อแม่ เมื่อตอนไปเที่ยววันหยุดกัน สิ่งที่พวกเขาบอกเรามันน่าประทับใจมากเพราะพวกเขาติดต่อกับหัวใจของพวกเขา พูดจากหัวใจและรู้สึกถึงมันได้จริงๆ ดังนั้น มันดีมากที่จะทำขั้นตอนนี้และมันก็ไม่ถูกต้องที่จะไม่ช่วยให้ผู้คนผ่านกระบวนการนี้ เพราะผมคิดว่ามันคือ การบำบัดที่เข้มข้นรวดเร็วที่สุดอย่างหนึ่งเท่าที่ผมนึกได้”

      ตามความเห็นของดร.ชไนเดอร์ผลกระทบบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในช่วงสัปดาห์แรกของการเปลี่ยนแปลงมาเป็นไม่กินอาหารคือเรื่องของสุขภาพ

      “ปกติมักจะมีว่าความเจ็บป่วยเดิมๆนั้นมันหายไป มันจะออกมา เช่น บางคนนั้นมีการอักเสบเรื้อรังของไตและกระเพาะปัสสาวะ มันก็จะเป็นแบบนี้มันทำให้เรากลัว มันเห็นชัดเจน ถ้าผมรู้ว่า “ตายล่ะ มันเริ่มอีกแล้วฉันกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอน ฉันจะสามารถทำได้หรือแล้วฉันต้องหยุดมันหรือเปล่า? ” ฯลฯ มันจะดีถ้าหากมีบางคนอยู่ตรงนั้นรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันจะดีถ้าหากมีการช่วยเหลือหรือแนะนำเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ให้กำลังใจ ให้กำลังใจก็ดีเหมือนกัน การนำพาให้บางคนกลับเข้าหาตนเอง นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ในกระบวนการนี้กรรมวิธีคือบางสิ่งที่จะพาเราไปหาตัวเราเอง ผมจะพูดถึงสัปดาห์แรก ลำบากอยู่บ้างสำหรับบางคน แต่บางคนก็บินผ่าน ส่วนใหญ่แล้ววันที่ 4 5 หรือ 6 มักจะเป็นหนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างลำบาก กรณีของผมนั้นผมมีน้ำลายมากจนถึงวันที่ 6 แต่บางคนนั้นจะปากแห้งในวันที่ 2 และมันทำให้ลำคาญและมันก็จะดีที่มีใครบางคนให้การช่วยเหลือและบอกว่าทำอะไรได้บ้าง คุณสามารถบ้วนปาก แต่อย่ากลืน คุณสามารถดูดน้ำแข็งและถ่มออกไปหรืออาจจะถ่มออกครั้งที่สอง เพราะว่ามีน้ำเหลืออยู่ข้างในนิดหน่อย คุณอาจจะกัดมะนาวหรือเคี้ยวก็ได้แล้วถ่มออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้มันราบรื่นขึ้นหน่อย”

     อาการอื่นๆมักจะไม่เกี่ยวกับสุขภาพและมีความท้าทายจิตใจน้อยลง

     “โดยทั่วไปเหมือนกับไม่มีอาการอะไรหรือลำบากอะไร ปกติแล้วร่างกายอยู่ภายใต้ความเครียดถาวร ทำให้มันปรากฎออกมาโดยอุณหภูมิสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น หลายๆคนต้องแช่อ่างน้ำเย็น มีคนหนึ่งบอกว่าเขาต้องใช้ก้อนน้ำแข็งใส่ในน้ำที่จะอาบ ร้อนมากของเก่าๆ นั้นถูกเผาซึ่งเรียกว่า ”ความร้อนที่ละเอียดอ่อน” หรือ “ไข้ที่ไม่มีตัวตน” และที่จริงแล้วผมเป็นคนที่ชอบน้ำอุ่นและไม่ชอบเลยกับน้ำเย็นๆ ผมต้องอาบน้ำที่ค่อนข้างเย็น ดังนั้นผมเกือบจะแช่แข็งเนื่องจากนิสัย แต่มันสบายมากความเย็นอันนั้น ดังนั้นผมเพียงอยากบอกว่าร่างกายกำลังเอาของออกให้มากที่สุดและมันก็จำเป็นที่ต้องระวังร่างกาย ร่างกายของเราที่ต้องผูกพันไปกับการเดินทางของเรา”

      อาการของการเปลี่ยนแปลงปกติแล้วจะหายไปหลังจากสัปดาห์แรก สัปดาห์ที่สองร่างกายก็จะเริ่มฟื้นตัว

     “สัปดาห์ที่สองผมเรียกมันว่า ”ระยะพักฟื้น” ระยะพักฟื้นก็เหมือนกับยาต้นตำหรับเมื่อระบบนั้นปฏิรูปตัวมันเองใหม่ ส่วนนี้อยู่ภายใต้ความตึงเครียด กรณีนี้ร่างกายจะกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่ร่างกายความรู้สึกซึ่งเคยทรมานนั้นก็กลับคืนสู่ภาวะปกติอีกครั้งและสภาวะนี้น่าสนใจมาก เพราะว่านั่นคือภาวะที่มีการบำบัดรักษา คุณนอนลง ผมสังเกตว่ามันเหมือนกับพลังหลับ แต่เป็นพลังหลับที่มีการฝันกลางวัน สามชั่วโมงถ้าคุณชอบ แล้วในบางสภาวะ ผมตระหนักว่า “พอแล้ว” นี่คือที่ผมเรียกว่าการบำบัดเพราะว่าหลังจากนั้นผมรู้สึกแตกต่าง ผมรู้สึกเหมือนว่าผมได้รับ มันไม่ใช่ประสาทหลอนเพราะผมสังเกตว่าผมมีสติสัมปชัญญะทุกอย่างปกติ ไม่ใช่ว่าผมดูอะไรด้วยวิธีแปลกๆ ผมรู้ตัวจริงๆ ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปในร่างกายของผม มันน่ามหัศจรรย์ น่าสนใจ มันเกิดขึ้นอยู่เสมอเวลาที่ผมเงียบ เวลาที่ผมสัมผัสกับตัวเอง มันเป็นเวลาที่ดีมาก ผมก็ชอบด้วย ดังนั้น คุณควรที่จะมีเวลาอยู่กับตัวเองให้ได้จริงๆ “

      กระบวนการเปลี่ยนแปลง เราจะเริ่มตระหนักถึงความเป็นอิสระจากการอยู่ด้วยอาหาร

     “สัปดาห์ที่สาม ผมจะเรียกว่า ”ช่วงของการจัดการใหม่” ที่นี่ความคิดอาจเกิดขึ้นมา “มันจะเป็นอย่างไรหลังจากนั้น? ฉันจะทำอะไรเกี่ยวกับอาหารล่ะ? ครอบครัวฉันล่ะจะทำอย่างไร? ฉันจะทำอย่างไรกับเรื่องนั้น?” แล้วตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น ทันใดนั้นผมก็รู้ว่า ผมต้องการอะไร ผมมองเห็นทุกอย่างชัดมาก “โอเค นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ ฉันทำอันนี้หรือจะทำนั่นๆ” สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาหมด นี่เป็นสัปดาห์ที่สาม และตรงนี้ คุณสามารถจัดการกับเรื่องทางโลกได้มากขึ้น บางทีฉันไม่ต้องโทรศัพท์มากหรือไม่ต้องเขียนจดหมายหรืออะไรพวกนั้น ในกรณีของผม สิ่งเหล่านั้นเลื่อนออกไป แต่คุณสามารถสร้างตัวคุณเองขึ้นมาใหม่ นี่คือสิ่งที่เราทุกคนเฝ้ารอคอยอย่างมาก มีกี่คนไม่เคยพูดว่า “โอเค ปีนี้หลังจากคริสต์มาส ฉันจะนั่งลงและวางแผนสำหรับปีหน้าหรือเพื่อชีวิตที่เหลือของฉัน” คุณก็รู้กันทุกคน ความตั้งใจดีเหล่านี้ ใช่แล้วในวันที่ 21 ทุกอย่างเรียบร้อยทั้งหมด พวกเขาสามารถอยู่ได้ด้วยปราณ ร่างกายของพวกเขาถูกจัดการใหม่ มันเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลง แล้วพวกเขาก็ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระและสามารถใช้มันได้อย่างที่พวกเขาต้องการ”

สำหรับ ดร.ชไนเดอร์การผ่านขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงมาเป็นไม่ต้องกินอาหารและมีชีวิตอย่างบริสุทธิ์ด้วยปราณได้ช่วยให้เขาปรับเข้าหาตัวเองได้มากขึ้นและมองโลกด้วยมุมมองใหม่

“สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ในกระบวนการนี้คือการเห็นคุณค่าอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น หลังจากผ่านกระบวนการนี้ ตอนที่ผมทำเป็นกลุ่มแรก ผมเหมือนกับกลัว ช็อคว่าผมไม่เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ เลย เมื่อก่อนนี้ผมหมายถึง คุณไม่สามารถเปรียบเทียบ แต่มันรู้สึกเห็นคุณค่าของธรรมชาติ ของผู้คน ของพลังงาน ของจิตวิญญาณ ของวัตถุที่ผมวางไว้บนแท่นบูชาและผมเฝ้าดูตัวเอง วางสิ่งต่างๆ ไว้ตรงนั้นซึ่งผมไม่เคยทำมาก่อน สำหรับผมมันรู้สึกว่า มันมีคุณค่าอย่างมากเพราะมองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงนั้น มันสอนให้คุณรู้จักถ่อมตัวด้วยเหมือนกัน มันสอนคุณให้มีความเมตตา มันสอนคุณมาก มีความสุขด้วย”

     ติดต่อ ดร.คริสต์โตเฟอร์ ชไนเดอร์ ได้ที่อีเมลล์ : govind@web.de
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณารับชมที่ www.SupremeMasterTv.com/BMD
				
11 กันยายน 2553 02:25 น.

จุดพลิกผัน....

คีตากะ

การเตือนที่เร่งด่วน


-    ดร.เจมส์ แฮนเซน ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการศึกษาอวกาศกอดดาร์ดของนาซ่า สหรัฐอเมริกา เตือนว่าถึงแม้มาตรฐานการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ที่หนาแน่นที่สุดที่บังคับในปัจจุบันต้องต่ำกว่าเดิมเพื่อรับประกันความอยู่รอดของดวงดาว เขากล่าวว่า”สิ่งที่เราค้นพบคือเป้าหมายที่เรามุ่งหวังไว้นำไปสู่หายนะ หายนะที่ถูกรับประกัน”

-    นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ศาสตราจารย์ดร.โรส การ์นัว เตือนว่าเรามีเวลาและทางเลือกอย่างจำกัดสำหรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การวิจัยของเขาบอกว่าออสเตรเลียต้องลดการปล่อยแก็สเรือนกระจกลงมากกว่า 90% ภายในปี 2593

-    นักวิทยาศาสตร์มากกว่า 600 คนจากทั่วสหรัฐอเมริการะบุในจดหมายถึงสภาคองเกรสอย่างเร่งด่วนให้มีการผ่านร่างกฎหมายว่าต้องลดการปล่อยแก็สเรือนกระจกต่ำกว่า 65% ในจดหมายนั้น นักวิทยาศาสตร์ยังแถลงว่า”ภาวะโลกร้อนแสดงให้เห็นในระยะยาวของภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับทรัพยากรที่อาศัยยู่บนดาวเคราะห์โลก”

-    นายกรัฐมนตรีคนก่อนของอังกฤษ นายโทนี่ แบลร์กล่าวว่าเราต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังใน 2 ปีต่อจากนี้ โดยกล่าวว่าเราได้มาถึงจุดวิกฤตตอนนี้เพื่อการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จะมีการใช้กฎเกณฑ์ป้องกันที่นุ่มนวลที่สุด ยังคงประสบความล้มเหลวในการปฏิบัติต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในขณะนี้ ซึ่งเป็นการขาดความรับผิดชอบและไม่น่าให้อภัยอย่างที่สุด

-    ในการเปิดการประชุมทั่วไป 2 วันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นายบาน คี มุน กระตุ้นให้ประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มที่จะขับเคลื่อนเพื่อตอบโต้กับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะสนับสนุนเทคโนโลยี่สะอาด อุตสาหกรรมและงานแบบใหม่ๆ และรวบรวมความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเข้าไปในนโยบายและวิธีปฏิบัติของประเทศ

-    ดร.เดวิด อาร์เซอร์ ศาสตราจารย์ทางวิทยาศาสตร์ด้านธรณีฟิสิกส์ แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา แถลงว่าผมมีความคิดว่าเราได้ผ่านขีดจำกัดอันตรายไปแล้ว ปริมาณน้ำแข็งทะเลในมหาสมุทรอาร์กติกได้ลดจำนวนลงกว่าหลายปี แต่ในปี 2550 มันได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และการเกิดแผ่นดินไหวและการเร่งการเคลื่อนตัวของน้ำแข็งในกรีนแลนด์ ผมคิดว่านี้คือสัญญาณบอกว่าเรากำลังอยู่ในดินแดนที่อันอันตราย

-    การสังเกตุผลที่ตามมาของแนวโน้มภาวะโลกร้อนในสหรัฐอเมริกาซึ่งประกอบด้วยการเกิดไฟป่าที่ถี่มากขึ้น ต้นไม้จำนวนมากล้มตายจากแมลงศัตรูพืช ธารน้ำแข็งละลายในมอนทานา และการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงในหลายๆ รัฐ สตีเฟน ซอนเดอร์ประธานองค์การภูมิอากาศแห่งเทือกเขาร็อกกี้กล่าวว่ามันได้เริ่มขึ้นแล้ว เราจะได้เห็นผลกระทบและนักวิทยาศาสตร์กำลังบอกเราว่ามันกำลังจะแย่ลงลงอย่างเห็นได้ชัด

-    นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีก ดิมิทรีส ลาลาส กล่าวว่าเราได้เห็นอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน ประมาณ 6-7 องศาเซลเซียสตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ในขณะที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นในส่วนอื่นๆ ของโลกประมาณ 3-4 องศาเซลเซียสแล้ว

-    การวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้โดยกรีนพีซได้สรุปว่าระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น การลดลงของแหล่งน้ำจืด และการเปลี่ยนแปลงของฤดูมรสุมเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งจะนำไปสู่การไร้ที่อยู่อาศัยของประชาชนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนกว่า 125 ล้านคน

-    นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียนายเควิน รูด และเลขาธิการองค์การสหประชาชาตินายบาน คี มุนเห็นด้วยที่ว่าการดำเนินการเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นไปอย่างล่าช้ามาก

-    คณะกรรมาธิการยุโรประบุว่าความเสี่ยงในการเกิดสึนามิเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในโมร็อกโค นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ สเปน และเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ซึ่งกำลังพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อป้องกันภัยให้แก่ประชาชน

-    ดร.เท็ด สแคมบอส หัวหน้านักธรณีวิทยาน้ำแข็ง มหาวิทยาลัยโคโลราโด สหรัฐอเมริกากล่าวว่าในบริเวณขั้วโลก ใครก็ตามที่ทำงานวิทยาศาสตร์ขั้วโลก ไม่มีใครตั้งคำถามว่าเราอยู่ในโลกที่ร้อนขึ้นหรือไม่ ? เราอยู่ในความกังวลเพราะเราเห็นน้ำแข็งอยู่ในพื้นที่ทุกปีและแผ่นน้ำแข็งที่อยู่ที่นั่นมานานถึง 10,000 ปี นับตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดได้อันตธานหายไปเพราะว่าสภาพภูมิอากาศได้ร้อนขึ้นอย่างมากและในตลอดเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมามันยิ่งร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ 

-    ในคำกล่าวของชาวสก๊อตว่ามีการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ริชาร์ด ล๊อคเฮดเลขาคณะรัฐมนตรีเพื่องานชนบทและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่ามันกำลังเกิดขึ้นขณะนี้และเราต้องช่วยกัน

-    ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเชื่อว่าประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศสและทางตอนเหนือของยุโรปจะประสบกับฝนตกหนักอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นอีก 20-30% จะนำไปสู่การเพิ่มโอกาสของการเกิดน้ำท่วมฉับพลันอย่างรุนแรง


จุดผลิกผัน

สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหราชอาณาจักรระบุว่ามี 9 บริเวณของโลกที่ถูกคุกคามอย่างวิกฤตที่สุดจากระบบภูมิอากาศ ทั้งหมดกำลังประสบกับความเครียดอย่างรุนแรง จุดผลิกผันที่สำคัญประกอบด้วย
1) การละลายของชั้นน้ำแข็งที่อาร์กติก
2) การละลายของแผ่นน้ำแข็งที่กรีนแลนด์
3) การพังทลายของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกาตะวันตก
4) การตายของป่าฝนอะเมซอนเนื่องมาจากกระบวนการกลายเป็นทะเลทราย
5) การพังทลายของลมมรสุมฤดูร้อนของอินเดีย
6) การตายของป่าบอรีลทางตอนเหนือ


จุดพลิกผันที่ 1-3 : มหาสมุทรอาร์กติก แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกกำลังหายไปในอัตราที่เร่งด่วนเกินกว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่ปรากฏในภาพยนต์

-    จากข้อมูลในฤดูร้อนปี 2550 ฤดูกาลละลายของทะเลอาร์กติก มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนเพิ่มมากขึ้นสรุปว่าน้ำแข็งทะเลอาจหายไปทั้งหมดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2551-2555 เร็วขึ้น 30 ปีจากที่เคยคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้า นักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการทำนายนี้ประกอบด้วย ดร.เจย์ ซวอลลี่ นักวิทยาศาสตร์โครงการสำรวจระบบโลกแห่งนาซา ดร.หลุยส์ ฟอร์เทีย ผู้อำนวยการวิทยาศาสตร์การวิจัยเครือข่ายอาร์ติกแห่งแคนาดา และดร.โอลาฟ ออฮึม หัวหน้านักวิทยาศาสตร์สำนักงานเลขาธิการปีขั้วโลกสากลแห่งนอร์เวย์

-    นักวิทยาศาสตร์ องค์การบริหารเพื่อการศึกษาการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา(NASA) ประกาศว่าน้ำแข็งที่มีอายุเก่าแก่กว่า หนากว่าของน้ำแข็งอาร์กติกขณะนี้ก่อตัวขึ้นเพียง 30% ของน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกทดแทนน้ำแข็ง 30% ที่ลดลงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

-    นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเบริน ศึกษาตัวอย่างแท่งแกนน้ำแข็งจากกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาพบว่าภาวะโลกร้อนช่วงศตวรรษที่ผ่านมารุนแรงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ 22,000 ปี (22 สหัสวรรษ) ก่อน พร้อมด้วยอัตราที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

-    ในเดือนมีนาคม แอนตาร์ติกาตะวันตกพบกับการแตกตัวของหิ้งน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุด 15 ปีล่วงหน้าก่อนที่เคยคาดการณ์ ซึ่งกำลังเตือนนักวิทยาศาสตร์ถึงการเร่งของมันในการจมลงสู่ท้องทะเล


จุดพลิกผันที่ 4

ป่าฝนอะเมซอนอยู่ภายใต้การคุกคาม
-    เกือบ 20% ของแก็สเรือนกระจกมีต้นกำเนิดมาจากการทำลายป่า ด้วยการเริ่มต้นถางป่าเพื่อใช้ที่ดินในการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชอาหารสัตว์ หรือปลูกพืชเพื่อทำเชื้อเพลิงชีวภาพ

-    ดร.โจส มาเรนโกและเพื่อนร่วมงานชาวบราซิล สรุปว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุของความแห้งแล้งครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อะเมซอนช่วงปี 2548 ทิ้งไว้เพียงแม่น้ำสาขาย่อยของแม่น้ำอะเมซอนอันยิ่งใหญ่ที่แห้งขอด

-    การปศุสัตว์ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาเพื่อแก้ไขความยากจนภายใต้องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติคำนวณว่า ป่าอะเมซอน 70% ถูกตัดไปเพื่อการผลิตเนื้อสัตว์



จุดพลิกผันที่ 5

ฤดูมรสุมอินเดียได้เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่แน่นอน
มรสุมอินเดียมีรูปแบบที่แปรปรวนอย่างมากได้นำไปสู่ความหายนะ
-    ในปี 2548 ฝนตกเพียงวันเดียวในวันที่ 26  กรกฎาคมก่อให้เกิดน้ำท่วมที่มุมไบวัดปริมาณน้ำฝนได้ถึง 944 มิลลิเมตรและมีผู้ประสบภัยกว่า 1,000 คน

-    ในปี 2549 ลมมรสุมนำฝนมาล่าสุดที่เขตมาราทวาดาของรัฐมหาราชตระเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมพัดพาหมู่บ้านกว่า 400 หลังคาเรือนจมหายและก่อให้เกิดผู้สูญหายจำนวน 700 ชีวิต

-    ผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2550 ทำให้ประชาชนมากกว่า 19 ล้านคนต้องอพยพโยกย้ายถิ่นฐานและมากกว่า 1,300 ชีวิตสูญหาย รวมทั้งอินเดียและบังคลาเทศ


จุดพลิกผันที่ 6

การละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว(เพอร์มาฟรอสต์)ในป่าบอรีลกำลังปลดปล่อยแก็สคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทนสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นปัจจัยที่ยังไม่ได้นับรวมเข้าไปในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน

-    โครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ(UNEP)เรียกร้องให้มีการวิจัยอย่างเร่งด่วนของอัตรายจากแก็สมีเทนที่ถูกปล่อยจากชั้นดินเยือกแข็งที่ละลาย ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้คุกคามเร็วกว่าการคาดการณ์ในปัจจุบัน ผู้อำนวยการของยูเอ็นอีพี อชีม สเตนเนอร์ กล่าวว่าความไม่รู้เกี่ยวกับปริมาณและอัตราของมีเทนที่ปล่อยจากอาร์กติกที่ละลายทำให้มันมีหัวข้อที่กว้างมากสำหรับการพิจารณาความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

-    นักวิทยาศาสตร์กังวลว่าแบคทีเรียในดินบริเวณที่เคยเยือกแข็งมาก่อนเหมือนอาร์กติกจะเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ปล่อยสู่บรรยากาศเป็นการเร่งให้สภาพภูมิอากาศร้อนขึ้นอีก พื้นดินสะสมคาร์บอนมากเป็น 2 เท่าของบรรยากาศ ดร.อิริค เดวิดสัน นักวิทยาศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยวูดโฮล ในรัฐแมซซานชูเสส สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นเหมือนกับระเบิดเวลา ในความคิดผม กำลังรอที่จะถูกปล่อยออกมา มีการสะสมปริมาณคาร์บอนอย่างมหาศาลในชั้นดินเยือกแข็งคงตัวและทั้งหมดเหล่านี้เป็นผลเกี่ยวเนื่องอย่างรวดเร็วให้เกิดการสลายตัว ถ้าชั้นดินเยือกแข็งคงตัวละลาย

-    ด้วยอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นกำลังละลายชั้นดินเยือกแข็งคงตัวใต้เท้าของพวกเขา ประชาชนในซาล์ลุตทางตอนเหนือของคิวเบค แคนาดา พิจารณาถึงการย้ายเมืองทั้งหมดออกไปให้ไกลจากโคลนถล่ม อาคารและถนนพังทลาย

-    ชาวบ้านท้องถิ่นในอลาสก้าเรียกร้องเงินค่าเสียหายจากบริษัทที่รู้จัก ซึ่งผลิตแก็สเรือนกระจกปริมาณมาก เพื่อช่วยพวกเขาย้ายหมู่บ้านที่สร้างอยู่บนชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่กำลังละลาย

-    อุณหภูมิในป่าบอรีลในไซบีเรียและอลาสก้าเพิ่มสูงขึ้นเป็นสองเท่ากว่าอุณหภูมิเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นในส่วนอื่นๆ ของดาวเคราะห์โลก

-    ดร.เคทีย์ วอลเตอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของลิมโนโลจี แห่งมหาวิทยาลัยอลาสก้ายืนยันว่ามีเทนกำลังถูกปล่อยจากชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่กำลังละลายและเกิดเป็นฟองผุดขึ้นมาจากทะเลสาบอาร์กติกที่หนาวเย็นมาก ดร.วอลเตอร์ กล่าวว่าชั้นดินเยือกแข็งคงตัวเป็นเหมือนกับระเบิดเวลาที่รอการปะทุ เมื่อมันละลายไปเรื่อยๆ มีเทนปริมาณ 10,000 เทรากรัม(10,000 ล้านตัน) สามารถถูกปล่อยออกมาสู่บรรยากาศเพิ่มภาวะโลกร้อนให้สูงขึ้น เธอแถลงว่าแก็สคาร์บอนปริมาณ 950 จิกะตัน(950 พันล้านตัน) ถูกกักไว้ในชั้นดินเยือกแข็งคงตัวใต้พื้นทะเลสาบไซบีเรีย ซึ่งมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในชั้นบรรยากาศเวลานี้เสียอีก

-    ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศแห่งนาซา ดร.เจมส์ แฮนเซน แถลงว่า ในยุคประวัติศาสตร์ การปล่อยมีเทนจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งและแนวตะกอนที่ไม่เสถียรบนไหล่ทวีปใต้มหาสมุทร อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก



สภาพภูมิอากาศเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ

-    หลังจากการเกิดน้ำท่วมในอังกฤษเมื่อฤดูร้อนที่แล้ว สัตวแพทย์ได้พบกับคลื่นความรุนแรงของเหตุการณ์การเกิดโรคร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า พวกเขาชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ตกอยู่ในความเสี่ยง บางส่วนของโรคนี้สามารถติดต่อข้ามสายพันธุ์ได้
  
-    แพทย์จากโรงพยาบาลสำหรับเด็กป่วย ในโตรอนโต ออนทาริโอรายงานว่าที่อยู่อาศัยของพาหะนำโรค เช่น หมัดเห็บและยุงกำลังขยายจำนวนไปทั่วพื้นที่อยู่อาศัยอันหนาแน่นของประชากรแคนาดาเพราะว่าภาวะโลกร้อน

-    รายงานแจ้งโดยมหาวิทยาลัย แสตนฟอร์ดในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกายืนยันถึงความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการเพิ่มขึ้นของระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศกับการเพิ่มขึ้นของอัตราการตายของมนุษย์

-    องค์การสุขภาพโลกยุคใหม่รายงานว่าสภาพอากาศที่รุนแรงกับและภัยพิบัติธรรมชาติสามารถนำความเครียดหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านจิตใจและการฆ่าตัวตาย

-    รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณะสุขของอินโดนีเซีย ซิติ ฟาดิลาห์ สุพาริแถลงว่า ประชาชนในประเทศจำนวน 150,000 คน ตายทุกปี เนื่องมาจากการเปลี่ยนแลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บป่วย

-    ดร.เจฟเฟรย์ ดีเมนแห่งมหาวิทยาลัยอลาสก้า อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพสาธาณะชนในรัฐทางเหนือทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาด้วยความเจ็บป่วยจากพาหะนำโรคจำนวนมาก

-    รายงานเมื่อเร็วๆ นี้จากแพทย์ในสมาคมแพทย์อังกฤษ(BMA) แถลงว่าภาวะโลกร้อนสามารถนำโรคเช่น ไข้มาลาเรีย มาสู่สหราชอาณาจักร เหมือนกับความเจ็บป่วยอย่างมะเร็งผิวหนังและโรคลมแดดผลจากคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้น

-    แพทย์ด้านสิ่งแวดล้อมของออสเตรเลียมีรายงานออกมาอธิบายผลกระทบอย่างรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อสุขภาพมนุษย์จากความเจ็บป่วยทีเกี่ยวข้องกับความร้อนและสภาพอากาศที่รุนแรง มีการเพิ่มสูงขึ้นของโรคภูมิแพ้และโรคที่มียุงเป็นพาหะนำโรค

    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุให้เกิดความแห้งแล้ง เชื้อเพลิงชีวภาพและความต้องการเนื้อสัตว์กำลังสร้างอาหารที่ไม่ปลอดภัย ความไม่สงบ และความอดอยากหิวโหย



เหตุผล

-    หนังสือพิมพ์สหราชอาณาจักร เดอะ การ์เดียนกล่าวว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญของความอดอยากในโลกและการขาดแคลนอาหาร ในบทความเรื่อง “ทำไมวีเก้นจึงถูกต้องในทุกๆ ด้าน” จากการสอบถามผู้ไม่เป็นมังสวิรัติ นักหนังสือพิมพ์ จอร์จ มอนบอทอธิบายว่าความต้องการเนื้อโดยความมั่งคั่งของโลกผลักดันให้ราคาธัญพืชสูงขึ้นมากต่อผู้โชคร้าย เพราะต้องใช้ธัญพืชมากกว่า 5 ปอนด์เพื่อจะสร้างเนื้อสัตว์ให้ได้ 1 ปอนด์ ทุกๆมื้อของอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เป็นการเอาอาหารโดยตรงมาจากปากของผู้ยากไร้

-    ประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ดร.ราเจนดรา  เค ปาเชารี กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยทางด้านอาหารที่อยู่ในบริเวณของธารน้ำแข็งที่กำลังละลาย

-    เลสเตอร์ บราวน์ประธานของสถาบันนโยบายแห่งโลกที่สหรัฐอเมริกา แถลงว่าความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพกำลังต้องจ่ายแพงมากขึ้นในตลาดสำหรับผู้โชคร้าย ขณะที่การเพาะปลูกของชาวนาและการขายพืชผลการเกษตรไปเพื่อทำเชื้อเพลิงแทนที่จะเป็นอาหาร

-    ด้วยปริมาณฝนที่มีลดลง 20% ในช่วง 35 ปีที่ผ่านมาและเหลือสำรองแค่ 10% ของความจุ ทำให้เกาะไซปรัสกำลังประสบกับการขาดแคลนน้ำเป็นประวัติการณ์

-    สมาชิกพิเศษด้านสิทธิทางอาหารของสหประชาชาติ ยีน ซีเกลอร์ เรียกร้องให้หยุดการผลิตกระบวนการทำเชื้อเพลิงชีวภาพในปัจจุบัน โดยกล่าวว่า “พวกมันเป็นอาชญากรรมที่ขัดต่อมนุษยธรรม” เพราะว่ามันกำลังเป็นสาเหตุของการขาดแคลนอาหารโลกและนำไปสูความอดอยากหิวโหยในโลก

-    เลขาธิการสหประชาชาติ นายบาน คี มุนเรียกร้องให้มีการทบทวนเรื่องเชื้อเพลิงชีวภาพอีกครั้งในการเป็นแหล่งพลังงานทางเลือก ด้วยการคิดถึงผลกระทบของการผลิตที่กำลังมีต่อราคาอาหารโลก


สถานการณ์ในปัจจุบัน


-    ประเทศผู้ผลิตข้าวอย่าง อินเดีย จีน เอาแลค(เวียตนาม) และอียิปต์กำลังจำกัดปริมาณการส่งออกข้าว กำลังผลักดันให้ราคาข้าวสูงยิ่งขึ้นไปอีก

-    การจราจลด้านอาหารมีการปะทุไปทั่วโลก จากเม็กซิโกไปถึงอียิปต์ จากเมาริทาเนียไปถึงไฮติ ซึ่งหลายคนกำลังตายด้วยความยากจนอย่างมากในอียิปต์

-    ในอินเดีย คนหลายล้านคนต้องลดอาหารตนเองลงจากวันละสองมื้อเป็นมื้อเดียว และในเอล ซัลวาดอร์มื้ออาหารลดน้อยลงกว่าครึ่งหนึ่งแล้วตอนนี้ เมื่อเทียบกับสองปีที่แล้ว



ทางแก้ปัญหาที่ 1

ลดปริมาณแก็สมีเทน
การลดร่องรอยของแก็สมีเทนอาจเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถหยุดยั้งอัตราการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างรวดเร็วและซื้อเวลาวิกฤตเพื่อเยียวยาสิ่งแวดล้อม

-    ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศ เจมส์ แฮนเซนกล่าวว่าเราอาจจะสามารถรักษาน้ำแข็งทะเลอาร์กติกเอาไว้ได้ ถ้าเราลดมีเทนลง เขาแถลงว่ามันเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการตระหนักว่ามันไม่ใช่เป็นเพียงแค่คาร์บอนไดออกไซด์ ดร.แฮนเซน อธิบายว่ามีเทนกำลังมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อการร้อนขึ้นของอาร์กติกมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) มีเทนมีอานุภาพมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์อย่างน้อย 25 เท่า

-    องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (EPA) ได้ขึ้นบัญชีว่าแหล่งผลิตมีเทนอันดับหนึ่งที่มีสาเหตุมาจากมนุษย์คือการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ตามมาด้วยพื้นที่ฝังกลบขยะ เหมืองถ่านหิน และการรั่วไหลจากท่อแก็สธรรมชาติ

-    องค์การอาหารและการเกษตรของสหประชาชาติได้ประมาณว่าการเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้เป็นอาหารคิดเป็น 37% ของแก็สมีเทนที่มาจากมนุษย์



หลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์

-    นักวิทยาศาสตร์ด้านพื้นผิวโลกจากทั่วโลกแถลงว่าก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงก้าวเดียวที่แต่ละคนสามารถทำได้ในการพลิกผันภาวะโลกร้อนคือการหยุดการทานเนื้อสัตว์

-    ดร.คริส แรพเลย์ ผู้อำนวยการพิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งลอนดอนและอดีตหัวหน้านักสำรวจแอนตาร์กติก ผู้สนับสนุนการเป็นมังสวิรัติ(วีเก้น)เพื่อช่วยรักษาดาวเคราะห์โลก กล่าวว่ามันใช้พลังงานในระยะยาวน้อยกว่าอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ ดังนั้นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็คือการเป็นมังสวิรัติ(วีเก้น)

-    ทางเวปเอริธท์เซฟ.โออาร์จี รายงานว่านักสิ่งแวดล้อมกำลังมองข้ามมังสวิรัติที่เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงชีวิตเราได้อย่างไร โดยแถลงว่าควรยอมรับความจริงแล้วว่ามีเทนเป็นสาเหตุที่สำคัญของภาวะโลกร้อน การลดภาวะโลกร้อนจะเป็นเรื่องง่ายๆ  ถ้าประชาชนเปลี่ยนมาทานอาหารมังสวิรัติ(วีเก้น)



ทางแก้ปัญหาที่ 2

รัฐบาลและสื่อมวลชนสนับสนุนอาหารมังสวิรัติ (วีเก้น)
-    การเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาเนื้อสร้างแก็สเรือนกระจกปริมาณมากกว่าการคมนาคมขนส่งทั่วโลกรวมกัน รายงานที่ถูกตีพิมพ์โดยหน่วยงานปศุสัตว์ภายในองค์การอาหารและเกษตรของสหประชาชาติพบว่าการปศุสัตว์คิดเป็น 18% ของการแพร่แก็สเรือนกระจกโดยรวม รายงานยังกล่าวอีกว่าการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ดังนั้นการลดผลกระทบของมันควรจะเป็นนโยบายสูงสุดด้านสิ่งแวดล้อมของทุกรัฐบาล

-    ตามที่นักข่าวด้านสิ่งแวดล้อม แอนดรู เรฟคิน ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า“ทางเลือกอาหารของเราก็เป็นทางเลือกของพลังงานที่จำเป็นในบางระดับด้วยเช่นกัน และที่จริงแล้วในแง่ของมังสวิรัติ มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี มีการใช้น้ำปริมาณมาก มีมลภาวะจำนวนมากที่เป็นผลมาจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ ดังนั้นการกินที่ลดห่วงโซ่อาหารลงกำลังเป็นบางสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากรู้สึกว่าการเพิ่มมากขึ้นของประชากรโลกกำลังเป็นบางสิ่งซึ่งควรมีความสำคัญ

-    ดร.เคิร์ก สมิธ ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมโลกแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กเลย์ สมาชิกของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) แถลงว่ารัฐบาลควรเก็บภาษีเนื้อสัตว์เพื่อลดการบริโภคลงและนำไปสู่การลดระดับมีเทน


-    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปกป้องสิ่งแวดล้อมของฟอร์โมซา(ไต้หวัน) นายวินสตัน ดัง แนะนำว่าประชาชนควรทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลงเพื่อปกป้องดาวเคราะห์โลกจากภาวะโลกร้อนและอนุรักษ์น้ำและแหล่งทรัพยากร

-    ผู้ออกกฎหมาย เยอรมัน เรเนท คุนาสต์ แนะนำให้เปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการเกษตรเพื่อหยุดยั้ยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ประกอบด้วยการลดการบริโภคผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์

-    วุฒิสมาชิก แอนดรู บาร์ทเลทต์ของรัฐควีนแลดน์ ออสเตรเลีย กล่าวว่า “ไม่มีอะไรง่ายกว่า ราคาถูกกว่า และรวดเร็วกว่าการที่เราสามารถทำการลดการแพร่ของแก็สเรือนกระจกที่ปล่อยออกไปส่วนบุคคลลงด้วยการตัดปริมาณของผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และนมที่เราบริโภคออกไป

-    ที่ประชุมของเมืองแคมเดน ในลอนดอนกำลังเสนอให้ห้ามการเสริฟเนื้อสัตว์ที่ห้องอาหารคณะทำงานอันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดการแพร่กระจายของแก็สเรือนกระจก

-    นักหนังสือพิมพ์ชาวแคนาดา เคท ฮาร์ทฟิลด์ แนะนำว่าเขตต่างๆ ของแคนาดาควรจะเริ่มเก็บภาษีเนื้อสัตว์เพื่อลดการแพร่ของแก็สเรือนกระจก เขากล่าวว่าเราพูดกันถึงคาร์บอนไดออกไซด์มากเหลือเกิน เราลืมไปว่ามันไม่ได้เป็นแก็สเรือนกระจกเพียงชนิดเดียว หรือเป็นตัวอันตรายที่สุดเท่านั้น การเลี้ยงปศุสัตว์ปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศส่วนมากผ่านการถางทำลายป่า(การปศุสัตว์ต้องใช้พื้นที่และอาหารจำนวนมาก) แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับความน่ากลัวของปริมาณแก็สมีเทนและไนตรัสออกไซด์ที่แพร่โดยฝูงปศุสัตว์และโรงปุ๋ยคอก

-    นายพา ออสมัน จาร์จู ผู้อำนวยการของกรมทรัพยากรน้ำในแคมเบีย แถลงว่าระบบอาหารของเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงด้วย ถ้าเราหันมาทานอาหารมังสวิรัติ นั่นควรจะช่วยอย่างมากในการรักษาดาวเคราะห์โลก

-    พาร์ ฮอล์มเกรน นักอุตุนิยมวิทยาของโทรทัศน์สวีเดนและอาจารย์ด้านภูมิอากาศแถลงว่าถ้ามีคนมากขึ้น มากขึ้น ทานเนื้อสัตว์มากขึ้น มากขึ้น นั่นจะสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวง เพราะพลังงาน เพราะความจริงที่ว่าสัตว์บางส่วนเหล่านี้กำลังกินอาหารซึ่งความจริงแล้วเราสามารถกินได้เช่นกัน และยังมีปัญหาที่สัตว์สามารถสร้างแก็สเรือนกระจกได้อีกด้วย

-    บทความในนิวยอร์กไทม์เขียนโดยมาร์ก บิทต์แมน ไม่ใช่นักมังสวิรัติ อธิบายต้นทุนสูญเสียในการบริโภคเนื้อสัตว์ต่อดาวเคราะห์ของเรา สุขภาพของเรา และต่อผู้ยากไร้



ทางแก้ไขที่ 3

ปรับมาตรฐานคาร์บอนให้เป็นศูนย์
-    ดร.อาร์ยัน แมคฮิจานิ ประธานของสถาบันถังความคิด(Think Tang) เพื่อการวิจัยพลังงานและสิ่งแวดล้อมของวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา รายงานว่ามีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาจะเป็นกลางทางคาร์บอนโดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เขากล่าวว่าเป้าหมายของการมีคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์มีความจำเป็นในการลดอันตรายที่เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

-    ทุกวันนี้ ต้นทุนด้านพลังงานลมเป็นสิ่งที่ปราศจากของเสียมลพิษและมีความปลอดภัยเมื่อเทียบกับพลังงานนิวเคลียร์

-    การคมนาคมขนส่งคิดเป็น 13% ของการแพร่แก็สเรือนกระจกในโลก นักสิ่งแวดล้อมและผู้ก่อตั้งมูลนิธิก้าวที่สูงขึ้น(Step It Up) บิล แมคคิบเบนแถลงว่า นอกจากการเดิน การขี่จักรยาน หรือโดยสารรถขนส่งสาธารณะ ยานพาหนะที่ใช้ไฟฟ้า สกุตเตอร์ จักรยาน และรถไฟพบว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดที่ได้รับจากเทคโนโลยีที่มีอยู่

-    โครงการอ็อฟเซทผ่านองค์การต่างๆ เช่น คาร์บอนฟาวด์ ดอท โออาร์จี (carbonfound.org) สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลงได้

-    โมนาโคเสนอเงินจูงใจต่อพลเมืองเพื่อสนุนในการซื้อรถพลังงานสะอาด

-    การอนุรักษ์พลังงานเป็นวิธีที่ถูกที่สุด เร็วที่สุดในการลดการใช้พลังงาน รวมทังการใส่กระจกสามเท่า อุดรอยรั่วทั้งหมด และการหุ้มฉนวนบ้านของคุณ

-    ติดตั้งแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการใช้กระแสไฟฟ้า และเครื่องทำน้ำอุ่นพลังงานแสงอาทิตย์




ทางแก้ปัญหาที่ 4

การปลูกป่าทดแทน
ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศ 300 คนจากทั่วโลก ลงนามประกาศ ณ การประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ที่เกาะบาหลี เริ่มต้นกล่าวว่าถ้าเราสูญเสียป่า เราก็พ่ายแพ้ในการต่อสู่กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

-    การลดการส่งจดหมายขยะประมาณว่าเฉลี่ยบ้านเรือนในสหรัฐอเมริกาได้รับจดหมายขยะและใบโฆษณา ซึ่งทำลายป่าของภูเขาร็อกกี้ สวนสาธารณะแห่งชาติทุกๆ 4 เดือน บริษัทต่างๆ เช่น www.greendimes.com ช่วยผู้คนให้ลดจดหมายขยะได้ถึง 90%และปลูกต้นไม้ชดเชยหนึ่งต้น สำหรับแต่ละใบโฆษณาที่ถูกยกเลิก

-    ในโอเวน ซาวด์ แคนาดา กลุ่มต้นไม้ของออนแทรีโอ สอนประชาชนถึงเทคนิคการปลูกต้นไม้และแนะนำพวกเขาถึงโครงการกระตุ้นการเก็บภาษีป่าซึ่งเสนอการลดภาษีทรัพย์สินถึง 75% เพื่อการปลูกต้นไม้ชดเชยภาวะโลกร้อน

-    วันที่ 1 เมษายน 2551จดหมายจาก ดร.เจมส์ แฮนเซน ส่งไปถึงนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เควิน รูด โดยบอกว่าพวกเราอยู่ในจุดที่ ผู้นำที่กล้าหาญเป็นสิ่งจำเป็น ผู้นำที่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การจะเอาชนะเกี่ยวกับการพัฒนาพลังงานที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่เร่งด่วนและสำคัญเพื่อการบรรเทาวิกฤติทางสภาพภูมิอากาศที่เริ่มปรากฏให้เห็นรางๆ วิธีที่สามารถทำได้ขณะนี้ยังคงนำโลกไปสู่หนทางที่ลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ



เราต้องรักษาดวงดาวนี้ไว้เพื่อที่เราจะได้อยู่ได้ก่อน เพราะว่าถ้าน้ำแข็งละลายหมด ถ้าขั้วโลกละลายหมด และจากนั้นถ้าทะเลอุ่นขึ้นแล้วก๊าซก็จะถูกปล่อยออกมาจากมหาสมุทร และเราทั้งหมดก็จะถูกพิษจากก๊าซจากมหาสมุทร….Supreme Master Ching Hai



                    Be Veg,Go Green 2 Save The Planet
                สำหรับข้อมูลเร่งด่วนสามารถรับชมได้ที่
                 www.SupremeMasterTv.com/SOS
				
2 กันยายน 2553 12:44 น.

ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า....

คีตากะ

113.jpg     หากเรายังยึดติดสิ่งใดๆ ในโลก เช่นนี้แล้วเราก็จะอยู่ในเงาแห่งการสูญเสียทุกขณะ สิ่งที่เราจะพึ่งได้เท่านั้นคือ อาจารย์ภายใน พลังอันยิ่งใหญ่ เช่นนี้แล้วเราก็จะปราศจากความกลัว สบายใจและได้รับการหลุดพ้น




     ฉันได้เป็นบุตรสาวอันเป็นที่รักของพระเจ้าอยู่เสมอนับแต่ในวัยเด็ก เพราะว่าด้วยวิธีบางอย่างโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ฉันก็ได้เป็นเจ้าของบางสิ่งซึ่งผู้อื่นไม่มี แม้ว่าพวกเขาจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งนั้น พวกเขาบางคนก็รู้สึกอิจฉาฉันมาก แต่ฉันไม่ได้รู้สึกภูมิใจในสิ่งเหล่านี้เลย เพราะฉันรู้อยู่ลึกๆ ภายในหัวใจของฉันว่า สิ่งต่างๆ ทั้งหลายนี้มาจากพระเจ้าไม่ใช่มาจากฉัน ทุกครั้งถ้าฉันยึดติดมากเกินไปในสิ่งเหล่านั้นหรือพึ่งพาอามันมากเกินไป ไม่รู้สึกขอบคุณพระเจ้า หรือลืมความรักของพระองค์ เช่นนี้แล้วพระองค์ก็จะเอามันไปจากฉันเพื่อชำระล้างอุปสรรคทั้งหลายระหว่างพระองค์และฉัน พระองค์ได้สอนฉันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความอดทนอันไม่สิ้นสุด แม้ว่าฉันจะร้องไห้และเศร้าโศกเสียใจเพื่อที่จะให้ฉันรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ และทำให้ฉันได้เข้าใกล้พระองค์มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีความคิดคับแคบที่จะต้องการความขอบคุณจากฉัน แต่ถ้าฉันรักสิ่งใดมากกว่าพระองค์ มันก็จะเป็นอุปสรรคระหว่างพระองค์และฉัน ทำให้ฉันเหินห่างจากพระองค์
	      ดังนั้นทุกครั้งที่พระองค์เอาสิ่งใดๆ ไปจากมือของฉัน จะมีความกรุณาของพระองค์อยู่เสมอ มีความเมตตาและพระพรซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในนั้น คัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้ว่า “หากพระเจ้าปิดประตู พระองค์ก็จะเปิดหน้าต่างอีกบานหนึ่งให้เธอ” ท่านอาจารย์ก็ได้เคยเล่าเรื่องให้เราฟังเกี่ยวกับสุภาพสตรีและกษัตริย์ กษัตริย์บอกสุภาพสตรีนั้นว่า หล่อนสามารถเอาอะไรก็ได้ชิ้นหนึ่งจากพระราชวังของพระองค์ไปเป็นของขวัญถ้าหล่อนปรารถนา สุภาพสตรีผู้ชาญฉลาดนั้นได้เลือกที่จะเอาตัวพระราชา เพราะเมื่อหล่อนเป็นเจ้าของพระราชา หล่อนก็จะได้เป็นเจ้าของทั้งอาณาจักร ก็เหมือนกันกับถ้าเราสละทุกสิ่งทุกอย่างและพึ่งพาพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เราก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้สร้างขึ้น
	     ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราว่า “แม้ว่าเธอบำเพ็ญความดีและความยุติธรรมก็จะมีพลังทางลบที่จะพยายามโจมตีเธออยู่เสมอ ที่จะพยายามทำให้เธอหันเหออกจากจุดมุ่งหมายของเธอ ล่อลวงเธอให้ไปในทิศทางต่างๆ ทำให้เธอไขว้เขว ดังนั้นจึงต้องใช้ความมุ่งมั่นอย่างมากและหลักการที่จะควบคุมตัวเราเอง ที่จะตรวจสอบวิธีการของเรา ที่จะตรวจสอบชีวิตของเรา เพื่อว่าเธอได้เติบโตในทิศทางที่ถูกต้องอยู่เสมอโดยไม่ต้องเสียใจและไม่ต้องมาพร่ำบ่นถ้าเธอไม่ได้รับผลที่ดีจากมัน แต่ทั้งๆ ที่มีอุปสรรคทั้งหลายเหล่านี้ และความไม่เป็นที่น่ายินดีในรูปแบบใดๆ เราก็ยังคงพัฒนาต่อไป เรายังคงพัฒนาตัวเราต่อไปที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่ามันถูกต้อง เพราะมันเป็นการท้าทายของโลกนี้ที่เราจะพูดในวิถีทางแห่งพระเจ้าอยู่เสมอ ที่เราพูดศีลแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่เสมอ นั่นก็คือวิธีการที่เราจะขึ้นไปให้อยู่เหนือความแตกต่างทั้งหลายและคำสรรเสริญและการติเตียนทั้งหลาย เพื่อที่จะเป็นมนุษย์ผู้สูงส่ง” คัดจาก “กุญแจแห่งการรู้แจ้งในทันที” เล่มห้า ปราศรัยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 1993)
	      ฉันเคยมีความคิดว่า ตราบใดที่เราได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ผู้รู้แจ้ง เราก็จะปลอดภัย แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่าถ้าเราไม่จริงจังต่อตัวเราเพียงพอในการบำเพ็ญ ถ้าเราไม่มีศรัทธาอันแรงกล้าและความจริงใจอย่างแท้จริงในหนทางการบำเพ็ญ ถ้าเราไม่มีค่าคู่ควรกับธรรมวิถีที่ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดให้กับเรา เราก็จะไม่สามารถผ่านการทดสอบทั้งหลาย ฉันขอร้องพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “โปรดอย่าได้เข้มงวดมากนักกับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้เพราะมันน่าเสียดายถ้าผู้นั้นต้องหลุดออกจากหนทางหลังจากประทับจิตแล้ว” แต่ฉันก็ได้รับความรักอันสูงสุดของพระองค์จากบทเรียนอันเข้มงวดและรุนแรงนี้ และด้วยน้ำตาและความโศกเศร้าฉันก็ได้รับความกล้าหาญที่จะเผชิญกับทั้งโลกถ้าฉันอยู่ในด้านที่ถูกต้อง แต่ก่อนฉันไม่คิดว่าฉันอยู่ในด้านที่ถูกต้อง แต่ก่อนฉันไม่คิดว่าฉันจะทำมันได้ ท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราหลายครั้งว่ายุคทองกำลังใกล้เข้ามา ฉันได้เรียนรู้จากคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ว่า ผู้คนสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้โดยตรงในยุคทอง เมื่อเราพึ่งพาพระองค์เท่านั้นจริงๆ และฟังคำสั่งจากปัญญาสูงสุดโดยตรง และเผชิญหน้ากับโลกอย่างห้าวหาญ เราก็จะอยู่ในยุคทองในขณะนี้ !



บนเส้นทางการบำเพ็ญ

โดยพี่ประทับจิตหญิง มิลินซู ฟอร์โมซา






member-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8				
1 กันยายน 2553 01:10 น.

การเตือนที่เร่งด่วน...

คีตากะ

boxser-1276841236-124-121-27-252.gifข้อมูลเร่งด่วนจากท่าน Supreme Master Ching Hai

     สวัสดี ท่านผู้พิพากษาอันทรงเกียรติที่เคารพ ท่านผู้ช่วยที่นับถือ ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษที่สูงส่ง ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษนี้ สำหรับโครงการใหม่ของท่านที่ชื่อ “Diploma Participation in Environmental Right” ในฐานะพลเมืองของโลกที่ให้ความใส่ใจต่อโลกใบนี้ ฉันขอแสดงความยินดีและขอบคุณสำหรับความเพียรพยายามอย่างจิรงใจนี้ ที่ท่านแสดงออกถึงความใส่ใจระดับสูงในการอุทิศตนต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา ขอให้สิ่งนี้เป็นแรงเสริมสร้างกำลังใจของท่านเพื่อนำความยุติธรรมที่สุดมาให้แก่ทุกชีวิตบนดาวเคาระห์ดวงนี้ วันนี้ ฉันรู้สึกได้รับเกียรติอย่างมาก ด้วยความถ่อมตัวของฉันต่อการปกครองด้วยปัญญาของท่านโดยการแบ่งปันข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและสาเหตุอย่างเร่งด่วนที่สุด 
 
ก.ผลกระทบจากภูมิอากาศและภัยคุกคาม
เราได้รับสัญญาณต่างๆ จากวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น ปรากฏหลักฐานให้เห็นได้ทั่วทุกมุมโลก สิ่งแรกคือพายุที่มีความรุนแรงเป็นสองเท่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา อย่างที่เราสามารถเห็นได้ที่เกิดขึ้นในเม็กซิโกเอง เมื่อเร็วๆ นี้ พายุเฮอริเคนและน้ำท่วมที่สร้างความเสียหายให้กับครอบครัว ซึ่งต้องได้รับความเจ็บปวดและเศร้าโศก ขณะเดียวกับที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระดับที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ประเทศที่เป็นเกาะอย่างน้อย 18 แห่ง จมหายไปและบริเวณชายฝั่งที่มากกว่านั้นยังถูกคุกคามต่อไป เมื่อธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มากมายได้ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประชากรมากกว่า 2 พันล้านคนขาดแคลนน้ำและอาหารไปแล้ว ความทุกข์อีกมากมายมาจากการขาดแคลนน้ำและแม่น้ำนับหมื่นๆ แห่งหายไปและเหือดแห้งลง ประเทศเม็กซิโกเองเวลานี้กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 70 ปี เพื่อนมนุษย์มากกว่า 300,000 คน กำลังตายในแต่ละปีเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มากกว่า 20 ล้านคนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานกลายเป็น”ผู้ลี้ภัยทางภูมิอากาศ” นักวิทยาศาสตร์ยังกังวลเกี่ยวกับมีเทนเป็นพันๆ ล้านตันที่เกิดจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัวบริเวณอาร์กติกขั้วโลกเหนือเวลานี้ และมหาสมุทรที่กำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ แค่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งสามารถปลดปล่อยออกมาก็จะนำไปสู่การสูญพันธุ์อย่างมหาศาล

ข. สาเหตุ
อะไรคือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเสียหายเหล่านี้ ? มันไม่ใช่รถยนต์ หรือเครื่องบิน มันไม่ใช่โรงงานถ่านหิน และมันไม่ใช่แม้กระทั่งโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยควันทั้งหมดในโลกของเรา สาเหตุอันดับหนึ่งของภาวะโลกร้อนคือการปศุสัตว์ งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้บอกเราว่าการเลี้ยงปศุสัตว์เป็นสาเหตุมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยแก็สเรือนกระจกของโลก ฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นแหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดของการผลิตมีเทนจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นแก็สเรือนกระจกที่สามารถดักความร้อนอย่างน้อย 72 เท่ามากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ โดยวัดในช่วง 20 ปี ข่าวดีเกี่ยวกับมีเทนดักความร้อนนี้คือว่าแก็สนี้มีอายุสั้นกว่าคาร์บอนไดออกไซด์และสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในบรรยกาศได้นานนับพันๆ ปี ขณะที่อายุของมีเทนในบรรยากาศแค่ประมาณ 12 ปี กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่ามีเทนสร้างความเสียหายมากกว่าในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ถ้าเราหยุดมัน เราจะสามารถหันกลับจากภาวะโลกร้อนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการหยุดภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็วคือการหยุดปล่อยมีเทน เราจะต้องหยุดแหล่งอันดับหนึ่งของมันนั่นคือการทำฟาร์มปศุสัตว์

ค.การปศุสัตว์
เวลานี้ เรากล่าวเกี่ยวกับการปศุสัตว์ การทำฟาร์มปศุสัตว์เป็นสาเหตุของผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้ภาวะโลกร้อนเลวร้ายมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามที่องค์การสหประชาชาติและการศึกษาอื่นๆ กล่าวไว้ว่า การเลี้ยงฟาร์มปศุสัตว์เป็นที่รู้กันว่าเป็นสาเหตุผลกระทบสร้างความเสียหายดังต่อไปนี้

1.	การทำลายป่า 
การเลี้ยงฟาร์มปศุสัตว์เป็นตัวการเดียวที่มนุษย์ใช้ที่ดินมากที่สุดและเป็นสาเหตุหลักของการทำลายป่า ตั้งแต่ปี 2513 การผลิตปศุสัตว์ได้เป็นสาเหตุของการทำลายป่าในอะเมซอน 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการถางป่าเพื่อใช้เป็นทุ่งหญ้าปลูกพืชอาหารเลี้ยงสัตว์ให้เจริญเติบโต บริเวณป่าเขตร้อนขนาดเท่าสนามฟุตบอลถูกทำลายไปทุกๆ หนึ่งวินาทีเพื่อผลิตแฮมเบอร์เกอร์แค่ 250 ชิ้น นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าถ้าเรายังคงเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการทำลายนี้ ป่าของโลกจะหยุดดูดซับแก็สเรือนกระจกในไม่ช้า และจะเริ่มปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลออกมาแทน มากไปกว่านั้นการทำลายป่าเพื่อกิจกรรมการทำฟาร์มปศุสัตว์ก็ยังผลิตคาร์บอนดำ(Black Carbon) คาร์บอนดำเป็นส่วนหนึ่งของแก็สเรือนกระจกที่สามารถดักความร้อนได้ 680 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ และเป็นสาเหตุให้แผ่นน้ำแข็งและธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายรวดเร็วยิ่งขึ้น การปล่อยคาร์บอนดำถึง 40 เปอร์เซ็นต์มาจากการเผาป่าเพื่อการทำฟาร์มปศุสัตว์

2.	การกัดเซาะดินและกลายเป็นทะเลทราย
 มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของการกัดเซาะหน้าดินรอบโลกมีสาเหตุมาจากการปศุสัตว์ซึ่งเกิดขึ้นมายาวนานพร้อมกับการทำลายป่า นำไปสู่การกลายเป็นทะเลทราย

3.	การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
การทำฟาร์มปศุสัตว์เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของสัตว์และพืช เนื่องจากการเสื่อมสภาพของดิน และผลกระทบที่ทำลายที่อยู่อาศัยอื่นๆ อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์กำลังฆ่าชีวิตป่าที่สวยงามของเราให้หมดไป รวมทั้งในเม็กซิโก

4.	มลภาวะเป็นพิษ
ทุกๆ ส่วนของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์เป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดของมลภาวะทางน้ำ ของเสียจากสัตว์ที่มากเกินไปที่ไม่มีการจัดการที่ดี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาปฏิชีวนะ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์กีดขวางทางน้ำของเราและสร้างพื้นที่มรณะทางทะเล (Dead Zone) อย่างเช่น บริเวณที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในอ่าวเม็กซิโก

5.	เชื้อโรค
โรคติดต่อในมนุษย์มากกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ทราบกันมาจากสัตว์ ความสกปรกและสภาพไร้มนุษยธรรมของฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นที่อาศัยของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น ไข้หวัดนก และไข้หวัดหมู ที่เราทั้งหมดทราบว่ามีการระบาดอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นสาเหตุการตายของคนจำนวนมากทั่วโลก

6.	สูญเสียอาหาร
การทำฟาร์มปศุสัตว์ใช้เมล็ดข้าวปริมาณมากถึง 12 เท่า เพื่อผลิตโปรตีนที่เท่ากับผักในปริมาณที่เท่ากัน เมล็ดข้าวในโลกปริมาณ 730 ล้านตันที่ถูกเก็บเกี่ยวถูกใช้ไปกับการผลิตโปรตีนเนื้อสัตว์ ปริมาณนี้สามารถเลี้ยงประชากรที่หิวโหยทั้งหมดจำนวน 1 พันล้านคนของโลกหรือจำนวนหลายเท่ากว่านั้น

7.	สูญเสียน้ำ
ต้องใช้น้ำมากกว่า 1,200 แกลลอนเพื่อผลิตเนื้อวัว 1 จาน แต่ใช้น้ำเพียง 98 แกลลอนเพื่อผลิตอาหารจากผักที่มีคุณค่า 1 มื้อ ขณะที่ประชากร 1.1 พันล้านคนขาดแคลนน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัย เราสูญเสียน้ำสะอาดมีคุณค่าปริมาณ 3.8 ล้านล้านตันในแต่ละปีเพื่อการผลิตปศุสัตว์

8.	สูญเสียพลังงานและทรัพยากร
การผลิตเนื้อสัตว์ต้องการพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 8 เท่าในการผลิต เมื่อเทียบกับการผลิตพืชผัก จากการศึกษาพบว่าการผลิตเนื้อและนมในเม็กซิโกใช้พืชผลทางการเกษตรและทรัพยากรมากที่สุดในประเทศและมันสะท้อนให้เห็นทุกๆที่รอบโลกล้วนเป็นเช่นเดียวกันด้วย หลักฐานทั้งหมดกล่าวด้วยเสียงอันดังและชัดเจน ถ้าทรัพยากรเหล่านี้ ที่ดิน น้ำ และเมล็ดข้าวถูกเปลี่ยนไปเพื่อค้ำจุนมนุษย์แทนการปศุสัตว์ โลกจะแตกต่างออกไปอย่างที่ควรจะเป็น นักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศที่น่านับถือ ประกอบด้วย ดร.เจมส์ เฮนเซนจากนาซ่า ดร.คาร์ลอส โนบริของบราซิลจากสถาบันวิจัยอวกาศแห่งชาติ และดร.ราเจนดรา ปาเชารี ประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติ ทั้งหมดได้กล่าวว่าการลดการบริโภคเนื้อสัตว์หรือการเป็นมังสวิรัติคือวิธีการที่มีประสิทธิผลในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน นั่นคือเราต้องมีวิถีชีวิตที่ปลอดเนื้อสัตว์ มีวิถีชีวิตแบบเมตตา เวลานี้ฉันจะนำเสนอบางส่วนของประโยชน์หลายอย่างของการทานอาหารจากผักปลอดสารพิษ

ง. ประโยชน์ของผัก
อย่างแรก ที่ดินเพื่อการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชเลี้ยงสัตว์สามารถเปลี่ยนมาเป็นป่าที่ช่วยลดภาวะโลกร้อน นอกจากนั้นผืนดินยังสามารถนำไปใช้ในการทำไร่ปลูกผักปลอดสารพิษ(เกษตรอินทรีย์) ไม่เพียงประชากรจะมีอาหารกินอย่างเต็มที่ แต่แก็สเรือนกระจกมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในชั้นบรรยากาศสามารถถูกดูดซับ นอกจากนั้นยังเป็นการกำจัดของเสียมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นสาเหตุมาจากการทำฟาร์มปศุสัตว์อีกด้วย ดังนั้น โดยภาพรวมเรากำจัดแก็สเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างเกือบทั้งหมดด้วยการนำวิถีอย่างเรียบง่ายจากการปลอดเนื้อสัตว์มาใช้วิถีการปลูกพืชผักแบบเกษตรอินทรีย์ นี่ยังนำไปสู่การพยายามประหยัดเงินจำนวนมากให้กับรัฐบาลในโลก จากคำนวณเมื่อเปลี่ยนไปทานอาหารจากผัก รัฐบาลในโลกจะประหยัดเงินได้ถึง 32 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (992 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2593 หรือคิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาด้านภูมิอากาศ ท้ายที่สุด แน่นอนว่ามันมีประโยชน์อย่างดีเลิศต่อสุขภาพในการทานอาหารจากผัก ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันและรักษาโรคหัวใจและเบาหวาน เสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย อายุยืนยาว และรักษาสุขภาพ สร้างความเฉลียวฉลาด และความสงบให้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก 
	     ในท้ายที่สุด ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีของประเทศที่ดีอย่างเม็กซิโกที่ค้นหาความเจริญก้าวหน้าทางด้านกิจกรรมสิ่งแวดล้อม และกำลังวางแผนเพื่อที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการเอาชนะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปกป้องโลก รัฐธรรมนูญของเม็กซิโกได้ระบุว่า”ทุกคนมีสิทธิ์อย่างเหมาะสมต่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและการอยู่ดีกินดี ” ไชโย ในช่วงเวลาที่เร่งด่วนที่สุดนี้สำหรับดาวเคราะห์โลก ฉันขอวิงวอนต่อความปราณีอย่างมีเกียรติของท่าน ได้โปรดกรุณาช่วนเหลือประเทศของท่านและสิ่งมีชีวิตบนโลกของเราจากหายนะเนื่องจากภาวะโลกร้อนที่กำลังจะมาถึง ถ้าท่านไม่กระทำ ก็จะมีหายนะที่ยิ่งใหญ่มากเกินไป ความทุกข์ทรมาณมากเกินไปต่อประชาชน ครอบครัว และเด็กๆ ซึ่งจิตสำนึกของเราอาจจะไม่มีวันแบกรับได้ ฉันให้เกียรติท่านในการพูดความจริงซึ่งเราต้องกลายมาเป็นผู้ทานผัก(Vegan) เพื่อช่วยรักษาโลกของเรา เราไม่สามารถรอคอยพลังงานแบบยั่งยืนและเทคโนโลยี่เขียวเพื่อให้เกิดขึ้นมาและให้ทุกคนได้ใช้ มันอาจจะสายเกินไป ฉันเรียกร้องความกล้าหาญของผู้ให้การปรึกษาที่มีอยู่ทั้งหมด ผู้มีอำนาจและพลังอำนาจในตัวท่าน จงนำประชาชนของท่านไปสู่วิถีชีวิตที่สูงส่ง มีคุณธรรม รักษาชีวิต และหนทางที่ยั่งยืนบนโลก ขอบคุณสำหรับความสนใจของท่าน พระเจ้าอวยพรทุกท่าน พระเจ้าอวยพรเม็กซิโก ขอบคุณ







empty.gif				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ