5 ธันวาคม 2553 19:59 น.

พลังอันมืดบอด....

คีตากะ

wnews2_052010.jpg      เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ธรรมชาติก็เจรจาด้วยลิ้นของสายน้ำและลำธารทำให้หัวใจปรีดา มันยิ้มด้วยยิ้มของดอกไม้และทำให้ดวงจิตปลื้มเปรมยินดี
       ครั้นแล้วมันกลับโกรธขึ้ง รื้อทำลายบ้านเมืองอันสวยงามและทำให้มนุษย์ลืมความหวานของถ้อยคำและความอ่อนละมุนแห่งรอยยิ้มของมันเสีย
      พลังอันมืดบอดและน่าหวาดหวั่นได้ทำลายสิ่งที่ถูกสร้างมานับกาลนานลงในชั่วนาทีเดียว ความตายอันไร้ปรานีได้บีบแน่นบนคอหอยและขย้ำมันอย่างไร้เมตตา เปลวไฟซึ่งเผาผลาญก็กลืนกินทั้งอาหารและชีวิต ราตรีมืดมิดซ่อนบังความงามแห่งชีวิตไว้ภายใต้ผ้าคลุมแห่งความมืดมัว
      สรรพสิ่งอันน่ากลัวผุดขึ้นมาจากสถานที่พักของมันเพื่อทำศึกกับมนุษย์เมื่อเขาอ่อนแอลง และทำลายที่อยู่อาศัยของเขาเสีย พัดเอาสิ่งที่เขาได้รวบรวมมาเป็นชั่วโมงกระจัดกระจายไปในชั่ววินาทีเดียว แผ่นดินไหวขนานใหญ่ซึ่งพื้นดินรู้ว่าความทุกข์ทรมานเจ็บปวดทั้งหลายจักไม่เกิดผลอันใดนอกจากความพินาศและทุกข์เข็ญ
       และมันเป็นเช่นนั้นในขณะที่ดวงจิตอันเศร้าสร้อยมองดูจากที่ไกล เฝ้าเศร้าโศกและครุ่นคิด ใคร่ครวญถึงราตรีอันจำกัดของมนุษย์เบื้องหน้าอำนาจที่มองไม่เห็น และสลดใจไปกับเหยื่อที่หนีจากไฟและความพินาศ คิดถึงศัตรูของมนุษย์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ใต้ชั้นดินและในทุกอณูของอากาศ
       โศกเศร้าไปกับเหล่ามารดาผู้คร่ำครวญและลูกๆ ที่หิวโหย คิดถึงความโหดร้ายของสรรพสิ่งและความกระจ้อยร่อยของชีวิต แบ่งปันรับไว้ซึ่งความทุกข์โศกของผู้ที่วันวานนี้หลับอย่างปลอดภัยอยู่ในบ้านแต่วันนี้กลับยืนอยู่ห่างไกล โศกศัลย์ถึงบ้านเมืองอันสวยงามด้วยเสียงสะอื้นขาดเป็นห้วงและน้ำตาอันขมขื่น
        มันได้เห็นว่าความหวังกลายมาเป็นความหมดหวัง ความร่าเริงกลายเป็นความเศร้าโศก และความสงบกลายเป็นไม่สงบได้อย่างไรแล้วมันก็ร่ำไห้อยู่ด้วยหัวใจอันสั่นไหวอยู่ในมือแห่งความเศร้า สิ้นหวังและทรมาน
       ดังนั้นดวงจิตจึงยืนอยู่ระหว่างความสลดและครุ่นคิด ประเดี๋ยวก็สงสัยในความยุติธรรมของกฎแห่งพระเจ้าซึ่งผูกพันพลังหนึ่งเข้ากับอีกพลังหนึ่งประเดี๋ยวก็หันกลับมาและพึมพำลงในหูของความเงียบ
      “ที่แท้แล้วโพ้นการสร้างสรรค์ไปนั้นมีปัญญานิรันดรอันหนึ่งซึ่งเกิดจากความพินาศเสียหายซึ่งเราได้เห็นแต่เรามิได้เห็นผลดีของมัน ไฟแผ่นดินไหวและพายุนั้นเป็นแก่ตัวตนของโลกเช่นเดียวกับความเกลียดชังริษยาและชั่วร้ายในหัวใจของมนุษย์ มันลุกฮือกระพือโหมขึ้นแล้วก็เงียบลง จากความเกรี้ยวกราด กระพือพัดและความสงบของมันนั้นปวงเทพได้สร้างความรู้อันงดงามขึ้นมาซึ่งมนุษย์จะต้องติดตามเอาด้วยเลือดน้ำตาและผลกำไร
       “ฉันยืนอยู่ในความรำลึกถึงโศกนาฏกรรมแห่งมนุษย์นี้ทำให้โสตของฉันเต็มไปด้วยเสียงถอนใจและคร่ำครวญ และต่อหน้าสายตาของฉันปรากฏหยาดน้ำตาและเคราะห์กรรมซึ่งไหลข้ามเวทีแห่งวันวานมา
       “ฉันได้เห็นมนุษย์ทุกรุ่นทุกสมัยสร้างหอคอยปราสาทและโบสถ์วิหารลงบนทรวงอกของโลก แล้วแผ่นดินก็ได้นำมันกลับไปสู่หัวใจของมัน
       “ฉันได้แลเห็นเช่นเดียวกันว่าผู้แข็งแรงได้สร้างอาคารอันมั่นคงและช่างหินได้สร้างรูปสลักและภาพเขียนบนแผ่นหิน ช่างเขียนก็ตกแต่งผนังและประตูด้วยภาพวาดและภาพเขียน แล้วฉันก็ได้เห็นผืนธรณีนี้อ้าปากกว้างและกลืนกินงานสร้างสรรค์จากมืออันมีศิลปะและใจอันลึกซึ้งลงไปหมด ทำรูปสลักและภาพเขียนเหล่านั้นให้เปรอะเปื้อนด้วยความกระด้างของมัน ทำลายเส้นร่างและภาพวาดลงด้วยความกริ้วโกรธ ฝังกำแพงและเสาอันงดงามเสียเพราะความกราดเกรี้ยว ทำให้ที่พำนักอันงามสง่าว่างเปล่าจากสิ่งตกแต่งซึ่งมนุษย์ได้ประดับประดาไว้ แล้วก็วางเสื้อคลุมสีเขียวแห่งท้องทุ่งอันประดับด้วยสีทองแห่งเม็ดทรายและเพชรพลอยแห่งกรวดหินไว้แทนที่”
        แม้กระนั้นฉันก็ยังพบความสูงส่งของมนุษย์ยืนหยัดเสมือนยักษาท่ามกลางสิ่งผิดพลาดและเคราะห์กรรมเหล่านั้น พลางเย้ยหยันความโง่เขลาของโลกและความโกรธเกรี้ยวของธาตุต่างๆ ในท่ามกลางซากปรักหักพังแห่งบาบิโลน ไนน์เวห์ ปาล์มีรา บอมเบย์และซานฟรานซิสโก มันยืนเด่นอยู่ดังลำแสงสว่าง มันร้องเพลงแห่งอมตภาพออกมาว่า “เชิญโลกเอาทุกสิ่งที่เป็นของมันกลับไปเถิด เพราะฉันคือผู้ไม่รู้จักตาย





คาลิล ยิบราน
น้ำตาและรอยยิ้ม
กิติมา อมรทัต แปล
				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ