16 พฤศจิกายน 2552 03:47 น.
คีตากะ
จากภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ที่เพิ่งออกฉายเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2552 ที่ผ่านมาของค่ายโคลัมเบียพิกเจอร์ เรื่อง 2012 ...วันสิ้นโลก ได้เป็นเหตุให้เกิดกระแสเกี่ยวกับมหันตภัยล้างโลกในอีก 3 ปีข้างหน้านี้แตกต่างกันไป ในเวปต่างๆ เชื่อว่ารายได้จากหนังเรื่องนี้คงจะทะลุเป้าของค่ายผลิตหนังเรื่องนี้แน่นอน เพราะแค่เพียงหนังฉายวันแรกข่าวว่ามียอดรายได้ทะลุถึง 300 ล้านบาทไปแล้ว ผมก็เป็นคอหนังคนหนึ่งที่อุตสาห์เสียกะตังค์(ซึ่งมีน้อย)ไปดูตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉาย การได้นั่งแถวหน้าสุดเป็นอะไรที่ระทึกขวัญตื่นเต้นสำหรับหนังเรื่องนี้ เหมือนกับได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงในหนัง ต้องมีการลุ้นอยู่ตลอดเวลา ฉากการทำลายล้างอันแสนหฤโหดต่อเพื่อนร่วมโลก เป็นอะไรที่สยดสยอง(ไม่ได้โฆษณาหนังนะ) และหดหู่ สุดสุด........
ผมคาดเดาไปว่าหนังเรื่องนี้คงสร้างมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ลเรื่องเรือโนอาร์ และมีบางกระแสบอกว่าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวด้วย(เขาบอกกว่าเรื่องราวนี้ได้จากคำบอกกล่าวของมนุษย์ต่างดาวที่มาเตือนเกี่ยวกับภัยพิบัติล้างโลกในอีก 3 ปีข้างหน้า และส่วนหนึ่งนำมาจากคำทำนายของชนเผ่ามายาที่ทำนายวันสิ้นโลกตรงกับวันที่ 23 ธ.ค. ค.ศ. 2012 บ้างก็ว่าวันที่ 21 หรือไม่ก็ 22) นอกจากนั้นยังผสมกับแนวคิดเรื่องภาวะโลกร้อนเข้าไว้ด้วยโดยท้าวความมาจากผลของการปะทุของดวงอาทิตย์ที่ส่งผ่านรังสีความร้อนมหาศาลมาสู่โลก (น่าจะเป็นตอนต่อจากหนังเรื่อง Knowing ที่นิโคลัส เคส แสดงนำ)และนำไปสู่ภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆบนโลกรวมถึงสึนามิยักษ์ที่สามารถยกน้ำทะเลได้ถึงยอดเขาเอลเวอร์เรสซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในโลก มุมมองจากหลายๆศาสนา ศาสดาได้พยากรณ์ไว้ว่าประมาณปี ค.ศ. 2012 โลกจะโดนทำลายล้างจากธาตุไฟ(ลองไปค้นหาดูได้) ซึ่งจากอดีตโดยเฉพาะในคัมภีร์ไบเบิ้ลการล้างโลกที่ผ่านมาถูกทำลายด้วยน้ำท่วม (ธาตุน้ำ) โลกอ้างอิงจากเรื่องเรือโนอาร์ ที่วันหนึ่งพระเจ้าได้ตรัสสั่งให้ อับราฮัม ซึ่งเป็นคนเชื่อในพระเจ้าให้จัดสร้างเรือขนาดใหญ่ขึ้นไว้บนจุดที่สูงสุดของยอดเขา แล้วนำครอบครัวรวมทั้งสัตว์เลี้ยงอย่างละคู่บรรทุกไปกับเรือด้วยตามวันและเวลาที่พระเจ้ารับสั่ง......ในส่วนของพุทธศาสนาก็มีคำทำนายที่คล้ายกันนี้ในยุคกึ่งพุทธกาล(ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป) พวกคลั่งศาสนามักจะนำประเด็นเหล่านี้มาโจมตีกันบ่อยๆทางเวป บ้างว่าพุทธศาสนาจะอยู่ได้ถึง 5000 ปี(ศาสนานะไม่ใช่มนุษย์) บ้างก็ว่าพระเจ้าจะกลับมา.(พระเจ้านะไม่ใช่คน)
ในขณะที่ผมกำลังสนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ภาวะโลกร้อน หนังเรื่องนี้ก็สามารถปลุกกระแสได้ดี (ให้ตื่นตระหนก) ซึ่งในหนังก็ได้สะท้อนความคิดจิตใจของมนุษย์ได้ค่อนข้างดีในเรื่องความเห็นแก่ตัว ที่พยายามเอาตัวรอดไว้ก่อน โดยไม่สนใจเพื่อนร่วมชะตากรรม มันยิ่งสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างในตัวมนุษย์ซึ่งมันเป็นความจริงมากๆ และคำถามต่อมาก็คือว่า(ถ้าใครดูหนังแล้ว)....คนที่เห็นแก่ตัวเหล่านี้หรือควรจะเป็นผู้อยู่รอด และกลายเป็นต้นแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคต่อไป? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงมันคงน่าเศร้ามาก สังคมโลกจะออกมาเป็นลักษณะแบบใด? คงเป็นสังคมแห่งการแก่งแย่งชิงดี (แล้วจะหาความสงบสุขได้จากที่ไหน) จากการที่มีนักข่าวทางทีวีได้ถามเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการสร้างหนังเรื่องนี้จากผู้สร้างก็ได้รับคำตอบว่าหนังสร้างขึ้นมาก็เพื่อให้มนุษย์จินตนาการว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริง พวกเขาควรจะทำอะไร เตรียมพร้อมอย่างไร? ช่วงเวลาที่หนังเข้าฉายในโรงภาพยนต์ ก่อนหน้านั้นไม่นานองค์การนาซ่าได้ส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์และมีกระแสข่าวว่าอนาคตอาจต้องมีการอพยพมนุษย์โลกไปอยู่บนดวงจันทร์ ซึ่งคนที่ได้ไปคงเป็นพวกเศรษฐีเท่านั้น(เหมือนในหนังที่ต้องจ่ายค่าตั๋วนับหมื่นล้านบาท) เหตุการณ์ในหนังก็สรุปได้ว่า ความร้อนจากดวงอาทิตย์(จากการปะทุ) ทำให้ใจกลางแกนโลก(ซึ่งเป็นชั้นหินหลอมเหลวร้อนจัด) มีอุณหภูมิและความดันสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดจนแผ่นดินแยก ตามมาด้วยคลื่นยักษ์สึนามิทั่วโลก น้ำท่วมโลกจนถึงยอดเขาหิมาลัย.................
มันก็อาจเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์แต่ไม่น่าจะรุนแรงขนาดนั้น หลายคนอ้างการสลับขั้วของดวงอาทิตย์และโลก และการที่โลกถูกชนจากอุกาบาตนอกโลก(ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว) นักวิทยาศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าถ้าโลกจะเกิดภัยพิบัติควรจะมาจากภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดอยู่นี้และเห็นได้ชัดเจนมากกว่า แต่ไม่มีใครพูดเรื่องของการปะทุขึ้นมาของก๊าซมีเทนอย่างฉับพลันจากภาวะโลกร้อน...ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ผมศึกษาและเชื่อว่า มันจะเป็นต้นเหตุของการณ์ทำลายล้างสรรพชีวิตบนโลกนี้อย่างแท้จริง....เรื่องมนุษย์ต่างดาวจากนอกโลก ผมเชื่อว่าอาจมีจริง มันยากที่จะเชื่อว่า โลกเป็นดาวดวงเดียวที่มีชีวิตแห่งเดียวในจักรวาล มันคงจะโดดเดี่ยวเกินไป และก็เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาว(ถ้ามีจริง) คงจะไม่มาแทรกแซงเรื่องราวบนโลกมากนัก (ไม่เช่นนั้นคงไม่หลบจากเรามาเป็นเวลายาวนาน)สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรมใครจะช่วยเราได้ถ้าไม่ใช่ความดีของเราเองซึ่งจะปกป้องตัวเราจากภัยพิบัติต่างๆ และผมยังเชื่อว่า ถ้ามีเหตุแห่งภัยพิบัติล้างโลกจริง นั่นย่อมมาจากเหตุแห่งการฆ่าสิ่งมีชีวิต ผลจึงได้เกิดกับมนุษย์ในแบบเดียวกัน ถ้าคุณเชื่อ กฎแห่งกรรม และถ้าจะเกิดกับมวลมนุษย์หมู่มาก เหมือนกันกับที่เคยเกิดกับสรรพสัตว์ส่วนใหญ่ นั่นคงหนีไม่พ้นเรื่องการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร คุณไม่ได้ฆ่าเอง แต่คุณเป็นคนจ้างฆ่า (เพราะไม่มีคนกิน ย่อมไม่มีคนฆ่า) และผมยังเชื่อว่านี่เองเป็นสาเหตุแห่งภัยพิบัติทั้งมวลที่จะเกิดขึ้น(ถ้ามันจะเกิด) การละเว้นเนื้อสัตว์เท่านั้นคือทางรอด ทางเดียว น้อยคนนักที่จะเชื่อทฤษฎีนี้ และนี่อาจเป็นน้อยคนนักที่จะรอดด้วยเช่นกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่งมันต้องเกิดอยู่ดี แค่เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตตั้งแต่วันนี้ยังไม่สายจนเกินไป หากใช้เหตุและผลวิเคราะห์ดูก็จะทราบเรื่องราวแจ่มแจ้ง ไม่ต้องเสียเวลาฟังคำทำนาย พยากรณ์ ของใครที่ไหน คุณคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวคุณเอง ไม่ใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ อนาคตโลกอยู่ในมือคุณ...
7 พฤศจิกายน 2552 23:11 น.
คีตากะ
หลายเดือนที่ผ่านมา เสียงจากสายวิทยาศาสตร์ ซึ่งปกติแล้ว จะเป็นแนวอนุรักษ์นิยม ได้แสดงความแตกตื่นที่ต่างกันไปเมื่อมาถึงเรื่องภาวะโลกร้อน
เราเปลี่ยนจากการถกเถียงเรื่อง ความไม่แน่นอน ที่อยู่เบื้องหลังวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ ไปสู่การเตือนที่เกือบถึงระดับหวาดผวาได้อย่างไร จากเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ปกติแล้วเป็นคนเคร่งขรึมในเรื่องผลกระทบระดับหายนะที่แก้ไขไม่ได้ มีสองเหตุผล
ประการแรก ยังไม่มีความไม่แน่นอนอย่างแท้จริงในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์มามากกว่าหนึ่งทศวรรษ พันธมิตรที่ชั่วร้ายระหว่างบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล และนักการเมืองอนุรักษ์นิยม ได้รณรงค์อ้างเหตุผลที่ผิดๆ และได้รับงบประมาณอย่างดี แต่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อสร้างความสงสัยและข้อโต้แย้ง ในมติที่เกือบเป็นเอกฉันท์จากเหล่านักวิทยาศาสตร์ ในเรื่องนี้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือ และช่วยให้รอดพ้นโดยสื่อ ซึ่งชอบเรื่องโต้เถียงมากกว่าความจริง และโดยคณะบริหารของบุช ซึ่งได้พยายามบิดเบือนวิทยาศาสตร์ และสั่งให้นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่พยายามพูดถึงเรื่องภาวะโลกร้อนเก็บเงียบ
ในบทบรรณาธิการหนึ่งของหนังสือพิมพ์ บัลติมอร์ ซัน ฉบับวันที่15 ธันวาคม 2547 ผู้เขียนได้กล่าวถึง จุดเปลี่ยนหนึ่งวงจรสะท้อนกลับที่เพิ่มกำลังด้วยตนเอง ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้เกิดมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนอันทรงพลัง ให้หลุดจากโครงสร้างที่คล้ายกับน้ำแข็ง ที่เรียกว่า คลาเทรท ซึ่งยกอุณหภูมิ และทำให้เกิดมีเทนถูกปลดปล่อยมากขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า กระบวนการนี้ ได้ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขั้นรุนแรงสองครั้งในอดีต ชุมชนวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้พุ่งประเด็นไปที่ น้ำแข็งมีเทน ในปี 2547 แม้แต่ในกลุ่มของผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายบางคน ผู้ที่เราเคยเชื่อถือ คาดว่า เราเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งทศวรรษ ก่อนที่อะไรเช่นนี้ จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เราคิดผิด
ในเดือนสิงหาคม 2548 ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด และมหาวิทยาลัยทอมส์ที่รัสเซีย ได้ประกาศว่า ถ่านหินเลนไซบีเรียขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดเท่ากับประเทศเยอรมันและฝรั่งเศสรวมกันกำลังละลาย และปล่อยก๊าซมีเทนนับพันล้านตัน อย่างที่มันเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต
ครั้งล่าสุดที่มันอุ่นเพียงพอที่จะทำให้เกิดวงจรสะท้อนกลับนี้ คือเมื่อ 55ล้านปีที่แล้ว ในช่วงพาลีโอซีน-อีโอซีน เทอร์มอลแม็กซิมัม หรือ พีอีทีเอ็ม ตอนที่ภูเขาไฟปะทุได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงพอที่จะกระตุ้นการผุดมีเทนขึ้นมาเองอย่างเป็นอนุกรม ความร้อนที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการสูญเสียมากมาย และมันใช้เวลานานกว่า 100,000ปีที่โลกจะฟื้นกลับมา
มันดูเหมือนว่า เรากำลังปริ่มอยู่ที่จุดกระตุ้นเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นมาก ในการประชุมที่อเมริกัน อคาเดมี่ เพื่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ที่เมืองเซนต์หลุยส์ เมื่อไม่นานมานี้ คุณเจมส์ ซาโชส ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านพีอีทีเอ็ม รายงานว่า ก๊าซเรือนกระจกกำลังสะสมในชั้นบรรยากาศ ในอัตราเร็วสามสิบเท่าที่เคยเป็นในช่วง พีอีทีเอ็ม
เราอาจจะเพิ่งได้เห็นการจู่โจมครั้งแรกในสิ่งที่อาจเป็นการเดินทางสู่นรกบนโลก ที่ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้
มีวงจรสะท้อนกลับอื่นๆที่เราไม่ได้คาดคิดไว้ ตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อนที่ยุโรป ที่ทำให้ประชาชน 35,000คนที่เสียชีวิตในปี 2546 และยังทำลายพื้นที่ป่าในยุโรป ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ มากกว่าที่พวกเขาประเมิณไว้ ซึ่งตรงข้ามกับสมมุติฐานที่เรากำหนดไว้ในโมเดล ที่ใช้ป่าไม้เป็นฟองดูดซับคาร์บอนส่วนเกิน
สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับระบบนิเวศอื่นๆ อีกมากมาย ที่โมเดลของเราและนักวิทยาศาสตร์ ใช้เป็นตัวดูดซับคาร์บอน ป่าอเมซอน ป่าบอรีล (หนึ่งในป่าที่ดูดซับคาร์บอนได้มากที่สุด) และดินในที่ที่มีอุณหภูมิปานกลางกำลังปล่อยคาร์บอนมากกว่าที่มันดูดซับ เนื่องจากความแห้งแล้ง โรคภัย แมลงรบกวน และการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับกระบวนการสันดาปที่เกิดจากภาวะโลกร้อน โดยสรุปแล้ว สิ่งต่างๆมากมาย ที่เราได้คิดว่าเป็นตัวดูดซับคาร์บอนในโมเดลของเรา ไม่ได้ดูดซับคาร์บอนส่วนเกิน แต่มันกำลังถูกคั้นออกมาและปล่อยคาร์บอนส่วนเกินแทน
น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายอย่างรวดเร็วกว่าที่โมเดลทำนายไว้ ทำให้เกิดวงจรสะท้อนกลับอีกวงจร การมีน้ำแข็งน้อยลงหมายถึง พื้นที่ที่เป็นน้ำมากขึ้น ซึ่งจะดูดซับความร้อนมากขึ้น ซึ่งหมายถึงน้ำแข็งที่น้อยลง เช่นนี้เรื่อยๆ ที่แย่ไปกว่านั้น เราได้คาดการณ์ต่ำเกินไปอย่างยิ่ง ในเรื่องของอัตราความเร็วซึ่งน้ำแข็งบนภูเขากำลังละลาย โมเดลอากาศเปลี่ยนแปลงได้ทำนายว่ามันใช้เวลานานกว่า1,000ปี ที่แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์จะละลาย แต่ในที่ประชุมเอเอเอเอส ที่เซนต์หลุยส์ นายอีริค ริกนอท ของนาซ่าได้นำเสนอผลการศึกษาที่แสดงว่า แผ่นน้ำแข็งกรีนด์แลนด์กำลังแยกเป็นส่วนๆและไหลสู่ทะเล ในอัตราเร็วเกินกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คนใดได้ทำนายไว้ และมันกำลังเร่งขึ้นทุกปี ถ้าแผ่นน้ำแข็งกรีนด์แลนด์ละลาย มันจะยกระดับน้ำทะเล ให้สูงขึ้น 21ฟุต เพียงพอที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมทุกท่าเรือที่อเมริกา
ที่ทะเลแอนตาร์กติกมีวงแหวนสะท้อนกลับอันตรายอีกวงจรที่อาจเป็นไปได้ ประชากรของตัวเคยได้ลดดิ่งลง80% ในเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการสูญเสียแนวปะการัง เนื่องจากสูยเสียทะเลน้ำแข็ง ตัวเคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่สุดในห่วงโซ่อาหารทางทะเล และมันยังแยกคาร์บอนจำนวนมากออกจากชั้นบรรยากาศ ไม่มีใครคาดการณ์การลดจำนวนลงของพวกเขา แต่ผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนและความเป็นอยู่ของระบบนิเวศทางทะเลนั้นรุนแรง สิ่งนี้จะเป็นวงจรสะท้อนกลับด้วยเช่นกัน การมีตัวเคยน้อยลง หมายถึงการมีคาร์บอนอยู่ในบรรยากาศมากขึ้น ซึ่งหมายถึงทะเลที่อุ่นขึ้น ซึ่งหมายถึงน้ำแข็งน้อยลง ซึ่งหมายถึงปริมาณตัวเคยที่น้อยลงในวัฐจักรทางลบขนาดใหญ่นี้
เจมส์ เลิฟลอค นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญระดับโลกคนหนึ่งเชื่อว่า อีกไม่นานนัก ในอนาคตของมนุษย์จะเหลือเพียงคนไม่กี่คู่ในแอนตาร์กติก มันจะเป็นเรื่องง่ายๆที่จะเพิกเฉยศาสตราจารย์เลิฟลอคว่า เป็นคนบ้าคลั่ง แต่อย่างนั้นจะเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เมื่อปีที่แล้ว ในการสัมนาภาวะโลกร้อนที่เมือง เอ็กซีเดอร์ ประเทศอังกฤษ เรื่องหลีกเลี่ยงสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์ได้เตือนว่า ถ้าเราให้ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกเกิน400ppm เราอาจกระตุ้นให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงและหวนคืนกลับไม่ได้ เราได้ผ่านจุดสำคัญในปี2548 มาแล้ว แต่ได้รับความสนใจเล็กน้อยและไม่มีการกล่าวถึง
ความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ ในเรื่องภาวะโลกร้อนไม่ใช่ว่า มันกำลังเกิด หรือว่า มันเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือแม้แต่ว่ามันจะทำให้เราสูญเสีย เงิน มากเกินไปที่จะจัดการกับมันในตอนนี้หรือไม่ เรื่องนั้นเป็นที่เข้าใจแล้ว และในตอนนี้ นักวิทยาสาสตร์กำลังถกเถียงกันว่า มันสายเกินไปหรือยัง ที่จะปกป้องหายนะระดับโลก หรือว่า เรายังมีโอกาสเล็กๆ ที่จะป้องกันผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของภาวะโลกร้อน
ลูกๆของเราอาจให้อภัยเรา หนี้ที่เรามอบให้กับพวกเขา พวกเขาอาจให้อภัยเรา ถ้าการก่อการร้ายยังคงอยู่ พวกเขาอาจให้อภัยเรา ที่ได้สร้างสงคราม แทนที่จะสร้างสันติสุข พวกเขาอาจให้อภัยเรา ที่ทำลายโอกาศในการหยุดยั้งเรื่องนิวเคลียร์ แต่พวกเขาอาจถ่มน้ำลายรดกระดูกของเรา และสบถสาบานชื่อของเรา ถ้าเรามอบโลกที่แทบจะอยู่อาศัยไม่ได้ให้พวกเขา ตอนที่เรามีอำนาจในการรักษามันไว้ ตอนที่เรามีอำนาจรักษามันไว้ และพวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น
แหล่งที่มะ: www.commondreams.org
งานเขียนของ จอร์น แอทเชสัน ปรากฏใน the Washington Post, the Baltimore Sun, the San Jose Mercury News, the Memphis Commercial Appeal, และวารสารราชการอีกมากมาย