23 ตุลาคม 2552 20:52 น.

อาหาร...ต้านมะเร็ง..

คีตากะ

ของขวัญจากศิษย์พระบรมครูองค์ชีวกโกมารภัจ
บทที่  1
สภาพของพลังชีวิต

มิติที่  1	เป็นพลังชีวิตที่แท้จริง  เป็นพลังแบบอากาศธาตุ  อยู่ในส่วนลึกสุดของจิตวิญญาณ  พลังชีวิตนี้แยกตัวมาจากพระผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์  บริสุทธิ์ผุดผ่องมาแต่ก่อนเกิด  ปราศจากราคีใด ๆ
มิติที่  2	ถูกบรรจุลงในกายเนื้อ  เริ่มมีกิเลสเกาะกุม  เริ่มต้องการอาหารหล่อเลี้ยงชีวิต
มิติที่  3	เป็นวิญญาณที่แทรกซ้อนเข้ามา  เช่น  วิญญาณของสัตว์  หรือเจ้ากรรมนายเวรที่เคยก่อกรรมทำเข็ญไว้  

ฉะนั้น  การกินอาหารของมนุษย์  จึงแบ่งออกไปหล่อเลี้ยงร่างกายมนุษย์เป็น  3  มิติ  เช่นเดียวกัน

มิติที่  1	ไม่ต้องการอาหารใด ๆ นอกจากพลังงานตามธรรมชาติ  คืออากาศธาตุ  4  ได้แก่  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ
มิติที่  2	ต้องการอาหารหล่อเลี้ยงบ้าง  แต่เป็นอาหารที่ค่อนข้างสะอาด  เช่น  พวกพืช  ผัก  ผลไม้
มิติที่  3	ต้องการอาหารสด  คาว  เต็มไปด้วยซากศพ  อาหารที่ปรุงด้วยเนื้อหนังมังสา

	จะเห็นได้ว่าแต่ละมิติจะต้องการอาหารไม่เหมือนกัน  คนที่ถือศีลกินเจ  เป็นพวกที่ได้ปรับร่างกายให้มาอยู่ในมิติที่  1  และที่  2  จะไม่ยอมรับอาหารสดคาวใด ๆ  คนเหล่านี้จะรู้สึกอ่อนเพลียไม่สบายทันทีเมื่อบริโภคเนื้อสัตว์  แต่จะรู้สึกแข็งแรงสดชื่นเมื่อได้รับบริโภคอาหารประเภทพืชผักผลไม้  ส่วนที่มีมิติที่  3  อยู่ในตัวนั้น  จะรู้สึกมีกำลังวังชาแข็งแรงเมื่อได้กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์  ความจริงเป็นความรู้สึกที่หลอกตัวเอง  เพราะเนื้อสัตว์เหล่านี้ความจริงเข้าไปบำรุงวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวท่านให้แข็งแรงต่างหาก  ไม่ใช่ไปบำรุงตัวท่านเอง  ข้าพเจ้าขอรับรองว่าท่านได้ชำระล้างร่างกายของท่านให้สะอาดบริสุทธิ์  ให้คืนมาอยู่ในมิติที่  1  และที่  2  จะมีกลิ่นกายที่เรียกว่าเป็น  ความแรง  เหลืออยู่น้อยมาก รวมถึงระบบขับถ่ายตลอดจนกระทั่งอารมณ์ต่าง ๆ ก็มีความรู้สึกเบาบางมากจนเกือบไม่มีอารมณ์ใด ๆ  หลงเหลืออยู่  จะกลายเป็นคนที่มีอารมณ์เย็นอย่างยิ่งยวด  มีสติสัมปชัญญะ  ที่มั่นคงยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา  อย่างที่เรียกกันว่ามี  พลังจิตสูง สิ่งเหล่านี้เป็นอาการของคนที่มีกำลังจะสลายตัวจากการเป็นตะกอนคืนสู่สภาวะของน้ำที่สะอาดเป็นขั้น ๆ ไป  จนกระทั่งสู่ความเป็นมิติที่  1  คืออากาศที่บริสุทธิ์  หมดสิ้นความเป็นตะกอนใด ๆ  โดยสิ้นเชิง





บทที่  2
มนุษย์  เป็นตะกอนของเทพเจ้าที่ประกอบด้วยธาตุ ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  จริงหรือไม่

	วรกายหรือความบริสุทธิ์แห่งเทพเจ้าแบ่งแยกออกให้เห็นชัด  ประดุจความบริสุทธิ์สะอาดของ        น้ำกลั่น เปรียบเสมือนวรกายของเทพเจ้าเบื้องสูงสุด  เป็นความสะอาดที่กลั่นกรองครั้งแล้งครั้งเล่าจนสะอาดบริสุทธิ์หมดสิ้น  ซึ่งสิ่งปฏิกูลทั้งปวง  ปราศจากสี  กลิ่น  และรส  เปรียบกับสภาวะจิตก็แน่วแน่ อยู่ในอุเบกขาฌาน  ปราศจากอารมณ์ใด ๆ สิ้นเชิง  
            น้ำสะอาด เปรียบเสมือนวรกายเทพเจ้าเบื้องกลาง  ยังมีกลิ่น  รส     น้ำขุ่น เปรียบเสมือนวรกายเทพเจ้าเบื้องต่ำ  คือ  เริ่มมีกิเลสเกาะกุมอยู่บ้าง  ทำให้กระแสน้ำนั้นขุ่น  แลเห็นเป็นรูปอากาศธาตุ  ส่วนมนุษย์หมายถึงผู้มีกิเลสเกาะกุมหนาแน่นถึงขั้นตกตะกอน  
            ฉะนั้นมนุษย์ไม่อาจแลเห็นคนละมิติกัน  คงได้รับกระแสสัมผัสทางร่างกายแบบอากาศธาตุเท่านั้น  จะแลเห็นกันได้ต่อเมื่อต่างได้ปรับร่างกายและจิตใจให้มาอยู่ในมิติเดียวกัน  เช่นเทพเจ้าลงมาเป็นตะกอนก็เห็นมนุษย์ หรือมนุษย์คืนจากความเป็นตะกอนไปเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ก็ย่อมเห็นเทพเจ้า  ฉะนั้น  เมื่อวรกายของเทพเจ้ามีกำเนิดมาจากอากาศธาตุ  4  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  มนุษย์ซึ่งตกตะกอนมาจากสิ่งนี้  กายเนื้อจึงหนีไม่พ้นการเป็นอากาศธาตุ  4  คือ  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  จะสังเกตได้ว่า

1.	สีของผิว  (ธาตุดิน)  สีผิวของมนุษย์ใกล้เคียงกับสีของดิน  เมื่อมนุษย์ล้มตายไปแล้วจะเผาหรือฝังก็สลายเน่าเปื่อยไปเป็นดินตามเดิม  เพราะเป็นธาตุเดียวกัน  จะไม่สลายตัวไปเป็นธาตุอื่นที่ไม่ใช่ธาตุดินโดยเด็ดขาด
2.	เลือด  (ธาตุน้ำ/ไฟ)  กลายเป็นเลือด  ปกติน้ำจะต้องมีสีขาวและความเย็น  แต่เลือดเป็นของเหลวมีสีแดงและอุ่นทั้งนี้  เนื่องจากการรวมตัวของ น้ำ/ไฟ กลายเป็นเลือด  หล่อเลี้ยงร่างกายให้ได้รับความอบอุ่น  ถ้าธาตุหนึ่งธาตุใดรุนแรงไป  ธรรมชาติก็จะแก้ไขโดยที่มนุษย์ต้องดื่มน้ำเสมอ  เพื่อระงับความร้อนของธาตุไฟ  ถ้าเลือดจางหมายถึงธาตุไฟเสื่อมคุณภาพ  ก็มีวิธีรักษาหาหยูกยาที่เพิ่มความร้อน  คือ  เพิ่มกำลังงานให้แก่ธาตุไฟมาดื่มกิน  เมื่อมนุษย์ล้มตาย  ธาตุทั้ง  2  นี้  หมดอำนาจบังคับ  จะสลายตัวออกจากกันคืนสภาพเป็นน้ำตามเดิม  แต่เนื่องจากการตายของมนุษย์คือการนิ่งสนิทหมดประโยชน์ใด ๆ โดยสิ้นเชิง  ทางพระก็ถือเสมือนผู้เข้าสภาวะอุเบกขา  คือนิ่งสนิทด้วยประการทั้งปวง  เลือดจึงกลายสภาพจากน้ำเป็นน้ำเหลือง คือน้ำมีสีเหลืองเหมือนสีของผู้จำศีล  คือน้ำนั้นหมดสภาพที่จะทำประโยชน์ใด ๆ  ได้โดยสิ้นเชิง


3.	ธาตุลม  (วาโยธาตุ)  ธาตุลมมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์มาก  เพราะจะต้องทำหน้าที่พัฒนาเลือด  คือธาตุน้ำและไฟไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทั่วถึง  มนุษย์จึงต้องมีการหายใจเอาอากาศธาตุคือลมเข้าสู่ร่างกาย นับว่าธาตุลมมีความสำคัญยิ่งต่อระบบร่างกายของมนุษย์  ผู้ใดมีสภาพของธาตุลมอ่อน  ก็จะมีอาการหน้ามืด  คลื่นเหียร  วิงเวียน  อย่างหนึ่งที่เรียกว่า  คนเป็นลม  ความจริง  ขาดธาตุลม  ที่จะพัดพาให้น้ำและไฟไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทั่วถึง  จึงต้องหายาลมมากิน  เพื่อเร่งให้ธาตุลมเข้มข้นขึ้น  ลมที่ใช้แล้วก็มีการเสื่อมสภาพเก็บเอาไว้ก็จะเป็นก๊าซพิษ ต้องมีการระบายออกเช่นเดียวกับการปล่อยก๊าซเสียของเครื่องจักรกลต่าง ๆ เช่นเดียวกัน และธาตุลมเป็นตัวจักรสำคัญยิ่ง  ที่ช่วยให้มนุษย์เคลื่อนไหวแขนขาและร่างกายได้
	เมื่อมนุษย์มีธาตุแท้ที่ประกอบด้วยธาตุดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  เช่นนี้  การเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์  จึงมาจากการเสื่อมสภาพของธาตุทั้ง  4  นี้  เป็นสำคัญกว่าเหตุอื่น  ประดุจขี้ขมวนหรือตะกอนที่ใกล้จะหมดสภาพของความเป็นประโยชน์อยู่แล้ว  ยังเตรียมที่จะสลายตัวยุ่ยเปื่อย  สูญหายไปโดยหมดประโยชน์ใด ๆ             โดยสิ้นเชิง  ผู้ใดที่รู้ซึ่งถึงความเป็นสภาพของมนุษย์ หมั่นปรับปรุงเพิ่มเติมธาตุดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ให้แก่ร่างกายมีสภาพสมดุลกันอยู่ในธาตุทั้ง  4  นี้  ก็จะเป็นผู้ที่มีพลานามัยและสุขภาพที่สมบูรณ์เป็นเยี่ยม  

             วิธีรักษาธาตุทั้ง  4  ให้คงสภาพอยู่ได้ก็ง่ายเหมือนเส้นผมบังภูเขา  เมื่อมนุษย์กำเนิดมาจากสิ่งนี้  เราก็เข้าหาธรรมชาติ  สรุปก็คือ  อยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุดกว่าการอยู่ในสภาพที่แปลกปลอมด้วยภาวะวิทยาศาสตร์ที่รังแต่จะทำลายสภาพของธรรมชาติให้หมดสิ้นไป  และสุดท้ายก็คือทำลายแม้สภาพร่างกายของตนเอง  ท่านก็จะเป็นคนสมัยโบราณที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ อันเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งของคนในยุคปัจจุบัน  ที่ต่างพากันแสวงหาด้วยวิธีการรักษาต่าง ๆ นานา  ซึ่งเป็นการรักษาปลายเหตุ  หรือไม่รู้ที่มาหรือต้นตอที่แท้จริงของร่างกายมนุษย์  ก็ทำให้การรักษานั้นเป็นไปโดยยาก

 
บทที่  3
ต้นเหตุของการเป็นโรคที่แท้จริง

	ต้นเหตุของการเป็นโรคที่แท้จริงมีอยู่  3  ประการ ได้แก่

1.	เกิดจากการสลายตัวของพลังธรรมชาติ  เพราะธาตุทั้ง  4  คือ  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ธาตุใดธาตุหนึ่งเกิดอ่อนแอ ปรวนแปรสภาพ  ทำให้เลือดลมไม่สมบูรณ์  เนื่องจากใช้พลังงานในร่างกายออกมามากไปหรือได้รับการดูดซึงพลังจากภายนอกได้ไม่เท่าที่ควร
2.	เกิดจากความอาฆาตพยาบาทของวิญญาณ  อันเป็นต้นตอของโรคมะเร็ง  จุดแก้ไขที่สำคัญที่สุด  คือปรับสภาพการกินอาหารให้มาอยู่ในวิธีทางธรรมชาติให้มากที่สุด  งดการกินเนื้อสัตว์ที่มีชีวิตทุกประเภทเพราะทำให้เป็นแผล  ฝี  หนอง  เลือดเป็นพิษ  เนื่องจากวิญญาณเหล่านี้สูบเลือดเนื้อกินเหมือนผีดูดเลือด
3.	เกิดจากกฎแห่งกรรมทั่วไป  เช่น  ได้ก่อกรรมเวร  ทุบต่อยเตะตีใครไว้ในอดีต  เกิดมาก็มีอาการง่อยเปลี้ยเสียขา  พิกลพิการได้  แม้แต่เหตุเล็กน้อยที่สุด  เช่น  การขโมยรองเท้าใครมาใส่ในอดีตก็อาจเป็นแผลที่ขาได้  ซึ่งข้าพเจ้าได้พบด้วยตนเอง  และแก้ไขให้เป็นปกติแล้ว  โรคเหล่านี้จะมีข้อสังเกตได้ว่าหมอจะหาสาเหตุไม่พบ  ไม่มีอาการของเชื้อโรคปรากฎอยู่  ไม่มีทางรักษาได้  นอกจากจะค้นคว้าไปให้พบต้นตอที่ได้สร้างกรรมไว้  และแก้กรรมนั้นให้หมดไปเท่านั้น

 
บทที่  4
โรคมะเร็ง

	เป็นโรคที่รักษายากเป็นพิเศษ  เชื้อโรคมีอานาจเหนือยา  เหนือการรักษาของแพทย์  เนื่องจากเชื้อมะเร็งเป็นโรคที่มีชีวิตวิญญาณ  เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ของมนุษย์แทนพืชพันธุ์ธัญญาหาร  สัตว์โลกที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อประดับโลกให้สวยงาม  เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน  อาหารของสัตว์และมนุษย์  คือพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์นานาชนิดอันเกิดจากพลังงานตามธรรมชาติ   สัตว์มีความมักน้อยกว่ามนุษย์อาศัยผักหญ้าอย่างเดียวก็มีกำลังร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ให้มนุษย์ใช้งานได้  แต่มนุษย์เราซึ่งมีอาหารธรรมชาติอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ  กลับเสพเนื้อสัตว์เป็นอาหารแทน  เนื่องจากการหลงผิด  เพราะมีผู้แต่งตำราแนะนำไว้ให้เสพเนื้อสัตว์เป็นอาหาร  เป็นเพราะอาหารจะมีพละกำลังแข็งแรง  แต่สัตว์เหล่านี้ได้รับการทนทุกข์เวทนาจากการฆ่าแกงของมนุษย์  เกิดเป็นวิญญาณอาฆาตขึ้นสิงสู่ในร่างกายมนุษย์  ทำร้ายทำลายร่างกายให้เน่าเปื่อยผุพัง  เช่นเดียวกับที่ได้ทำกับตนไว้  เป็นการใช้กรรมใช้เวรซึ่งกันและกัน  เชื้อโรคเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ด้วยระบบของการแพทย์สมัยใหม่
                  ผู้รักษาจะต้องศึกษาให้ลึกซึ้งถึง กฎแห่งกรรม การผูกพันระหว่างชีวิตวิญญาณ  สามารถที่จะร้องขอให้วิญญาณนั้นอโหสิ  ให้อภัยแก่ผู้ก่อกรรมให้เป็นผลสำเร็จเสียก่อน แล้วจึงซ่อมแซมเนื้อเยื่อใหม่ที่ถูกเชื้อโรคร้ายทำลายไป  จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตสะอาดเป็นผู้ที่มีความบริสุทธิ์  และเมตตาจิตต่อมนุษย์สัตว์ทั้งปวง  ไม่เสพเนื้อสัตว์ใด ๆ  โดยสิ้นเชิง  เมื่อไม่กินเนื้อเขา เขาก็ไม่กินเนื้อเรา  แม้แต่ผู้ป่วยเมื่อหายแล้ว  ก็ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างผู้รักษา  โรคจึงจะหายขาดได้โดยไม่หวนกลับมาอีก  ผู้รักษาจะต้องมีหลักธรรมะสูง  พอที่จะเกลี้ยกล่อมจิตใจให้วิญญาณเหล่านั้นหมดความอาฆาตพยาบาทได้  อันเป็นการรักษาที่ออกจะลำบากยากเย็นยิ่ง
	
	วิธีที่จะตัดรากฐานของการเป็นโรคมะเร็ง  ก็ด้วยการฝึกให้จิตเกิดเมตตา  ให้พยายามคิดอยู่เสมอว่าเพื่อนสัตว์ทั้งหลายก็มีชีวิตวิญญาณเช่นเดียวกันเรา  ย่อมไม่ปรารถนาการตายด้วยวิธีเจ็บปวดทรมาน  โดยเฉพาะสัตว์บ้าน  ซึ่งมีความเชื่องชินกับเรา  ไม่ทำร้ายเรา  สัตว์ใหญ่บางชนิดแถมให้เราใช้พลังงานเสียด้วย แล้วเรากลับโหดร้าย  ทารุณ  กินเนื้อหนังมังสาเขาเป็นอาหาร  เช่นนี้  เป็นการยุติธรรมแก่กันแล้วหรือ  เมื่อค้นคว้าเหตุผลให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นในจิตใจแล้ว  ต้องระงับดับเสียซึ่งความอยาก  คือ  การหลงติดในรสอาหาร  พึงคิดว่า  เนื้อหนังมังสาเหล่านี้ถ้ามีประโยชน์และเป็นอาหารแก่มนุษย์จริง เหตุใดเมื่อฆ่าแกงแล้วจึงไม่สามารถกินได้ทันที  อย่างเช่นพืชพันธุ์ธัญญาหารซึ่งกินกันดิบ ๆ ได้เลย  จะต้องเอามาปรับปรุงแต่งให้มีรสชาติกันการเน่าเปื่อย  มิฉะนั้นก็จะเกิดการเน่าเหม็น  เสียหายกินไม่ได้ มีรสกลิ่นไม่ผิดอะไรกับซากอกุศเหมือนเนื้อหนังมังสาของเรา  ตายแล้วก็ควรเผาควรฝัง  ใครเอาเรามาต้มยำทำแกง  นั่งกินให้เราเห็น เราก็ย่อมโกรธแค้น  ขอให้ท่านสละทิ้งรสชาติซึ่งเย้ายวนชวนใจแต่ภายนอก  ภายในก็คือ  การชักนำให้ท่านเดินไปหาหลุมศพ  คือ  โรคมะเร็ง  อันเป็นการตายที่เจ็บปวดทรมานเยี่ยงเดียวกับการเจ็บปวดของวิญญาณที่ถูกท่านแล่เนื้อเถือหนังเขากินเป็นอาหารอย่างเอร็ดอร่อยไม่ผิดกันเลย

	อาหารธรรมชาติที่จะแบ่งเบาการหลงผิดในรสอาหารให้ท่านได้แก่  อาหารเจ  ซึ่งผู้ปรุงพยายามค้นคว้าดัดแปลงจากพืชมาปรุงแต่งให้มีลักษณะและรสชาติใกล้เคียงกับอาหารสัตว์  จะผิดแปลกแตกต่างกันก็ยังเป็นการบรรเทาความหลงติดในรสอาหารให้เบาบางลง  เหมือนบรรเทาอาการลงแดงให้แก่  คนเสพฝิ่น  ถ้าท่านปฏิบัติได้ถึงขั้นกินอาหารโดยธรรมชาติ  งดเว้นเนื้อสัตว์และสิ่งที่ชีวิตทั้งปวง  ท่านจะเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายดีเลิศ  ร่างกายจะไม่เป็น ฝีหนอง  การตายของท่านจะเป็นการตายแบบสำเร็จ  ไม่มีการทนทุกข์เวทนาใด ๆ  ไม่เหมือนการตายในแบบวิญญาณอาฆาต  ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  ร่างกายผุกร่อน  เจ็บปวดทรมาน  ดิ้นรนกระวนกระวาย  อยู่ท่ามกลางวิญญาณที่รุมล้อมแล่เนื้อเถือหนังท่าน ทวงชีวิตและวิญญาณของท่าน  ให้เกิดการเจ็บปวดเช่นเดียวกันที่ทำไว้กับเขา  อันเป็นการตายที่เจ็บปวดทรมานน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง

	ข้อสังเกต  ผู้ที่กินเนื้อสัตว์แต่ไม่เป็นโรคมะเร็ง  มักจะเป็นผู้ที่มีจิตเป็นกุศล  ใจบุญสุนทาน  ช่วยเหลือความทุกข์ยากของผู้อื่น  กุศลเหล่านี้จะมาทดแทนเหมือนสีดำที่หมั่นเอาสีขาวมาเพิ่มเติมอยู่เสมอ  ก็ทำให้เคราะห์กรรมนั้นเจือจางลงได้  ส่วนมากโรคมะเร็งจึงมักเป็นกับผู้ที่ขูดเลือดขูดเนื้อมนุษย์เห็นแก่ตนเองเป็นที่ตั้ง  ขาดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และใจบุญสุนทาน  จึงต้องชดใช้กรรมให้แก่วิญญาณเหล่านี้เป็นการทดแทน  บางรายเป็นมากถึงขนาดรักษาจนหมดเนื้อหมดตัวก็ยังไม่หาย  ท่านที่ระลึกได้ถึงกฎแห่งกรรมอันนี้  ขอได้ละเลิกความเห็นแก่ตัว  สร้างบุญสร้างกุศลในทุกอย่างที่ถือว่าเป็นความดี  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีเมตตาจิตต่อมนุษย์และเพื่อนสัตว์ด้วยกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ถ้าท่านละเลิกจากการบริโภคเนื้อสัตว์ได้  ก็จะตัดขาดจากการเป็นโรคภัยไข้เจ็บ  เป็นแผล  ฝี  หนอง  หน้าจะเปล่งปลั่งสดใส  ไม่มีสนิมเกาะกิน  คือไม่เป็นฝ้า  เป็นสิว อีกต่อไป

 
โรคที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์

	บิด  ท้องร่วง  ท้องเดิน  กระเพาะอาหาร  ริดสีดวงทวาร  มะเร็ง หัวใจ เบาหวาน 
               ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน  ฯลฯ  เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ใหญ่ เล็กทุกชนิด
	หวัด  ไอ  จาม  ไซนัส  ฯ         เกิดจากการกินไขมันที่ผลิตจากไขของสัตว์ทุกชนิด
ปวดฟัน  แผล  ฝี  หนอง ฯลฯ เกิดจากการกินกุ้ง  หอย  ปู  ปลา  เนื้อสัตว์เล็กทุกชนิด  และกินทั้งเนื้อ  ทั้งกระดูกเป็นเหตุที่สำคัญของโรค  ฟันผุ  เหมือน  เรากินกระดูกเขา เขากินกระดูกเรา


อาการของโรคที่เกิดจากความอาฆาตของสัตว์  มาในรูปแบบที่แตกต่างกันเช่น  บางคนเกิดกระดูกงอกที่หัวเข่า  หมอเอ็กซเรย์  ปรากฎเหมือนรูปกรามหมูโค้งอยู่ในรูปหัวเข่า  ได้ซักถามถึงอาหารที่ชอบ  ปรากฏว่าชอบส่วนที่เป็นกระดูกอ่อนของหมูที่เคี้ยวดังกรุบ ๆ  เป็นที่สุด  บางคนเกิดอาการกล้ามเนื้อของกรามอักเสบเพื่อให้เคี้ยวอาหารไม่ได้  พยายามรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ก็ไม่หายขาด  ปรากฎว่า ตามปกติบุคคลนี้เป็นผู้ที่รับประทานอาหารเก่ง  ชอบเสาะหาอาหารเนื้อสัตว์ที่แปลก ๆ และอร่อยทานโดยไม่เลือกชนิดจึงลงโทษให้กรามอักเสบ  เพื่อให้เคี้ยวอาหารไม่ได้    
มีอยู่คนหนึ่ง  เป็นโรคเยื่อหูอักเสบมีขี้หูเปียกเน่าเหม็นเป็นประจำ  ประวัติส่วนตัวเป็นผู้ปรุงอาหารเก่งมาก  รู้เคล็ดลับในการทำอาหารถึงกระทั่งว่า  มีปลาชนิดหนึ่งมีเส้นเอ็นที่ซ่อนอยู่ในช่องหู  เป็นเหตุที่ทำให้ปลาตัวนั้นมีกลิ่นคาวจัด  เวลาทำอาหารต้องใช้ไม้เข้าไปแคะพันเส้นเอ็นนั้นให้ติดกับปลายไม้  แล้วดึงออกมา  ทำให้ปลานั้นหมดความคาวไปได้  และสามารถปรุงอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อยเป็นที่ติดอกติดใจ  โดยที่หลาย ๆ คนปรุงอาหารด้วยปลาชนิดนี้ไม่ได้  เมื่อบุคคลที่ว่านี้มีอายุมากเข้าก็เกิดอาการโรคหูอย่างที่ว่านี้  และรักษาไม่หายเสียด้วย  หมอลงความเห็นว่าให้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่เสียออกไป  แม้กระทั่งกรามอักเสบก็ลงความเห็นว่าควรผ่าตัด  
เมื่อถึงขั้นนี้ก็สันนิษฐานได้ว่า วิญญาณของสัตว์อาฆาตถึงที่สุด  บังคับให้ถึงขั้นผ่าตัด  เมื่อถึงขั้นผ่าตัด  เมื่อถึงขั้นแล่เนื้อเถือหนังซึ่งกันและกันแล้ว  โรคที่ว่านี้อาจหายขาดได้  เพราะหมดเวรกรรมซึ่งกันและกัน  สำหรับสัตว์ไม่เป็นไรเพราะเขาเป็นวิญญาณไปแล้ว  แต่คนเราซิ  ยังมีชีวิตอยู่  แต่ในสภาพที่อวัยวะภายในภายนอกไม่สมประกอบถูกตัดทอนออกไป  บางคนก็ปรากฎบาดแผลให้เห็นอยู่ภายนอก  เปรียบเสมือนเครื่องจักรก็พิกลพิการขาดความสมบูรณ์หรือบกพร่องไป  ท่านจะมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขได้อย่างไร  
ถ้าท่านยังไม่มีโรคที่ทำให้เกิดความรุนแรง  ถึงขั้นผ่าตัด  ท่านควรจะรีบคิดถึงโทษของการกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เสียตั้งแต่บัดนี้  เพื่อตัวของท่านเองการหลีกพ้นให้พ้นจากสภาพของกฎแห่งกรรม  ไม่มีทางอื่น  นอกจากงดเว้นการกินอาหารเนื้อสัตว์ที่มีชีวิต  ท่านจะเป็นผู้ประเสริฐด้วยความไม่เป็นโรค  ถ้าท่านกลัวขาดวิตามินให้ปฏิบัติดังนี้

โดยปกติสภาพเลือดของคนในยุคปัจจุบันนี้  เนื่องจากกินอาหารเนื้อสัตว์เป็นประจำ  ทำให้เลือดที่บริสุทธิ์สูญเสียไป  เลือดที่บริสุทธิ์เกิดจากอากาศธาตุที่บริสุทธิ์ที่มนุษย์หายใจเข้าไปมีเหลืออยู่เป็นจำนวนน้อยมาก  ถ้าแบ่งเลือดออกเป็น  4  ส่วน  จะเป็นเลือดที่เกิดจากเลือดเนื้อสัตว์เสีย  3  ส่วน  เมื่อท่านงดอาหารเนื้อสัตว์ในขั้นแรก  เป็นความจริงที่เลือดบริสุทธิ์จะเหลืออยู่เพียงส่วนเดียว  อันเป็นเหตุให้ท่านรู้สึกอ่อนเพลียบ้าง  ความจริงเลือดบริสุทธิ์นี้จะเพิ่มตัวเองได้โดยอัตโนมัติ  โดยได้จากการหายใจเอาอากาศที่บริสุทธิ์เข้าไป  เพราะวิตามินต่าง ๆ มีอยู่ในแสงแดด  ก็เข้าไปกับอากาศก็จะเพิ่มจำนวนเลือดในตัวท่านขึ้นทันที  แต่เนื่องจากสภาพอากาศบริสุทธิ์  ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษเช่นในเมืองนี้ มีอยู่น้อยมาก  ท่านต้องอาศัยยาที่เป็นตัวนำของเลือดที่ดีเข้าไปช่วยเพิ่มเลือดให้เร็วขึ้นดังนี้

1.	ดอกมะลิแห้ง (ปลอดสารพิษ) เป็นดอกไม้ที่บริสุทธิ์  ดูดพลังงานจากอากาศธาตุไว้ได้มาก  ให้นำดอกมะลิที่บูชาพระแห้งแล้ว  หรือตากแดดให้แห้งก็ได้ คั่วให้เหลือง ใช้ชงรับประทานแทนน้ำชาอุ่น ๆ  ครั้งละหยิบมือทุกวัน  ความบริสุทธิ์จากดอกมะลิจะเข้าไปฟอกเลือดท่านให้สะอาด  ท่านจะไม่มีอาการไอจาม  น้ำมูกเสมหะเหนียวข้นอันบอกถึงความสกปรกของเลือดว่ามีมากหรือน้อย  การไอ  หรือจาม  เป็นอาการที่สภาพของเลือดที่บริสุทธิ์  ไม่ยอมรับสิ่งที่สกปรกที่จะเข้าไปผสมกันให้เกิดเป็นพิษ  จึงเกิดการระคายเคืองจนเกิดการไอจามให้แยกออกจากกัน  ถ้าสิ่งสกปรกมากเกินไปก็เกิดอาการไอจามจนเป็นไข้ตัวร้อน  เพราะเกิดการอักเสบของอวัยวะภายในขึ้น  อย่างที่เรียกว่า  ไข้หวัด

2.	ลูกสมอแห้งกับเกลือ  ลูกสมอเป็นผลของพืชที่ดูดซึมพลังงานจากแสงอาทิตย์  หรืออากาศธาตุที่บริสุทธิ์ไว้ได้ครบทุกชนิดมีทั้งรสเปรี้ยว  ฝาด  ขม  หวาน  ในตัวเองครบทุกรส  จึงเป็นวิตามินรวมที่สำคัญปกติตัวยาที่จะสกัดมาเป็นวิตามินรวม  จะต้องมาจากตัวยาหลายชนิดเดียวกัน  เอามาผสมกันเข้าถึงจะเกิดเป็นวิตามินรวมขึ้น  แต่ลูกสมอที่คุณภาพในตัวเองครบบริบูรณ์  เลือดที่สมบูรณ์จะต้องได้รับการบำรุงด้วยวิตามินรวมลูกสมอจึงเป็นยาบำรุงเลือดที่สำคัญที่สุด  และไม่ต้องยุ่งยากอะไรเลย  เมื่อกลั่นออกมาเป็นน้ำก็หมายถึงว่าท่านได้เลือดที่บริสุทธิ์มาดื่มกินได้ทันที  โดยไม่ต้องไปปรุงแต่งด้วยตัวยาอย่างอื่น  หรือหามาจากอาหารเนื้อสัตว์ที่ก่อให้เกิดโทษแทนประโยชน์  
                    สำหรับเกลือก็คือ  ธาตุดิน  ที่บริสุทธิ์  ท่านไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะเป็นต่อมไทรอยด์เพราะขาดธาตุไอโอดีนซึ่งจะต้องไปเสาะหามาจากอาหารทะเล  เช่น  กุ้ง  ปู  หอย  ซึ่งตรงกันข้ามการกินสิ่งมีชีวิตพวกนี้ดูจะเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคไทรอยด์เสียมากกว่า  จะมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ท่านอาจจะปฏิบัติได้ค่อนข้างยาก  เพราะการดื่มน้ำลูกสมอต้มกับเกลือ จะหาความเอร็ดอร่อยเหมือนบริโภคอาหารเนื้อสัตว์ไม่ได้  ท่านอาจจะปฏิเสธในข้อนี้  แต่ถ้าท่านนึกถึงกฎแห่งความจริง  และโทษทุกข์ที่เกิดกับท่านภายหลังที่บริโภคอาหารเนื้อสัตว์แล้ว  ท่านควรใช้พลังจิตต่อสู้กับความหลงติดในรสอาหารเพื่อตัวท่านเอง  พยายามเลือกเฟ้นอาหารที่ปรุงแต่งด้วยเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด  ค่อย ๆ จะเลิกไป  จนพ้นจากความเป็นทาสสู่ความเป็นไทแก่ตัวท่านเองในที่สุด
	
	วิธีต้มลูกสมอแห้งกับเกลือ  ลูกสมอแห้ง  3  กำมือ  เกลือเม็ดใหญ่ประมาณ  2  ช้อนโต๊ะปาด ๆ  ต้มด้วยหม้อดินขนาดกลางใส่น้ำให้ท่วมลูกสมอประมาณ  3  ส่วนของหม้อ  ตั้งไฟให้เดือด  เคี่ยวให้งวดเล็กน้อย  ให้มีรสเข้มข้นพอดี  ใช้ดื่มประจำหลังจากรับประทานอาหาร  หรือจิบบ่อย ๆ เวลาไอ  หรือจามเป็นยาช่วยเพิ่มเลือด  บำรุงเลือด  ในขณะที่ท่านหยุดกินเนื้อสัตว์  ท่านไม่ต้องกลัวว่า  จะขาดเลือดหรือขาดวิตามิน  หรือง่อยเปลี้ยเสียขาแต่ประการใด
	
	ยาทั้ง  2  ขนานนี้  เป็นตำราแท้ดั้งเดิมมาแต่สมัยเริ่มสร้างโลกมนุษย์  เจ้าของตำรับได้แก่                    องค์อัครมหาพรหม  พระบรมครู  พระบุตรหัวปีของพระผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์  หรือในภาคสุดท้ายที่จุติมาโปรดในโลกมนุษย์ก็คือพระบรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจ  พระบรมครูการแพทย์แห่งโลกมนุษย์  ผู้ใดระลึกถึงพระคุณท่าน  เวลาต้ม  จุดธูปปักกลางแจ้ง  1  ดอก  ระลึกถึงพระนามท่าน  ยาจะเพิ่มคุณภาพเข้มข้นเพราะอำนาจพลังที่พระบรมครูจะเพิ่มให้กับจิตที่บริสุทธิ์ของท่าน


ว.รัตนภูมิ  ถ่ายทอดด้วยพลังปัญญาจากพระบรมครู

				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ